โชคชะตาควบคุมชีวิตคุณไหม?
เช้าตรู่วันหนึ่ง พนักงานขายคนหนึ่งรีบไปให้ทันเครื่องบิน แต่เขามาถึงช้าไปและพลาดเที่ยวบินนั้น. ตอนสายวันเดียวกัน เขาได้ยินรายงานข่าวว่าเครื่องบินลำนั้นตก. ทุกคนในเครื่องบินเสียชีวิต.
เป็นครั้งคราวที่เราได้ยินรายงานข่าวเรื่องบุคคลที่รอดชีวิตอย่างหวุดหวิดจากอุบัติเหตุที่ทำให้คนตาย. ผู้คนพูดว่า “เขายังไม่ถึงที่ตาย.” หากมีใครเสียชีวิต พวกเขาก็จะพูดว่า “คนนั้นถึงคราวตาย.” บางคนเชื่อว่าตั้งแต่ตอนที่คนเราเกิดมา ชะตากรรมของเขาได้ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าโดยกฎที่พระผู้เป็นเจ้าหรือพลังอำนาจบางอย่างได้ตั้งขึ้น. คนอื่น ๆ เชื่อว่าผู้คนถูกลงโทษในชาตินี้เนื่องจากเขาได้ทำชั่วในชาติก่อน และหากเขาทำดีในชาตินี้ก็จะได้รับผลตอบแทนในชาติหน้า. ผู้คนที่มีความเชื่ออย่างนี้คิดว่า โดยการทำดีและการปฏิบัติตามพิธีศาสนาบางอย่างเขาจะสามารถเปลี่ยนชะตากรรมของตนได้. แนวคิดเหล่านี้มีเหตุผลไหม?
แนวคิดดังกล่าวมีเหตุผลจริง ๆ ไหม?
ขอให้เราพิจารณาแนวคิดแรก. หากชะตากรรมของมนุษย์ถูกควบคุมโดยกฎบางอย่างที่ให้ผลตามการกระทำของคนเรา ถ้าเช่นนั้น ใครตั้งกฎนี้และบังคับใช้กฎดังกล่าว? สมมุติว่าคุณไปเที่ยวต่างประเทศและสังเกตเห็นกฎระเบียบการจราจรที่ละเอียดพร้อมกับระบุว่าหากเชื่อฟังกฎจราจร ผลก็คือคุณมีสิทธิ์ที่จะขับรถต่อไป แต่ถ้าไม่เชื่อฟัง ก็จะถูกยึดใบอนุญาตขับขี่. คงไม่มีเหตุผลที่จะคิดว่ากฎเหล่านั้นเกิดขึ้นเองและบังคับใช้ตัวมันเอง.
ตอนนี้ขอให้เราพิจารณาแนวคิดประการที่สอง. ความทุกข์ในชีวิตปัจจุบันเป็นผลจากการกระทำที่ไม่ดีในชาติก่อนไหม? หากบางคนทำบาปในชาติก่อนตามที่เชื่อกัน แต่ในตอนนี้เขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับบาปนั้น เขาจะแก้ไขเรื่องนั้นได้อย่างไร? หากเขาไม่รู้สาเหตุของความทุกข์ของเขา ความทุกข์เช่นนั้นจะช่วยเขาให้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้อย่างไร? ดูเหมือนว่าไม่ยุติธรรมเลย.
ยกตัวอย่าง ขอให้คิดถึงเด็กคนหนึ่งซึ่งมักจะพูดโกหก. จะว่าอย่างไรหากพ่อสั่งเขาให้แก้ไขความประพฤติแต่ไม่บอกว่าเขาได้ทำผิดอะไร? เด็กคนนั้นอาจขยันเรียนมากขึ้นที่โรงเรียนและประพฤติตัวดีขึ้น. กระนั้น หากไม่มีใครบอกเขาว่าการโกหกเป็นสิ่งผิด เขาก็อาจไม่ตระหนักเลยว่าเขาต้องเลิกพูดโกหก. นี่คงไม่เป็นประโยชน์และไม่ยุติธรรมสำหรับเด็ก. สตรีคนหนึ่งได้กล่าวเกี่ยวกับความทุกข์เนื่องจากบาปที่ได้ทำในชาติก่อนว่า “ไม่มีเหตุผลเลยที่ฉันต้องมาทนทุกข์ตลอดชีวิตเนื่องด้วยสาเหตุบางอย่างที่ฉันไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร. ฉันไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมรับว่านี่เป็นชะตาชีวิตของตัวเอง.”
การเชื่อในเรื่องโชคชะตาอาจก่อผลเสียหายอื่น ๆ. เมื่อเผชิญกับความลำบากหรือการปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรม บางคนอาจหาเหตุผลว่า ‘เนื่องจากนี่เป็นโชคชะตาของฉัน ฉันก็ต้องยอมรับเท่านั้นเอง.’ คนอื่น ๆ เชื่อว่าโดยการปฏิบัติพิธีศาสนาบางอย่างที่มีค่าใช้จ่ายสูงหรือโดยการจัดวางข้าวของใหม่ภายในบ้าน พวกเขาสามารถป้องกันโชคร้ายได้. ผลก็คือ ผู้คนใช้จ่ายเงินจำนวนมากและถึงกับตกเป็นเหยื่อของอาชญากรที่ไร้ศีลธรรม.
เหตุผลที่แท้จริงสำหรับความทุกข์
คัมภีร์ไบเบิลกล่าวอย่างไรในเรื่องโชคชะตาและเรื่องบาปใน “ชาติก่อน” ของคนเรา? คัมภีร์ไบเบิลบอกเราอย่างหนักแน่นว่า “คนเป็นย่อมรู้ว่าเขาเองคงจะตาย, แต่คนตายแล้วก็ไม่รู้อะไรเลย . . . เมื่อมือไม้ของเจ้าจับการอันใดทำ, จงกระทำการอันนั้นด้วยกำลังวังชาของเจ้าเถิด; เพราะว่าไม่มีการงาน, หรือโครงการ, หรือความรู้หรือสติปัญญาในเมืองผี [หลุมฝังศพ] ที่เจ้าจะไปนั้น.” (ท่านผู้ประกาศ 9:5, 10) พูดอีกอย่างหนึ่ง เมื่อคนเราตาย เขาไม่สามารถคิดหรือทำงานได้อีกต่อไป. เขาไม่มีจิตวิญญาณอมตะและจึงไม่สามารถเกิดใหม่ไปเป็นอีกบุคคลหนึ่งได้.
ถ้าเช่นนั้น ทำไมความทุกข์เดือดร้อนดูเหมือนว่าเกิดขึ้นกับบางคนและไม่ได้เกิดกับคนอื่น? ประการแรก ท่านผู้ประกาศ 9:11 (ล.ม.) บอกเราว่า “วาระและเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดล่วงหน้าย่อมบังเกิดแก่เขาทุกคน.” บ่อยครั้งทีเดียว อุบัติเหตุเกิดขึ้นกับผู้คนเพียงเพราะเขาบังเอิญไปอยู่ตรงนั้นพอดี. ให้เราย้อนไปที่ตัวอย่างซึ่งกล่าวถึงในวรรคแรก. ทุกวัน ผู้คนไปไม่ทันเครื่องบิน, เรือ, หรือรถประจำทางเนื่องด้วยเหตุผลหลายอย่าง. เมื่อไม่เกิดอุบัติเหตุที่ทำให้คนตาย ผู้คนก็ลืมเหตุการณ์เล็กน้อยนี้อย่างรวดเร็ว. แต่เมื่อเกิดความหายนะ บางคนที่รอดชีวิตมาได้อาจคิดว่าเขายังไม่ถึงคราวตาย.
ความทุกข์เดือดร้อนอาจเกิดขึ้นเนื่องจากมนุษย์ด้วย และนี่เป็นเหตุผลประการที่สองที่ผู้คนประสบความทุกข์. ท่านผู้ประกาศ 8:9 (ล.ม.) กล่าวว่า “มนุษย์ใช้อำนาจเหนือมนุษย์อย่างที่ก่อผลเสียหายแก่เขา.” ผู้มีอำนาจบางคนอาจใช้อำนาจของตนอย่างผิด ๆ และผู้คนทนทุกข์เพราะเหตุนี้. นอกจากนั้น วิธีดำเนินชีวิตของคนเราสามารถส่งผลกระทบต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง. ตัวอย่างเช่น นิสัยต่าง ๆ ที่ก่อผลเสียหายอาจทำลายสุขภาพของคนเรา และบุคลิกลักษณะที่ไม่พึงปรารถนาอาจนำไปสู่สัมพันธภาพที่ตึงเครียด. ฆะลาเตีย 6:7 กล่าวว่า “คนใดหว่านพืชอย่างใดลง, ก็จะเกี่ยวเก็บผลอย่างนั้น.”
เหตุผลประการที่สามสำหรับความทุกข์ของมนุษยชาติเกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงที่ว่าเรากำลังมีชีวิตอยู่ใน “สมัยสุดท้าย.” ประมาณสองพันปีมาแล้ว พระเยซูได้ทรงบอกล่วงหน้าเกี่ยวกับช่วงอวสานของระบบนี้ว่า “จะเกิดการโกลาหลในระหว่างประเทศต่อประเทศ, อาณาจักรต่ออาณาจักร, ทั้งจะเกิดกันดารอาหารและแผ่นดินไหวหลายแห่ง . . . . เพราะความชั่วทวีขึ้น, ความรักของคนเป็นอันมากจะเยือกเย็นลง.” (2 ติโมเธียว 3:1, ล.ม.; มัดธาย 24:3, 7, 12) ขณะที่สภาพการณ์ของโลกแย่ลงและความรุนแรงรวมทั้งภัยธรรมชาติมีมากขึ้น ดูเหมือนว่ามีเหตุผลที่เราจะประสบความทุกข์เดือดร้อนมากขึ้น.
อย่างไรก็ดี อนาคตของมนุษยชาติใช่ว่าจะมืดมนเลยทีเดียว! หลังจากพรรณนาสมัยสุดท้ายแล้ว พระเยซูได้ตรัสว่า “ผู้ใดที่ได้อดทนจนถึงที่สุดผู้นั้นจะได้รับการช่วยให้รอด. และข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรนี้จะได้รับการประกาศทั่วทั้งแผ่นดินโลกที่มีคนอาศัยอยู่ เพื่อเป็นคำพยานแก่ทุกชาติ; และครั้นแล้วอวสานจะมาถึง.” (มัดธาย 24:13, 14, ล.ม.) ราชอาณาจักรที่กล่าวถึงในที่นี้คือรัฐบาลที่พระเจ้าได้ทรงตั้งขึ้นในสวรรค์โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงเลือกสรร. ในไม่ช้าราชอาณาจักรของพระเจ้าจะทำลายความชั่วทั้งสิ้นบนแผ่นดินโลก โดยวิธีนี้ จึงนำระบบปัจจุบันไปสู่อวสาน. ชีวิตบนแผ่นดินโลกจะประสบการเปลี่ยนแปลงอะไรเช่นนี้! “พระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุก ๆ หยดจากตาของเขา ความตายจะไม่มีต่อไป การคร่ำครวญและร้องไห้และการเจ็บปวดอย่างหนึ่งอย่างใดจะไม่มีอีกเลย เพราะเหตุการณ์ที่ได้มีอยู่แต่ดั้งเดิมนั้นได้ล่วงพ้นไปแล้ว.” (วิวรณ์ 21:4) ใช่แล้ว นี่เป็นข่าวดีจริง ๆ!
อนาคตของคุณขึ้นอยู่กับอะไร?
เราต้องทำประการใดเพื่อได้รับพระพรที่ราชอาณาจักรของพระเจ้าจะนำมา? คัมภีร์ไบเบิลกล่าวอย่างชัดเจนว่า “โลกกับความปรารถนาของโลกกำลังผ่านพ้นไป แต่ผู้ที่ทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้าจะดำรงอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์.” (1 โยฮัน 2:17, ล.ม.) คนเหล่านั้นที่ทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้ามีโอกาสที่จะมีชีวิตตลอดไปบนแผ่นดินโลกภายใต้การปกครองของราชอาณาจักรของพระองค์. แน่นอน เพื่อจะทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า คุณต้องมารู้จักพระทัยประสงค์ของพระองค์ก่อน. นี่เป็นเหตุที่พระเยซูตรัสว่า “นี่แหละเป็นชีวิตนิรันดร์, คือว่าให้เขารู้จักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักผู้ที่พระองค์ทรงใช้มาคือพระเยซูคริสต์.” (โยฮัน 17:3) โดยการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล คุณสามารถรู้จักพระทัยประสงค์ของพระยะโฮวา พระเจ้าเที่ยงแท้ รวมทั้งคำสอนของพระเยซูคริสต์ด้วย. นี่เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญซึ่งนำไปสู่พระพรเกี่ยวกับชีวิตนิรันดร์.
โชคชะตาไม่ได้ควบคุมอนาคตของคุณ. ตรงกันข้าม อนาคตขึ้นอยู่กับการเลือกของคุณในขณะนี้. ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าทรงกระตุ้นเตือนโดยทางผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลว่า “เราขอเอาสวรรค์และแผ่นดินโลกมาเป็นพยานต่อหน้าท่านทั้งหลายในวันนี้ว่า เราได้ตั้งชีวิตและความตาย พระพรและคำสาปแช่งไว้ตรงหน้าท่านทั้งหลาย; และท่านต้องเลือกเอาชีวิตเพื่อท่านจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ตัวท่านและลูกหลานของท่าน.” (พระบัญญัติ 30:19, ล.ม.) ขอให้คุณเลือกศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้าเพื่อที่คุณอาจมีความหวังที่จะได้รับชีวิตและความสุขตลอดไปด้วยเช่นกัน!
พยานพระยะโฮวายินดีจะศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับคุณโดยไม่คิดมูลค่า. เชิญเขียนถึงเราตามที่อยู่ที่ใกล้คุณที่สุดข้างล่างนี้.
เว้นแต่มีการแสดงไว้เป็นอย่างอื่น ข้อคัมภีร์ที่ยกมากล่าวนั้นมาจากพระคัมภีร์ไทยฉบับแปลเก่า. ตัวย่อ ล.ม. หมายถึงยกมาจากพระคัมภีร์บริสุทธิ์ฉบับแปลโลกใหม่—ที่มีข้ออ้างอิง (ภาษาอังกฤษ).