ความทุกข์ยากจะมีวันหมดสิ้นไหม?
คุณรู้จักใครสักคนไหมซึ่งตลอดชีวิตของเขาไม่เคยประสบความลำบากเลย? คงไม่มี! และคุณรู้จักใครสักคนไหมซึ่งสามารถบอกได้อย่างน่าเชื่อว่าทำไมจึงมีความทุกข์ยากมากมายในโลก? คุณทราบไหมว่าทำไมผู้คนมีความทุกข์?
หลายคนคิดว่าที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากมีกรรม ซึ่งเป็นคำสอนที่ว่าคนเราได้รับผลสืบเนื่องจากการกระทำในชาติก่อน. การเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางว่ามีเหตุผล เนื่องจากผู้คนมักจะทนทุกข์โดยที่ไม่ใช่ความผิดของเขาเอง. เขาอาจเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน และบางคนเกิดมาไม่สมประกอบหรือพิการด้วยซ้ำ. คิดกันว่าคนเหล่านั้นถูกลงโทษเพราะเขาได้ทำสิ่งไม่ดีในชาติก่อน. บางทีคุณอาจคิดอย่างนี้เหมือนกัน.
แต่ไม่ใช่ทุกคนเห็นด้วยกับแง่คิดนี้. หลายคนเชื่อว่ามนุษย์ไม่เคยมีชีวิตในชาติก่อนซึ่งส่งผลกระทบชีวิตปัจจุบันของตน. สมควรที่เราจะพิจารณาทัศนะดังกล่าว. เพราะเหตุใด? ให้เราพิจารณาสภาพต่อไปนี้.
ในบางประเทศ ประชาชนส่วนใหญ่มีฐานะยากจนจริง ๆ. ผลที่ตามมาคือ เด็กส่วนมากในประเทศต้องประสบความยากลำบากหลายอย่าง และมักเจ็บออดแอดอีกทั้งยากจนไปตลอดชีวิต. ทั้งนี้หมายความว่าเด็ก ๆ เหล่านี้ทั้งหมดเป็นคนไม่ดีในชาติก่อนหรือ ด้วยเหตุนั้น จึงได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงเวลานี้? อีกด้านหนึ่ง ในประเทศที่อุดมมั่งคั่ง เด็ก ๆ ถือกำเนิดมาในครอบครัวซึ่งมีอันจะกิน. ดังนั้น พวกเขาจึงมีสุขภาพดีกว่า และได้รับประโยชน์ต่าง ๆ มากกว่าเด็กเหล่านั้นที่ดำรงชีวิตในประเทศยากจน. ทั้งนี้หมายความว่าเด็กที่เกิดในประเทศอันอุดมมั่งคั่ง ในชาติก่อนเป็นคนดียิ่งกว่าเด็กที่เกิดในประเทศยากจนอย่างนั้นหรือ?
มีเหตุผลจริง ๆ ไหมที่จะเชื่อเช่นนั้น? นั่นจะทำให้เราสรุปมิใช่หรือว่า ผู้คนที่เกิดในประเทศร่ำรวยเป็นคนดีกว่าคนในประเทศยากจน? แต่เรารู้ว่าการสรุปเช่นนั้นจะเป็นจริงไปไม่ได้. ฉะนั้น มีเหตุผลจะสงสัยความเชื่อที่ว่า ความทุกข์ยากของคนเราในปัจจุบันเป็นผลจากการทำชั่วในชาติก่อนตามที่คิดกัน. มีทางจะรู้ความจริงเรื่องนี้อย่างแน่นอนไหม?
มี และเรื่องนี้ได้กล่าวไว้ในหนังสือเก่าแก่ที่สุดซึ่งยังมีอยู่. หนังสือเล่มนี้ได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ มากกว่าหนังสือใด ๆ ดังนั้น ประชาชาติทั้งมวลทั่วโลกสามารถจะหามาอ่านได้. ผู้จารึกหนังสือนั้นล้วนเป็นคนอยู่แถบตะวันออกกลาง และโดยทั่วไปเรียกหนังสือนี้ว่าคัมภีร์ไบเบิล.
หนังสือเก่าแก่เล่มนี้บอกเราว่า ชายหญิงคู่แรกถูกสร้างขึ้นมาเป็นมนุษย์สมบูรณ์. เขาได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์พร้อมบนแผ่นดินโลก—อุทยานอันสวยงาม. ดังนั้น เขาทั้งสองจึงดำรงชีวิตอย่างปราศจากความทุกข์ยากใด ๆ ทั้งสิ้น. พระผู้สร้างได้ทรงกำหนดให้เขามีความสามารถที่จะแก้ไขอุปสรรคใด ๆ ซึ่งเขาอาจเผชิญ โดยไม่ต้องผ่านความยากลำบาก. มีเงื่อนไขสำคัญเพียงข้อเดียวเท่านั้นที่เขาต้องบรรลุ เพื่อจะดำรงชีวิตอย่างผาสุกต่อ ๆ ไปไม่มีกำหนด. ข้อเรียกร้องนั้นคือให้เขาแสดงความขอบคุณพระผู้สร้างของเขา โดยแสดงการเชื่อฟังกฎต่าง ๆ ของพระองค์สำหรับการมีชีวิตอยู่.
น่าเศร้า ก่อนมนุษย์คู่แรกให้กำเนิดบุตรหลาน เขาทั้งสองแสดงตนเป็นคนอกตัญญูโดยละเมิดคำสั่งง่าย ๆ ของพระผู้สร้างตัวเขา. ผลที่ตามมา เขาสูญเสียสุขภาพที่สมบูรณ์ อีกทั้งบ้านของเขาอันเป็นสวนที่งดงามด้วย. ไม่ช้า ความทุกข์ยากต่าง ๆ ก็เริ่มขึ้น รวมถึงความเจ็บป่วย, และในที่สุดความชราและความตาย. เมื่อเด็กเกิดมา เขาได้สืบทอดสภาพไม่สมบูรณ์ของบิดามารดา. ดังนั้น ตั้งแต่แรกเกิดทีเดียว มนุษย์ไม่อาจหลีกพ้นความทุกข์ยากต่าง ๆ และเขาจะต้องแก่ลงและตายไป.
เรื่องนี้ฟังดูมีเหตุผลสำหรับคุณไหม? ถ้าคิดว่าไม่มีเหตุผล ลองพิจารณาดูซิ: เด็กนับพัน ๆ คนเกิดมาพร้อมกับเชื้อไวรัสเอดส์. แน่นอน ข้อนี้หาใช่เพราะเด็กเหล่านี้ได้ทำสิ่งชั่วร้ายใด ๆ มาก่อน. เปล่าเลย เขาติดเชื้อไวรัสจากมารดาที่เป็นโรคเอดส์ต่างหาก. มารดาอาจติดเชื้อเนื่องจากดำเนินชีวิตที่ผิดศีลธรรม หรืออาจได้รับเชื้อจากสามีซึ่งเคยใช้ชีวิตอย่างผิดศีลธรรม. ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม เชื้อไวรัสถูกถ่ายทอดถึงทารกในครรภ์. ทำนองเดียวกัน เนื่องจากปัจจัยทางชีวภาพ ลูกหลานของมนุษย์คู่แรกซึ่งไม่เชื่อฟังจึงเกิดมาเป็นคนไม่สมบูรณ์.
คัมภีร์ไบเบิลแจ้งว่า มนุษย์ทุกคนต่างก็สืบเชื้อสายมาจากมนุษย์คู่แรก. ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงไม่สมบูรณ์ตั้งแต่เกิด และมักจะประสบความทุกข์ยาก. ดังนั้น คัมภีร์ไบเบิลชี้ให้เห็นว่า ความไม่สมบูรณ์ที่มนุษย์ได้รับเป็นมรดก อีกทั้งชีวิตท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ไม่สมบูรณ์ เป็นต้นเหตุสำคัญสำหรับความทุกข์ยากของมนุษย์ทุกวันนี้.
เนื่องจากไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านั้น คุณอาจสงสัยว่า ‘ไม่มีความหวังเลยหรือที่จะหลีกพ้นสภาพน่าเวทนาดังกล่าว?’ คัมภีร์ไบเบิลให้คำตอบว่า พระผู้สร้าง ซึ่งมีพระนามว่ายะโฮวา ได้ทรงจัดเตรียมการโดยทางพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ให้กู้สภาพมนุษย์กลับคืนสู่ความสมบูรณ์และจะทรงเปลี่ยนสภาพแผ่นดินโลกทั้งสิ้นให้เป็นอุทยานที่รุ่งโรจน์งดงาม. คัมภีร์ไบเบิลระบุดังนี้: “พระเจ้าทรงรักโลกมากจนถึงกับได้ประทานพระบุตรผู้ได้รับกำเนิดองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่แสดงความเชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์.”—โยฮัน 3:16, ล.ม.
เพราะความรักและความเมตตาของพระองค์ พระผู้สร้างจะทรงใช้พระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ปลดปล่อยมนุษย์ให้พ้นสภาพไม่สมบูรณ์และพ้นความทุกข์ยากทั้งมวลอันเกี่ยวเนื่องกัน. โดยทางพระเยซู พระผู้สร้างจะกวาดล้างคนชั่วที่เบียดเบียนผู้อื่น อีกทั้งคนที่ไม่แยแสแม้แต่น้อยว่า พระผู้สร้างทรงประสงค์ให้คนเราดำรงชีวิตอย่างไร ให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดิน. ดังข้อคัมภีร์โยฮัน 3:16 กล่าวไว้ เฉพาะผู้ “แสดงความเชื่อ” คือคนที่หยั่งรู้ค่าและขอบคุณพระองค์เท่านั้นจะมีโอกาสได้อยู่ในโลกใหม่ซึ่งพระผู้สร้างจะทรงนำมาในไม่ช้า.
คุณอาจรู้สึกประหลาดใจที่จะเรียนรู้ว่า ตามคำพยากรณ์ต่าง ๆ ของคัมภีร์ไบเบิลนั้น เราอยู่ใกล้เต็มทีกับช่วงเวลาที่สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้น. ที่จริง คัมภีร์ไบเบิลเรียกสมัยปัจจุบันเป็น “สมัยสุดท้าย” แห่งระบบนี้. (2 ติโมเธียว 3:1) ครั้นระบบนี้ล่วงพ้นไปแล้ว ทั่วแผ่นดินโลกจะกลายเป็นอุทยาน. ในอุทยานนั้น บุคคลที่ถูกตัดสินว่าคู่ควรก็จะได้อยู่ตลอดไป โดยปราศจากความทุกข์ยากใด ๆ ดังพระผู้สร้างทรงมุ่งหมายแต่เดิมทีเมื่อพระองค์ได้สร้างมนุษย์คู่แรก.
คุณจะแน่ใจจริง ๆ ได้อย่างไรว่า พระพรต่าง ๆ เหล่านี้จะมีมาแน่? เพื่อจะได้ข้อมูลมากขึ้น โปรดอย่ารีรอที่จะติดต่อพยานพระยะโฮวาที่ให้แผ่นพับนี้แก่คุณ.
ข้ออ้างอิงจากพระคัมภีร์สำหรับพิจารณา
เยเนซิศ 1:31ก: “พระเจ้าทอดพระเนตรดูสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้างไว้นั้น เห็นว่าดีนัก.”
เยเนซิศ 2:8: “พระยะโฮวาเจ้าทรงสร้างสวนแห่งหนึ่งไว้ในตำบลเอเดนทางทิศตะวันออก, และให้มนุษย์ที่พระองค์ได้ทรงสร้างไว้นั้นอยู่ที่นั่น.”
เยเนซิศ 2:16, 17: “พระยะโฮวาเจ้าจึงตรัสสั่งแก่มนุษย์นั้นว่า ‘บรรดาผลไม้ทุกอย่างในสวนนั้นเจ้ากินได้ทั้งหมด เว้นแต่ต้นไม้ที่ให้รู้ความดีและชั่ว ผลของต้นนั้นเจ้าอย่ากินเป็นอันขาด ถ้าเจ้าขืนกินในวันใด, เจ้าจะตายในวันนั้นเป็นแน่.’”
โรม 5:12: “เหตุฉะนั้นก็เช่นเดียวกับที่ความผิดได้เข้ามาในโลกเพราะคน ๆ เดียว, และความตายก็เกิดมาเพราะความผิดนั้น อย่างนั้นแหละความตายจึงได้ลามไปถึงคนทั้งปวง เพราะคนทั้งปวงเป็นคนผิดอยู่แล้ว.”
บทเพลงสรรเสริญ 49:7: “ไม่มีใครสักคนเดียว ไม่ว่าจะทำด้วยวิธีใด ๆ ก็ไถ่ชีวิตน้องชายของเขาไม่ได้, หรือจะเอาทรัพย์ถวายพระเจ้าเพื่อไถ่ชีวิตน้องก็ไม่ได้.”
ยะซายา 33:24: “จะไม่มีใครที่อาศัยอยู่ที่นั่นพูดว่า ‘ข้าพเจ้าป่วยอยู่.’”
2 ติโมเธียว 3:1, ล.ม.: “แต่จงรู้ข้อนี้ คือในสมัยสุดท้ายจะมีวิกฤตกาลซึ่งยากที่จะรับมือได้.”
1 ติโมเธียว 6:17, 19, ล.ม.: “คนเหล่านั้นซึ่งมั่งมี . . . [ควร] ฝากความหวังของตน . . . กับพระเจ้า . . . สะสมทรัพย์ประเสริฐอย่างปลอดภัยไว้สำหรับตนให้เป็นรากฐานอันดีสำหรับอนาคต เพื่อเขาจะยึดเอาชีวิตแท้ให้มั่น.”
วิวรณ์ 21:3-5, ล.ม.: “นี่แน่ะ! พลับพลาของพระเจ้าอยู่กับมนุษยชาติ และพระองค์จะสถิตกับเขา และพวกเขาจะเป็นชนชาติต่าง ๆ ของพระองค์. และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับเขา. และพระองค์จะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของพวกเขา และความตายจะไม่มีอีกต่อไป ทั้งความทุกข์โศกหรือเสียงร้องหรือความเจ็บปวดจะไม่มีอีกเลย.”
เว้นแต่มีการแสดงเป็นอย่างอื่น ข้อคัมภีร์ที่ยกมากล่าวนั้นมาจากพระคัมภีร์ไทยฉบับแปลเก่า.
[ที่มาของภาพหน้า 6]
Cover Photo: Patrick Frilet/Sipa Press