เลือด—จำเป็นอย่างยิ่งต่อชีวิต
เลือดจะช่วยชีวิตคุณได้อย่างไร? แน่นอน คุณย่อมสนใจเรื่องนี้เพราะเลือดเกี่ยวข้องกับชีวิตของคุณ. เลือดนำออกซิเจนไปทั่วร่างกายของคุณ ขจัดคาร์บอนไดออกไซด์ ช่วยในการปรับตัวเข้ากับอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง และช่วยคุณในการต่อสู้กับเชื้อโรค.
มีการกล่าวถึงความเกี่ยวพันระหว่างชีวิตและเลือดมานานแล้ว ก่อนที่วิลเลียม ฮาร์วีย์ จะเขียนแผนผังของระบบไหลเวียนในปี 1628. หลักศีลธรรมพื้นฐานของศาสนาใหญ่ ๆ มีจุดรวมอยู่ที่พระผู้ให้ชีวิต ผู้ทรงแถลงเกี่ยวกับเรื่องชีวิตและเกี่ยวกับเลือด. นักกฎหมายซึ่งเป็นคริสเตียนชาวยิวผู้หนึ่งกล่าวเกี่ยวกับพระองค์ว่า “ด้วยว่าพระองค์เป็นผู้ได้ทรงโปรดประทานชีวิตและลมหายใจและสิ่งสารพัดแก่คนทั้งปวงต่างหาก. ด้วยว่า เรามีชีวิตและไหวตัวและเป็นอยู่ในพระองค์.”a
ผู้คนซึ่งเชื่อในพระผู้ทรงให้ชีวิตนี้ไว้วางใจว่า คำแนะนำของพระองค์มีไว้ก็เพื่อผลประโยชน์ถาวรของเรา. ผู้พยากรณ์ชาวฮีบรูคนหนึ่งพรรณนาถึงพระองค์ว่า เป็น “ผู้สั่งสอนเจ้าเพื่อประโยชน์แก่ตัวของเจ้าเอง และผู้นำเจ้าให้ดำเนินในทางที่เจ้าควรดำเนิน.”
คำยืนยันดังกล่าวที่พระธรรมยะซายา 48:17 เป็นส่วนของคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งเป็นหนังสือที่ได้รับการยอมรับกันในเรื่องของมาตรฐานทางศีลธรรมอันเป็นประโยชน์แก่เราทุกคน. พระคัมภีร์กล่าวอย่างไรเกี่ยวกับการใช้เลือดโดยมนุษย์? มีการบอกถึงวิธีที่เลือดจะช่วยชีวิตไหม? ที่จริงแล้ว พระคัมภีร์แสดงอย่างชัดเจนว่า เลือดไม่ใช่เป็นเพียงแต่ของเหลวทางชีววิทยาที่ซับซ้อนเท่านั้น. พระคัมภีร์กล่าวถึงเลือดมากกว่า 400 ครั้ง และบางครั้งเกี่ยวข้องกับการช่วยชีวิตด้วย.
ตอนหนึ่งของคำกล่าวในช่วงแรก ๆ นั้น พระผู้สร้างทรงแถลงว่า “สารพัดสัตว์ที่มีชีวิตจะเป็นอาหารของเจ้า. . . . เว้นแต่เนื้อที่ยังมีชีวิตอยู่เจ้าอย่ากินเลย คือยังมีเลือดอยู่นั้น.” พระองค์ตรัสต่อไปว่า “โลหิตที่เป็นชีวิตของเจ้านั้นเราจะทวงเอา” จากนั้นพระองค์ทรงสั่งห้ามการฆ่าคน. (เยเนซิศ 9:3-6) พระองค์ทรงกล่าวข้อความดังกล่าวแก่โนฮา ผู้เป็นบรรพบุรุษร่วมซึ่งเป็นที่ยอมรับอย่างสูงส่งโดยชาวยิว มุสลิม และคริสเตียน. ดังนั้น มนุษยชาติทั้งสิ้นจึงได้รับการแจ้งให้ทราบว่าตามทัศนะของพระผู้สร้างนั้น เลือดหมายถึงชีวิต. นี้ไม่เพียงแต่เป็นข้อบังคับเรื่องอาหารเท่านั้น. เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหลักทางศีลธรรม. โลหิตมนุษย์มีความสำคัญอย่างยิ่ง และจึงไม่ควรถูกใช้อย่างผิด ๆ. ต่อมาภายหลัง พระผู้สร้างได้ทรงเพิ่มรายละเอียดต่าง ๆ ทำให้เราเข้าใจประเด็นต่าง ๆ เกี่ยวข้องทางศีลธรรมได้ชัดเจน ซึ่งพระองค์ทรงผูกโยงกับโลหิตที่ให้ชีวิต.
พระองค์ได้ตรัสเกี่ยวกับโลหิตอีก เมื่อทรงให้พระบัญญัติแก่พวกยิศราเอลโบราณ. ขณะที่หลายคนให้ความนับถือต่อหลักศีลธรรมและสติปัญญาในกฎหมายนั้น มีน้อยคนที่รู้ว่าพระบัญญัตินั้นมีกฎหมายอันเคร่งครัดเกี่ยวกับเลือด. ตัวอย่างเช่น: “และผู้ใด ๆ แต่พวกยิศราเอล หรือแต่แขกบ้านที่อาศัยอยู่ด้วยจะกินโลหิตอย่างหนึ่งอย่างใด เราตั้งหน้าของเราต่อสู้แก่คนที่กินโลหิตนั้น และจะตัดขาดจากพรรคพวกของเขา เพราะว่าชีวิตของเนื้อหนังคือโลหิต.” (เลวีติโก 17:10, 11) จากนั้นพระเจ้าได้ทรงอธิบายถึงวิธีที่นายพรานต้องทำกับสัตว์ที่ฆ่าตายแล้วดังนี้ “ผู้นั้นต้องให้โลหิตสัตว์นั้นไหลลงที่ดินและปิดไว้. . . . อย่าได้กินโลหิตสัตว์อย่างหนึ่งอย่างใดเลย เพราะว่าชีวิตของเนื้อหนังนั้นคือโลหิต.”—เลวีติโก 17:13, 14.
ในปัจจุบันพวกนักวิทยาศาสตร์ทราบดีว่า พระบัญญัติของพวกยิวส่งเสริมให้พวกเขามีสุขภาพดี. ตัวอย่างเช่น มีคำสั่งให้มีการถ่ายของเสียนอกค่ายพักแล้วให้กลบเสีย และผู้คนจะต้องไม่บริโภคเนื้อสัตว์ที่อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อเป็นต้น. (เลวีติโก 11:4-8, 13; 17:15; พระบัญญัติ 23:12, 13) ถึงแม้ว่ากฎหมายเรื่องเลือดมีผลเกี่ยวกับสุขภาพ แต่มีความเกี่ยวข้องที่ลึกซึ้งกว่านั้นอีก. โลหิตมีความหมายเป็นนัยด้วย. โลหิตหมายถึงชีวิตที่พระผู้สร้างประทานให้. โดยการถือว่าเลือดเป็นสิ่งพิเศษ ผู้คนได้แสดงว่าเขาพึ่งพาอาศัยในพระองค์เพื่อการมีชีวิต. ถูกแล้ว เหตุผลหลักที่พวกเขาไม่ควรรับประทานเลือด ไม่ใช่เพราะเรื่องสุขภาพ แต่เป็นเพราะเลือดมีความหมายพิเศษต่อพระเจ้า.
ในพระบัญญัติมีการกล่าวข้อห้ามของพระผู้สร้างครั้งแล้วครั้งเล่าในเรื่องการรับเลือดเพื่อยังชีวิต. “เจ้าทั้งหลายอย่าได้รับประทานเลือดนั้น; เลือดนั้นจงเทให้ไหลออกที่ดินดุจดังน้ำ. อย่าได้รับประทานเลย เพื่อเจ้าทั้งหลายจะได้มีความจำเริญและลูกหลานของเจ้าทั้งหลายด้วย เมื่อเจ้าทั้งหลายกระทำซึ่งการชอบในคลองพระเนตรพระยะโฮวา.”—พระบัญญัติ 12:23-25; 15:23; เลวีติโก 7:26, 27; ยะเอศเคล 33:25.b
ตรงข้ามกับการคิดหาเหตุผลของบางคนในทุกวันนี้ กฎหมายของพระเจ้าในเรื่องเลือดไม่อาจถูกละเลย เพียงเพราะมีเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้นมา. ในระหว่างวิกฤตการณ์สงคราม ทหารชาวยิศราเอลบางคนได้ฆ่าสัตว์ และได้ “กินทั้งเลือด.” ในเวลาที่คับขันเช่นนั้น มีการอนุญาตให้พวกเขาประทังชีวิตด้วยเลือดไหม? หามิได้. ผู้บังคับบัญชาของพวกเขาได้ชี้ว่า การกระทำดังกล่าวยังคงเป็นการผิดอย่างร้ายแรง. (1 ซามูเอล 14:31-35) ดังนั้น ทั้ง ๆ ที่ชีวิตเป็นสิ่งที่มีค่ามากก็ตาม พระผู้ให้ชีวิตของเราไม่เคยตรัสว่า มาตรฐานต่าง ๆ ของพระองค์จะละเลยได้ในยามฉุกเฉิน.
โลหิตกับคริสเตียนแท้
ศาสนาคริสเตียนมีจุดยืนอย่างไรเกี่ยวกับการช่วยชีวิตมนุษย์ด้วยเลือด?
พระเยซูทรงเป็นผู้รักษาความซื่อสัตย์มั่นคง ซึ่งเป็นเหตุที่พระองค์รับการยกย่องนับถืออย่างสูงยิ่ง. พระองค์ทรงทราบถึงสิ่งที่พระผู้สร้างได้ทรงตรัสว่า การรับเลือดเป็นสิ่งที่ผิดและกฎหมายนี้ผูกพันถึงทุกคน. ดังนั้นจึงมีเหตุผลดีที่จะเชื่อว่า พระเยซูจะทรงเชื่อฟังกฎหมายเกี่ยวกับเลือด แม้ว่าพระองค์จะตกอยู่ในสภาพกดดันก็ตาม. พระเยซู “ไม่ได้ทรงทำบาปประการใด และอุบายในพระโอษฐ์ของพระองค์ก็ไม่มี.” (1 เปโตร 2:22) พระองค์จึงทรงวางแบบอย่างไว้สำหรับสาวกของพระองค์ รวมทั้งแบบอย่างของการให้ความนับถือต่อชีวิตและเลือด. (ในตอนหลัง เราจะพิจารณาถึงวิธีที่พระโลหิตของพระเยซูเองมีส่วนในเรื่องที่สำคัญนี้ซึ่งมีผลกระทบต่อชีวิตของคุณ.)
โปรดสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากพระเยซูสิ้นพระชนม์หลายปีแล้ว เมื่อเกิดปัญหาขึ้นว่า คนที่เข้ามาเป็นคริสเตียนจะต้องถือรักษาข้อกฎหมายของชนยิศราเอลทั้งหมดหรือไม่. ได้มีการอภิปรายเรื่องนี้กัน ณ สภาแห่งคณะกรรมการปกครองของคริสเตียนซึ่งมีพวกอัครสาวกรวมอยู่ด้วย. ยาโกโบน้องชายต่างบิดาของพระเยซู ได้อ้างถึงข้อความในคำสั่งเกี่ยวกับเลือดที่ให้ไว้กับโนฮา และกับชนชาติยิศราเอล. คำสั่งดังกล่าวผูกพันถึงชนคริสเตียนไหม?—กิจการ 15:1-21.
สภาดังกล่าวได้ส่งคำตัดสินไปยังทุกประชาคมว่า คริสเตียนไม่จำเป็นต้องถือรักษาข้อกฎหมายที่ให้ไว้กับโมเซ แต่เป็น “สิ่งจำเป็น” ที่พวกเขาจะ “ละเว้นจากสิ่งของซึ่งเขาได้บูชาแก่รูปเคารพและจากเลือดและจากสัตว์ที่ถูกรัดคอตาย [ไม่ได้ฆ่าให้เลือดไหลออกไปจนหมด] และจากการผิดประเวณีอยู่เสมอ.” (กิจการ 15:22-29, ล.ม.) คำสั่งของพวกอัครสาวก ไม่ได้เป็นเรื่องของพิธีกรรมทางศาสนา หรือเป็นข้อเรียกร้องในเรื่องอาหารเท่านั้น. คำสั่งนี้วางรากฐานของหลักจรรยา ซึ่งคริสเตียนในสมัยแรกปฏิบัติตาม. ประมาณหนึ่งทศวรรษต่อมา พวกเขาก็ยืนยันว่าเขายังคงจะต้อง “งดไม่รับประทานของซึ่งได้บูชาแก่รูปพระเท็จ ไม่รับประทานเลือด . . . และไม่ทำการผิดประเวณี.”—กิจการ 21:25.
คุณทราบว่ามีคนหลายล้านที่ไปโบสถ์. พวกเขาส่วนใหญ่คงจะเห็นพ้องด้วยว่า หลักจรรยาของคริสเตียนเกี่ยวข้องกับการไม่บูชารูปเคารพ รวมทั้งการไม่ประพฤติผิดศีลธรรมร้ายแรง. อย่างไรก็ดี โปรดสังเกตว่าพวกอัครสาวกได้บ่งว่า การงดเว้นจากเลือดเป็นหลักศีลธรรมที่สูงส่งเช่นเดียวกับการหลีกเว้นการผิดอื่น ๆ เหล่านั้น. คำสั่งของพวกเขาลงท้ายว่า “ถ้าท่านทั้งหลายละเว้นจากสิ่งเหล่านี้อย่างระมัดระวังเสมอ ท่านจะเจริญ. ขอให้ท่านมีสุขภาพดี!”—กิจการ 15:29, ล.ม.
ผู้คนเข้าใจเป็นเวลานานว่าคำสั่งของเหล่าอัครสาวกได้ผูกพันเขา. ยูเซบิอุสได้เล่าถึงหญิงสาวผู้หนึ่งในปลายศตวรรษที่สอง ผู้ซึ่งก่อนเสียชีวิตจากการทรมานได้ยืนยันว่า คริสเตียน “ไม่ได้รับอนุญาตให้รับประทานเลือด แม้แต่เลือดของสัตว์เดรัจฉาน.” เธอไม่ได้กำลังใช้สิทธิที่จะตาย. เธอต้องการมีชีวิตอยู่ แต่เธอจะไม่ยอมอะลุ้มอล่วยหลักการของเธอ. เรารู้สึกนับถือผู้ซึ่งยึดถือหลักการไว้เหนือประโยชน์ส่วนตัวมิใช่หรือ?
โจเซฟ พริสต์ลีย์ นักวิทยาศาสตร์กล่าวสรุปว่า “คำสั่งห้ามรับประทานเลือดซึ่งให้ไว้แก่โนฮา ดูเหมือนว่าจะครอบคลุมถึงลูกหลานทั้งหมดของเขา. . . . ถ้าเราตีความหมายคำสั่งห้ามของอัครสาวกโดยการปฏิบัติของพวกคริสเตียนรุ่นแรก ๆ ผู้ซึ่งคงเข้าใจถึงความหมายและขอบเขตของคำสั่งนี้อย่างชัดแจ้ง เราไม่อาจเข้าใจเป็นอย่างอื่นได้นอกจากสรุปว่า คำสั่งนี้ตั้งใจจะให้เป็นคำสั่งเด็ดขาดและตลอดไป เพราะคริสเตียนไม่ได้รับประทานเลือดต่อมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ.”
จะว่าอย่างไรกับการใช้เลือดเป็นยา?
คำสั่งห้ามในพระคัมภีร์เกี่ยวกับเลือดจะครอบคลุมถึงการใช้ในทางการแพทย์ไหม เช่นการถ่ายเลือด ซึ่งไม่มีการใช้วิธีการนี้ในสมัยโนฮา โมเซ หรือสมัยของอัครสาวก?
ขณะที่ในสมัยนั้นยังไม่มีการใช้วิธีการรักษาโดยใช้เลือดแบบที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน กระนั้น การใช้เลือดเพื่อการรักษาทางการแพทย์ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องใหม่. ประมาณ 2,000 ปีมาแล้ว ในอียิปต์และที่อื่น ๆ “เชื่อกันว่าโลหิตมนุษย์เป็นยารักษาโรคเรื้อนที่ดีที่สุด.” แพทย์ผู้หนึ่งได้เปิดเผยถึงการรักษาที่ให้กับราชบุตรของกษัตริย์เอซาร์–ฮัดดอน ในยุคที่ชาติอัสซีเรียยังเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีว่า “[ราชบุตร] ทรงมีอาการดีขึ้นมาก ขอให้ราชาเจ้านายของข้าทรงวางใจเถิด. เริ่มตั้งแต่วันที่ 22 เป็นต้นไปข้าพระองค์จะให้ราชบุตรดื่มโลหิต พระองค์จะทรงดื่มเป็นเวลา 3 วัน. ข้าพระองค์จะให้ (โลหิตแก่ราชบุตร) อีกสามวันเพื่อรักษาอาการภายใน.” เอซาร์–ฮัดดอนเคยมีการติดต่อกับพวกยิศราเอล. กระนั้น พวกยิศราเอลไม่เคยดื่มเลือดเป็นยา เพราะพวกเขามีกฎหมายของพระเจ้า.
มีการใช้เลือดเป็นยาในสมัยโรมันไหม? พลีนี นักนิยมธรรมชาติ (ร่วมสมัยกับเหล่าอัครสาวก) และอาเรแทอุส แพทย์ในสมัยศตวรรษที่สองรายงานว่ามีการใช้เลือดมนุษย์เพื่อรักษาโรคลมชัก. ต่อมาเทอร์ทูเลียนได้เขียนว่า “ขอนึกถึงพวกที่มีความหิวกระหายด้วยความละโมภ ในสนามประลองฝีมือ ได้ดื่มเลือดสด ๆ ของพวกอาชญากรชั่ว . . . และนำไปรักษาโรคลมชักของพวกเขา.” เทอร์ทูเลียนได้ชี้ถึงความแตกต่างระหว่างคนเหล่านั้นกับพวกคริสเตียน ผู้ซึ่ง “ไม่ยอมแม้แต่จะมีเลือดของสัตว์ในอาหาร . . . ในการพิจารณาคดีของพวกคริสเตียน พวกท่านได้เสนอไส้กรอกเลือดให้พวกเขา. แน่ล่ะ พวกท่านมั่นใจแล้วว่านี้เป็นเรื่องผิดกฎหมายสำหรับพวกเขา.” ดังนั้น คริสเตียนสมัยแรกยอมตายแทนที่จะรับประทานเลือด.
หนังสือเนื้อและเลือด รายงานว่า “เลือดอย่างที่ใช้กันทั่วไปก็ไม่ได้ . . . จางหายไปจากความนิยมในฐานะเป็นส่วนประกอบของยาและเวทย์มนต์.” หนังสือนี้กล่าวต่อไปว่า “เช่นในปี 1483 ขณะกษัตริย์หลุยส์ที่ 11 แห่งฝรั่งเศสกำลังจะสิ้นพระชนม์. ‘พระอาการประชวรทรุดหนักลงทุกวัน และพระโอสถก็ไม่ได้ช่วยอะไร แม้จะใช้สิ่งที่ไม่ใช่ธรรมดา เพราะพระองค์หวังอย่างแรงกล้าว่าจะทรงฟื้นจากพระประชวรด้วยโลหิตมนุษย์ ซึ่งพระองค์ได้จากเด็กบางคนและทรงดื่มเข้าไป.’”
จะว่าอย่างไรกับการเติมเลือด? การทดลองเรื่องนี้ได้เริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 16. โทมัส บาร์โทลิน (1616-1680) ศาสตราจารย์กายวิภาคศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน ได้คัดค้านเรื่องนี้ว่า ‘พวกที่พยายามนำเลือดมนุษย์มาใช้รักษาอาการภายในของโรคต่าง ๆ เป็นการใช้เลือดอย่างผิด ๆ และเป็นบาปมหันต์. เราสาปแช่งการกินเนื้อคน. เหตุใดจึงไม่รังเกียจพวกที่ทำให้กระเพาะของเขาเปื้อนด้วยเลือดมนุษย์? สิ่งที่เหมือนกันคือ การรับเลือดภายนอกจากเส้นเลือดดำซึ่งถูกตัด ไม่ว่าจะโดยกินด้วยปากหรือโดยอุปกรณ์ถ่ายเลือด. ผู้ที่คิดค้นการผ่าตัดนี้น่าจะมีความกลัวอย่างมากต่อกฎหมายของพระเจ้าซึ่งห้ามการกินเลือด.’
ดังนั้น บุคคลที่ช่างคิดในศตวรรษที่ผ่าน ๆ มา ตระหนักว่ากฎหมายในพระคัมภีร์ครอบคลุมถึงการรับเลือดเข้าทางเส้นเลือดดำเช่นเดียวกับการรับเข้าทางปาก. บาร์โทลินสรุปว่า “การรับเลือดไม่ว่าโดยวิธีไหน ก็บรรลุจุดประสงค์อย่างเดียวกัน นั่นคือการใช้เลือดเพื่อหล่อเลี้ยงและฟื้นฟูร่างกายที่เจ็บป่วย.”
ข้อมูลเหล่านี้อาจช่วยคุณให้เข้าใจถึงจุดยืนทางศาสนาอันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ซึ่งพยานพระยะโฮวายึดถืออยู่. พวกเขาตระหนักถึงคุณค่าอันสูงส่งของชีวิต และพวกเขาแสวงหาการรักษาทางการแพทย์อย่างดี. แต่พวกเขามีความมุ่งมั่นที่จะไม่ละเมิดมาตรฐานของพระเจ้า ซึ่งยืนยงมาตลอดที่ว่า: ผู้ที่ยอมรับว่าชีวิตเป็นของประทานจากพระผู้สร้าง ไม่พยายามยังชีวิตด้วยการรับเลือด.
กระนั้น มีการอ้างกันเป็นเวลาหลายปีมาแล้วว่าเลือดช่วยชีวิตได้. แพทย์อาจชี้ให้เห็นถึงรายที่มีการเสียเลือดอย่างฉับพลัน แต่ได้รับการถ่ายเลือดให้และดีขึ้นอย่างรวดเร็ว. ดังนั้น คุณอาจสงสัยว่า ‘แล้วเรื่องนี้เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมในทางการแพทย์?’ มีการเสนอหลักฐานทางการแพทย์สนับสนุนการรักษาที่ใช้เลือด. ดังนั้น คุณต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงเองเพื่อจะตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลครบถ้วนในเรื่องเลือด.
[เชิงอรรถ]
a เปาโล ที่พระธรรมกิจการ 17:25, 28.
b ต่อมาข้อห้ามที่คล้ายคลึงกันได้มีการเขียนไว้ในคัมภีร์กุรอาน.
[กรอบหน้า 4]
“กฎข้อบังคับที่วางไว้อย่างเป็นระบบและชัดเจนนี้ [ในกิจการบท 15] ได้รับการพรรณนาว่าเป็นสิ่งจำเป็น อันเป็นข้อพิสูจน์หนักแน่นที่สุดว่าตามความเห็นของพวกอัครสาวก นี่ไม่ใช่การจัดเตรียมชั่วคราวหรือมาตรการเฉพาะคราว.”—ศาสตราจารย์ เอดวด รูสมหาวิทยาลัยสตราสบูร์ก
[กรอบ/ภาพหน้า 5]
มาร์ติน ลูเธอร์ ได้ชี้ถึงความหมายแห่งคำสั่งของเหล่าอัครสาวกว่า “ถ้าเราจะมีคริสต์จักรที่ปฏิบัติสอดคล้องกับสภานี้แล้ว . . . เราจะต้องสอนและย้ำว่า ตั้งแต่นี้ไปห้ามไม่ให้เจ้านาย ขุนนาง ชาวเมือง หรือชาวนา รับประทานห่าน กวาง หรือหมูซึ่งต้มในเลือด . . . และโดยเฉพาะชาวเมืองกับชาวนาจะต้องงดจากไส้กรอกแดงและไส้กรอกเลือด.”
[ที่มาของภาพ]
Woodcut by Lucas Cranach
[กรอบหน้า 6]
“พระเจ้าและมนุษย์มองเรื่องราวต่าง ๆ ผิดแผกกันมาก. บ่อยครั้งสิ่งที่ดูมีความสำคัญในความคิดของเรา มักจะไม่มีความหมายอะไรในความเห็นของพระผู้ทรงปัญญาสูงสุด และบางอย่างซึ่งเราคิดว่าไม่สำคัญมักจะเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อพระเจ้า. เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว.”—“การพิจารณาเรื่องความถูกต้องของการกินเลือด,” อะเล็กซานเดอร์ ไพรี, 1787.
[ที่มาของภาพ]
Medicine and the Artist by Carl Zigrosser/DoverPublications
[รูปภาพหน้า 4]
ณ การประชุมสภาอันเป็นประวัติศาสตร์ คณะกรรมการปกครองคริสเตียนได้ยืนยันว่า กฎหมายของพระเจ้าเกี่ยวกับเรื่องเลือดยังมีผลบังคับอยู่
[รูปภาพหน้า 7]
ไม่ว่าจะต้องรับผลอย่างไร คริสเตียนในสมัยแรกปฏิเสธที่จะละเมิดกฎหมายของพระเจ้าในเรื่องเลือด
[ที่มาของภาพ]
Painting by Gérôme2, 1883, courtesy of Walters Art Gallery, Baltimore