บท 36
เมืองใหญ่ถูกล้างผลาญ
นิมิต 12—วิวรณ์ 18:1–19:10
เรื่อง: ความล่มจมและความพินาศของบาบิโลนใหญ่; การประกาศเรื่องการสมรสของพระเมษโปดก
เวลาที่สำเร็จเป็นจริง: ตั้งแต่ปี 1919 จนกระทั่งหลังความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่
1. เหตุการณ์อะไรจะเป็นการเริ่มต้นความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่?
โดยกะทันหัน, น่าตกตะลึง, ร้างเปล่า—เหล่านี้จะเป็นการสิ้นสุดของบาบิโลนใหญ่! นั่นจะเป็นเหตุการณ์แห่งภัยพิบัติร้ายแรงที่สุดอย่างหนึ่งในประวัติศาสตร์ ซึ่งแสดงการเริ่มต้น “ความทุกข์ลำบากใหญ่อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มมีโลกจนกระทั่งบัดนี้ ใช่ และจะไม่เกิดขึ้นอีก.”—มัดธาย 24:21, ล.ม.
2. แม้ว่าจักรวรรดิต่าง ๆ ทางการเมืองได้เจริญรุ่งเรืองแล้วก็ล่มจม จักรวรรดิชนิดใดที่ยังคงอยู่?
2 ศาสนาเท็จมีมานานเต็มที. มีอยู่เรื่อยมาไม่ขาดตั้งแต่สมัยนิมโรดผู้กระหายเลือด ซึ่งต่อต้านพระยะโฮวาและได้จัดคนเพื่อสร้างหอบาเบล. เมื่อพระยะโฮวาทรงทำให้ภาษาของคนกบฏเหล่านั้นสับสนและให้พวกเขากระจัดกระจายไปทั่วแผ่นดินโลก ศาสนาเท็จของบาบิโลนก็ไปกับพวกเขาด้วย. (เยเนซิศ 10:8-10; 11:4-9) นับแต่นั้น จักรวรรดิต่าง ๆ ทางการเมืองได้รุ่งเรืองแล้วก็ล่มจม แต่ศาสนาแบบบาบิโลนยังยืนยงเรื่อยมา. ศาสนานั้นค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงจนมีรูปแบบต่าง ๆ มากมาย กลายเป็นจักรวรรดิโลกแห่งศาสนาเท็จ คือบาบิโลนใหญ่ตามที่ได้พยากรณ์ไว้. ส่วนเด่นที่สุดได้แก่คริสต์ศาสนจักร ซึ่งเกิดจากการผสมผเสคำสอนแบบบาบิโลนสมัยแรกกับหลักคำสอน “คริสเตียน” ที่ออกหาก. เนื่องจากประวัติศาสตร์อันยาวนานของบาบิโลนใหญ่ หลายคนรู้สึกว่ายากจะเชื่อว่า บาบิโลนใหญ่จะถูกทำลาย.
3. พระธรรมวิวรณ์ยืนยันความพินาศของศาสนาเท็จอย่างไร?
3 ดังนั้น จึงเหมาะสมที่พระธรรมวิวรณ์จะยืนยันความพินาศของศาสนาเท็จโดยให้คำพรรณนาที่ละเอียดสองครั้งเกี่ยวกับความล่มจมของเมืองนี้และเหตุการณ์หลังจากนั้นอันนำไปสู่ความร้างเปล่าโดยสิ้นเชิง. เราได้เห็นบาบิโลนใหญ่มาแล้วในฐานะ “หญิงแพศยาคนสำคัญ” ซึ่งถูกอดีตชู้รักทางการเมืองล้างผลาญในที่สุด. (วิวรณ์ 17:1, 15, 16) บัดนี้ ในอีกนิมิตหนึ่ง เราจะมองดูบาบิโลนใหญ่เสมือนเป็นเมืองหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวจริงด้านศาสนาที่บาบิโลนโบราณเป็นแบบเล็งถึง.
บาบิโลนใหญ่พังทลาย
4. (ก) โยฮันเห็นนิมิตอะไรต่อไป? (ข) เราจะระบุตัวทูตสวรรค์องค์นี้ได้อย่างไร และทำไมจึงเป็นการเหมาะสมที่พระองค์จะประกาศความล่มจมของบาบิโลนใหญ่?
4 โยฮันเล่าเรื่องราวแก่เราต่อไปดังนี้: “หลังจากนั้น ข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ ท่านมีอำนาจใหญ่ยิ่งและรัศมีของท่านทำให้แผ่นดินโลกสว่างไสว. ท่านเปล่งเสียงอันมีพลังร้องบอกว่า ‘เมืองนี้ล่มจมแล้ว! บาบิโลนใหญ่ล่มจมแล้ว.’” (วิวรณ์ 18:1, 2ก, ล.ม.) เป็นครั้งที่สองที่โยฮันได้ยินคำประกาศของทูตสวรรค์. (ดูวิวรณ์ 14:8.) แต่ครั้งนี้ ความสำคัญแห่งคำประกาศได้รับการเน้นโดยความสง่างามของทูตแห่งสวรรค์ เพราะสง่าราศีของท่านทำให้แผ่นดินโลกทั้งสิ้นสว่างไสว! ทูตองค์นี้จะเป็นผู้ใดได้? หลายศตวรรษก่อนนั้น เมื่อผู้พยากรณ์ยะเอศเคลแจ้งเรื่องนิมิตเกี่ยวกับสวรรค์ ท่านได้กล่าวว่า “แผ่นดินก็รุ่งเรืองด้วยรัศมีของพระองค์ [พระยะโฮวา].” (ยะเอศเคล 43:2) ทูตสวรรค์เพียงองค์เดียวที่เปล่งรัศมีรุ่งโรจน์พอเทียบกับพระยะโฮวาคงได้แก่พระเยซูเจ้า ผู้ทรงเป็น “ผู้ที่สะท้อนสง่าราศีของพระเจ้าและเป็นผู้ถอดแบบมาจากพระเจ้าอย่างไม่ผิดเพี้ยน.” (เฮ็บราย 1:3, ล.ม.) ในปี 1914 พระเยซูขึ้นเป็นกษัตริย์ในสวรรค์ และตั้งแต่นั้นมาพระเยซูทรงใช้อำนาจเหนือแผ่นดินโลกในฐานะพระมหากษัตริย์และผู้พิพากษาสมทบของพระยะโฮวา. ดังนั้น จึงเหมาะสมที่พระองค์จะทรงประกาศความล่มจมของบาบิโลนใหญ่.
5. (ก) ทูตสวรรค์องค์นี้ทรงใช้ผู้ใดในการประกาศความล่มจมของบาบิโลนใหญ่? (ข) เมื่อการพิพากษาเริ่มต้นกับเหล่าคนที่ประกาศตัวเป็น “ราชนิเวศของพระเจ้า” คริสต์ศาสนจักรจึงประสบกับอะไร?
5 ทูตสวรรค์ที่มีอำนาจเกรียงไกรองค์นี้ทรงใช้ผู้ใดในการประกาศข่าวอันน่าตื่นตะลึงเช่นนี้ต่อหน้ามนุษยชาติ? ก็คือประชาชนที่ได้รับการปลดปล่อยเนื่องจากความล่มจมนั้นนั่นแหละ คือพวกผู้ถูกเจิม ชนจำพวกโยฮัน ที่ยังมีชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลก. ตั้งแต่ปี 1914 ถึง 1918 คนเหล่านี้ทนรับความทุกข์สาหัสโดยน้ำมือของบาบิโลนใหญ่ แต่ในปี 1918 พระยะโฮวาพระเจ้ากับ “ทูตแห่งสัญญาไมตรี [ที่ทำไว้กับอับราฮาม]” คือพระเยซูคริสต์ ก็ได้เริ่มการพิพากษากับ “ราชนิเวศของพระเจ้า” ซึ่งได้แก่คนที่ประกาศตัวเป็นคริสเตียน. ฉะนั้น คริสต์ศาสนจักรที่ออกหากจึงถูกสอบสวน. (มาลาคี 3:1, ล.ม.; 1 เปโตร 4:17, ล.ม.) ความผิดมหันต์ฐานทำให้โลหิตตกที่คริสต์ศาสนจักรได้ก่อขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง การที่คริสต์ศาสนจักรมีส่วนในการกดขี่ข่มเหงพยานที่ซื่อสัตย์ของพระยะโฮวา และหลักข้อเชื่อต่าง ๆ ทางศาสนาแบบบาบิโลนนั้นไม่ได้ช่วยคริสต์ศาสนจักรในเวลาพิพากษา ทั้งไม่มีส่วนอื่นใดของบาบิโลนใหญ่ได้รับความพอพระทัยจากพระเจ้า.—เทียบกับยะซายา 13:1-9.
6. เพราะเหตุใดจึงกล่าวได้ว่า บาบิโลนใหญ่ได้ล่มจมแล้วเมื่อมาถึงปี 1919?
6 ดังนั้น พอมาถึงปี 1919 บาบิโลนใหญ่ก็ล่มจม เปิดทางให้ประชาชนของพระเจ้าได้รับการปลดปล่อยและคืนสู่สถานะเดิม ในแผ่นดินอันมั่งคั่งฝ่ายวิญญาณ ราวกับภายในวันเดียว. (ยะซายา 66:8) ในปีนั้น พระยะโฮวาพระเจ้าและพระเยซูคริสต์ ผู้ยิ่งใหญ่กว่าดาระยาศและไซรัส ก็ทรงพลิกแพลงสถานการณ์เพื่อไม่ให้ศาสนาเท็จกักตัวประชาชนของพระเจ้าไว้ได้อีกต่อไป. ศาสนาเท็จไม่อาจขัดขวางพวกเขาไว้จากการรับใช้พระยะโฮวา และทำให้ทุกคนที่ยอมรับฟังทราบว่า บาบิโลนใหญ่ซึ่งเปรียบเหมือนหญิงแพศยานั้นจะพินาศแน่แล้ว และการพิสูจน์ความถูกต้องแห่งพระบรมเดชานุภาพของพระยะโฮวาก็ใกล้เต็มที!—ยะซายา 45:1-4; ดานิเอล 5:30, 31.
7. (ก) แม้บาบิโลนใหญ่ไม่ถูกทำลายในปี 1919 พระยะโฮวาทรงมองดูเมืองนี้อย่างไร? (ข) เมื่อบาบิโลนใหญ่ได้ล่มจมแล้วในปี 1919 ผลเป็นอย่างไรต่อประชาชนของพระยะโฮวา?
7 จริงอยู่ บาบิโลนใหญ่ไม่ได้ถูกทำลายในปี 1919 เช่นเดียวกับเมืองบาบิโลนโบราณไม่ถูกทำลายในปี 539 ก่อนสากลศักราชเมื่อกรุงนี้พ่ายแก่กองทัพของไซรัสชาวเปอร์เซีย. แต่จากทัศนะของพระยะโฮวา องค์การนั้นล่มจมแล้ว. เมืองนั้นถูกตัดสินว่ามีโทษแล้ว รอการสำเร็จโทษอยู่ ฉะนั้น ศาสนาเท็จไม่อาจกักประชาชนของพระยะโฮวาไว้ได้อีกต่อไป. (เทียบกับลูกา 9:59, 60.) บุคคลเหล่านี้รับการปลดปล่อยเพื่อรับใช้ในฐานะทาสสัตย์ซื่อและสุขุมของนายเพื่อจัดเตรียมอาหารฝ่ายวิญญาณตามเวลาที่สมควร. พวกเขาได้รับการพิพากษาว่า “ดีแล้ว” และได้รับมอบหมายให้เริ่มทำงานอีกครั้งหนึ่งในราชกิจของพระยะโฮวา.—มัดธาย 24:45-47; 25:21, 23; กิจการ 1:8.
8. คนยามในยะซายา 21:8, 9 ประกาศเหตุการณ์อะไร และคนยามนั้นเป็นภาพเล็งถึงใครในทุกวันนี้?
8 หลายพันปีมาแล้วพระยะโฮวาทรงใช้ผู้พยากรณ์อื่น ๆ บอกล่วงหน้าถึงเหตุการณ์สำคัญที่แบ่งยุคสมัย. ยะซายาได้พูดถึงคนยามซึ่ง “ร้อง [“เสียงดังดุจสิงโต,” ล.ม.] ขึ้นว่า ‘ข้าแต่พระยะโฮวา, ข้าพเจ้ายืนอยู่บนหอคอยในเวลากลางวันตลอดวัน, และยืนยามกลางคืนตลอดคืน.’” คนยามมองเห็นเหตุการณ์อะไรและได้ร้องประกาศด้วยใจกล้าดุจสิงโต? คืออย่างนี้: “แตกแล้ว, กรุงบาบูโลนแตกแล้ว; บรรดารูปเคารพของบ้านเมืองก็ถูกทำลายแตกเกลื่อนอยู่บนดิน.” (ยะซายา 21:8, 9) ยามคนนี้เล็งถึงชนจำพวกโยฮันสมัยปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ซึ่งตื่นตัวระวังเต็มที่ ขณะพวกเขาใช้วารสารหอสังเกตการณ์ และหนังสืออื่น ๆ เกี่ยวกับระบอบของพระเจ้าเพื่อป่าวประกาศข่าวว่า บาบิโลนล่มจมแล้ว.
การเสื่อมของบาบิโลนใหญ่
9, 10. (ก) อิทธิพลของศาสนาแบบบาบิโลนได้ประสบความเสื่อมอย่างไรนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง? (ข) ทูตสวรรค์ผู้มีฤทธิ์พรรณนาสภาพที่ล่มจมของบาบิโลนใหญ่อย่างไร?
9 ความล่มจมของบาบิโลนสมัยโบราณเมื่อปี 539 ก่อนสากลศักราชเป็นตอนเริ่มต้นของการเสื่อมอันยาวนานซึ่งจบลงด้วยการร้างเปล่า. ทำนองเดียวกัน ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง อิทธิพลของศาสนาแบบบาบิโลนได้เสื่อมลงอย่างเด่นชัดทั่วโลก. ในญี่ปุ่น ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองก็ได้มีการสั่งห้ามการนมัสการจักรพรรดิผู้ถือศาสนาชินโต. ในประเทศจีน รัฐบาลคอมมิวนิสต์เข้าควบคุมการแต่งตั้งและกิจกรรมด้านศาสนาทุกอย่าง. ในยุโรปทางเหนือที่ถือโปรเตสแตนต์ ผู้คนส่วนใหญ่เมินเฉยต่อศาสนา. และเมื่อไม่นานมานี้ คริสตจักรโรมันคาทอลิกได้เสื่อมอิทธิพลไปเนื่องจากการแตกแยกนิกายและความขัดแย้งภายในซึ่งมีอยู่ทั่วอาณาเขตของคริสตจักรนั้น.—เทียบกับมาระโก 3:24-26.
10 ไม่มีข้อสงสัยว่า แนวโน้มเหล่านี้ทุกอย่างเป็นส่วนของ ‘การที่แม่น้ำยูเฟรทิสแห้งไป’ อันเป็นการเตรียมเพื่อโจมตีบาบิโลนใหญ่โดยกำลังทหาร. ‘การแห้งไป’ เช่นนี้สะท้อนให้เห็นในคำแถลงของสันตะปาปาเมื่อเดือนตุลาคม 1986 ว่าคริสตจักรต้อง “กลายเป็นผู้ภิกขาจารอีกครั้ง”—เนื่องจากขาดเงินมากมาย. (วิวรณ์ 16:12) โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ปี 1919 มีการเปิดโปงบาบิโลนใหญ่ให้ตกเป็นเป้าสายตาสาธารณชน เสมือนที่ร้างเปล่าฝ่ายวิญญาณ ดังที่ทูตสวรรค์ผู้มีฤทธิ์ประกาศว่า “และกลายเป็นที่อาศัยของพวกปิศาจ เป็นที่ซุ่มซ่อนของไอที่เป็นพิษทุกอย่าง เป็นที่ซุ่มซ่อนของนกที่ไม่สะอาดและน่าเกลียดชังทุกตัว!” (วิวรณ์ 18:2ข) อีกไม่นานบาบิโลนใหญ่จะเป็นที่ร้างเปล่าจริง ๆ ร้างเปล่าเหมือนซากปรักหักพังของบาบิโลนแห่งอิรักในปัจจุบัน.—ดูยิระมะยา 50:25-28 ด้วย.
11. ในความหมายเช่นไรที่บาบิโลนใหญ่กลายเป็น “ที่อาศัยของพวกปิศาจ” และ “ที่ซุ่มซ่อนของไอที่เป็นพิษทุกอย่าง”?
11 คำ “พวกปิศาจ” ในข้อนี้คงสะท้อนคำ “ปิศาจลักษณะเหมือนแพะ” (เซอิริม) ที่มีในคำพรรณนาของยะซายาเกี่ยวกับบาบิโลนที่ล่มจม: “แต่สัตว์ป่าประจำทะเลทรายจะอาศัยนอนอยู่ที่นั่น; และตามบ้านเรือนของเขาจะมีสัตว์ที่เห่าหอนอาศัยอยู่ทั่วไป, และนกกระจอกเทศจะอาศัยอยู่ตามนั้น, และแพะป่า [“ปิศาจลักษณะเหมือนแพะ,” ล.ม.] จะกระโดดโลดเต้นอยู่ที่นั้น.” (ยะซายา 13:21) ข้อนี้อาจไม่หมายถึงปิศาจจริง ๆ แต่คงหมายถึงสัตว์ประเภทขนปุกปุยที่อาศัยในแถบทะเลทรายเสียมากกว่า ซึ่งรูปร่างของสัตว์เหล่านั้นทำให้ผู้ที่มองนึกถึงพวกปิศาจ. ในซากปรักหักพังของบาบิโลนใหญ่ การมีชีวิตอยู่โดยนัยของสัตว์เหล่านั้น พร้อมกับอากาศอับชื้น เป็นพิษ (“ลมหายใจออกที่ไม่สะอาด”) และนกไม่สะอาด บ่งบอกถึงสภาพตายฝ่ายวิญญาณของบาบิโลนใหญ่. บาบิโลนใหญ่ไม่เสนอความหวังของการมีชีวิตให้มนุษยชาติเลย.—เทียบกับเอเฟโซ 2:1, 2.
12. สภาพการณ์ของบาบิโลนใหญ่ตรงกับคำพยากรณ์ของยิระมะยาในบท 50 อย่างไร?
12 อนึ่ง สภาพของบาบิโลนใหญ่ตรงกับคำพยากรณ์ของยิระมะยาด้วยที่ว่า “พระเจ้าตรัสว่า ให้ดาบอยู่เหนือชาวเคลเดีย และเหนือชาวเมืองบาบิโลน และเหนือเจ้านายและนักปราชญ์ของเขา . . . ให้ความแห้งแล้งอยู่เหนือน้ำทั้งหลายของมัน เพื่อน้ำทั้งหลายนั้นจะได้แห้งไป เพราะเป็นแผ่นดินแห่งรูปเคารพ และเขาทั้งหลายก็บ้ารูปนั้น เพราะฉะนั้นสัตว์ป่าทั้งหลายและบรรดาหมาจิ้งจอกจะอาศัยในบาบิโลน และนกกระจอกเทศจะอาศัยอยู่ในนั้น เมืองนั้นจะไม่มีประชาชนอยู่อีกต่อไปเป็นนิตย์คือไม่มีชาวเมืองอาศัยอยู่ตลอดชั่วชาติพันธุ์.” การนมัสการรูปเคารพและการอธิษฐานร่ำร้องซ้ำซากไม่สามารถปกป้องบาบิโลนใหญ่ให้พ้นจากการลงโทษคล้าย ๆ กันกับคราวที่พระเจ้าได้ทำลายเมืองโซโดมและโกโมร์ราห์.—ยิระมะยา 50:35-40, ฉบับแปลใหม่.
เหล้าองุ่นที่เร้ากามารมณ์
13. (ก) ทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์เรียกให้เอาใจใส่ในขอบข่ายอันกว้างขวางของความเป็นแพศยาของบาบิโลนใหญ่อย่างไร? (ข) การผิดศีลธรรมอะไรที่มีอยู่ดาษดื่นในบาบิโลนโบราณซึ่งพบในบาบิโลนใหญ่เช่นกัน?
13 ต่อจากนั้น ทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์ก็เรียกให้เอาใจใส่ในขอบข่ายอันกว้างขวางแห่งความเป็นแพศยาของบาบิโลนใหญ่ โดยประกาศว่า “เนื่องจากเหล้าองุ่นแห่งความโกรธและการผิดประเวณีของเมืองนี้a ชาติทั้งปวงจึงตกเป็นเหยื่อ กษัตริย์ทั้งหลายบนแผ่นดินโลกได้ทำผิดประเวณีกับเมืองนี้ และพวกพ่อค้าเดินทางแห่งแผ่นดินโลกก็ร่ำรวยเนื่องจากความหรูหราฟุ่มเฟือยไร้ยางอายอย่างเหลือขนาดของเมืองนี้.” (วิวรณ์ 18:3, ล.ม.) บาบิโลนใหญ่ได้ยัดเยียดแนวทางด้านศาสนาที่ไม่สะอาดให้มนุษย์ทุกชาติซึมซับไว้. ตามที่เฮโรโดทุส นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกเขียนไว้ ในบาบิโลนโบราณมีการเรียกร้องให้ผู้หญิงแต่ละคนถวายตัวเป็นโสเภณีในการนมัสการที่วิหารสักครั้งหนึ่งในชีวิต. ความเสื่อมทรามทางเพศที่น่าขยะแขยงเป็นที่เห็นได้จนทุกวันนี้จากรูปแกะสลักที่นครวัตในกัมพูชาซึ่งได้รับความเสียหายจากสงครามและตามวิหารต่าง ๆ ที่คาจูระโฮในอินเดีย ซึ่งแสดงภาพพระวิษณุแห่งศาสนาฮินดูแวดล้อมด้วยภาพเร้าราคะที่น่าสะอิดสะเอียน. ในสหรัฐ การเปิดโปงเรื่องการประพฤติผิดศีลธรรมของนักเทศน์ทางโทรทัศน์เมื่อปี 1987 และอีกครั้งหนึ่งในปี 1988 ซึ่งทำให้โลกสะดุ้ง รวมทั้งการเปิดเผยเกี่ยวกับพฤติกรรมรักร่วมเพศที่แพร่หลายโดยพวกนักเทศน์นักบวช เหล่านี้แสดงให้เห็นว่า แม้แต่คริสต์ศาสนจักรก็ยอมให้มีการผิดประเวณีจริง ๆ อย่างเลยเถิดจนน่าตกใจ. กระนั้น ทุกชาติตกเป็นเหยื่อการผิดศีลธรรมประเภทที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้นเสียอีก.
14-16. (ก) สัมพันธภาพที่ไม่ถูกต้องอะไรระหว่างศาสนากับการเมืองได้เกิดขึ้นในอิตาลีซึ่งปกครองด้วยระบบฟาสซิสต์? (ข) เมื่ออิตาลีรุกรานอะบิสซีเนีย บิชอปทั้งหลายแห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิกแถลงอย่างไร?
14 เราได้พูดกันมาแล้วถึงเรื่องสัมพันธภาพอันไม่ถูกต้องระหว่างศาสนากับการเมืองซึ่งทำให้ฮิตเลอร์ขึ้นสู่อำนาจอย่างรวดเร็วในเยอรมนีสมัยนาซี. ชาติอื่น ๆ ได้รับความทุกข์เช่นกัน เนื่องจากศาสนาเข้าไปก้าวก่ายเรื่องทางโลก. ตัวอย่างเช่น: ในอิตาลีสมัยที่ปกครองด้วยระบบฟาสซิสต์ เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ปี 1929 มุสโสลินีได้ลงนามในสนธิสัญญาลาเทรานร่วมกับคาร์ดินัลกาสปาร์ริ ให้นครวาติกันเป็นรัฐที่มีอธิปไตย. สันตะปาปาไพอัสที่ 11 อ้างว่า ตนได้ “มอบอิตาลีคืนให้แก่พระเจ้า และมอบพระเจ้าคืนให้กับอิตาลี.” นั่นเป็นความจริงไหม? ขอพิจารณาสิ่งซึ่งเกิดขึ้นหลังจากนั้นอีกหกปี. วันที่ 3 ตุลาคม 1935 อิตาลีรุกรานประเทศอะบิสซีเนีย โดยกล่าวอ้างว่า “เป็นดินแดนป่าเถื่อนซึ่งยังมีการใช้ทาสอยู่.” จริง ๆ แล้ว ใครป่าเถื่อนกันแน่? คริสตจักรคาทอลิกประณามความป่าเถื่อนของมุสโสลินีไหม? ขณะที่สันตะปาปาออกคำแถลงการณ์อย่างกำกวมนั้น พวกบิชอปฝ่ายสันตะปาปาพากันส่งเสียงอวยชัยให้พรกองทัพแห่งอิตาลี “ปิตุภูมิ” ของตน. แอนโทนี โรดส์ รายงานลงในหนังสือวาติกันยุคเผด็จการ (ภาษาอังกฤษ) ดังนี้:
15 “ในสารจากบิชอปแห่งอูดิน [อิตาลี] ลงวันที่ 19 ตุลาคม [1935] เขาเขียนว่า ‘ไม่สมควรแก่เวลาและไม่เหมาะที่พวกเราจะกล่าวว่าเรื่องนี้ผิดหรือถูก. หน้าที่ของเราในฐานะชาวอิตาลีและยิ่งกว่านั้นในฐานะเป็นคริสเตียนก็คือให้การสนับสนุนกองทัพของพวกเรา.’ บิชอปแห่งปาดัวได้เขียนเมื่อวันที่ 21 ตุลาคมว่า ‘ในยามอันยากลำบากที่เราผ่าน เราขอให้พวกท่านมีความศรัทธาในตัวนักการเมืองและกองทัพของเรา.’ วันที่ 24 ตุลาคม บิชอปแห่งเครโมนาได้ทำพิธีทำให้ธงประจำกองทหารต่าง ๆ ศักดิ์สิทธิ์และกล่าวว่า ‘ขอพระพรของพระเจ้ามีแก่ทหารเหล่านี้ ประจำอยู่บนผืนแผ่นดินแอฟริกา ซึ่งจะพิชิตแผ่นดินใหม่อันอุดมสมบูรณ์สำหรับชาวอิตาลีที่ฉลาดหลักแหลม, โดยวิธีนี้เป็นการนำวัฒนธรรมแบบโรมันและแบบคริสเตียนไปสู่พวกเขา. ขอให้อิตาลียืนผงาดอีกครั้งในฐานะคริสเตียนผู้ชี้นำแก่โลกทั้งมวล.’”
16 อะบิสซีเนียถูกช่วงชิง พร้อมกับการอวยพรจากนักบวชโรมันคาทอลิก. ไม่ว่าในแง่ใดก็ตาม มีใครในพวกเขากล่าวอ้างได้ไหมว่า เขาเป็นอย่างอัครสาวกเปาโลซึ่ง “หมดราคีจากโลหิตของคนทั้งปวง”?—กิจการ 20:26, ล.ม.
17. สเปนได้ทนทุกข์อย่างไรเนื่องจากพวกนักเทศน์นักบวชของเขาไม่ “ตีดาบของเขาเป็นผาลไถนา”?
17 นอกจากเยอรมนี, อิตาลี และอะบิสซีเนียแล้ว สเปนเป็นอีกชาติหนึ่งที่ตกเป็นเหยื่อการผิดประเวณีของบาบิโลนใหญ่. สงครามกลางเมืองในประเทศนั้นปะทุขึ้นระหว่างปี 1936-1939 ส่วนหนึ่งเนื่องจากการที่รัฐบาลประชาธิปไตยเริ่มลดอำนาจยิ่งใหญ่แห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิก. ระหว่างการสงครามดำเนินอยู่ ฟรังโก ผู้นำกำลังฝ่ายปฏิวัติแห่งพรรคฟาสซิสต์ซึ่งเป็นชาวคาทอลิก เรียกตัวเองเป็น “นายพลคริสเตียนแห่งสงครามศักดิ์สิทธิ์” ตำแหน่งที่เขายกเลิกในเวลาต่อมา. ชาวสเปนหลายแสนคนเสียชีวิตในการสู้รบ. นอกจากนี้ ตามการประเมินอย่างต่ำ พรรคชาตินิยมของฟรังโกได้สังหารสมาชิกพรรคราษฎร 40,000 คน ขณะที่ฝ่ายหลังได้สังหารฝ่ายนักบวชไป 8,000 คน ได้แก่บาทหลวง, ชี, และผู้ที่ฝึกหัดเป็นนักบวช. นั่นคือความสยดสยองและโศกนาฏกรรมของสงครามกลางเมือง ซึ่งแสดงให้เห็นความสุขุมรอบคอบแห่งการเอาใจใส่คำตรัสของพระเยซูที่ว่า “จงเอาดาบใส่ฝักเสีย ด้วยว่าบรรดาผู้ถือดาบจะต้องพินาศเพราะดาบ.” (มัดธาย 26:52) น่ารังเกียจเสียจริงที่คริสต์ศาสนจักรเข้าไปเกี่ยวข้องกับการทำให้โลหิตตกอย่างขนานใหญ่เช่นนั้น! นักเทศน์นักบวชล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าจริง ๆ ที่จะ “ตีดาบของเขาเป็นผาลไถนา”!—ยะซายา 2:4.
พ่อค้าเดินทางทั้งหลาย
18. ใครคือ “พวกพ่อค้าเดินทางแห่งแผ่นดินโลก”?
18 ใครคือ “พวกพ่อค้าเดินทางแห่งแผ่นดินโลก”? โดยไม่แคลงใจ ทุกวันนี้เราคงจะเรียกพวกเขาว่าพ่อค้า, ยักษ์ใหญ่ในวงการค้า, นักธุรกิจเจ้าเล่ห์ในธุรกิจใหญ่. ทั้งนี้ไม่ใช่จะบอกว่า การประกอบธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมายนั้นผิด. คัมภีร์ไบเบิลมีคำแนะอันสุขุมสำหรับนักธุรกิจ โดยเตือนถึงเรื่องความไม่ซื่อสัตย์, ความโลภ, และเรื่องอื่น ๆ ทำนองนั้น. (สุภาษิต 11:1; ซะคาระยา 7:9, 10; ยาโกโบ 5:1-5) ผลกำไรที่ดีกว่าคือ “ความเลื่อมใสพระเจ้าประกอบกับสันโดษ.” (1 ติโมเธียว 6:6, 17-19, ล.ม.) ทว่า โลกของซาตานไม่ปฏิบัติตามหลักการที่ชอบธรรม. การทุจริตมีอยู่มากมาย พบเห็นได้ในศาสนา, ในการเมือง—และในธุรกิจใหญ่ ๆ. สื่อมวลชนมักเผยให้ทราบเรื่องการอื้อฉาวเป็นครั้งคราว เช่นเรื่องข้าราชการระดับสูงยักยอกทรัพย์สินและการค้าอาวุธเถื่อน.
19. ข้อเท็จจริงอะไรเกี่ยวกับเศรษฐกิจของโลกที่ช่วยอธิบายสาเหตุที่พระธรรมวิวรณ์กล่าวถึงพวกพ่อค้าแห่งแผ่นดินโลกในแง่ไม่ดี?
19 การค้าขายอาวุธระหว่างชาติมีมูลค่าถีบตัวสูงขึ้นกว่า 25,000,000,000,000 บาทแต่ละปี ในขณะที่มนุษย์หลายร้อยล้านขาดสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต. นั่นก็เลวร้ายพออยู่แล้ว. แต่ปรากฏว่า อาวุธยุทธภัณฑ์เป็นสิ่งสนับสนุนขั้นพื้นฐานของเศรษฐกิจโลก. เมื่อวันที่ 11 เมษายน 1987 บทความในวารสารสเปกเทเทอร์ แห่งลอนดอนรายงานว่า “เมื่อนับเฉพาะแต่อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องโดยตรง มีงานประมาณ 400,000 ตำแหน่งในสหรัฐ และ 750,000 ตำแหน่งในยุโรปที่เกี่ยวข้อง. แต่ที่น่าสนเท่ห์ ในเมื่อบทบาทของสังคมและเศรษฐกิจของการสร้างอาวุธยุทธภัณฑ์นั้นเพิ่มมากยิ่งขึ้น ปัญหาแท้ ๆ ที่ว่าผู้ผลิตได้รับการคุ้มกันเป็นอย่างดีหรือไม่นั้นได้เงียบหายไปเลย.” กำไรจำนวนมากมายได้จากการขายระเบิดและอาวุธยุทโธปกรณ์ชนิดอื่น ๆ ไปทั่วโลก กระทั่งขายแก่ผู้ที่อาจจะเป็นศัตรูได้ด้วยซ้ำ. สักวันหนึ่งระเบิดเหล่านั้นอาจย้อนกลับมาเป็นไฟทำลายล้างผู้ขายก็ได้. ช่างขัดแย้งกันเสียจริง ๆ! นอกจากนี้แล้ว อุตสาหกรรมสร้างอาวุธก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยการทุจริตกินสินบน. ในสหรัฐแห่งเดียว ตามที่ลงในวารสารสเปกเทเทอร์: “ทุกปีกระทรวงกลาโหมของสหรัฐสูญเสียเครื่องอาวุธยุทโธปกรณ์มูลค่าถึง 22,500 ล้านบาทอย่างไม่อาจอธิบายได้.” ไม่แปลกใจที่พระธรรมวิวรณ์กล่าวถึงพวกพ่อค้าแห่งแผ่นดินโลกในแง่ที่ไม่เป็นผลดีแก่เขา!
20. ตัวอย่างอะไรแสดงถึงการที่ศาสนาเข้าเกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจที่ทุจริต?
20 ดังทูตสวรรค์ผู้ทรงสง่าราศีบอกล่วงหน้า ศาสนาได้เข้าไปเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งในการดำเนินธุรกิจที่ทุจริตดังกล่าว. ตัวอย่างเช่น ความเกี่ยวพันของวาติกันในการล้มละลายของธนาคารบังโก อัมโบรซิอาโน ในอิตาลีเมื่อปี 1982. คดียืดเยื้อมาตลอดทศวรรษ 1980 มีปัญหาซึ่งยังไม่ได้คำตอบคือ เงินไปอยู่ที่ไหน? เดือนกุมภาพันธ์ 1987 ศาลเมืองมิลานได้ออกหมายจับบาทหลวงสามคนแห่งวาติกัน รวมทั้งอาร์ชบิชอปชาวอเมริกันอีกหนึ่งคน ด้วยข้อหาสมรู้ร่วมคิดกันทำให้ล้มละลายโดยการฉ้อโกง แต่ทางวาติกันได้ปฏิเสธคำขอให้ส่งผู้ต้องหาข้ามแดน. เดือนกรกฎาคม 1987 ท่ามกลางเสียงคัดค้านขนานใหญ่ หมายจับครั้งนั้นถูกลบล้างไปโดยคำสั่งของศาลอุทธรณ์สูงสุดของอิตาลี โดยอาศัยสนธิสัญญาเก่าระหว่างวาติกันกับรัฐบาลอิตาลี.
21. เราทราบอย่างไรว่า พระเยซูไม่มีความเกี่ยวพันใด ๆ เลยกับการดำเนินธุรกิจที่น่าสงสัยในสมัยของพระองค์ แต่เราเห็นว่ามีอะไรอยู่ในศาสนาแบบบาบิโลนในทุกวันนี้?
21 พระเยซูมีความเกี่ยวพันกับการดำเนินธุรกิจที่น่าสงสัยในสมัยของพระองค์ไหม? ไม่มีเลย. พระองค์ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินเสียด้วยซ้ำ เพราะพระองค์ “ไม่มีที่จะวางศีรษะ.” พระองค์เคยแนะนำนักปกครองหนุ่มที่มั่งคั่งดังนี้: “จงไปขายบรรดาสิ่งของซึ่งท่านมีอยู่แจกจ่ายให้คนอนาถา. ท่านจึงจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์, แล้วจงตามเรามา.” นั่นคือคำแนะนำที่ดี เพราะคำแนะนำนั้นอาจยังผลให้เขาขจัดความกังวลใจทุกอย่างในเรื่องธุรกิจออกไป. (ลูกา 9:58; 18:22) ในทางตรงกันข้าม ศาสนาแบบบาบิโลนมักจะมีความสัมพันธ์ที่ฉาวโฉ่กับธุรกิจใหญ่. ยกตัวอย่าง เมื่อปี 1987 หนังสือพิมพ์ อัลบานี ไทมส์ ยูเนียน รายงานว่า ผู้บริหารการเงินของเขตปกครองของอาร์ชบิชอปคาทอลิกแห่งไมอามี รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ได้ยอมรับว่า คริสตจักรเป็นเจ้าของหุ้นบริษัทต่าง ๆ ที่ผลิตอาวุธนิวเคลียร์, ภาพยนตร์ประเภทห้ามเด็กเข้าชม, และบุหรี่.
“ประชาชนของเรา จงออกมาจากเมืองนี้”
22. (ก) เสียงจากสวรรค์กล่าวอย่างไร? (ข) สิ่งใดยังความปีติยินดีแก่ประชาชนของพระเจ้าในปี 537 ก่อนสากลศักราชและในปีสากลศักราช 1919?
22 คำพูดของโยฮันต่อจากนั้นชี้ให้เห็นความสำเร็จเป็นจริงขั้นต่อไปของแบบอย่างเชิงพยากรณ์ที่ว่า “แล้วข้าพเจ้าได้ยินเสียงอีกเสียงหนึ่งจากสวรรค์ตรัสว่า ‘ประชาชนของเรา จงออกมาจากเมืองนี้ ถ้าพวกเจ้าไม่อยากมีส่วนร่วมในการบาปของเมืองนี้ และถ้าพวกเจ้าไม่อยากได้รับภัยพิบัติของเมืองนี้.’” (วิวรณ์ 18:4, ล.ม.) คำพยากรณ์ต่าง ๆ ในพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูว่าด้วยความล่มจมของบาบิโลนโบราณรวมเอาพระบัญชาของพระยะโฮวาต่อประชาชนของพระองค์ไว้เช่นกันที่ว่า “จงเลื่อนหนีออกจากที่ท่ามกลางเมืองบาบูโลน.” (ยิระมะยา 50:8, 13) ในทำนองคล้ายกัน เมื่อคำนึงถึงความร้างเปล่าของบาบิโลนใหญ่ซึ่งจะมีมา บัดนี้ ประชาชนของพระเจ้าได้รับคำเตือนให้หนี. ในปี 537 ก่อนสากลศักราช โอกาสที่จะหนีออกจากบาบิโลนก่อความยินดีอย่างมากมายแก่ชาวอิสราเอลที่ซื่อสัตย์. เช่นเดียวกัน การปลดปล่อยประชาชนของพระเจ้าจากการเป็นเชลยของบาบิโลนในปี 1919 นั้นได้ยังความปีติยินดีแก่พวกเขา. (วิวรณ์ 11:11, 12) และตั้งแต่นั้นมา ผู้คนหลายล้านได้เชื่อฟังคำสั่งให้หนี.
23. เสียงจากสวรรค์เน้นความเร่งด่วนของการหนีออกจากบาบิโลนใหญ่อย่างไร?
23 การหนีออกจากบาบิโลนใหญ่โดยถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกศาสนาต่าง ๆ ของโลกและแยกตัวโดยสิ้นเชิงนั้นเป็นเรื่องเร่งด่วนจริง ๆ ไหม? ใช่แล้ว เพราะเราจำต้องรับเอาทัศนะของพระเจ้าเกี่ยวกับสิ่งใหญ่มหึมาด้านศาสนาซึ่งมีมานานแล้วนี้ ซึ่งได้แก่บาบิโลนใหญ่. พระเจ้าตรัสอย่างตรงไปตรงมาเมื่อเรียกบาบิโลนใหญ่ว่าหญิงแพศยาคนสำคัญ. ฉะนั้น บัดนี้ เสียงจากสวรรค์แจ้งให้โยฮันรู้ต่อไปอีกเกี่ยวกับหญิงแพศยาคนนี้ว่า “เพราะบาปของเมืองนี้กองสูงจรดสวรรค์แล้ว และพระเจ้าไม่ทรงลืมการอยุติธรรมของเมืองนี้. เมืองนี้ได้ทำอย่างไรจงทำต่อเมืองนี้อย่างนั้น และจงทำต่อเมืองนี้เป็นสองเท่า คือสองเท่าของสิ่งที่เมืองนี้ได้ทำ เมืองนี้ผสมสิ่งใดใส่ไว้ในถ้วย จงผสมสิ่งนั้นใส่ให้เมืองนี้เป็นสองเท่า. เมืองนี้ทำให้ตนเองได้รับการยกย่องและดำเนินชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยไร้ยางอายมากเท่าใด จงทรมานและทำให้เมืองนี้โศกเศร้ามากเท่านั้น เพราะเมืองนี้พูดในใจอยู่เสมอว่า ‘เราเป็นราชินี ไม่ใช่หญิงม่าย เราจะไม่มีวันโศกเศร้า.’ ด้วยเหตุนี้ ภัยพิบัติของเมืองนี้จะเกิดขึ้นในวันเดียว คือความตาย ความโศกเศร้า การขาดแคลนอาหาร และเมืองนี้จะถูกเผาด้วยไฟจนสิ้นซาก เพราะพระยะโฮวาพระเจ้าผู้ทรงพิพากษาเมืองนี้เป็นผู้ทรงฤทธิ์.”—วิวรณ์ 18:5-8, ล.ม.
24. (ก) ประชาชนของพระเจ้าต้องหนีอออกจากบาบิโลนใหญ่เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งใด? (ข) เหล่าคนที่ไม่หนีออกจากบาบิโลนใหญ่มีส่วนร่วมกับเมืองนั้นในบาปอะไรบ้าง?
24 ช่างเป็นถ้อยคำที่หนักแน่นจริง ๆ! ฉะนั้น จำต้องลงมือปฏิบัติ. ยิระมะยาได้เร่งเร้าชาวอิสราเอลสมัยของท่านให้ลงมือปฏิบัติ โดยบอกว่า “จงหนีจากที่ท่ามกลางเมืองบาบูโลน . . . เพราะเวลานี้เป็นวันกำหนดความกริ้วแห่งพระยะโฮวา, พระองค์จะให้ความตอบแทนคืนแก่เมืองบาบูโลน. ดูกรไพร่พลของเรา, เจ้าทั้งหลายจงออกมาแต่ท่ามกลางเมืองบาบูโลน, แลเจ้าทุกคนจงเอาชีวิตของตัวให้พ้นความพิโรธอันกล้าแห่งพระยะโฮวาเถิด.” (ยิระมะยา 51:6, 45) ด้วยวิธีคล้ายคลึงกัน เสียงจากสวรรค์เตือนประชาชนของพระเจ้าในทุกวันนี้ให้หนีออกจากบาบิโลนใหญ่เพื่อจะไม่ได้รับภัยพิบัติอันจะมีแก่เมืองนั้น. การพิพากษาที่เป็นเสมือนภัยพิบัติซึ่งพระยะโฮวามีแก่โลกนี้ซึ่งรวมถึงบาบิโลนใหญ่ด้วยนั้นกำลังมีการประกาศอยู่ในเวลานี้. (วิวรณ์ 8:1–9:21; 16:1-21) ประชาชนของพระเจ้าจะต้องแยกตัวออกจากศาสนาเท็จ หากพวกเขาเองไม่ต้องการทนรับพิบัติภัยเหล่านั้นและในที่สุดก็ตายไปพร้อมกับศาสนาเท็จ. นอกจากนั้น การยังคงอยู่ภายในองค์การนั้นย่อมทำให้พวกเขามีส่วนในการบาปขององค์การนั้น. พวกเขาจะมีความผิดพอ ๆ กับองค์การนั้นในการเล่นชู้ฝ่ายวิญญาณและการทำให้โลหิต “คนทั้งปวงที่ถูกฆ่าบนแผ่นดินโลก” ไหลออก.—วิวรณ์ 18:24, ล.ม.; เทียบกับเอเฟโซ 5:11; 1 ติโมเธียว 5:22.
25. ประชาชนของพระเจ้าออกจากบาบิโลนโบราณด้วยวิธีใดบ้าง?
25 ทว่า ประชาชนของพระเจ้าออกจากบาบิโลนใหญ่โดยวิธีใด? ในกรณีของบาบิโลนโบราณ พวกยิวต้องเดินทางจริง ๆ จากเมืองบาบิโลนกลับไปสู่แผ่นดินแห่งคำสัญญา. แต่ไม่เพียงแค่นั้น. ยะซายากำชับเป็นเชิงพยากรณ์แก่ชาวอิสราเอลดังนี้: “จงหลีกหนี จงหลีกหนี จงออกจากที่นั่น อย่าแตะต้องสิ่งใด ๆ ที่ไม่สะอาด; จงออกจากท่ามกลางเมืองนั้น จงรักษาตัวเจ้าให้สะอาด เจ้าทั้งหลายผู้ถือเครื่องภาชนะของพระยะโฮวา.” (ยะซายา 52:11, ล.ม.) ถูกแล้ว พวกเขาต้องเลิกกิจปฏิบัติทุกอย่างที่ไม่สะอาดของศาสนาแบบบาบิโลนซึ่งอาจทำให้การนมัสการที่เขาถวายแด่พระยะโฮวานั้นมัวหมอง.
26. คริสเตียนชาวโกรินโธเชื่อฟังคำสั่งที่ว่า ‘จงออกมาจากท่ามกลางพวกเขาและเลิกแตะต้องสิ่งที่เป็นมลทิน’ นั้นอย่างไร?
26 อัครสาวกเปาโลได้ยกถ้อยคำของยะซายาขึ้นมากล่าวในจดหมายที่เขียนถึงชาวโกรินโธดังนี้: “อย่าเข้าเทียมแอกอย่างไม่เสมอกันกับคนไม่มีความเชื่อ. เพราะความชอบธรรมมีมิตรภาพอะไรกับการละเลยกฎหมาย? หรือความสว่างมีส่วนอะไรกับความมืด? . . . พระยะโฮวาตรัสว่า ‘เหตุฉะนั้น จงออกมาจากท่ามกลางพวกเขา และแยกตัวอยู่ต่างหาก และเลิกแตะต้องสิ่งที่เป็นมลทิน.’” คริสเตียนชาวโกรินโธไม่จำเป็นต้องจากเมืองโกรินโธไปเพื่อจะเชื่อฟังคำสั่งนี้. แต่ในภาคปฏิบัติ พวกเขาต้องไม่เกี่ยวข้องกับวิหารต่าง ๆ ที่ไม่สะอาดของศาสนาเท็จ และในฝ่ายวิญญาณ เขาต้องแยกตัวเองต่างหากจากการกระทำที่ไม่สะอาดของพวกที่นมัสการรูปเคารพ. ในปี 1919 ประชาชนของพระเจ้าเริ่มหนีออกจากบาบิโลนใหญ่ด้วยวิธีนี้ โดยชำระตัวสะอาดจากคำสอนและกิจปฏิบัติต่าง ๆ ที่ไม่สะอาดซึ่งยังหลงเหลืออยู่. ด้วยวิธีนั้น พวกเขาจึงสามารถรับใช้พระองค์ในฐานะประชาชนที่ได้ชำระตัวสะอาดแล้ว.—2 โกรินโธ 6:14-17, ล.ม.; 1 โยฮัน 3:3.
27. มีความคล้ายคลึงกันอย่างไรระหว่างการพิพากษาบาบิโลนโบราณกับการพิพากษาบาบิโลนใหญ่?
27 การล่มจมของบาบิโลนโบราณและในที่สุดก็การทำให้ร้างเปล่านั้นเป็นการสำเร็จโทษเนื่องด้วยบาปของเมืองนั้น. “เพราะว่าการพิพากษามันได้ขึ้นไปถึงฟ้าสวรรค์.” (ยิระมะยา 51:9, ฉบับแปลใหม่) ทำนองคล้ายกัน บาปของบาบิโลนใหญ่ได้ “กองสูงจรดสวรรค์แล้ว” จึงมาถึงขั้นที่พระยะโฮวาเองจะทรงเอาพระทัยใส่. บาบิโลนใหญ่มีความผิดฐานทำการอยุติธรรม, บูชารูปเคารพ, ผิดศีลธรรม, กดขี่, ปล้นทรัพย์, และฆาตกรรม. ที่บาบิโลนโบราณล่มจมนั้น ส่วนหนึ่งเป็นการแก้แค้นที่เมืองนั้นได้ทำต่อพระวิหารของพระยะโฮวาและผู้นมัสการแท้ของพระองค์. (ยิระมะยา 50:8, 14; 51:11, 35, 36) ความล่มจมของบาบิโลนใหญ่และการทำลายในที่สุดนั้นเป็นการแก้แค้นแบบเดียวกันต่อบาบิโลนใหญ่เนื่องจากสิ่งที่เมืองนี้ได้ทำต่อผู้นมัสการแท้มาตลอดหลายศตวรรษ. แท้จริง การทำลายเมืองนี้ในที่สุดเป็นการเริ่มต้น “วันแห่งความแก้แค้นของพระยะโฮวา.”—ยะซายา 34:8-10; 61:2; ยิระมะยา 50:28.
28. พระยะโฮวาทรงใช้มาตรฐานความยุติธรรมอะไรกับบาบิโลนใหญ่ และเพราะเหตุใด?
28 ภายใต้พระบัญญัติของโมเซ ถ้าชาวอิสราเอลคนใดขโมยของเพื่อนบ้านด้วยกัน เขาต้องชดใช้คืนอย่างน้อยสองเท่า. (เอ็กโซโด 22:1, 4, 7, 9) ในการทำลายที่จะเกิดขึ้นกับบาบิโลนใหญ่นั้น พระยะโฮวาจะทรงใช้มาตรฐานความยุติธรรมที่ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน. บาบิโลนใหญ่พึงต้องได้รับเป็นสองเท่าของสิ่งที่ได้ทำไป. จะไม่มีการแสดงความเมตตาเพราะบาบิโลนใหญ่ไม่เคยเมตตาเหยื่อของมันเลย. บาบิโลนใหญ่มีชีวิตอยู่ได้โดยเป็นกาฝากเกาะกินผู้คนบนแผ่นดินโลกเพื่อรักษาตัวอยู่ในความ “หรูหราฟุ่มเฟือยไร้ยางอาย.” บัดนี้ เมืองนี้จะประสบความทุกข์และความเศร้าโศก. บาบิโลนโบราณรู้สึกว่า ตนอยู่ในฐานะมั่นคงปลอดภัย โอ้อวดว่า “ข้าฯไม่ต้องนั่งเหงาอย่างหญิงม่าย, หรือข้าฯไม่ต้องจากลูก!” (ยะซายา 47:8, 9, 11) บาบิโลนใหญ่ก็รู้สึกว่าตนปลอดภัยเหมือนกัน. แต่ความพินาศตามที่พระยะโฮวา “ผู้ทรงฤทธิ์” ได้ทรงกำหนดไว้แล้วนั้นจะบังเกิดแก่เมืองนี้อย่างรวดเร็วราวกับ “ในวันเดียว”!
[เชิงอรรถ]
a พระคัมภีร์ฉบับแปลโลกใหม่ที่มีข้ออ้างอิง, เชิงอรรถ.
[กรอบหน้า 263]
“กษัตริย์ทั้งหลาย . . . ได้ทำผิดประเวณีกับเมืองนี้”
ในตอนต้นทศวรรษ 1800 พวกพ่อค้าชาวยุโรปได้ลักลอบนำฝิ่นจำนวนมากมายเข้าไปในประเทศจีน. ในเดือนมีนาคม 1839 เจ้าหน้าที่จีนพยายามหยุดยั้งการค้าผิดกฎหมายนั้นโดยการยึดยาเสพย์ติดจำนวน 20,000 ลังจากพ่อค้าชาวอังกฤษ. การนี้ทำให้เกิดภาวะตึงเครียดระหว่างจีนและอังกฤษ. ขณะที่ความสัมพันธ์ของสองประเทศเสื่อมลง มีมิชชันนารีนิกายโปรเตสแตนต์บางคนได้เร่งเร้าให้ประเทศอังกฤษเข้าสู่สงคราม ด้วยถ้อยแถลงดังนี้:
“ความยุ่งยากที่เกิดขึ้นเหล่านี้ทำให้หัวใจของข้าพเจ้ายินดีจริง ๆ เนื่องจากข้าพเจ้าคิดว่า รัฐบาลอังกฤษคงจะรู้สึกโกรธเคือง และพระเจ้าอาจทรงทำลายสิ่งกีดขวางต่าง ๆ นั้นซึ่งกีดกันกิตติคุณของพระคริสต์ไว้จากการเข้าสู่ประเทศจีนออกไปเสียด้วยพลังอำนาจของพระองค์.”—เฮนริเอ็ตตา ชัค มิชชันนารีของนิกายเซาเทิร์น แบพติสต์.
ในที่สุด สงครามก็ระเบิดขึ้น—สงครามซึ่งเป็นที่รู้จักกันในทุกวันนี้ว่าสงครามฝิ่น. พวกมิชชันนารีต่างก็สนับสนุนบริเตนอย่างสุดหัวใจด้วยคำกล่าวต่าง ๆ ดังต่อไปนี้:
“ข้าพเจ้าอดไม่ได้ที่จะมองย้อนหลังสภาพการณ์ในปัจจุบันว่าไม่เป็นเพียงเรื่องฝิ่นหรือเรื่องของประเทศอังกฤษ แต่เป็นการกำหนดอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเพื่อทำให้การชั่วของมนุษย์เป็นประโยชน์ต่อพระประสงค์แห่งพระเมตตาคุณของพระองค์ที่มีต่อประเทศจีนในการเจาะทะลุกำแพงแห่งการจำกัดตนเองไว้จากโลกภายนอก.”—พีเตอร์ พาร์เกอร์ มิชชันนารีนิกายคองกรีเกชันแนลลิสต์.
มิชชันนารีนิกายคองกรีเกชันแนลลิสต์อีกคนหนึ่ง แซมมิวเอล ดับเบิลยู. วิลเลียมส์ กล่าวเสริมว่า “พระหัตถ์ของพระเจ้าได้เป็นที่ปรากฏชัดในทุกสิ่งซึ่งได้เกิดขึ้นในท่าทีที่น่าสังเกต และเราไม่สงสัยเลยว่า พระองค์ผู้ตรัสว่า พระองค์เสด็จมาเพื่อยังกระบี่ลงเหนือแผ่นดินโลกได้เสด็จมาที่นี่และไม่สงสัยว่าเพื่อความพินาศอย่างรวดเร็วของเหล่าศัตรูของพระองค์และการสถาปนาราชอาณาจักรของพระองค์ขึ้น. พระองค์จะทรงทำลายและทำลายจนกว่าจะได้สถาปนาองค์สันติราชขึ้นมา.”
เกี่ยวกับการสังหารชาวจีนอย่างน่ากลัวนั้น มิชชันนารี เจ. ลูอิส ชัค เขียนว่า “ข้าพเจ้าถือว่าการกระทำเช่นนั้น . . . เป็นเครื่องมือโดยตรงขององค์พระผู้เป็นเจ้าในการกำจัดของเสียซึ่งขัดขวางการก้าวหน้าของสัจธรรม.”
มิชชันนารีนิกายคองกรีเกชันแนลลิสต์ เอไลจาห์ ซี. บริจมัน กล่าวเสริมว่า “พระเจ้ามักจะทรงใช้ประโยชน์ของกองทหารอันเข้มแข็งแห่งพลังฝ่ายโลกเพื่อเตรียมทางไว้สำหรับราชอาณาจักรของพระองค์ . . . ตัวแทนในปฏิบัติการอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้คือมนุษย์ พลังอำนาจที่ทรงนำเป็นของพระเจ้า. ผู้ปกครององค์สูงสุดแห่งทุกชาติได้ทรงใช้ประเทศอังกฤษให้ลงโทษและทำให้จีนถ่อมตน.”—ข้อความที่ยกมากล่าวนำมาจาก “เป้าประสงค์และวิธีที่ใช้” พิมพ์เมื่อปี 1974 บทประพันธ์โดยสจ๊วต เครจ์ตัน มิลเลอร์ ลงพิมพ์ในการดำเนินงานของมิชชันนารีในจีนและอเมริกา (การศึกษาค้นคว้าของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เรียบเรียงโดยจอห์น เค. แฟร์แบงก์).
[ภาพหน้า 264]
“พวกพ่อค้าเดินทาง . . . ก็ร่ำรวย”
“ระหว่างปี 1929 และการระเบิดของสงครามโลกครั้งที่สอง [เบอร์นาดิโน] โนการา [ผู้บริหารด้านการคลังของวาติกัน] ได้จัดสรรเงินทุนของวาติกันและตัวแทนของวาติกันให้ดำเนินงานในกิจการด้านต่าง ๆ เกี่ยวกับเศรษฐกิจของอิตาลี—โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านพลังงานไฟฟ้า, การสื่อสารทางโทรศัพท์, สินเชื่อและการธนาคาร, การรถไฟขนาดเล็ก, และการผลิตเครื่องมือเครื่องใช้ทางการเกษตร, ปูนซีเมนต์, และใยสังเคราะห์ต่าง ๆ. การลงทุนเหล่านี้หลายชนิดมีผลกำไร.
“โนการาได้รวบหลายบริษัทเอาไว้รวมทั้งบริษัทลา โซซิเอตา อิตาเลียนา เดลลา วิสโคซา, ลา ซุปเปอร์เทสไซล์, ลา โซซิเอตา เมอริดิโอเนล อินดัสตรี เทสซิลี, และลา ซิซาเรออง. โดยรวมบริษัทเหล่านี้เป็นบริษัทเดียว ซึ่งเขาให้ชื่อว่าซีซา–วิสโคซา และมอบให้อยู่ภายใต้การควบคุมของบารอน ฟรานเซสโก มาเรีย อ็อดดาสโซ ฆราวาสคนหนึ่งที่ได้รับความไว้วางใจสูงสุดของวาติกัน ต่อมาโนการาได้ทำให้มีการรวมบริษัทใหม่ขึ้นโดยบริษัทผู้ผลิตสิ่งทอรายใหญ่ที่สุดของอิตาลี เอสเอ็นไอเอ–วิสโคซา. ในที่สุด ผลประโยชน์ของวาติกันในเอสเอ็นไอเอ–วิสโคซาก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุดวาติกันก็ได้เข้าควบคุมทั้งหมด—ดังข้อเท็จจริงอันเป็นพยานหลักฐานที่ว่าหลังจากนั้นบารอน อ็อดดาสโซได้เป็นรองประธานบริษัท.
“ด้วยวิธีนี้โนการาได้แทรกซึมเข้าไปในอุตสาหกรรมสิ่งทอ. เขาได้แทรกซึมเข้าไปในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ด้วยวิธีการอื่น เนื่องจากโนการามีกลเม็ดในการดำเนินการอยู่มากมาย. คนที่ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวผู้นี้ . . . ได้ทำมากกว่านักธุรกิจคนอื่นใดในประวัติศาสตร์ของอิตาลีเพื่อให้เศรษฐกิจของอิตาลีรุ่งเรือง . . . เบนิโต มุสโสลินีไม่เคยสามารถบรรลุถึงจักรวรรดิซึ่งเขาใฝ่ฝันเลย แต่เขาได้ทำให้วาติกันและเบอร์นาดิโน โนการา สามารถสร้างอำนาจแห่งจักรวรรดิอีกอย่างหนึ่งขึ้นมาได้.”—จักรวรรดิวาติกัน โดย นิโน โล เบลโล หน้า 71-73.
นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้นของการร่วมมือกันระหว่างพวกพ่อค้าแห่งแผ่นดินโลกกับบาบิโลนใหญ่. ไม่น่าแปลกที่พ่อค้าเหล่านั้นจะร่ำไห้เสียใจในคราวเมื่อหุ้นส่วนธุรกิจของพวกเขาไม่มีอีกแล้ว!
[ภาพหน้า 259]
ขณะที่มนุษย์กระจัดกระจายไปทั่วแผ่นดินโลก พวกเขาได้นำเอาศาสนาของบาบิโลนไปด้วย
[ภาพหน้า 261]
ชนจำพวกโยฮันเป็นเสมือนคนยาม ประกาศว่าบาบิโลนล่มจมแล้ว
[ภาพหน้า 266]
สถานปรักหักพังของบาบิโลนโบราณชี้บอกล่วงหน้าถึงความพินาศที่กำลังจะเกิดแก่บาบิโลนใหญ่