บท 17
คุณไว้ใจพระคัมภีร์ไบเบิลได้ไหม?
1. (ก) หลายคนคิดอย่างไรเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งขัดกันกับคำกล่าวของพระคัมภีร์เอง? (ข) มีคำถามอะไรขึ้นมา?
หลายคนคิดว่าคัมภีร์ไบเบิลเป็นเพียงหนังสือที่นักปราชญ์สมัยอดีตแต่งขึ้นมา. ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัย เจรัลด์ เอ. ลารือยืนยันว่า “ทัศนะของผู้เขียนเหล่านั้นซึ่งแสดงออกในพระคัมภีร์สะท้อนถึงความคิดเห็น ความเชื่อศรัทธาและแนวความคิดในสมัยของเขา และอยู่ในวงจำกัดตามขนาดความรู้ที่มีในสมัยนั้น.”1 แต่คัมภีร์ไบเบิลเองบอกว่าเป็นหนังสือที่เขียนขึ้นโดยการดลบันดาลจากพระเจ้า. (2 ติโมเธียว 3:16) ถ้าคำกล่าวนี้จริง พระคัมภีร์ย่อมปราศจากทัศนะผิดพลาดที่แพร่หลายในคราวที่มีการเขียนตอนต่าง ๆ. คัมภีร์ไบเบิลจะทนต่อการตรวจสอบโดยความสว่างของความรู้สมัยปัจจุบันได้ไหม?
2. ความรู้ใหม่ ๆ มักจะกระทบกระทั่งการเขียนของมนุษย์อย่างไรซึ่งว่าด้วยเรื่องวิทยาศาสตร์?
2 ขณะที่เราตรึกตรองคำถามนี้พึงจำไว้ว่า เมื่อความรู้ก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ มนุษย์ต้องปรับแง่คิดของตนเพื่อให้ทันกับความรู้และการค้นพบใหม่อยู่เสมอ. หนังสือ ไซเยนติฟิค มันธ์ลิ ว่าไว้ครั้งหนึ่ง “จะคาดหมายไม่ได้ว่า บทความที่เขียนขึ้นมาในบางกรณีเพียงแต่เมื่อห้าปีมาแล้ว จะเป็นที่ยอมรับว่าเป็นการแสดงถึงความคิดล่าสุดในสาขาวิทยาศาสตร์ซึ่งบทความนั้นกล่าวถึง.”2 แต่คัมภีร์ไบเบิลได้รับการเขียนและการรวบรวมในช่วงเวลาประมาณ 1,600 ปี และครบถ้วนเกือบ 2,000 ปีมาแล้ว. อาจกล่าวได้อย่างไรเกี่ยวกับความถูกต้องแม่นยำของคัมภีร์ไบเบิลในปัจจุบันนี้?
คัมภีร์ไบเบิลกับวิทยาศาสตร์
3. คนสมัยโบราณคิดอย่างไรในเรื่องการทรงตัวของแผ่นดินโลก แต่คัมภีร์ไบเบิลบอกอย่างไร?
3 สมัยที่เขียนคัมภีร์ไบเบิลนั้น มีการสันนิษฐานกันว่าลูกโลกห้อยอยู่ได้อย่างไรในที่ว่างเปล่า. เช่น บางคนเชื่อว่าช้างสี่ตัวยืนบนหลังเต่าทะเลตัวมหึมาหนุนโลกไว้. ถึงกระนั้น แทนที่คัมภีร์ไบเบิลจะสะท้อนถึงทัศนะอันน่าขบขันและไม่เป็นตามหลักวิทยาศาสตร์ของผู้คนในสมัยที่มีการจารึกนั้น แต่ได้กล่าวแต่เพียงว่า “[พระเจ้า] ทรงกางแผ่นฟ้าเหนือออกไปยังที่เวิ้งว้างและทรงให้โลกห้อยอยู่โดยมิได้ติดกับอะไร.” (โยบ 26:7) ใช่แล้ว คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถูกต้องนานกว่า 3,000 ปีมาแล้วว่า ไม่มีสิ่งใด ๆ ซึ่งประจักษ์แก่ตาได้หนุนพิภพไว้ ข้อเท็จจริงที่สอดคล้องกับกฎของความโน้มถ่วงและการเคลื่อนไหวซึ่งพึ่งเข้าใจกันเมื่อไม่นานมานี้. ผู้รอบรู้ทางศาสนาคนหนึ่งให้ข้อสังเกตดังนี้ “พวกที่ไม่ยอมรับรองคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ว่าเป็นมาโดยการดลบันดาลก็คงกระอักกระอ่วนในการตอบคำถามที่ว่าโยบรู้ความจริงได้อย่างไร.”3
4, 5. (ก) ครั้งหนึ่งมนุษย์เคยเชื่อว่าโลกมีสัณฐานเป็นอย่างไร? (ข) พระคัมภีร์แจ้งว่าโลกมีสัณฐานเป็นอย่างไร?
4 เรื่องสัณฐานของโลก ดิ เอ็นไซโคลพีเดีย อเมริกานา บอกว่า “ตอนแรกมนุษย์เคยคิดว่าโลกแบน. . . . ความนึกคิดที่ว่า พิภพมีสัณฐานกลมยังไม่เป็นที่รับรองกันอย่างกว้างขวางกระทั่งศตวรรษที่ 14 ถึง 16.”4 แต่ครั้นแล้วการเริ่มนำเอาเข็มทิศมาใช้และวิธีการอื่น ๆ ที่ดีกว่าจึงช่วยการเดินเรือในทะเลไปได้ไกลกว่าเดิม. สารานุกรมอีกเล่มหนึ่งอธิบายว่า “การเดินเรือเพื่อค้นพบดินแดนใหม่แสดงให้เห็นว่าโลกกลม ไม่แบนอย่างที่คนส่วนมากเคยเชื่อกันมา.”5
5 กระนั้นนานก่อนการเดินเรือดังกล่าว อันที่จริงก็ประมาณ 2,700 ปีมาแล้ว พระคัมภีร์แถลงไว้ว่า “องค์ที่ประทับเบื้องสูงบนขอบจักรวาลแห่งพิภพ จนมองลงมาเห็นชาวโลกเท่าตัวตั๊กแตน.” (ยะซายา 40:22) คำภาษาฮีบรู ชูก ซึ่งได้รับการแปล “ขอบ” อาจแปลว่า “ลูกกลม” ได้เหมือนกัน ดังที่หนังสือของเดวิดสันชื่อ ศัพทานุกรมวิเคราะห์ภาษาฮีบรูและคัลดี แจ้งไว้. ด้วยเหตุนั้น การแปลในฉบับอื่นจึงบอกว่า “ลูกโลก” (ดูเอย์เวอร์ชัน) และ “โลกกลม.” (มอฟฟัทท์) ฉะนั้น คัมภีร์ไบเบิลจึงไม่ได้รับเอาทัศนะผิด ๆ ที่ว่า โลกแบนซึ่งแพร่หลายสมัยที่มีการจารึกคัมภีร์. คัมภีร์ไบเบิลถูกต้อง.
6. พระคัมภีร์พรรณนาถึงวัฏจักรอะไรอันน่าทึ่ง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วสิ่งนี้ไม่เป็นที่เข้าใจในสมัยโบราณ?
6 มนุษย์ได้รู้มานานแล้วว่าแม่น้ำไหลลงสู่ทะเลและมหาสมุทร แต่กระนั้น ทะเลก็ไม่ลึกไปกว่าเดิม. กระทั่งได้เรียนรู้ว่าโลกมีสัณฐานกลม บางคนเคยเชื่อว่าน้ำไม่ลึกไปกว่าเดิม เพราะน้ำได้ไหลล้นออกไปทางปลายแผ่นดินโลก. ต่อมาจึงเข้าใจว่า ดวงอาทิตย์ “สูบ” น้ำนับล้าน ๆ แกลลอนขึ้นจากทะเลทุกวินาที ด้วยการระเหยเป็นไอน้ำ. ทั้งนี้ทำให้เกิดมีเมฆ และครั้นลมพัดเมฆลอยไปเหนือแผ่นดินที่ซึ่งไอน้ำในอากาศกลั่นตัวตกเป็นฝนหรือหิมะ. แล้วน้ำก็ไหลลงสู่แม่น้ำและไหลลงสู่ทะเลอีก. วัฏจักรอันน่าทึ่งเช่นนี้ แม้ไม่เป็นที่เข้าใจกันอย่างกว้างขวางในคราวโบราณ ก็มีกล่าวไว้แล้วในคัมภีร์ไบเบิลว่า “บรรดาแม่น้ำทั้งหลายไหลลงสู่ทะเล ถึงกระนั้นทะเลก็ไม่รู้จักเต็ม. ถึงแม้ว่าแม่น้ำทั้งหลายจะไหลลงไปแล้วลงไปอีก.”—ท่านผู้ประกาศ 1:7.
7, 8. (ก) ได้มีการพิสูจน์ให้เห็นอย่างไรว่าสิ่งที่พระคัมภีร์พูดถึงการกำเนิดของเอกภพนั้นถูกต้องแม่นยำ? (ข) ปฏิกิริยาของนักดาราศาสตร์บางคนเป็นเช่นไรต่อความรู้ใหม่ ๆ นี้ และทำไม?
7 เกี่ยวกับการกำเนิดของเอกภพ พระคัมภีร์กล่าวว่า “เมื่อเดิมพระเจ้าได้นฤมิตสร้างฟ้าและดิน.” (เยเนซิศ 1:1) แต่นักวิทยาศาสตร์หลายคนเคยถือว่าข้อนี้ไม่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์เพราะเขาได้ยืนยันว่าเอกภพไม่มีการเริ่มต้น. แต่เมื่อชี้ให้เห็นความรู้ใหม่ ๆ โรเบิร์ต จัสโทร นักดาราศาสตร์ชี้แจงว่า “แก่นของพัฒนาการอันแสนประหลาดนี้คือ ในบางแง่เอกภพมีการเริ่มต้น.” ณ ที่นี่ จัสโทรพาดพิงถึงทฤษฎีว่าด้วยการระเบิดใหญ่ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันในปัจจุบัน ดังได้พูดไว้ที่บท 9. เขาบอกต่อไปว่า “เวลานี้เราเห็นวิธีที่หลักฐานทางดาราศาสตร์นำไปสู่แง่คิดตามพระคัมภีร์เกี่ยวด้วยการเริ่มต้นของโลก. ข้อปลีกย่อยต่างกัน แต่เนื้อหาสำคัญทางดาราศาสตร์และบันทึกในคัมภีร์ไบเบิลที่พระธรรมเยเนซิศนั้นเหมือนกัน.”6
8 ปฏิกิริยาต่อการค้นพบเช่นนั้นเป็นเช่นไร? จัสโทรเขียนดังนี้ “นักดาราศาสตร์รู้สึกพะอืดพะอมอย่างน่าประหลาด. ปฏิกิริยาของพวกเขาก่อให้มีการแสดงออกอย่างน่าสนใจเกี่ยวด้วยการตอบรับของจิตใจของนักวิทยาศาสตร์—เป็นที่เชื่อกันว่าเป็นจิตใจที่ปราศจากอคติ—เมื่อนักวิทยาศาสตร์เองได้พบหลักฐานซึ่งขัดกับความเชื่อท่ามกลางนักวิทยาศาสตร์. การณ์กลับกลายเป็นว่านักวิทยาศาสตร์ก็ประพฤติอย่างที่พวกเราทำกันเมื่อความเชื่อถือของเราขัดแย้งกับหลักฐาน. เราหงุดหงิด เราแกล้งทำเป็นว่าไม่มีข้อขัดแย้งเกิดขึ้น หรือเราอาจปกปิดเรื่องนั้นด้วยคำพูดที่ไร้ความหมาย.”7 แต่ข้อเท็จจริงยังมีอยู่ที่ว่า ขณะที่ “วิทยาศาสตร์ได้พบหลักฐาน” ซึ่งขัดแย้งกันกับสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เคยเชื่อมานานแล้วเกี่ยวกับต้นกำเนิดของเอกภพ หลักฐานนั้นยืนยันข้อความที่เขียนไว้ในคัมภีร์หลายพันปีมาแล้ว.
9, 10. (ก) พระคัมภีร์พูดอย่างไรเรื่องน้ำท่วมโลก? (ข) ปัจจุบันมีพยานหลักฐานอะไรที่พิสูจน์ว่าสิ่งที่พระคัมภีร์พูดนั้นเป็นความจริง?
9 ในสมัยโนฮา คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า น้ำท่วมครั้งใหญ่ได้ท่วมยอดภูเขาสูงที่สุดและทำลายชีวิตมนุษย์ทุกคนนอกเรือใหญ่ที่โนฮาได้สร้างขึ้น. (เยเนซิศ 7:1-24) หลายคนเยาะเย้ยเรื่องนี้. แต่ผู้คนได้พบซากเปลือกหอยบนภูเขาสูง. และมีหลักฐานมากขึ้นว่าน้ำท่วมใหญ่เคยเกิดขึ้นในอดีตเมื่อไม่นานเท่าไรนั้นซึ่งได้แก่ฟอสซิลและซากสัตว์จำนวนมากมหาศาล ที่จมอยู่ใต้โคลนแข็งเป็นปึก. เดอะ แซทเธอร์เคย์ อิฟนิง โพสท์ ให้ข้อสังเกตว่า “สัตว์เหล่านี้จำนวนมากอยู่ในสภาพไม่เน่าเปื่อย ครบทุกส่วนไม่เสียหาย และยังอยู่ในท่ายืนหรือคู้เข่าตัวตรง. . . . ภาพนี้น่าตื่นเต้นจริง ๆ ต่างไปจากความคิดแต่ก่อน ๆ ของเรา. ฝูงสัตว์จำนวนมากมาย สัตว์อ้วนพีซึ่งไม่ได้ถูกออกแบบให้ดำรงชีวิตอยู่ในแถบหนาวจัด กำลังกินหญ้าอย่างสงบในทุ่งหญ้าที่ได้รับแสงอาทิตย์เต็มที่ . . . แล้วสัตว์เหล่านี้ตายกะทันหันปราศจากร่องรอยใด ๆ ที่แสดงว่า มันถูกทำร้ายรุนแรง และตายทันทีโดยไม่ทันจะกลืนอาหารที่อยู่ในปากด้วยซ้ำ ครั้นแล้วสัตว์เหล่านั้นถูกแช่แข็งอย่างฉับพลัน กระทั่งเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายของมันคงสภาพอยู่.”8
10 เรื่องนี้เข้ากันอย่างเหมาะเจาะกับเหตุการณ์ในคราวน้ำท่วมโลก. คัมภีร์ไบเบิลพรรณนาสมัยนั้นด้วยคำพูดอย่างนี้ “บรรดาตาน้ำและบ่อน้ำพุทั้งหลายได้พลุ่งขึ้นจากบาดาล และช่องฟ้าสวรรค์ก็เปิดออก.” “น้ำยิ่งทวีมากขึ้นบนแผ่นดิน” ไม่ต้องสงสัยคงจะมีพายุเย็นเยือกในแถบขั้วโลกพัดมาด้วย. (เยเนซิศ 1:6-8; 7:11, 19) ณ แถบนั้น อุณหภูมิคงเปลี่ยนแปลงเร็วมากและรุนแรงด้วย. ฉะนั้นสัตว์หลากหลายชนิดจมมิดอยู่และคงสภาพอยู่ใต้โคลนแข็งเป็นปึก. สัตว์ตัวหนึ่งคงเป็นช้างดึกดำบรรพ์ซึ่งนักขุดค้นในไซบีเรียได้พบเข้าดังเห็นได้ในภาพประกอบ. หญ้ายังคาปากและตกค้างอยู่ในกระเพาะของมัน และเมื่อปล่อยให้เนื้อที่แข็งนั้นอ่อนตัวก็ทำเป็นอาหารกินได้.
11. ความรู้ใหม่ ๆ ที่ทวีมากขึ้นเป็นการยืนยันถึงเรื่องใดอีกในพระคัมภีร์ ทั้งนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์บางคนต้องลงความเห็นอย่างไร?
11 ยิ่งได้ตรวจสอบคัมภีร์ไบเบิลอย่างละเอียดมากขึ้น ก็ยิ่งพบกับความถูกต้องแม่นยำอย่างน่าทึ่ง. ดังที่กล่าวไว้ที่หน้า 36 และ 37 ของหนังสือนี้ คัมภีร์ไบเบิลวางขั้นตอนเรื่องการสร้างตามลำดับซึ่งวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบันก็ยืนยันข้อเท็จจริงที่ยากแก่การอธิบาย ถ้าพระคัมภีร์เป็นเพียงผลงานของมนุษย์. เรื่องนี้เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งเกี่ยวกับรายละเอียดมากมายในคัมภีร์ซึ่งได้รับการยืนยันเพราะความรู้เพิ่มทวีขึ้น. ด้วยเหตุผลที่ดี ไอแซค นิวตัน นักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้ามาตลอดทุกยุคสมัยได้กล่าวอย่างนี้ “ไม่มีวิทยาศาสตร์สาขาใดจะมีหลักฐานดีไปกว่าศาสนาที่ยึดหลักคัมภีร์ไบเบิล.”9
คัมภีร์ไบเบิลกับสุขอนามัย
12. นายแพทย์คนหนึ่งเทียบเคียงให้เห็นเช่นไรระหว่างการใช้ความเชื่อถือโชคลางรักษาโรคกับสิ่งที่ได้บอกไว้ในพระคัมภีร์?
12 ตลอดหลายศตวรรษผู้คนรู้เท่าไม่ถึงการณ์ในด้านอนามัย. นายแพทย์คนหนึ่งถึงกับตั้งข้อสังเกตว่า “คนจำนวนมากยังคงเชื่อถือโชคลางหลายอย่าง เช่น ถ้าพกลูกนัตติดกระเป๋าจะป้องกันโรคไขข้ออักเสบ ถ้าเอามือจับคางคก หูดจะขึ้น การเอาผ้าสำลีสีแดงพันคอจะรักษาอาการเจ็บคอ” และอย่างอื่น ๆ. กระนั้นเขาชี้แจงว่า “ไม่มีคำกล่าวเช่นนั้นในคัมภีร์ไบเบิล. แค่นี้ก็เป็นเรื่องน่าทึ่งอยู่แล้ว.”10
13. ชาวอียิปต์โบราณใช้อะไรรักษาโรคซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้ป่วย?
13 และเป็นสิ่งน่าทึ่งอีกอย่างเมื่อคนเราเปรียบเทียบการรักษาโรคที่เสี่ยงอันตรายซึ่งปฏิบัติกันในอดีตกับสิ่งที่มีกล่าวในคัมภีร์ไบเบิล. ยกตัวอย่าง เอกสารทางยาของชาวอียิปต์โบราณที่เรียกว่า พาไพรัสเอเบอร์ กล่าวถึงการใช้มูลสัตว์รักษาโรคหลายโรค. มีการแนะนำให้เอาอุจจาระผสมนมสดแล้วละเลงปิดแผลหลังจากสะเก็ดแผลหลุดแล้ว. และวิธีเอาเศษไม้หรือเสี้ยนออกจากแผลอ่านว่า “ให้เอาเลือดไส้เดือนไปต้มและบดกับน้ำมัน; ฆ่าตัวตุ่นแล้วต้มแช่น้ำมัน; มูลลาผสมนมสด. ให้พอกตรงปากแผล.”11 การรักษาด้วยวิธีดังกล่าว บัดนี้รู้กันแล้วว่า จะทำให้เกิดการอักเสบอย่างร้ายแรงได้.
14. พระคัมภีร์บอกเรื่องการกำจัดสิ่งปฏิกูลไว้อย่างไร วิธีนี้เป็นการป้องกันอย่างไร?
14 พระคัมภีร์พูดอย่างไรเกี่ยวกับอุจจาระ? พระคัมภีร์สั่งไว้อย่างนี้ “และท่านต้องมีไม้เสี้ยมรวมไว้กับเครื่องอาวุธและเมื่อท่านนั่งลงในที่ข้างนอกนั้น ท่านจงใช้ไม้ขุดหลุมไว้ และหันไปกลบสิ่งปฏิ-กูลของท่านเสีย.” (พระบัญญัติ 23:13, ฉบับแปลใหม่) ดังนั้น นอกจากคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้บอกให้ใช้อุจจาระเพื่อการเยียวยารักษาแล้ว พระคัมภีร์ยังได้กำชับให้กำจัดสิ่งปฏิกูลด้วยวิธีที่ปลอดภัยด้วย. กระทั่งมาถึงศตวรรษนี้ คนทั่ว ๆ ไปก็ยังไม่รู้ถึงอันตรายของการที่แมลงวันลงตอมอุจจาระที่เรี่ยราด ไม่กลับให้มิดชิด. ทั้งนี้ก่อให้เกิดการระบาดของโรคร้ายแรงซึ่งมีแมลงวันเป็นพาหะและทำให้หลายคนเสียชีวิต. กระนั้น วิธีแก้ง่าย ๆ ก็มีบันทึกอยู่ในคัมภีร์มาทุกยุคทุกสมัย.
15. ถ้าได้มีการปฏิบัติตามคำแนะนำในพระคัมภีร์เกี่ยวกับเรื่องการแตะต้องศพ อาจช่วยให้หลีกเลี่ยงการปฏิบัติแบบไหนในโรงพยาบาลอันเป็นสาเหตุให้หลายคนเสียชีวิตโดยใช่เหตุ?
15 ในระหว่างศตวรรษที่แล้วบุคลากรทางการแพทย์จะเดินออกจากห้องผ่าศพตรงเข้าไปห้องทำคลอดเพื่อตรวจครรภ์ทันที โดยไม่ได้ล้างมือเสียด้วยซ้ำ. ด้วยเหตุนี้เชื้อจากศพคนตายจึงแพร่ไปติดคนอื่นและหลายคนตาย. แม้แต่เมื่อมีการสาธิตให้เห็นคุณค่าของการล้างมือ หลายคนในวงการแพทย์ได้ต่อต้านมาตรการด้านสุขอนามัยเช่นนั้น. ไม่สงสัย โดยที่เขาไม่รู้ พวกเขาปฏิเสธสติปัญญาที่มีอยู่ในพระคัมภีร์ เพราะกฎหมายของพระยะโฮวาสำหรับชาวยิศราเอลนั้นระบุว่าคนที่แตะต้องศพถือว่าเป็นมลทินและต้องอาบน้ำชำระตัวและซักเสื้อผ้าของตนให้สะอาด.—อาฤธโม 19:11-22.
16. คำสั่งที่ให้ทำสุหนัตในวันที่แปดเผยให้เห็นถึงสติปัญญาที่เหนือกว่าความรู้ของมนุษย์อย่างไร?
16 เพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงคำสัญญาที่พระองค์ทำไว้กับอับราฮาม พระยะโฮวาพระเจ้าตรัสว่า “ชายทั้งหลายในพงศ์พันธุ์ของเจ้าเมื่ออายุได้แปดวัน แล้ว . . . ต้องรับสุหนัตสิ้นทุกคน.” ต่อมาข้อเรียกร้องนี้ได้ย้ำกับชาติยิศราเอลอีกครั้งหนึ่ง. (เยเนซิศ 17:12; เลวีติ-โก 12:2, 3) ไม่มีคำอธิบายว่าทำไมเจาะจงให้รับสุหนัตในวันที่แปด แต่ตอนนี้การศึกษาค้นคว้าทางการแพทย์ได้ค้นพบว่า คุณสมบัติของไวตามินเค ตัวทำให้เลือดแข็งตัวจะอยู่ในระดับที่พอเพียงในช่วงนั้น. อีกสารหนึ่งซึ่งสำคัญต่อการแข็งตัวของเลือดคือ โปรทรอมบิน ดูเหมือนว่าในวันที่แปดจะสูงกว่าช่วงอื่นในชีวิตของเด็ก. อาศัยหลักฐานข้อนี้ นายแพทย์ เอส. ไอ. แมคมิลเลนได้สรุปว่า “วันที่เหมาะที่สุดสำหรับการทำสุหนัตคือวันที่แปด.”12 เรื่องนี้เป็นเพียงเหตุบังเอิญไหม? เปล่าเลย. มันเป็นความรู้ที่ได้รับจากพระเจ้าผู้รอบรู้.
17. ผลการค้นพบอะไรอีกทางวิทยาศาสตร์ซึ่งยืนยันว่าพระคัมภีร์ถูกต้อง?
17 การค้นพบอีกอย่างหนึ่งของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่คือขนาดของผลกระทบที่ทัศนะทางใจและอารมณ์มีต่อสุขภาพ. สารานุกรมฉบับหนึ่งชี้แจงอย่างนี้ “ตั้งแต่ปี 1940 ปรากฏชัดมากขึ้นทุกทีว่าการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ เกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับสภาพจิตใจของแต่ละคน.”13 อย่างไรก็ดี ความเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิดระหว่างสภาพจิตใจและสุขภาพด้านร่างกายมีกล่าวไว้ในคัมภีร์นานมาแล้ว. ตัวอย่างเช่น “ใจที่สงบเป็นความจำเริญชีวิตฝ่ายกาย แต่ความอิจฉาริษยาคือความเปื่อยเน่าของกระดูก.”—สุภาษิต 14:30; 17:22.
18. พระคัมภีร์แนะนำคนเราอย่างไรเพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกต่าง ๆ ที่ให้โทษแก่ร่างกายและเน้นอย่างไรในเรื่องการแสดงความรัก?
18 เหตุฉะนั้น พระคัมภีร์ชี้นำมนุษย์ให้หลีกเลี่ยงอารมณ์และทัศนคติที่ก่อความเสียหายดังนี้ “จงประพฤติให้เหมาะสม . . . มิใช่ในการวิวาทริษยากัน” ทั้งตักเตือนอีกด้วยว่า “ใจขมขื่น และใจขัดเคือง ใจโกรธและการทะเลาะเถียงกัน และการพูดเสียดสีกันกับการคิดปองร้ายทุกอย่าง จงให้อยู่ห่างจากท่านทั้งหลายเถิด และท่านทั้งหลายจงเมตตาซึ่งกันและกัน มีใจเอ็นดูซึ่งกันและกัน.” (โรม 13:13; เอเฟโซ 4:31, 32) พระคัมภีร์สนับสนุนเราให้ “สวมความรักทับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด.” พระเยซูทรงกำชับสาวกของพระองค์ดังนี้ “เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน. เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วฉันใด เจ้าจงรักซึ่งกันและกันด้วยฉันนั้น.” ในคำเทศน์บนภูเขา พระองค์ถึงกับตรัสว่า “จงรักศัตรูของท่าน.” (โกโลซาย 3:12-15; โยฮัน 13:34; มัดธาย 5:44) หลายคนอาจเยาะเย้ยหาว่าการทำเช่นนี้แสดงถึงความอ่อนแอ แต่เขาเองรับผลเสียหาย. นักวิทยาศาสตร์ได้มารู้ว่า การขาดความรักเป็นมูลเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความเจ็บป่วยทางจิตใจและปัญหาอื่น ๆ มากมาย.
19. วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้ค้นพบอะไรเกี่ยวกับเรื่องความรัก?
19 แลนเซท นิตยสารการแพทย์อังกฤษ เคยพูดไว้ว่า “การค้นพบที่สำคัญที่สุดของวิทยาศาสตร์ด้านจิตใจก็คืออำนาจของความรักที่จะป้องกันและรักษาจิตใจ.”14 และนายแพทย์ ฮันซ์ เซไล ผู้เชี่ยวชาญโรคเครียดได้กล่าวว่า “ไม่ใช่ถูกเกลียดหรือนายจ้างที่น่ารำคาญหรอกที่จะมีแผลในกระเพาะอาหาร ความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ. แต่ผู้ที่เกลียดชังคนอื่น หรือผู้ซึ่งยอมให้ความข้องขัดใจเกิดขึ้นกับตัวเองนั่นแหละมีโอกาสเป็นได้. ‘จงรักเพื่อนบ้านของท่าน’ เป็นหนึ่งในคำกล่าวแนะนำอันสุขุมมากที่สุดด้านการเยียวยา.”15
20. นายแพทย์คนหนึ่งได้เปรียบเทียบไว้อย่างไร ระหว่างคำสอนของพระคริสต์ในคำเทศน์บนภูเขากับคำแนะนำของผู้ชำนาญโรคจิต?
20 ที่จริง สติปัญญาที่ได้จากคัมภีร์ไบเบิลทันสมัยและล้ำหน้ากว่าการค้นพบหลายอย่างในปัจจุบัน. ดังที่ ดร. เจมส์ ที. ฟิเชอร์ เขียนไว้ว่า “ถ้าคุณจะรวบรวมบทความข้อเขียนทุกเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพจิตเท่าที่เคยมี ซึ่งเขียนโดยนักจิตวิทยาและจิตแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิเป็นเยี่ยม และขัดเกลาแล้วคัดเอาคำพูดที่เกินความจำเป็นออกทิ้งไป-ถ้าคุณจะเอาเนื้อล้วน ๆ โดยไม่มีผักชีโรยหน้าเลย และถ้าคุณจะให้กวีที่เก่งกาจที่สุดกล่าวกระชับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ล้วน ๆ โดยไม่มีสิ่งเจือปน คุณก็จะได้ข้อสรุปที่ไม่ครบถ้วนแห่งคำเทศน์บนภูเขา.”16
พระคัมภีร์กับประวัติศาสตร์
21. ราวหนึ่งร้อยปีมาแล้ว นักวิจารณ์เคยประเมินคุณค่าของประวัติศาสตร์ในพระคัมภีร์ไว้อย่างไร?
21 ภายหลังดาร์วินออกหนังสือว่าด้วยทฤษฎีวิวัฒนาการแล้ว บันทึกอันเป็นประวัติศาสตร์ของคัมภีร์ไบเบิลถูกโจมตีอย่างหนัก. ลีโอ นาร์ด วูลลีย์ นักโบราณคดีได้ชี้แจง “ตอนปลายศตวรรษที่สิบเก้าเกิดมีกลุ่มนักวิจารณ์หัวรุนแรงซึ่งพร้อมจะปฏิเสธรากฐานในด้านประวัติศาสตร์ของทุกสิ่งที่กล่าวไว้ในพระธรรมต่าง ๆ ตอนต้นของคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม.”17 ที่จริง นักวิจารณ์บางคนถึงกับกล่าวว่าเรื่องราวที่บันทึกไว้ไม่มีการใช้กันแพร่หลายกระทั่งมาในสมัยซะโลโมหรือภายหลังจากนั้น และดังนั้น จะมั่นใจไม่ได้กับเรื่องที่กล่าวไว้ในตอนต้นของคัมภีร์ไบเบิล เนื่องจากไม่มีการเขียนเรื่องราวเหล่านั้น กระทั่งหลายศตวรรษภายหลังเหตุการณ์ได้เกิดขึ้น. หนึ่งในบรรดาผู้สนับสนุนทฤษฎีนี้กล่าวเมื่อปี 1892 ว่า “สมัยซึ่งเรื่องราวก่อนโมเซเกี่ยวข้องนั้นเป็นหลักฐานเพียงพอแสดงให้เห็นว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นลักษณะนิยาย. ตอนนั้นเป็นยุคก่อนที่จะรู้จักการเขียนทุกอย่าง.”18
22. มีหลักฐานอะไรบ้างที่แสดงว่าคนสมัยดึกดำบรรพ์เขียนหนังสือได้?
22 แต่เมื่อไม่กี่ปีมานี้ หลักฐานทางโบราณคดีเพิ่มพูนมากขึ้น แสดงว่าการเขียนหนังสือเป็นเรื่องธรรมดานานก่อนสมัยโมเซเสียอีก. นักโบราณคดี อัลไบรท์บอกว่า “เราต้องเน้นว่าการเขียนอักษรฮีบรูนั้นมีอยู่แล้วในคะนาอันและแถบใกล้เคียงตั้งแต่ยุคบุรุษต้นตระกูลเรื่อยมา และการเปลี่ยนรูปตัวอักษรอย่างรวดเร็วนั้น ก็เป็นหลักฐานชัดแจ้งว่าตัวอักษรนั้นใช้กันทั่วไป.”19 นักประวัติศาสตร์และนักขุดค้นชั้นนำอีกคนหนึ่งได้ตั้งข้อสังเกตว่า “การที่เคยตั้งคำถามว่าโมเซรู้จักวิธีเขียนหรือไม่นั้น บัดนี้ปรากฏว่าเป็นเรื่องเหลวไหล.”20
23. ได้มีการค้นพบอะไรเกี่ยวกับกษัตริย์ซาร์กอน ทำให้แง่คิดในเรื่องใดได้รับการแก้ไข?
23 บันทึกเชิงประวัติศาสตร์ของคัมภีร์ไบเบิลได้รับการสนับสนุนครั้งแล้วครั้งเล่าโดยการค้นพบความรู้ใหม่ ๆ. ยกตัวอย่าง กษัตริย์ซาร์กอนแห่งอัสซีเรียเป็นที่รู้จักกันมานานแล้วจากบันทึกในพระคัมภีร์เท่านั้นคือ ที่ยะซายา 20:1. ช่วงต้นศตวรรษที่สิบเก้า พวกวิจารณ์พระคัมภีร์ถือว่าเรื่องนี้ไม่มีมูลทางประวัติศาสตร์. ครั้นแล้วการขุดค้นทางโบราณคดีได้พบซากปรักหักพังซึ่งเคยเป็นราชวังอันหรูหราของซาร์กอนที่คอร์ซาบัด มีทั้งบทจารึกมากมายบอกเรื่องราวในรัชกาลของกษัตริย์องค์นี้. ผลก็คือ เวลานี้ซาร์กอนเป็นกษัตริย์ อัสซีเรียองค์หนึ่งที่รู้จักกันมากที่สุด. โมเซ เพิร์ลแมน นักประวัติศาสตร์อิสราเอล เขียนว่า “โดยกะทันหันพวกช่างสงสัยซึ่งไม่แน่ใจในความถูกต้องแม้แต่ข้อความในตอนต่าง ๆ แห่งคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมซึ่งเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ได้เริ่มเปลี่ยนแง่คิดของเขา.”21
24. บันทึกของซาร์กอนแห่งอัสซีเรีย คล้ายกันมากแค่ไหนกับบันทึกของคัมภีร์ไบเบิลที่พูดถึงการตีกรุงซะมาเรียแตก?
24 คำจารึกของซาร์กอนมีข้อความซึ่งก่อนหน้านี้รู้เพียงแต่จากพระคัมภีร์. ข้อความนั้นอ่านว่า “ข้าล้อมซะมาเรียแล้วได้ชัยชนะ ได้พาชาวเมืองนั้นไปเป็นเชลย 27,290 คน.”22 พระคัมภีร์บันทึกเรื่องนี้ที่ 2 กษัตริย์ 17:6 ว่า “ในปีที่เก้าแห่งรัชกาลโฮเซอา กษัตริย์อัสซีเรียตีกรุงซะมาเรียได้และกวาดเอาพวกยิศราเอลไป.” เพิร์ลแมนให้ข้อสังเกตว่า “ที่นี้แหละคือบันทึกของผู้ตีเมืองได้และของฝ่ายผู้แพ้ซึ่งบันทึกของแต่ละฝ่ายเกือบเป็นภาพกระจกของอีกฝ่ายหนึ่ง.”23
25. ทำไมเราไม่ควรคาดหมายว่า เรื่องราวในพระคัมภีร์จะตรงกันกับทุกเรื่องที่ชาวโลกบันทึกไว้?
25 เราควรคาดหมายไหมว่าบันทึกของคัมภีร์กับบันทึกที่ได้จากแหล่งอื่นจะตรงกันในข้อปลีกย่อยทุกอย่าง? ไม่ควรคิดเช่นนั้น ดังที่เพิร์ลแมนบอกว่า “รายงานเรื่องสงครามที่มาตรงกันจากสองฝ่ายนั้นเป็นสิ่งผิดปกติในตะวันออกกลาง. เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นก็ต่อเมื่อประเทศคู่สงครามคือยิศราเอลกับประเทศใกล้เคียง และเฉพาะแต่เมื่อชาติยิศราเอลแพ้เท่านั้น. เมื่อชาติยิศราเอลชนะ ไม่มีบันทึกแสดงความพ่ายแพ้ปรากฏอยู่ในพงศาวดารของฝ่ายศัตรูเลย.”24 ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่เรื่องราวของซันแฮริบ ราชบุตรของซาร์กอนซึ่งทำการรณรงค์ในแผ่นดินยิศราเอลขาดส่วนสำคัญไป. และนั้นคืออะไร?
26. บันทึกของซันแฮริบเป็นอย่างไร เมื่อเทียบกับการบันทึกในพระคัมภีร์ว่าด้วยการกรีฑาทัพเข้าไปในยิศราเอล?
26 ภาพนูนบนกำแพงซึ่งค้นพบได้จากราชวังของกษัตริย์ซันแฮริบแสดงถึงการยกทัพบุกยิศราเอล. นอกจากนั้นยังได้พบข้อเขียนพรรณนาเหตุการณ์นั้นด้วย. หนึ่งคือแท่งดินเหนียวทรงปริซึม อ่านดังนี้ “ส่วนฮีศคียาชาวยิว เขาไม่ยอมอยู่ใต้แอกของเรา เราได้ล้อมหัวเมืองที่เข้มแข็งไว้ 46 เมือง . . . ส่วนเขาเองเราขังไว้ในกรุงยะรูซาเลมในราชวังของเขาเอง ดุจนกถูกขังอยู่ในกรง . . . เราได้แบ่งเอาดินแดนของเขาไป แต่เราก็ยังเพิ่มส่วยและกาตรู ของบรรณาการที่เขาต้องถวายเราฐานะที่เป็นเจ้าเหนือหัว.”25 ฉะนั้นข้อเขียนของซันแฮริบตรงกันกับพระคัมภีร์เมื่อกล่าวถึงชัยชนะของอัสซีเรีย. แต่ดังที่คาดหมายไว้ ซันแฮริบไม่ได้กล่าวถึงการที่เขาไม่อาจพิชิตยะรูซาเลม และข้อเท็จจริงที่ว่าเขาจำใจกลับบ้านเพราะทหารของเขา 185,000 คนถูกสังหารภายในคืนเดียว.—2 กษัตริย์ 18:13–19:36; ยะซายา 36:1–37:37.
27. บันทึกในพระคัมภีร์เรื่องการลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ซันแฮริบเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับบันทึกที่เขียนโดยชาวโลก?
27 จงพิจารณาเรื่องการปลงพระชนม์ซันแฮริบและสิ่งซึ่งการค้นพบเมื่อไม่นานมานี้เผยให้ทราบ. พระคัมภีร์แจ้งว่า โอรสสององค์ คืออัดราเมเล็คและซัศเมเซนได้ลอบสังหารซันแฮริบ. (2 กษัตริย์ 19:36, 37) กระนั้น บันทึกเรื่องราวทั้งของนะโบไนดัสกษัตริย์บาบูโลนและของพระสงฆ์เบอโรซซัสแห่งบาบูโลนในศตวรรษที่สามก่อนสากลศักราชระบุว่ามีโอรสองค์เดียว เกี่ยวข้องกับการสังหารครั้งนั้น. รายงานของใครถูกต้อง? การให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการค้นพบเมื่อเร็ว ๆ นี้จากส่วนหนึ่งของแท่งปริซึมแห่งเอซันฮาโดน โอรสของซันแฮริบซึ่งได้สืบราชบัลลังก์ต่อมานั้น ฟิลิป บิเบอร์เฟลด์ นักประวัติศาสตร์เขียนอย่างนี้ “เฉพาะเรื่องที่กล่าวในพระคัมภีร์เท่านั้นปรากฏว่าถูกต้อง. มีการยืนยันในข้อปลีกย่อยเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุกอย่างจากการจารึกของเอซันฮาโดน และถูกต้องแม่นยำในเรื่องนี้อันเป็นประวัติศาสตร์ชาติอัสซีเรียกับบาบูโลนยิ่งกว่าแหล่งที่มาจากบาบูโลนทีเดียว. นี้เป็นข้อเท็จจริงที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการประเมินค่าแม้แต่มูลฐานร่วมสมัยที่ไม่กลมกลืนกับเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิล.”26
28. สิ่งที่พระคัมภีร์กล่าวถึงเบละซาซัรได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นจริงอย่างไร?
28 สมัยหนึ่ง มูลฐานสมัยโบราณที่รู้จักกันแตกต่างไปจากคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับเบละซาซัรเช่นกัน. พระคัมภีร์ระบุเบละซาซัรเป็นกษัตริย์ในคราวบาบูโลนล่มจม. (ดานิเอล 5:1-31) อย่างไรก็ดี เอกสารอื่น ๆ ไม่ได้เอ่ยถึงเบละซาซัรเลย แต่พูดว่านะโบไนดัสเป็นกษัตริย์สมัยนั้น. ฉะนั้นพวกที่ชอบวิจารณ์ได้อ้างว่าไม่เคยมีกษัตริย์ชื่อเบละซาซัรอยู่เลย. อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็ว ๆ นี้มีการค้นพบเอกสารเก่าแก่หลายชิ้นระบุชื่อเบละซาซัรในฐานะบุตรของนะโบไนดัสและปกครองร่วมรัชกาลกับราชบิดาในบาบูโลน. เห็นได้ชัดว่า ด้วยเหตุผลข้อนี้ พระคัมภีร์บอกว่าเบละซาซัรเสนอจะตั้งดานิเอลเป็น “อุปราชชั้นตรีครองแผ่นดินนี้” เนื่องจากเบละซาซัรเองเป็นมหาอุปราชอยู่แล้ว. (ดานิเอล 5:16, 29) ดังนั้น อาร์. พี. โดเวอร์ทีศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเยล เมื่อได้เปรียบเทียบพระธรรมดานิเอลกับเอกสารอื่น ๆ ที่เก่าแก่จึงกล่าวดังนี้ “อาจตีความจากเรื่องราวในพระคัมภีร์ว่าดีเลิศจริง ๆ เพราะมีชื่อเบละซาซัร บ่งบอกถึงอำนาจราชศักดิ์ของเบละซาซัร ทั้งรับรู้ด้วยว่ามีการครอบครองร่วมรัชกาลในอาณาจักรนั้น.”27
29. มีการค้นพบหลักฐานอะไร ที่รับรองความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่พระคัมภีร์พูดถึงปอนเตียว ปีลาต?
29 เอ็ม. เจ. โฮเวิร์ด ซึ่งทำงานร่วมกับคณะสำรวจเมืองกายซาไรอา ประเทศอิสราเอลปี 1979 ชี้ถึงอีกตัวอย่างหนึ่งเกี่ยวด้วยการค้นพบซึ่งยืนยันถึงความถูกต้องทางประวัติศาสตร์ของบุคคลซึ่งมีชื่อระบุในพระคัมภีร์ดังนี้ “นานถึง 1,900 ปี ชื่อปีลาตปรากฏอยู่ในกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ และในเรื่องราวซึ่งไม่ค่อยแน่นอนของนักประวัติศาสตร์ชาวโรมันและชาวยิวเท่านั้น. ไม่มีใครรู้อัตชีวประวัติของเขา. บางคนบอกว่าไม่เคยมีปีลาตเสียด้วยซ้ำ. แต่ปี 1961 นักโบราณคดีชาวอิตาเลียนได้ทำการขุดค้นซากโรงละครของชาวโรมันในเมืองกายซาไรอา. คนงานคนหนึ่งได้พลิกย้ายแผ่นหินซึ่งเคยใช้เป็นขั้นบันได. ด้านหลังของแผ่นหินนั้นมีการสลักข้อความภาษาลาตินว่า ดังนี้ ‘มอบให้แก่ทวยราษฎร์แห่งกายซาไรอา ทิเบรียุม ปอนติอุส ปีลาต เจ้าเมืองยูดาย.’ นับว่าเป็นการขจัดความสงสัยได้ชะงัดนักที่ว่าปีลาตเคยมีชีวิตอยู่จริงหรือไม่. . . . เป็นครั้งแรกที่มีอักษรที่แกะไว้เป็นหลักฐานแสดงประวัติของผู้ที่ได้ออกคำสั่งให้ตอกตรึงพระคริสต์.”28—โยฮัน 19:13-16; กิจการ 4:27.
30. มีการค้นพบอะไรในเรื่องการใช้อูฐซึ่งแสดงให้เห็นว่าเรื่องราวในพระคัมภีร์นั้นถูกต้อง?
30 การค้นพบในปัจจุบันยังบอกรายละเอียดปลีกย่อยที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์ไบเบิลเสียด้วยซ้ำ. ยกตัวอย่าง เวอร์เนอร์ เคลเลอร์เขียนเมื่อปี 1964 ว่าอูฐเมื่อสมัยก่อนโน้นไม่ใช่สัตว์ที่จะเอามาใช้งานได้และด้วยเหตุนั้น ฉากที่ “เรารู้จักริบะคาเป็นครั้งแรก ณ เมืองนาโฮรบ้านเกิดของเธอน่าจะต้องเปลี่ยนเสียแล้ว. ‘อูฐ’ ที่เป็นสัตว์เลี้ยงของอับราฮาม ซึ่งเธอกำลังจะได้เป็นสะใภ้ของท่านในเวลาต่อมา สัตว์ที่เธอได้ตักน้ำจากบ่อให้กินคือ—ลา.”29 (เยเนซิศ 24:10) อย่างไรก็ดี ในปี 1978 โมเช ดายัน ผู้นำฝ่ายทหารแห่งอิสราเอลและเป็นนักโบราณคดีได้ให้หลักฐานว่า ในสมัยโบราณมีการใช้อูฐ “เพื่อการขนส่ง” ฉะนั้น บันทึกในพระคัมภีร์จึงถูกต้อง. ดายันได้ชี้แจงว่า “มีการพบภาพเขียนแห่งศตวรรษที่สิบแปดก่อนคริสต์ศักราชที่เมืองไบโบลสในโฟนีเซียเป็นรูปอูฐคู้เข่า. และภาพคนขี่อูฐปรากฏอยู่บนตรารูปกระบอกซึ่งได้ค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ในแคว้นเมโสโปตาเมีย เป็นวัตถุโบราณสมัยบุรุษต้นตระกูลของยิว.”30
31. มีหลักฐานอะไรอีกซึ่งแสดงว่าพระคัมภีร์ถูกต้องทางประวัติศาสตร์?
31 หลักฐานที่ว่าคัมภีร์ไบเบิลถูกต้องทางด้านประวัติศาสตร์นั้นมีมากจนไม่อาจกล่าวแย้งได้. ขณะที่ความจริงมีว่าไม่เคยพบบันทึกของชาวโลกพูดถึงความพ่ายแพ้ของชาวอียิปต์ในทะเลแดงและการพ่ายแพ้ในคราวอื่น ๆ เลย เรื่องนี้ก็ไม่แปลกเนื่องจากผู้ครอบครองมักจะไม่บันทึกความพ่ายแพ้ของตน. กระนั้น บนกำแพงวิหารเมืองคาร์นัคในอียิปต์เขาได้พบบันทึกของฟาโรห์ซีซัคพรรณนาชัยชนะคราวบุกรุกแผ่นดินยูดาในรัชกาลของระฮับอามราชโอรสของซะโลโม. พระคัมภีร์แถลงเรื่องนี้ที่ 1 กษัตริย์ 14:25, 26. นอกจากนั้น ได้ขุดพบข้อความที่เมซากษัตริย์โมอาบบันทึกการกบฏต่อชาติยิศราเอลบนแผ่นศิลาซึ่งเรียกกันว่า ศิลาจารึกของชาวโมอาบ. เรื่องนี้หาอ่านจากคัมภีร์ไบเบิลที่พระธรรม 2 กษัตริย์ 3:4-27 ได้ด้วย.
32. ผู้ที่เข้าชมพิพิธภัณฑ์สมัยนี้พบเห็นอะไรซึ่งยืนยันเรื่องราวในพระคัมภีร์?
32 ผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์หลายแห่งอาจได้เห็นภาพบนฝาผนัง คำจารึก และรูปปั้นต่าง ๆ ซึ่งยืนยันเรื่องในพระคัมภีร์. กษัตริย์ประเทศยูดาและยิศราเอล เช่น ฮิศคียา มะนาเซ อัมรี อาฮาบ เพกา เมนาเฮมและโฮเซอา ล้วนมีชื่ออยู่ในบันทึกของผู้ครอบครองชาวอัสซีเรีย. ภาพกษัตริย์เยฮูหรือทูตแทนท่านขณะถวายของบรรณาการปรากฏอยู่ที่อนุสาวรีย์กษัตริย์ซัลมาเนเซอร์. ราชวังซูซัรแห่งเปอร์เซียที่มาระดะคายและเอศเธระบุคคลที่มีชื่อในคัมภีร์ไบเบิลเคยอยู่ที่นั่นก็ได้รับการบูรณะให้ผู้คนสมัยนี้ได้ชม. ผู้ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์สามารถเห็นรูปปั้นซีซาร์แห่งโรม เช่น ออกุสตุส ติเบริอุส และคลอดิอุส ผู้มีชื่ออยู่ในพระคัมภีร์. (ลูกา 2:1; 3:1; กิจการ 11:28; 18:2) อันที่จริง มีการพบเหรียญเงินเดนารีรูปซีซาร์ติเบริอุส—เงินเหรียญที่พระเยซูขอดูเมื่อพระองค์ตรัสเรื่องภาษี.—มัดธาย 22:19-21.
33. ภูมิประเทศแห่งอิสราเอลให้หลักฐานอย่างไรว่าพระคัมภีร์นั้นถูกต้อง?
33 ผู้ที่ไปเยือนอิสราเอลสมัยนี้ซึ่งรู้เรื่องในพระคัมภีร์ย่อมสังเกตได้ว่าพระคัมภีร์พรรณนาลักษณะภูมิประเทศอย่างแม่นยำจริง ๆ. ดร.ซีฟ ชเรเมอร์ หัวหน้าคณะสำรวจด้านธรณีวิทยาแถบแหลมซีนายกล่าวว่า “เรามีแผนที่ของเราเอง แต่เมื่อใดพระคัมภีร์ไม่ลงรอยกับแผนที่ เราเลือกพระคัมภีร์”31 เพื่อให้ตัวอย่างวิธีที่คนเราจะสัมผัสกับเรื่องราวในพระคัมภีร์: ในกรุงยะรูซาเลมปัจจุบัน คนเราอาจเดินเลาะไปตามอุโมงค์ยาว 1,749 ฟุตซึ่งเจาะผ่านชั้นผาอันแข็งแกร่งเมื่อ 2,700 ปีมาแล้วเพื่อเป็นทางส่งน้ำจากลำธารฆีโฮนนอกกำแพงเมืองซึ่งอยู่พ้นสายตา แล้วน้ำจะได้ไหลลงสู่สระซีโลอามภายในเมือง. พระคัมภีร์ชี้แจงว่า กษัตริย์ฮิศคียาได้สร้างอุโมงค์นี้เพื่อรับมือกับการล้อมกรุงโดยซันแฮริบ.—2 กษัตริย์ 20:20; 2 โครนิกา 32:30.
34. ผู้คงแก่เรียนบางคนที่มีภูมิธรรมกล่าวอย่างไรในเรื่องความถูกต้องแม่นยำของพระคัมภีร์?
34 ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงไม่กี่ตัวอย่างว่าทำไมจึงเป็นการไม่ฉลาดที่จะประเมินค่าความถูกต้องแม่นยำของพระคัมภีร์ต่ำไป. ยังมีตัวอย่างอีกมาก. ดังนั้น การสงสัยความน่าเชื่อถือของคัมภีร์ไบเบิลโดยปกติแล้วไม่อาศัยสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าวหรือหลักฐานที่มีเหตุผลแต่อาศัยการรู้เท่าไม่ถึงการณ์. เอฟ. เคนยอนอดีตผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์แห่งกรุงลอนดอนเขียนดังนี้: “โบราณคดียังไม่ได้ค้นพบทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ผลที่ได้ทำสำเร็จมาแล้วยืนยันสิ่งซึ่งเชื่อถือกันอยู่แล้วคือว่าเมื่อความรู้เพิ่มพูนขึ้น ผลประโยชน์ก็ตกอยู่กับพระคัมภีร์เสมอ.”32 และนักโบราณคดีชื่อดังท่านหนึ่งคือเนลสัน กลุค กล่าวว่า “อาจกล่าวได้อย่างเด็ดขาดว่า ไม่มีการค้นพบใด ๆ ทางโบราณคดีที่ขัดแย้งกับพระคัมภีร์. โบราณคดียืนยืนอย่างคร่าว ๆ หรือชี้รายละเอียดคำแถลงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในพระคัมภีร์.”33
ความซื่อสัตย์และความสอดคล้องกัน
35, 36. (ก) ผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลหลายคนต่างยอมรับความผิดพลาดของตนเองอย่างไร? (ข) ทำไมความซื่อสัตย์ของผู้เขียนเหล่านี้ เพิ่มน้ำหนักให้กับคำกล่าวของเขาที่ว่าพระคัมภีร์นั้นเป็นมาจากพระเจ้า?
35 ยังมีอีกสิ่งหนึ่งซึ่งบ่งชี้ว่าพระคัมภีร์มาจากพระเจ้าคือความซื่อสัตย์ของผู้เขียน. มันขัดกับธรรมชาติของมนุษย์ผู้ไม่สมบูรณ์ที่จะยอมรับความพลั้งพลาดของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร. นักเขียนส่วนใหญ่ในสมัยโบราณได้เขียนเฉพาะความสำเร็จของตัวเอง. แต่โมเซเขียนการที่ตน “ได้ทำผิด” และด้วยเหตุนี้ท่านถูกตัดสิทธิ์ไม่ให้นำชนยิศราเอลเข้าไปถึงแผ่นดินแห่งคำสัญญา. (พระบัญญัติ 32:50-52; อาฤธโม 20:1-13) โยนาเล่าความดื้อรั้นของตน. (โยนา 1:1-3; 4:1) เปาโลยอมรับว่าท่านเคยประพฤติผิด. (กิจการ 22:19, 20; ทิทุส 3:3) และมัดธายอัครสาวกของพระคริสต์ได้รายงานว่าพวกอัครสาวกบางครั้งขาดความเชื่อ แสวงจะได้ตำแหน่งสูงและได้ทอดทิ้งพระเยซูเมื่อพระองค์ถูกจับ.—มัดธาย 17:18-20; 18:1-6; 20:20-28; 26:56.
36 ถ้าผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลจะแปลงเรื่องให้เพี้ยนไปจากความจริงคงจะเป็นเรื่องที่ส่อให้เห็นความไม่ดีของพวกเขามิใช่หรือ? พวกเขาคงจะไม่เปิดเผยความผิดพลาดของตัวเองแล้วกุเรื่องอื่น ๆ ที่เป็นความเท็จขึ้นมาใช่ไหม? ถ้าเช่นนั้นแล้ว ความซื่อสัตย์ของผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลเพิ่มน้ำหนักให้กับการอ้างของเขาที่ว่า พระเจ้าทรงชี้นำเขาขณะที่เขาจารึกพระคัมภีร์.—2 ติโมเธียว 3:16.
37. ทำไมความสอดคล้องกันโดยตลอดในคัมภีร์ไบเบิลเป็นหลักฐานแน่นหนาว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลบันดาลจากพระเจ้า?
37 อนึ่ง ความสอดคล้องกันในพระคัมภีร์ยืนยันว่าพระเจ้าเป็นผู้ประพันธ์. เป็นการง่ายที่จะบอกว่า พระธรรม 66 เล่มที่ประกอบกันเป็นพระคัมภีร์เขียนภายในช่วง 1600 กว่าปีโดยบุคคลต่าง ๆ ราว 40 คน. แต่คิดดูซิว่าข้อเท็จจริงนั้นน่าพิศวงสักเพียงไร! สมมุติว่าการเขียนหนังสือเล่มหนึ่งเริ่มขึ้นในสมัยจักรภพโรมัน แล้วการเขียนดำเนินต่อมาจนถึงสมัยที่มีการปกครองระบอบราชาธิปไตยแล้วยังคงทำต่อมาเรื่อยกระทั่งยุคปัจจุบันที่มีการปกครองแบบสาธารณรัฐ และที่ว่าผู้เขียนเหล่านั้นมีภูมิหลังต่างกัน เช่น นักรบ กษัตริย์ ปุโรหิต ชาวประมง กระทั่งคนเลี้ยงสัตว์และอายุรแพทย์. คุณจะคาดหมายไหมว่า การดำเนินเรื่องทุกตอนในหนังสือนั้นอยู่ในอรรถบทเดียวกัน? กระนั้น พระคัมภีร์ได้รับการจารึกภายในช่วงเวลานานพอ ๆ กัน ภายใต้ระบอบการปกครองต่าง ๆ กันและโดยบุคคลต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้ว. และมีความสอดคล้องกันโดยตลอด. ข่าวสารอันเป็นพื้นฐานมีอรรถบทเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ. ทั้งนี้จะไม่เสริมน้ำหนักให้กับคำอ้างของพระคัมภีร์ทีเดียวหรือที่ว่า “มนุษย์กล่าวคำซึ่งมาจากพระเจ้าตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงดลใจให้กล่าวนั้น?”—2 เปโตร 1:20, 21.
38. คนเราต้องทำอะไรเพื่อจะไว้ใจพระคัมภีร์?
38 คุณจะไว้ใจพระคัมภีร์ได้ไหม? ถ้าคุณตรวจสอบถึงสิ่งที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ไบเบิล และไม่เพียงรับรองเอาสิ่งที่บางคนบอก คุณจะมีเหตุผลที่จะเชื่อมั่นได้. กระนั้น ยังมีหลักฐานแน่นหนายิ่งขึ้นว่า พระเจ้าทรงดลบันดาลให้มีการเขียนคัมภีร์จริง ๆ ดังเราจะเห็นในบทถัดไป.
[คำโปรยหน้า 202]
“เนื้อหาสำคัญทางดาราศาสตร์และบันทึกในคัมภีร์ไบเบิลที่เยเนซิศนั้นเหมือนกัน”
[คำโปรยหน้า 204]
น่าทึ่งที่ไม่มีคำกล่าวเชิงเชื่อโชคลางในคัมภีร์ไบเบิลเลย
[คำโปรยหน้า 206]
การเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดระหว่างทัศนะทางใจและสุขภาพทางกายมีการกล่าวถึงในพระคัมภีร์นานมาแล้ว
[คำโปรยหน้า 215]
มันเป็นการขัดกับธรรมชาติของมนุษย์ที่จะยอมรับผิดหรือความพลั้งพลาดโดยเฉพาะเมื่อเขียนบันทึก
[คำโปรยหน้า 215]
คัมภีร์ไบเบิลสอดคล้องกันตลอดทั้งเล่ม
[แผนภาพหน้า 201]
คัมภีร์ไบเบิลพรรณนาวัฏจักรของน้ำ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วไม่เป็นที่เข้าใจกันในสมัยโบราณ
[ภาพหน้า 200]
คนโบราณบางคนเชื่อว่าโลกได้รับการหนุนไว้อย่างนี้
[ภาพหน้า 203]
สัตว์ใหญ่คล้ายช้างแช่แข็ง ซึ่งค้นพบในไซบีเรีย. หลังจากหลายพันปีผ่านไปยังมีหญ้าคาปากและตกค้างอยู่ในกระเพาะของมัน และเมื่อปล่อยให้เนื้อซึ่งเย็นจนแข็งนั้นอ่อนตัวก็ทำเป็นอาหารกินได้
[ภาพหน้า 205]
เมื่อศตวรรษที่แล้ว แพทย์ไม่ได้ล้างมือทุกครั้งหลังจากถูกต้องศพ จึงเป็นสาเหตุให้หลายคนเสียชีวิต
ห้องเก็บศพ
แผนกสูติกรรม
[ภาพหน้า 207]
การที่พระคัมภีร์เน้นเรื่องความรักนั้นสอดคล้องกับคำแนะนำอันมีเหตุผลของแพทย์
[ภาพหน้า 209]
รูปแกะสลักหินปูนภาพกษัตริย์ซาร์กอน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันมานานจากพระคัมภีร์แหล่งเดียว
[ภาพหน้า 210]
ภาพนูนบนกำแพงราชวังของกษัตริย์ซันแฮริบ ณ กรุงนีนะเว แสดงให้เห็นการรับทรัพย์เชลยจากเมืองลาคิชในแคว้นยูดา
แท่งปริซึมทำด้วยดินเหนียวมีข้อความพรรณนาเรื่องกษัตริย์ซันแฮริบกรีฑาทัพเข้าไปในยิศราเอล
[ภาพหน้า 211]
อนุสาวรีย์ประกาศชัยชนะของเอซันฮาโดน โอรสซันแฮริบ สนับสนุนคำกล่าวที่ 2 กษัตริย์ 19:37 ที่ว่า “เอซันฮาโดนโอรสก็ขึ้นเสวยราชย์แทน.”
คำจารึกข้างบนนี้ ค้นพบที่เมืองกายซาไรอายืนยันว่า ปอนเตียว ปีลาตเป็นเจ้าเมืองยูดาย
[ภาพหน้า 212]
ภาพนูนบนกำแพงยืนยันบันทึกในคัมภีร์ไบเบิลที่พูดถึงซีซัคได้มีชัยชนะแก่พวกยูดาย
แผ่นศิลาจารึกของชาวโมอาบพรรณนาถึงเมซากษัตริย์โมอาบได้กบฏต่อสู้ยิศราเอลตามที่กล่าวในคัมภีร์ไบเบิล
[ภาพหน้า 213]
กษัตริย์เยฮู หรือทูตแทนพระองค์ถวายบรรณาการแก่กษัตริย์ซัลมาเนเซอร์ที่สาม
รูปปั้นหินอ่อนครึ่งตัวของออกุสตุส ซีซาร์สมัยพระเยซูประสูติ
เหรียญเงินเดนารีมีรูปและคำจารึกของซีซาร์ทิเบริอุส เหมือนเหรียญที่พระคริสต์ขอดู
[ภาพหน้า 214]
ภายในอุโมงค์ซึ่งกษัตริย์ฮิศคียาได้เจาะไว้เพื่อส่งน้ำเข้ากรุงยะรูซาเลมระหว่างที่ทหารอัสซีเรียล้อมเมือง