บท 3
คุณจะได้การนำทางจากแหล่งไหน?
มีอะไรขวางกั้นความสุขไว้จากคุณ? ปัญหาต่าง ๆ ที่คุณเผชิญไหม? อาจเป็นปัญหาเฉพาะตัว—เกี่ยวกับสุขภาพ เงิน เพศ ครอบครัวของคุณ. ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้อาจรวมทั้งอันตรายจากอาชญากรรม การขาดแคลนสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต ความอึดอัดใจในที่ทำงาน ความลำเอียง การวิตกกลัวว่าจะมีสงคราม. ถูกแล้ว คนส่วนใหญ่มีปัญหาที่รบกวนความสุข.
2 ทั้ง ๆ ที่มนุษย์ซึ่งมีการศึกษาดีและมีประสบการณ์มากที่สุดพยายามด้วยวิธีต่าง ๆ ปัญหาต่าง ๆ ก็ยังมีอยู่ มิหนำซ้ำยังร้ายแรงมากขึ้น. ถ้อยคำที่จารึกไว้นานมาแล้วปรากฏเป็นจริงคือ ‘ทางของมนุษย์มิได้อยู่ในตัวเขาเอง มิใช่อยู่ในมนุษย์ผู้ซึ่งดำเนินนั้นจะกำหนดก้าวของตัวเองได้.’a ชัดเจนแล้วมิใช่หรือที่ว่า เราจำเป็นต้องมีการนำทางจากแหล่งหนึ่งซึ่งสุขุมรอบคอบยิ่งกว่ามนุษย์ หากเราหวังจะพบความสุขตลอดไป? แต่การนำทางเช่นนั้นจะหาได้จากแหล่งไหน?
3 หลายคนเชื่อว่าเอกภพในแง่หนึ่งแล้ว เป็น ‘หนังสือว่าด้วยการสร้าง’ ที่พิสูจน์ยืนยันเรื่องพระผู้สร้าง. กษัตริย์ฮีบรูองค์หนึ่งในสมัยก่อนเห็นพ้องกับเรื่องนี้. ท่านได้บันทึกไว้ว่า “ฟ้าสวรรค์ประกาศพระรัศมีของพระเจ้า.” อนึ่ง ท่านได้แถลงอีกว่า พระผู้สร้างทรงเตรียมความรู้ไว้ในหนังสือซึ่งเขียนขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งสามารถ ‘ทำให้คนมีความรู้น้อยฉลาดขึ้น’ และมีความยินดี.b
4 เนื่องจากมนุษย์มีความสามารถสื่อความหมาย—สามารถแม้กระทั่งส่งข่าวสารจากอวกาศมาถึงแผ่นดินโลกได้—ไม่เป็นไปตามเหตุผลหรือว่าพระผู้สร้างของมนุษย์สามารถทำเช่นนั้นได้ด้วย? ยิ่งกว่านั้น เนื่องจากหลายสิ่งเกี่ยวกับแผ่นดินโลกให้หลักฐานแสดงถึงการใฝ่พระทัยของพระองค์ต่อมนุษยชาติ จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าพระองค์ทรงประสงค์จะช่วยเหลือมวลมนุษย์. การที่พระองค์กระทำเช่นนั้นย่อมลงรอยกับสิ่งที่เรามองเห็นในครอบครัวที่แสดงความรักต่อกัน เช่น บิดามารดาถ่ายทอดความรู้และชี้นำทางแก่บุตรของตน. แต่พระผู้สร้างมนุษย์จะทรงกระทำเช่นนี้เพื่อผลประโยชน์ของเราโดยวิธีใด?
5 การเขียนเป็นวิธีที่ดีเยี่ยมเสมอมาเพื่อการถ่ายทอดความรู้อย่างถูกต้องแม่นยำ และคงทนถาวร. บันทึกที่เป็นลายลักษณ์อักษรไม่สู้จะผิดพลาดเท่าไรนักเมื่อเทียบกับข่าวสารที่สืบต่อกันด้วยวาจา. อนึ่ง หนังสือก็ยังสามารถนำไปพิมพ์ผลิตได้อีก หรือแปลเป็นภาษาอื่นเพื่อผู้อ่านภาษาใด ๆ สามารถอ่านข่าวสารนั้นได้. ทั้งนี้ดูมีเหตุผลมิใช่หรือที่พระผู้สร้างของเราทรงใช้วิธีนี้เพื่อให้ความรู้?
6 ยิ่งกว่าหนังสือทางศาสนาเล่มอื่นใด คัมภีร์ไบเบิลถูกนับว่าเป็นข่าวสารจากพระผู้สร้างของเรา และด้วยเหตุผลข้อนี้ จำนวนคัมภีร์ไบเบิลที่พิมพ์ออกจำหน่ายจึงมากมายมหาศาล. ข้อนี้น่าสังเกต. ถ้าพระผู้สร้างมนุษยชาติจะให้มีหนังสือที่บรรจุข่าวสารจากพระองค์สำหรับมวลมนุษย์ ย่อมคาดหมายได้ว่าเราจะหาหนังสือนั้นที่ไหนก็ได้. คัมภีร์ไบเบิลก็เป็นเช่นนั้น. จะหาอ่านคัมภีร์ไบเบิลในภาษาต่าง ๆ ได้ถึงร้อยละ 98 ของพลเมืองในโลก. ไม่มีหนังสือศาสนาเล่มใดได้รับการผลิตออกจำหน่ายไปแล้วหลายร้อยล้านเล่มอย่างคัมภีร์ไบเบิล.
7 ที่จริง คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือศาสนาสำหรับมวลมนุษยชาติ. เพราะเหตุใด? การจารึกพระคัมภีร์ได้เริ่มขึ้นไม่ไกลจากแหล่งกำเนิดอารยธรรม. คัมภีร์เป็นหนังสือศักดิ์สิทธิ์เล่มเดียวเท่านั้นที่สืบร่องรอยประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปจนถึงการเริ่มต้นของมนุษย์เลยทีเดียว. นอกจากนี้ คัมภีร์ไบเบิลยังกล่าวถึงพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้ประชาชนจาก “ทุกชาติแห่งแผ่นดินโลก” ได้รับพระพรถาวร.—เยเนซิศ 22:18.
8 เอ็นไซโคลพีเดีย บริแทนนิกา ให้ฉายาพระคัมภีร์เป็น “ชุดหนังสือที่มีอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์.” พระคัมภีร์มีอิทธิพลและส่งผลกระทบประวัติศาสตร์อย่างกว้างขวางที่สุดเมื่อเทียบกับบทจารึกของศาสนาอื่น. เนื่องด้วยเหตุนี้ จึงสมควรแล้วที่จะกล่าวว่า ไม่มีใครได้ชื่อว่าตนเรียนรู้โดยครบถ้วน ถ้าผู้นั้นยังไม่ได้อ่านคัมภีร์ไบเบิล.
9 กระนั้น บางคนไม่ยอมอ่านคัมภีร์ไบเบิล. เพราะเหตุใด? บ่อยครั้งเพราะการประพฤติของผู้คนหรือชนชาติซึ่งคาดว่า ปฏิบัติตามพระคัมภีร์. ในบางประเทศกล่าวกันว่า คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่นำไปสู่สงคราม เป็นหนังสือของนักล่าอาณานิคม หรือเป็น ‘หนังสือของคนผิวขาว.’ แต่ทัศนะนี้ไม่ถูก. พระคัมภีร์ได้รับการจารึกในดินแดนแถบตะวันออกกลาง. พระคัมภีร์ไม่เห็นด้วยกับสงครามล่าอาณานิคมและการแสวงหาผลประโยชน์ด้วยความละโมบซึ่งกระทำกันในนามคริสเตียน. ในทางตรงกันข้าม เมื่อคุณอ่านพระคัมภีร์ คุณจะเห็นว่า พระคัมภีร์ตำหนิอย่างแรงเรื่องการต่อสู้กันด้วยความเห็นแก่ตัว การผิดศีลธรรม และการแสวงประโยชน์จากผู้อื่น. คนมักโลภเป็นฝ่ายผิด หาใช่พระคัมภีร์ไม่. (ยาโกโบ 4:1-3; 5:1-6) ดังนั้น อย่ายอมให้การประพฤติเลว ๆ ของคนที่เห็นแก่ตัวซึ่งมิได้ดำเนินชีวิตตามคำแนะนำของพระคัมภีร์มาขัดขวางผลประโยชน์ที่คุณจะได้จากคัมภีร์ไบเบิลอันเป็นดุจคลังทรัพย์นั้นเลย.
คุณจะพบอะไร?
10 หลายคนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเขาอ่านพระคัมภีร์เป็นครั้งแรก. เขาพบว่าประการแรก คัมภีร์ไบเบิลมิใช่หนังสือว่าด้วยการประกอบพิธีทางศาสนาหรือหลักข้อเชื่อ. ทั้งมิใช่หนังสือที่รวบรวมคติพจน์หรือปรัชญาไว้อย่างคลุมเครือ ซึ่งไม่สู้จะมีความหมายเท่าไรนักต่อคนทั่วไป. คัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวข้องกับผู้คนที่เคยมีชีวิตจริง ๆ ซึ่งเคยมีความห่วงใยและมีปัญหาเหมือนพวกเรา. อนึ่ง โดยการที่พระคัมภีร์เผยวิธีที่พระเจ้าทรงปฏิบัติกับมนุษย์ในอดีต จึงทำให้เราหยั่งเห็นเข้าใจพระทัยประสงค์ของพระองค์สำหรับพวกเราสมัยนี้. เราขอสนับสนุนคุณอ่านเยเนซิศ พระธรรมเล่มแรกในคัมภีร์ไบเบิล. จากเรื่องราวที่น่าสนใจในพระธรรมเล่มนั้นคุณสามารถจะเรียนรู้ได้มากมายเกี่ยวกับพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับมนุษยชาติทั้งสิ้น. คุณจะพบบทเรียนที่กล่าวถึงสิ่งซึ่งจะทำลายความสุขของมนุษย์ได้. นอกจากนี้ คุณจะได้เรียนรู้ลักษณะนิสัยและการกระทำซึ่งนำไปสู่ความสำเร็จ และทำให้พระเจ้าพอพระทัย.
11 ในจำนวนพระธรรม 66 เล่มนั้น มีบางเล่มกล่าวถึงประวัติศาสตร์และกิจปฏิบัติทางศาสนาของชาติยิศราเอลโบราณ. (เป็นต้นว่าพระธรรมเอ็กโซโด ยะโฮซูอะ และซามูเอลฉบับต้นซึ่งคุณคงจะชอบเป็นแน่.) ประวัติศาสตร์นั้นได้รับการจารึกไว้เพื่อประโยชน์ของเรา. (1 โกรินโธ 10:11) เพราะฉะนั้น ถึงแม้พระเจ้าจะมิได้ทรงปกครองชาติหนึ่งชาติใดโดยเฉพาะอีกต่อไป ทั้งไม่ทรงคาดหมายจะให้ทุกคนรักษาข้อกฎหมายเหล่านั้นซึ่งพระองค์ทรงประทานแก่ชาติยิศราเอลโบราณ แต่เราย่อมได้บทเรียนมากมายจากพระธรรมเหล่านั้น. และดังที่เราจะเข้าใจภายหลัง สิ่งที่พระเจ้าได้กระทำเพื่อชาวยิศราเอล (รวมทั้งสัตว์บูชาที่เขาถวายแด่พระองค์) ล้วนแต่มีความหมายสำหรับชีวิตของเรา.
12 เพื่อจะรู้เรื่องในคัมภีร์ไบเบิลอย่างกว้าง ๆ คุณควรอ่านชีวประวัติของพระเยซูอย่างน้อยสักเล่มหนึ่ง เช่น หนังสือกิตติคุณสั้น ๆ เขียนโดยมาระโกเป็นต้น. หลังจากนั้น จงชื่นชมกับบันทึกเรื่องตื่นเต้นเกี่ยวกับการตั้งศาสนาคริสเตียนตามที่ชี้แจงในพระธรรมกิจการของพวกอัครสาวก. ถัดจากนั้นก็อ่านตัวอย่างคำแนะนำจากพระคัมภีร์อันเป็นประโยชน์สำหรับชนคริสเตียน ดังปรากฏในจดหมายของยาโกโบ. การอ่านให้ได้อรรถรสพื้นฐานจากส่วนต่าง ๆ ของคัมภีร์ไบเบิลจะช่วยคุณให้เข้าใจว่าทำไมพระคัมภีร์จึงได้รับการยกย่องมาตลอดศตวรรษต่าง ๆ.
13 หากบางจุดในพระคัมภีร์ทำให้คุณรู้สึกฉงนก็โปรดอดใจไว้ก่อน. คัมภีร์ไบเบิลประกอบด้วยเรื่องที่ลึกซึ้งหลายอย่าง ดังที่เราย่อมคาดหมายได้ว่าหนังสือที่พระผู้สร้างทรงจัดไว้ให้มนุษย์ศึกษาตลอดศตวรรษต่าง ๆ คงต้องเป็นเช่นนั้น. (2 เปโตร 3:15,16) ในที่สุด คุณก็จะได้คำตอบสำหรับสิ่งที่คุณสงสัยหลายอย่างเนื่องจากเรื่องราวในพระคัมภีร์เกี่ยวพันกันโดยตลอด. คำถามที่ผุดขึ้นมาขณะอ่านคัมภีร์ตอนหนึ่งจะพบคำตอบได้จากตอนอื่นในพระคัมภีร์นั้นเอง. ยิ่งคุณอ่านคัมภีร์มากเท่าใด คุณก็ยิ่งจะพบว่า พระคัมภีร์เป็นประโยชน์และให้คำตอบอย่างจุใจมากเท่านั้น. นอกจากนี้ ในไม่ช้าคุณจะเห็นว่า สิ่งที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ไบเบิลนั้นแตกต่างจากคำสอนและกิจปฏิบัติของคริสต์จักรส่วนใหญ่. เมื่อเป็นเช่นนั้น คุณจะอยากอ่านพระคัมภีร์ไบเบิลทุกตอนและคุณจะรู้สึกว่าคุณอยากอ่านพระคัมภีร์ซ้ำอีกหลาย ๆ ครั้ง.
คัมภีร์ไบเบิล—มาจากแหล่งใด?
14 คุณอาจจะรู้จักบางคนซึ่งถือว่าคัมภีร์ไบเบิลเป็นวรรณคดีหรือเป็นความรู้เก่าแก่ แต่คนเหล่านั้นคิดว่าคัมภีร์ไบเบิลเป็นผลงานของมนุษย์ ไม่ใช่พระวจนะของพระเจ้า. ข้อเท็จจริงคืออย่างไร?
15 ขณะที่คุณอ่านพระคัมภีร์ คุณจะเห็นว่ามีบุคคลหลายคนได้เขียนเรื่องต่าง ๆ ในคัมภีร์. โมเซเป็นคนแรก เริ่มต้นเขียนในปี 1513 ก่อนสากลศักราช. คนสุดท้ายคือโยฮัน อัครสาวกของพระเยซู ซึ่งได้เขียนในช่วงปลายศตวรรษที่หนึ่ง. รวมผู้เขียนทั้งสิ้นประมาณ 40 คนที่ได้เขียนพระธรรมซึ่งประกอบกันเป็นคัมภีร์ไบเบิล. คนเหล่านั้นเป็นคนชนิดใด? เขาเป็นคนใจถ่อม เต็มใจเปิดเผยข้อบกพร่องของตัวเองและของเพื่อนร่วมชาติเช่นกัน. ความซื่อตรงของเขาเป็นที่น่าสังเกต เพราะเขาบอกด้วยว่า เขาเขียนตามที่พระเจ้าทรงบัญชา. คุณอาจพิจารณาตัวอย่างเรื่องนี้ที่ 2 ซามูเอล 23:1, 2; ยิระมะยา 1:1, 2 และยะเอศเคล 13:1, 2. ทั้งนี้น่าจะทำให้เราพิจารณาอย่างจริงจังมิใช่หรือเกี่ยวด้วยคำรับรองในพระคัมภีร์ที่ว่า ‘พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลบันดาลจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์’?—2 ติโมเธียว 3:16; 2 เปโตร 1:20, 21.
16 สิ่งที่ผู้เขียนพระคัมภีร์จารึกไว้นั้นต่างไปจากบทบันทึกเก่าแก่ส่วนใหญ่ในหลายประการ. ดังที่นักศึกษาด้านประวัติศาสตร์โบราณรู้กันอยู่ว่า บทบันทึกต่าง ๆ ที่ได้จากอียิปต์ เปอร์เซีย บาบูโลนและชาติอื่นในสมัยโบราณมักจะเป็นตำนานและเป็นเรื่องพูดเกินความจริงอย่างเห็นได้ชัดเกี่ยวกับผู้ครอบครองและความกล้าหาญของเขา. แต่พระคัมภีร์กลับตรงกันข้าม ลักษณะเด่นคือความจริงและความถูกต้องแม่นยำ. ชื่อที่กล่าวเจาะจงและรายละเอียดต่าง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลนั้นหาข้อยืนยันได้ แม้กระทั่งกำหนดวันเดือนปีได้. ตัวอย่างเช่น ดานิเอลบทห้าบอกประวัติผู้เป็นราชาประเทศบาบูโลนชื่อเบละซาซัร. นักวิจารณ์ได้อ้างเป็นเวลาหลายปีว่า ไม่เคยมีเบละซาซัรในประวัติศาสตร์ แต่ดานิเอลได้กุชื่อนี้ขึ้นเอง. อย่างไรก็ดี เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีการขุดค้นพบบันทึกบนแผ่นดินเหนียว ครั้นถอดความแล้วก็สอดคล้องกับรายละเอียดในพระธรรมดานิเอล. ด้วยเหตุผลดังกล่าว ศาสตราจารย์ อาร์. พี. โดเกอร์ที (มหาวิทยาลัยเยล) ได้เขียนว่า คัมภีร์ไบเบิลถูกต้องแม่นยำยิ่งกว่าบทจารึกอื่น ๆ และยืนยันว่า การเขียนพระธรรมดานิเอลนั้นเป็นไปตามกาลเวลาที่ระบุไว้ในคัมภีร์ไบเบิล.—นะโบไนดัสและเบละซาซัร.
17 หากคุณเดินทางไปยังกรุงเยรูซาเล็ม คุณสามารถจะเดินท่องลำธารลอดอุโมงค์เก่าแก่ ซึ่งเจาะผ่านศิลา. อุโมงค์ที่ค่อนข้างยาวแห่งนี้เพิ่งค้นพบและลอกแซะทำสะอาดเมื่อศตวรรษที่แล้วนี้เอง. ทำไมเรื่องนี้จึงน่าสนใจ? เพราะเป็นข้อยืนยันเรื่องที่ได้รับการบันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิล 2,000 กว่าปีมาแล้วที่ว่า กษัตริย์ฮิศคียาเจาะอุโมงค์ส่งน้ำเข้ากรุงยะรูซาเลม.—2 กษัตริย์ 20:20; 2 โครนิกา 32:30.
18 สองตัวอย่างข้างต้นเป็นเพียงหนึ่งในหลายเรื่องที่พิสูจน์ว่า พระคัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่เชื่อถือได้ทั้งทางประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์. แต่ยิ่งเสียกว่าความถูกต้องแม่นยำที่เกี่ยวข้องด้วย เนื่องจากหนังสือประวัติศาสตร์สมัยปัจจุบันบางเล่มก็ถูกต้องแม่นยำ. มีหลายสิ่งในคัมภีร์ไบเบิลที่ไม่อาจอธิบายได้ ถ้าคัมภีร์ไบเบิลเป็นเพียงความคิดของมนุษย์. สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้ตรวจสอบหลายคนที่รอบคอบเชื่อมั่นว่า คัมภีร์ไบเบิลเป็นมาแต่พระผู้ใหญ่ยิ่งสูงสุด.
19 ถึงแม้พระคัมภีร์ไม่ใช่ตำราวิทยาศาสตร์ แต่ครั้นพาดพิงถึงวิชาวิทยาศาสตร์แล้ว พระคัมภีร์ก็คงความถูกต้องแม่นยำและสะท้อนความรู้ซึ่งยังไม่เป็นที่รู้กันในหมู่มนุษย์สมัยที่มีการเขียนพระคัมภีร์. ตัวอย่างเช่น ดร. อาร์โน เพ็นเซียส (ผู้ชนะรางวัลโนเบลปี 1978) กล่าวถึงเรื่องต้นกำเนิดของเอกภพดังนี้:
“การอ้างเหตุผลของผมคือว่า ข้อมูลดีที่สุดที่เรามีอยู่ก็คงเป็นสิ่งที่ผมจะทำนาย ถ้าผมไม่มีอะไรนอกจากพระธรรมห้าเล่มของโมเซ บทเพลงสรรเสริญ คัมภีร์ไบเบิลทั้งเล่ม.”
ยิ่งกว่านั้น พระธรรมเยเนซิศบันทึกลำดับการปรากฏรูปแบบชีวิตต่าง ๆ ตามขั้นตอน ซึ่งบัดนี้เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางโดยนักวิทยาศาสตร์. (เยเนซิศ 1:1-27) และขณะที่ชาติอื่น ๆ สอนเทพนิยายต่าง ๆ เช่น สอนว่าช้างหรือยักษ์ตนหนึ่งหนุนลูกโลกให้ตั้งอยู่ คัมภีร์ไบเบิลกล่าวไว้อย่างถูกต้องว่าโลกห้อยอยู่โดยไม่ติดกับสิ่งใดและระบุด้วยว่าโลกกลม. (โยบ 26:7; ยะซายา 40:22) ผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลทราบได้อย่างไรถึงสิ่งต่าง ๆ ซึ่งพวกนักวิทยาศาสตร์พึ่ง “ค้นพบ” เมื่อไม่นานมานี้? ความรู้เช่นนี้คงต้องได้มาจากแหล่งหนึ่งซึ่งยิ่งใหญ่กว่าตัวเขาเอง.
20 มีบางสิ่งที่สำคัญกว่าเสียด้วยซ้ำซึ่งสะท้อนถึงต้นกำเนิดของคัมภีร์ไบเบิล. สิ่งนั้นคือคำพยากรณ์. มนุษย์อาจนึกเดาว่าจะเกิดเหตุการณ์นั้น ๆ ขึ้น แต่พวกเขาไม่สามารถทำนายอนาคตอย่างถูกต้องครั้งแล้วครั้งเล่าพร้อมด้วยความแม่นยำ. (ยาโกโบ 4:13, 14) กระนั้น พระคัมภีร์ทำได้. นานก่อนบาบูโลนขึ้นมาเป็นมหาอำนาจ และได้ทำให้ยะรูซาเลมเป็นที่เริศร้างว่างเปล่า พระเจ้าทรงดลใจผู้พยากรณ์ยะซายาให้บอกล่วงหน้าว่า บาบูโลนจะถูกปราบให้ราบคาบโดยสิ้นเชิง. ประมาณสองร้อยปีล่วงหน้า พระเจ้าทรงระบุชื่อไซรัสว่าจะเป็นผู้พิชิตบาบูโลน ทั้งแจ้งด้วยว่าบาบูโลนจะพ่ายแพ้อย่างไร. ยะซายาได้บันทึกอย่างถูกต้องในรายละเอียดกล่าวถึงความเริศร้างขั้นสุดท้ายของบาบูโลน ทั้งที่ความหายนะนั้นจะมีขึ้น 1,000 ปีหลังจากนั้น. (ยะซายา 13:17-22; 44:24–45:3) แล้วทุกสิ่งก็เกิดขึ้นจริง. และคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับเมืองตุโรและนีนะเวก็สำเร็จเช่นเดียวกัน. (ยะเอศเคล 26:1-5; ซะฟันยา 2:13-15) คุณสามารถไปเยือนแถบตะวันออกกลางเพื่อดูซากปรักหักพังและเห็นข้อยืนยันนั้นด้วยตนเอง.
21 พระธรรมดานิเอลบอกล่วงหน้าไว้นานมากและอย่างชัดแจ้งถึงลำดับเหตุการณ์อื่น ๆ ระหว่างชาติต่าง ๆ. เช่น บาบูโลนจะเสียอำนาจให้แก่ มิโด-เปอร์เซีย ครั้นแล้วมหาอำนาจนี้จะพ่ายแพ้แก่มหาอำนาจกรีซ. หลังจากผู้นำที่มีชื่อเสียงเด่นของกรีซ (อเล็กซานเดอร์มหาราช) สิ้นชีวิต นายพลสี่คนของอเล็กซานเดอร์จะปกครองจักรภพนี้ต่อไป. (ดานิเอล 8:3-8, 20-22) นั้นคือการจารึกประวัติศาสตร์ระยะยาวไว้ล่วงหน้า แล้วก็เป็นจริงตามที่พยากรณ์ไว้. ดานิเอลทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร? คำตอบที่จุใจอย่างเดียวเท่านั้นมีแถลงไว้ในพระคัมภีร์ที่ว่า: “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลบันดาลจากพระเจ้า.” เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเรา เพราะ ดังที่จะมีการพิจารณาในบทต่อ ๆ ไป พระคัมภีร์บรรจุคำพยากรณ์กล่าวถึงสิ่งที่ได้เกิดขึ้นแล้วในสมัยของเรา. นอกจากนี้ พระคัมภีร์ยังพรรณนาถึงสิ่งที่ยังจะต้องเกิดขึ้นในอนาคตไว้อย่างชัดเจน.
22 นอกจากเรื่องที่เกี่ยวกับอนาคตแล้ว พระคัมภีร์ไบเบิลช่วยเราในการรับมือกับสภาพในปัจจุบันอย่างที่จะลุล่วงไปด้วยดี. พระคัมภีร์ชี้แจงให้รู้สาเหตุที่มีความทุกข์มากมาย และช่วยให้เราเข้าใจจุดมุ่งหมายของชีวิต. พระคัมภีร์ให้การชี้นำที่มาจากพระผู้สร้างเกี่ยวกับวิธีที่เราแต่ละคนจะสามารถเอาชนะปัญหาต่าง ๆ และประสบความสุขในชีวิตได้มากที่สุด ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต. บทความต่อไปจะพิจารณาปัญหาชีวิตบางประการ พร้อมกับคำแนะนำที่ได้จากคัมภีร์ไบเบิลซึ่งใช้ได้ผลจริง. อย่างไรก็ดี ก่อนอื่น เราควรจะมาทำความรู้จักเพื่อคุ้นเคยกับผู้ที่ได้จัดเตรียมคำแนะนำนี้.
[เชิงอรรถ]
[คำถามศึกษา]
ทำไมจึงนับว่ามีเหตุผลที่พระเจ้าได้ทรงจัดให้มีหนังสือนำทาง? (1-5)
มีเหตุผลอะไรบ้างที่จะพิจารณาคัมภีร์ไบเบิล? (6-9)
มีความรู้ชนิดใดในคัมภีร์ไบเบิล? (10-13)
มีหลักฐานอะไรซึ่งแสดงว่า คัมภีร์ไบเบิลเป็นเพียงความคิดของมนุษย์หรือไม่? (14-19)
อะไรเป็นเรื่องเด่นเกี่ยวกับถ้อยแถลงในคัมภีร์ไบเบิลซึ่งพาดพิงถึงเหตุการณ์ในอนาคต? (20-22)
[รูปภาพหน้า 22]
ดาวเทียมที่มนุษย์ประดิษฐ์สามารถส่งข่าวสารมาถึงโลก. พระผู้สร้างมีความสามารถยิ่งกว่ามิใช่หรือ?
[รูปภาพหน้า 23]
มีเหตุผลมิใช่หรือที่พระเจ้าจะทรงจัดเตรียมหนังสือให้มนุษย์?
[รูปภาพหน้า 27]
อุโมงค์ของฮิศคียา
ท่านจะลุยผ่านทางน้ำเก่าแก่นี้ได้ในกรุงยะรูซาเลม. ข้อนี้ยืนยันความถูกต้องของคัมภีร์ไบเบิล.