บท 18
ทุกศาสนาล้วนมีข้อดีเช่นนั้นหรือ?
เมื่อถกกันเรื่องศาสนา หลายคนบอกว่า ‘ศาสนาไหน ๆ ก็ดีทั้งนั้น’ หรือ ‘ศาสนาทั้งหลายเป็นเส้นทางต่าง ๆ ที่นำไปถึงพระเจ้า.’
2 เป็นการง่ายที่จะเข้าใจเหตุผลที่หลายคนอาจพบว่า ในแทบทุกศาสนาต่างก็มีข้อดีอยู่บ้าง เพราะศาสนาส่วนใหญ่แล้วพูดถึงความรักและสอนว่า การฆ่าคน การลักขโมยและการพูดโกหกเป็นการกระทำผิด. องค์กรด้านศาสนาจัดส่งมิชชันนารีไปดำเนินงานตามโรงพยาบาลต่าง ๆ และช่วยเหลือคนยากจน. และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสองศตวรรษที่ผ่านมา พวกเขาได้ทำการแปลและจัดจำหน่ายคัมภีร์ไบเบิล จึงทำให้หลายคนมีโอกาสรับประโยชน์จากพระวจนะของพระเจ้า. (2 ติโมเธียว 3:16) กระนั้น เราน่าจะถามว่า พระยะโฮวาและพระเยซูคริสต์ทรงมีทัศนะเช่นไรต่อศาสนาต่าง ๆ?
ทางถูกเป็นทางแคบ
3 บางคนที่คิดว่าทุกศาสนาต่าง ๆ ก็มีข้อดีจะให้ความเห็นว่า คนที่เชื่อว่าพระเจ้าไม่ยอมรับคนส่วนใหญ่ไม่ว่าศาสนาของเขาจะเป็นเช่นไรนั้นเป็นคนมีใจแคบ. แต่พระเยซูซึ่งทราบและสะท้อนความคิดแห่งพระบิดาของพระองค์นั้นทรงมีทัศนะที่แตกต่างออกไป. (โยฮัน 1:18; 8:28, 29) พวกเราคงไม่มีใครกล่าวหาพระบุตรของพระเจ้าเป็นคนใจแคบ. จงพิจารณาสิ่งที่พระองค์ตรัสไว้ในคำเทศน์บนภูเขา:
“จงเข้าไปทางประตูคับแคบ เพราะว่าประตูใหญ่และทางกว้างนำไปถึงความพินาศ และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก เพราะว่าประตูคับและทางแคบซึ่งนำไปถึงชีวิตนั้นก็มีผู้พบปะน้อย.”—มัดธาย 7:13, 14.
4 การที่จะอยู่ในทางคับแคบและได้รับความพอพระทัยพระเจ้านั้นจะต้องทำอะไรบ้าง? บางคนอาจจะตอบตามแนวคิดแบบเสรีนิยมสมัยใหม่หรือแบบที่รวบรวมนิกายต่าง ๆ เข้าด้วยกันว่า ‘ขอให้ทำดี อย่าทำร้ายผู้อื่น’ หรือ ‘คุณเพียงแต่รับพระเยซูเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าก็พอ.’ แต่พระเยซูได้ตรัสว่า จำเป็นต้องทำมากกว่านั้น:
“มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ จะได้เข้าในเมืองสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามน้ำพระทัยพระบิดาของเรา ผู้อยู่ในสวรรค์นั้นจึงจะเข้าได้. ในวันนั้นจะมีคนเป็นอันมากร้องแก่เราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า ข้าพเจ้า . . . ได้กระทำการอัศจรรย์มากด้วยออกพระนามพระองค์มิใช่หรือ?’ ขณะนั้นเราจะกล่าวแก่เขาว่า: เราไม่รู้จักเจ้าเลย! เจ้าทั้งหลายผู้ประพฤติล่วงพระบัญญัติ จงถอยไปจากเรา.”—มัดธาย 7:21-23.
5 เป็นความจริงที่ว่าพระเยซูทรงเตือนให้ระวังเพื่อจะไม่ตัดสินการผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของคนอื่น. (มัดธาย 7:3-5; โรม 14:1-4) แต่มาถึงเรื่องสำคัญเกี่ยวกับศาสนา พระองค์ทรงให้ตัวอย่างแสดงถึงความจำเป็นของการยึดหลักพระคัมภีร์ และการทำตามพระทัยประสงค์ของพระบิดา. พระเยซูทรงตำหนิกิจปฏิบัติและหลักคำสอนที่ขัดแย้งกับพระวจนะของพระเจ้า. เพราะเหตุใด? เพราะพระองค์ทราบว่า พญามารได้ใช้ศาสนาเป็นกับดักประชาชน. (2 โกรินโธ 4:4) เครื่องมือที่ซาตานใช้เป็นประจำคือความเท็จ แต่เสนอในแบบที่ดึงดูดใจผู้คน. (เยเนซิศ 3:4, 5; 1 ติโมเธียว 4:1-3) แม้แต่ท่ามกลางผู้ที่อ้างตัวเป็นคริสเตียน ก็ยังมีพวกผู้นำทางศาสนาซึ่งส่งเสริมเป้าหมายของพญามาร. (2 โกรินโธ 11:13-15) คำสอนของพวกเขาทำให้ผู้คนเข้าใจผิดพลาดเกี่ยวด้วยแนวทางแห่งความรักและความโอบอ้อมอารีของพระยะโฮวา. ดังนั้นแล้วไม่แปลกใช่ไหมที่พระเยซูได้เปิดโปงคำสอนของผู้นำฝ่ายศาสนาซึ่งคำสอนของเขาตรงกันข้ามกับพระคัมภีร์?—มัดธาย 15:1-20; 23:1-38.
6 หลายคนนับถือศาสนาที่รับช่วงต่อกันมา. คนอื่น ๆ เพียงแต่ร่วมไปกับคนหมู่มากที่อยู่รอบเขา. แต่ถึงแม้การกระทำดังกล่าวจะจริงใจก็ตาม แต่อาจเป็นเหตุให้คนเราเข้ามาอยู่บน ‘ทางกว้างที่นำไปสู่ความพินาศ.’ (โยฮัน 16:2; สุภาษิต 16:25) อัครสาวกเปาโล (มีชื่ออีกว่าเซาโล) เคยกระตือรือร้นในศาสนาของท่านถึงขนาดที่ได้ข่มเหงพวกคริสเตียน. กระนั้น เพื่อพระเจ้าจะทรงรับรองท่านได้ เปาโลจึงต้องเปลี่ยนแนวทางการนมัสการเสียใหม่. (1 ติโมเธียว 1:12-16; กิจการ 8:1-3; 9:1, 2) ในเวลาต่อมา ท่านได้รับการดลใจให้เขียนว่า บางคนที่เคร่งครัดในศาสนาสมัยนั้นมี “ใจร้อนรนในการปฏิบัติพระเจ้า แต่หาได้เป็นตามปัญญาไม่.” (โรม 10:2) คุณมีความรู้ถูกต้องแม่นยำเรื่องพระทัยประสงค์ของพระเจ้าตามที่แจ้งไว้ในคัมภีร์ไบเบิลไหม? คุณปฏิบัติตามความรู้นั้นไหม?
7 อย่าถือเอาเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่น ๆ บางทีคิดว่าหากคุณไม่ได้อยู่บนหนทางที่ถูกต้อง พระเจ้าคงจะเข้าพระทัยและคุณไม่จำเป็นจะต้องปรับเปลี่ยนอะไรเลย. พระคัมภีร์แถลงว่า พระเจ้ามีพระประสงค์จะให้ประชาชน “บรรลุถึงความรู้อันถูกต้องแม่นยำในเรื่องความจริง” แล้วดำเนินชีวิตประสานกับความรู้นั้น. (1 ติโมเธียว 2:3, 4, ล.ม.; ยาโกโบ 4:17) พระเจ้าตรัสบอกล่วงหน้าแล้วว่า ใน “สมัยสุดท้าย” หลายคนจะ ‘มีสภาพธรรมะภายนอก แต่ฤทธิ์ของธรรมะนั้นเขาปฏิเสธเสีย.’ พระองค์ทรงกำชับดังนี้: “คนอย่างนี้ท่านจงผินหน้าจากเขาเสีย.”—2 ติโมเธียว 3:1-5.
คุณรู้ได้โดยวิธีใด?
8 แม้ว่าการนมัสการอย่างเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้านั้นจะต้องสอดคล้องกับ “ความรู้อันถูกต้องแม่นยำ” แต่การตรวจสอบเปิดเผยว่า คริสต์จักรส่วนมากสอนสิ่งที่ขัดแย้งกับพระคัมภีร์. (โรม 10:2) ตัวอย่างเช่น พวกเขายึดถือหลักคำสอนซึ่งไม่เป็นไปตามหลักคัมภีร์ที่ว่ามนุษย์มีจิตวิญญาณอมตะ. (ยะเอศเคล 18:4, 20; ดูหน้า 124, 125.) บางคนอาจข้องใจว่า ‘คำสอนนั้นเลวร้ายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?’ อย่าลืมว่าการโกหกครั้งแรกของซาตานคือว่า การทำบาปจะไม่นำไปถึงความตาย. (เยเนซิศ 3:1-4) ทั้งที่เวลานี้ความตายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คำสอนว่าด้วยมนุษย์มีจิตวิญญาณอมตะมักส่งเสริมคำโกหกของซาตาน. คำโกหกนั้นได้นำหลายล้านคนเกิดความกลัวและหาทางติดต่อกับผีปีศาจที่อ้างว่าเป็นจิตวิญญาณของคนตาย. และคำสอนนี้เองได้ทำให้สัจธรรมของคัมภีร์ไบเบิลว่าด้วยการกลับเป็นขึ้นจากตายไร้ความหมาย.—กิจการ 24:15.
9 เรื่องนี้เกี่ยวข้องไปถึงเรื่องความประพฤติด้วย เพราะหลายศาสนายอมรับหรือส่งเสริมวันหยุดงานและขนบธรรมเนียมที่อาศัยความเชื่อเรื่องความเป็นอมตะแห่งจิตวิญญาณ. วันฉลองนักบุญ วันสวดมนต์ส่งวิญญาณหรือวันอื่น ๆ ก็ถือเป็นวันหยุดทางศาสนา ประกอบเข้ากับกิจปฏิบัติที่รับมาจากศาสนาอื่นซึ่งไม่ใช่ศาสนาคริสเตียน.
10 การผสมกลมกลืนระหว่างศาสนาอื่น ๆ กับศาสนาที่สมมุติว่าเป็นคริสเตียนนั้นได้แผ่ขยายไปจนถึงวันหยุดต่าง ๆ เช่น คริสต์มาสเป็นต้น. พระเจ้าตรัสสั่งคริสเตียนให้รำลึกถึง วันสิ้นพระชนม์ ของพระเยซู มิใช่วันประสูติ. (1 โกรินโธ 11:24-26) และพระคัมภีร์แสดงว่า พระเยซูมิได้ประสูติในเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นฤดูฝนอันหนาวเย็นในประเทศยิศราเอล. (ลูกา 2:8-11) คุณอาจจะตรวจสอบจากสารานุกรมเล่มใดก็ได้แล้วจะพบว่าการที่เลือกเอาวันที่ 25 ธันวาคม เพราะวันนั้นเป็นวันนักขัตฤกษ์ของชาวโรมันอยู่ก่อนแล้ว. เซอร์ เจมส์ เฟรเซอร์ให้ข้อสังเกตว่า:
“เมื่อเอามารวมกันเข้า ความพ้องกันของ [คริสต์มาสและอีสเตอร์] กับเทศกาลของพวกนอกรีตนั้นเกี่ยวโยงใกล้ชิดและมีมากมายเกินกว่าจะเป็นความบังเอิญ. . . . [พวกพระสอนศาสนา] มองการณ์ไกลว่าถ้าศาสนาคริสเตียนจะมีชัยเหนือโลกได้ ก็โดยการผ่อนปรนหลักการอันเข้มงวดของผู้ก่อตั้งศาสนาลง โดยการเปิดประตูที่แคบซึ่งนำไปถึงความรอดให้กว้างอีกเล็กน้อย.”—เดอะ โกลเด็น บาว.
11 หลังจากเรียนรู้ข้อเท็จจริงแล้ว ใครผู้ที่รักพระยะโฮวาด้วยใจจริงจะยอมรับคำสอนและกิจปฏิบัติซึ่งอาศัยการผสมผเสกับการนมัสการแบบนอกรีตอีกต่อไป? บางคนอาจคิดว่าคำสอนหรือกิจปฏิบัติเหล่านี้ดูเป็นเรื่องไม่สำคัญ. แต่พระคัมภีร์กล่าวอย่างชัดเจนว่า “เชื้อขนมนิดหน่อยย่อมทำให้ฟูทั้งก้อน.”—ฆะลาเตีย 5:9.
สงครามและศีลธรรม
12 พระเยซูคริสต์ทรงวางหลักไว้อีกข้อหนึ่งเพื่อสามารถจะพิสูจน์ศาสนาซึ่งพระยะโฮวารับรองเอาได้ เมื่อพระองค์ตรัสแก่พวกสาวกดังนี้: “คนทั้งปวงจะรู้ได้ว่าเจ้าเป็นเหล่าสาวกของเรา ก็เพราะว่าเจ้าทั้งหลายมีความรักซึ่งกันและกัน.” (โยฮัน 13:34, 35) คริสต์จักรส่วนใหญ่พูดเรื่องการแสดงความรัก แต่คริสต์จักรเหล่านั้นได้กระตุ้นกันจริงจังที่จะแสดงความรักอย่างที่พระเยซูได้สำแดงไหม?
13 เราได้เห็นแล้วว่า คริสเตียนในศตวรรษแรก ๆ ดำเนินชีวิตประสานกับคำพรรณนาเชิงพยากรณ์ในยะซายา 2:4. พวกเขาได้ ‘เอาดาบของเขาตีเป็นผาลไถนาและไม่ยกดาบขึ้นต่อสู้กัน และเขาไม่ศึกษายุทธศาสตร์อีกต่อไป.’ (ดูหน้า 183, 184.) ส่วนคริสต์จักรและพวกนักเทศน์ล่ะอยู่ในฐานะเช่นไร? หลายคนทราบจากเหตุการณ์ที่ตนประสบมาว่า คริสต์จักรต่าง ๆ ได้เห็นชอบและอวยชัยให้พรการสู้รบ—ชาวคาทอลิกฆ่าชาวคาทอลิก ชาวโปรเตสแตนต์ฆ่าชาวโปรเตสแตนต์. การกระทำเช่นนี้หาใช่การติดตามแบบอย่างที่พระเยซูทรงวางไว้อย่างแน่นอน. เป็นเรื่องน่าสนใจ ผู้นำศาสนาชาวยิวซึ่งอ้างว่าผลประโยชน์ของชาติจะเสียหายนั้นเอง เป็นฝ่ายที่เห็นดีเห็นชอบกับการประหารพระเยซู.—โยฮัน 11:47-50; 15:17-19; 18:36.
14 เพื่อจะได้ข้อคิดอีกอย่างหนึ่งช่วยตัดสินว่า กลุ่มศาสนาใดเป็นกลุ่มที่พระเจ้าทรงเห็นชอบด้วย โปรดพิจารณาว่ากลุ่มศาสนานั้นสนับสนุนมาตรฐานทางด้านศีลธรรมที่พระองค์กำหนดไว้หรือไม่ แทนที่จะเพียงแต่มองข้ามการกระทำผิด. พระเยซูทรงมุ่งช่วยคนบาปหนา รวมทั้งคนเมาเหล้าและหญิงแพศยา. สาวกของพระองค์ก็จะต้องทำอย่างเดียวกัน. (มัดธาย 9:10-13; 21:31, 32; ลูกา 7:36-48; 15:1-32) และถ้าบุคคลซึ่งเป็นคริสเตียนอยู่แล้วทำบาป เพื่อนคริสเตียนด้วยกันอาจช่วยเขาได้โดยพยายามนำเขาหันกลับมารับความพอพระทัยของพระเจ้าและความเข้มแข็งฝ่ายวิญญาณดังเดิม. (ฆะลาเตีย 6:1; ยาโกโบ 5:13-16) แต่จะเป็นอย่างไรถ้าคนเราขืนกระทำบาปโดยไม่กลับใจ?
15 ชาวเมืองโกรินโธเคยเป็นแบบนี้. เปาโลได้เขียนว่า:
“ถ้าผู้ใดที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่น้องแล้ว แต่ยังเป็นคนผิดประเวณี เป็นคนโลภ เป็นคนไหว้รูปเคารพ เป็นคนปากร้าย เป็นคนขี้เมา หรือเป็นคนฉ้อโกง อย่าคบให้สนิทกับคนอย่างนั้น แม้จะกินด้วยกันก็อย่าเลย . . . ‘จงขับไล่คนชั่วนั้นออกเสียจากพวกท่าน.’”—1 โกรินโธ 5:11-13.
พยานพระยะโฮวาปฏิบัติตามคำแนะนำของพระเจ้าในเรื่องนี้. ถ้าผู้ที่กระทำบาปร้ายแรงปฏิเสธการช่วยเหลือทั้งไม่ยอมเลิกการกระทำผิดศีลธรรม บุคคลดังกล่าวจะต้องถูกขับออกจากประชาคมหรือถูกตัดสัมพันธ์. บางทีการเช่นนี้จะทำให้ผู้ทำผิดได้สติ. แต่ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อย่างนี้หรือไม่ก็ตาม วิธีการอย่างนี้ย่อมจะเป็นการคุ้มครองสมาชิกที่สุจริตใจของประชาคม ซึ่งแม้เขาเองไม่สมบูรณ์แต่เขาก็พยายามที่จะปฏิบัติตามมาตรฐานของพระเจ้า.—1 โกรินโธ 5:1-8; 2 โยฮัน 9-11.
16 อย่างไรก็ดี คุณอาจรู้จักบางคนที่ไปโบสถ์แต่ก็กระทำบาปอย่างโจ่งแจ้ง คริสต์จักรที่เขาร่วมอาจให้เขาได้รับเกียรติเป็นพิเศษเนื่องจากเขาเป็นคนมั่งคั่งร่ำรวยหรือมีชื่อเสียงโด่งดัง. ในเมื่อคริสต์จักรไม่ยอมปฏิบัติตามพระบัญชาของพระเจ้าที่ให้ตัดสัมพันธ์คนทำบาปที่ไม่กลับใจ คริสต์จักรต่าง ๆ จึงทำให้คนอื่นคิดเสียว่าตนจะทำบาปได้เหมือนกัน. (ท่านผู้ประกาศ 8:11; 1 โกรินโธ 15:33) พระเจ้าย่อมไม่พอพระทัยในคนเหล่านั้นซึ่งก่อผลเช่นนั้น.—มัดธาย 7:15-20; วิวรณ์ 18:4-8.
การอยู่บนทางสู่ชีวิตต่อ ๆ ไป
17 เมื่อคุณได้พบ “เส้นทางสู่ชีวิตแล้ว” คุณจำต้องศึกษาพระคัมภีร์ต่อไปเพื่อจะอยู่บนเส้นทางนั้นเรื่อยไป. จงพยายามอ่านพระคัมภีร์ทุกวัน ปลูกฝังความปรารถนาที่จะทำเช่นนั้น. (1 เปโตร 2:2, 3; มัดธาย 4:4) การทำเช่นนั้นจะเตรียมคุณไว้พร้อมสำหรับ “การดีทุกอย่าง.”—2 ติโมเธียว 3:16, 17.
18 การดีเหล่านั้นรวมไปถึงการดำเนินชีวิตตามมาตรฐานของพระเจ้าในด้านศีลธรรม เช่นเดียวกับการเป็นคนกรุณาและทำประโยชน์แก่ผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับเราในความเชื่อ. (ยาโกโบ 1:27; ฆะลาเตีย 6:9, 10) พระเยซูทรงเป็นบุคคลซึ่งปฏิบัติตนดังกล่าว. นอกจากการวางตัวอย่างที่ดีทางด้านศีลธรรมแล้ว พระองค์ได้ทรงรักษาคนป่วยให้หาย เลี้ยงอาหารคนหิว และประเล้าประโลมใจผู้มีความทุกข์เดือดร้อน. พระองค์ทรงสอนและชูกำลังเหล่าสาวกของพระองค์เป็นพิเศษ. แม้เราไม่สามารถจะเลียนแบบพระองค์ในการทำกิจอย่างอัศจรรย์ก็ตาม แต่เราอาจให้การช่วยเหลือในทางที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่นตามที่เราจะสามารถทำได้ ซึ่งอาจกระตุ้นบางคนให้กล่าวสรรเสริญพระเจ้าก็ได้.—1 เปโตร 2:12.
19 แต่การงานอันดีของพระเยซูเกี่ยวข้องกับอีกหลายอย่าง. พระองค์ทรงทราบว่า การทำเพื่อผู้อื่นในทางที่ดีที่สุดคือการช่วยเขาให้รู้ว่าการนมัสการวิธีไหนจึงจะเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้าและสอนเขาให้รู้วัตถุประสงค์แห่งราชอาณาจักรของพระเจ้า. นี้แหละจะช่วยเขาบรรลุเป้าหมายของการมีชีวิตนิรันดร์พร้อมด้วยความสุข.—ลูกา 4:18-21.
20 คริสเตียนในทุกวันนี้ก็เช่นกันควรบากบั่นจะเป็นพยานฝ่ายพระยะโฮวา. เขาสามารถเป็นพยานได้โดยการประพฤติที่ดี ซึ่งรวมทั้งการช่วยเหลือผู้อื่นและรักษาตัวให้ “พ้นจากราคีแห่งโลก.” (ยะซายา 43:10-12; ยาโกโบ 1:27; ติโต 2:14) นอกจากนี้ พวกเขาสามารถนำ “ข่าวดี” ไปบอกผู้คนตามบ้านเรือน พากเพียรทำงานนี้จนกว่าพระเจ้าตรัสว่างานนี้เสร็จแล้ว. (ลูกา 10:1-9) คุณอยากช่วยเพื่อนบ้านของคุณไหม รวมทั้งครอบครัวของคุณด้วยเพื่อเขาจะรู้ถึงการนมัสการอย่างที่พระยะโฮวาทรงรับรองเอา? ถ้าใช่ คุณก็เช่นกันควรจะมีส่วนร่วมประกาศความเชื่อของคุณอย่างเปิดเผย การทำเช่นนั้นจะช่วยคนอื่นพบทางสู่ชีวิต.—โรม 10:10-15.
[คำถามศึกษา]
เหตุใดเราควรพิจารณาว่า ทุกศาสนาดีทั้งนั้นจะจริงหรือไม่? (1, 2)
ทัศนะของพระเยซูต่อศาสนาเป็นเช่นไร และทำไม? (3-5)
เหตุใดการมีความรู้ถ่องแท้จึงเป็นสิ่งสำคัญ? (6, 7)
คำสอนและกิจปฏิบัติบางอย่างซึ่งถือกันว่าเป็นเรื่องธรรมดา ขัดแย้งกับพระคัมภีร์อย่างไร? (8-11)
คริสต์จักรต่าง ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับหลักการคริสเตียนแล้ว เป็นอย่างไรในเรื่องการสงคราม? (12, 13)
หลักการคริสเตียนแท้อยู่ในฐานะเช่นไรในการยึดอยู่กับมาตรฐานทางศีลธรรมที่พระเจ้ากำหนดไว้? (14-16)
คุณสามารถจะอยู่บนหนทางนำไปถึงชีวิตได้อย่างไร? (17, 18)
งานอะไรอีกที่สำคัญสำหรับคริสเตียน? (19, 20)
[กรอบหน้า 191]
“ค่านิยมและความรุนแรงในออชวิทซ์”
ในหนังสือชื่อนี้ แอนนา พาเวลซีนสกา นักสังคมสงเคราะห์ชาวโปแลนด์ให้ข้อสังเกตว่า ในสมัยเยอรมนีระบอบนาซี “พยานพระยะโฮวาขับเคี่ยวต่อสู้อย่างทรหดเพื่อความเชื่อของเขาซึ่งคัดค้านความรุนแรงทุกอย่าง.” ผลเป็นประการใด? เธออธิบายว่า:
“นักโทษกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มนี้เป็นพลังทางอุดมการณ์อันเข้มแข็งและพวกเขามีชัยในการต่อสู้กับลัทธินาซี. กลุ่มชาวเยอรมันแห่งนิกายนี้ได้กลายเป็นเกาะเล็ก ๆ ต้านทานอย่างไม่เสื่อมคลายอยู่ภายในใจกลางของชาติถูกทำให้เกิดความสยดสยอง และพวกเขารักษาความเชื่อในค่ายออชวิทซ์ด้วยน้ำใจที่ไม่ย่อท้ออย่างเดียวกัน. พวกเขาอุตส่าห์ประพฤติตนอย่างที่ได้รับความนับถือจากเพื่อนนักโทษด้วยกัน . . . จากพวกผู้คุมนักโทษกระทั่งจากเจ้าหน้าที่หน่วย เอส. เอส. ทุกคนต่างก็ทราบว่าจะไม่มีพยานพระยะโฮวาแม้แต่คนเดียวจะปฏิบัติตามคำสั่งซึ่งขัดต่อความเชื่อถือทางด้านศาสนาของเขา.”
[รูปภาพหน้า 193]
ท่านอยู่บนทางกว้าง . . .
. . . หรือทางแคบ?