มกราคม
วันศุกร์ที่ 1 มกราคม
ให้พวกคุณไปสอนคนทุกชาติให้เป็นสาวก—มธ. 28:19
ผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระเจ้าทุกคนอยากเรียนรู้ว่าจะทำงานรับใช้ให้ “สำเร็จครบถ้วน” ได้อย่างไร (2 ทธ. 4:5) ที่จริง งานนี้เป็นงานที่สำคัญกว่าและเร่งด่วนกว่างานทุกอย่าง แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เราจะทำงานรับใช้ได้มากอย่างที่อยากทำ มีกิจกรรมหลายอย่างที่จำเป็นต้องทำในชีวิตซึ่งใช้เวลาและพลังงานของเราไปมาก เราอาจต้องทำงานอาชีพหลายชั่วโมงในแต่ละวันเพื่อหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัว แถมยังต้องมีหน้าที่รับผิดชอบในครอบครัวอีก หรือเราอาจเจ็บป่วย ซึมเศร้า หรือรู้สึกปวดนั่นปวดนี่เพราะอายุมาก ถ้าสภาพการณ์ในชีวิตทำให้เราไม่สามารถรับใช้พระยะโฮวาได้มาก อย่าเพิ่งท้อ พระเยซูรู้ว่าไม่ใช่ทุกคนจะใช้เวลาและกำลังได้เท่ากันในงานประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า (มธ. 13:23) ถ้าเรารับใช้พระยะโฮวาให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ พระองค์ก็เห็นค่าทุกสิ่งที่เราทำ—ฮบ. 6:10-12 ห19.04 น. 2 ว. 1-3
วันเสาร์ที่ 2 มกราคม
มาร . . . เป็นจอมโกหกและเป็นพ่อของการโกหก—ยน. 8:44
เรื่องที่ซาตานโกหกเกี่ยวกับความตายเป็นการใส่ร้ายพระยะโฮวา เรื่องโกหกอย่างหนึ่งก็คือคำสอนเท็จที่ว่าคนตายถูกทรมานในไฟนรก คำสอนแบบนั้นใส่ร้ายพระเจ้าชัด ๆ! มันทำให้ผู้คนเข้าใจว่าพระเจ้าที่รักมนุษย์มีนิสัยโหดร้ายเหมือนมารซาตาน (1 ยน. 4:8) เรื่องนี้ทำให้คุณรู้สึกอย่างไร? ที่สำคัญกว่านั้น เรารู้ว่าพระยะโฮวาเกลียดความโหดร้ายทุกรูปแบบ ลองคิดดูว่าเรื่องนี้จะทำให้พระองค์รู้สึกอย่างไร (ยรม. 19:5) เรื่องโกหกเกี่ยวกับความตายทำให้ผู้คนคิดว่าไม่จำเป็นต้องเชื่อเรื่องค่าไถ่ของพระเยซูคริสต์ (มธ. 20:28) อีกเรื่องที่ซาตานโกหกคือมนุษย์มีวิญญาณอมตะ ถ้าเรื่องนี้เป็นความจริงก็เท่ากับว่ามนุษย์ทุกคนได้อยู่ตลอดไปอยู่แล้ว และพระเยซูก็ไม่จำเป็นต้องมาสละชีวิตเป็นค่าไถ่เพื่อให้เราได้ชีวิตตลอดไป จำไว้ว่าเครื่องบูชาไถ่ของพระเยซูเป็นการแสดงความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเพื่อมนุษย์ (ยน. 3:16; 15:13) ลองนึกดูว่าพระยะโฮวากับพระเยซูลูกของพระองค์จะรู้สึกอย่างไรกับคำสอนที่ทำให้ของขวัญที่มีค่ามากนี้กลายเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ห19.04 น. 14 ว. 1; น. 16 ว. 8-9
วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม
“ใครจะรู้ใจพระยะโฮวาเพื่อจะสั่งสอนพระองค์ได้?” แต่เรามีจิตใจอย่างพระคริสต์—1 คร. 2:16
คำสอนของพระเยซูบันทึกไว้ที่ไหน? มีการบันทึกคำสอนของท่านไว้ในหนังสือข่าวดีสี่เล่มซึ่งบันทึกหลายอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่พระเยซูพูดและทำตอนอยู่บนโลก นอกจากนั้น หนังสืออื่น ๆ ที่เหลือในพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกก็ช่วยเราให้เข้าใจความคิดของพระเยซู เพราะคนที่เขียนหนังสือเหล่านั้นได้รับการดลใจจากพลังบริสุทธิ์และมี “จิตใจอย่างพระคริสต์” คำสอนของพระเยซูใช้ได้ในทุกแง่มุมของชีวิต ดังนั้น “กฎหมายของพระคริสต์” จึงมีผลต่อทุกอย่างที่เราทำทั้งที่บ้าน ที่ทำงานหรือที่โรงเรียน และในประชาคม (กท. 6:2) เราเรียนรู้กฎหมายนี้ได้โดยอ่านพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกและคิดใคร่ครวญ เราเชื่อฟังกฎหมายนี้โดยใช้ชีวิตตามคำแนะนำ คำสั่ง และหลักการในหนังสือเหล่านั้น เมื่อเราเชื่อฟังกฎหมายของพระคริสต์ เราก็กำลังเชื่อฟังพระยะโฮวาพระเจ้าที่รักเรา เพราะทุกสิ่งที่พระเยซูสอนมาจากพระองค์—ยน. 8:28 ห19.05 น. 3 ว. 6; น. 4 ว. 7
วันจันทร์ที่ 4 มกราคม
คนชั่วและนักต้มตุ๋นจะยิ่งชั่วร้ายขึ้นเรื่อย ๆ—2 ทธ. 3:13
เป็นเรื่องน่าเศร้าที่มนุษย์กำลังทำสิ่งที่ซาตานต้องการ แต่พระยะโฮวารู้มาตลอดว่าซาตานทำอะไร พระองค์รู้ว่าเราเป็นทุกข์ขนาดไหนและจะปลอบโยนเราอย่างที่จำเป็นต้องได้รับ เป็นพรสำหรับเราจริง ๆ ที่ได้รับใช้ “พระเจ้าที่คอยให้กำลังใจในทุกสถานการณ์ พระองค์ให้กำลังใจเราทุกครั้งที่เจอความยากลำบาก เราจึงให้กำลังใจคนที่เจอความยากลำบากทุกรูปแบบได้ เหมือนที่เราเองได้รับกำลังใจจากพระเจ้า” (2 คร. 1:3, 4) คนที่เคยถูกทำร้ายทางเพศแต่พ่อแม่ไม่ได้ปกป้อง และคนที่เคยถูกคนใกล้ชิดทำร้ายทางเพศจำเป็นต้องได้รับการปลอบโยนเป็นพิเศษ ดาวิดผู้เขียนหนังสือสดุดีรู้ว่าพระยะโฮวาปลอบโยนเราได้ดีที่สุดและไว้ใจได้มากที่สุด (สด. 27:10) ดาวิดเชื่อว่าพระยะโฮวาจะเป็นพ่อของคนที่ไม่ได้รับการดูแลจากคนในครอบครัว พระยะโฮวาเป็นแบบนั้นได้อย่างไร? พระองค์ใช้ผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ซึ่งเป็นพี่น้องของเรานั่นเอง พี่น้องร่วมความเชื่อเป็นเหมือนครอบครัวเรา เช่น พระเยซูเรียกคนที่นมัสการพระยะโฮวาร่วมกับท่านว่าเป็นพี่เป็นน้องและเป็นแม่ของท่าน—มธ. 12:48-50 ห19.05 น. 15-16 ว. 8-9
วันอังคารที่ 5 มกราคม
มองให้ออกว่าอะไรสำคัญกว่า—ฟป. 1:10
สิ่งสำคัญที่สุดและควรเป็นอย่างแรกที่เราศึกษาคืออะไร? เราควรศึกษาคัมภีร์ไบเบิลให้ได้ทุกวัน ที่จริง มีการลดข้อคัมภีร์ในการอ่านคัมภีร์ไบเบิลประจำสัปดาห์ลงด้วยเพื่อให้เรามีเวลามากขึ้นที่จะคิดใคร่ครวญและค้นคว้าเพิ่มเติม เป้าหมายของเราไม่ใช่แค่อ่านให้ครบทุกข้อ แต่ต้องให้เรื่องนั้นเข้าถึงหัวใจเราซึ่งจะทำให้เราสนิทกับพระยะโฮวามากขึ้น (สด. 19:14) การศึกษาหอสังเกตการณ์ คือการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ดังนั้น ตอนเตรียมหอสังเกตการณ์ ให้สนใจที่ข้อคัมภีร์เป็นพิเศษโดยเฉพาะข้อที่ให้อ่าน ให้ดูว่าคำไหนหรือวลีไหนในข้อคัมภีร์เกี่ยวข้องกับจุดสำคัญของข้อนั้น ๆ ในบทความ นอกจากนั้น ให้ใช้เวลาคิดใคร่ครวญข้อคัมภีร์ที่คุณอ่าน แล้วคิดว่าจะเอาไปใช้ในชีวิตของคุณอย่างไร—ยชว. 1:8 ห19.05 น. 27 ว. 5; น. 28 ว. 9
วันพุธที่ 6 มกราคม
อาหารของผมคือการทำตามความประสงค์ของผู้ที่ใช้ผมมาและทำงานของพระองค์ให้สำเร็จ—ยน. 4:34
พระเยซูเป็นตัวอย่างที่ดีมากให้กับเรา สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของท่านคือการพูดเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า ท่านเดินหลายร้อยกิโลเมตรเพื่อประกาศกับผู้คนให้มากที่สุด ท่านมองหาทุกโอกาสที่จะพูดกับผู้คนไม่ว่าจะประกาศตามที่สาธารณะหรือตามบ้าน ชีวิตพระเยซูมีแต่งานรับใช้จริง ๆ เราจะเลียนแบบพระคริสต์ได้โดยหาโอกาสพูดเรื่องข่าวดีทุกที่ทุกเวลา และเต็มใจสละความสะดวกสบายส่วนตัวเพื่อทำงานประกาศ (มก. 6:31-34; 1 ปต. 2:21) บางคนในประชาคมสามารถเป็นไพโอเนียร์พิเศษ ไพโอเนียร์ประจำ และไพโอเนียร์สมทบ ส่วนคนอื่น ๆ เรียนพูดภาษาต่างประเทศหรือย้ายไปในเขตที่ต้องการผู้ประกาศมากกว่า แต่งานประกาศส่วนใหญ่ทำโดยพี่น้องที่ไม่สามารถทำสิ่งเหล่านั้นได้ ถึงจะเป็นอย่างนั้นพวกเขาก็ทำสุดความสามารถ ไม่ว่าเราจะทำได้มากหรือน้อยพระยะโฮวาไม่เคยขอให้เราทำมากกว่าที่เราทำได้ ห19.04 น. 4 ว. 7-8
วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม
พระยะโฮวา . . . ขอให้ผมพูดและคิดใคร่ครวญแต่สิ่งที่พระองค์พอใจ—สด. 19:14
ให้ถามตัวเองว่า ‘ฉันอิจฉาคนอื่นไหมแม้จะแค่นิดเดียว?’ (1 ปต. 2:1) ‘ฉันรู้สึกว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นเพราะภูมิหลัง การศึกษา หรือฐานะของฉันไหม?’ (สภษ. 16:5) ‘ฉันดูถูกคนที่ไม่มีอะไร ๆ เหมือนฉันไหม?’ ‘หรือฉันรู้สึกว่าตัวเองดีกว่าคนชาติอื่นไหม?’ (ยก. 2:2-4) ‘ฉันสนใจสิ่งที่โลกของซาตานเสนอให้ไหม?’ (1 ยน. 2:15-17) ‘ฉันชอบความบันเทิง เช่น เพลง เกม หรือหนังที่ผิดศีลธรรมและรุนแรงไหม?’ (สด. 97:10; 101:3; อมส. 5:15) คำตอบของคำถามเหล่านี้จะทำให้รู้ว่าคุณต้องเปลี่ยนแปลงตรงไหนบ้าง นอกจากนั้น เพื่อนมีอิทธิพลกับเรามาก (สภษ. 13:20) เมื่ออยู่ที่ทำงานหรือที่โรงเรียน เราต้องอยู่กับคนที่ไม่ได้ช่วยเราให้คิดในแบบที่พระเจ้าชอบ แต่เราสามารถเจอเพื่อนที่ดีที่สุดได้ในการประชุมต่าง ๆ ซึ่งเป็นที่ที่เราถูกกระตุ้นให้ “รักและทำความดี”—ฮบ. 10:24, 25 ห19.06 น. 12 ว. 13-14
วันศุกร์ที่ 8 มกราคม
การมองข้ามความผิดทำให้เขามีสง่าราศี—สภษ. 19:11
พระยะโฮวาไม่ได้ออกแบบให้มนุษย์ต้องเจอปัญหาหรือเรื่องเครียด ๆ อย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เลยไม่แปลกถ้าผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์บางคนอาจพูดอะไรโดยไม่คิดเมื่อต้องเจอความเครียดหนัก ๆ (โยบ 6:2, 3) ดังนั้น แม้ว่าพี่น้องคนนั้นจะพูดอะไรบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับพระยะโฮวาหรือเกี่ยวกับตัวเรา เราไม่ควรโกรธง่ายเกินไปและตัดสินคนนั้นจากสิ่งที่เขาพูด บางครั้ง คนที่กำลังรับมือกับปัญหาที่ทำให้เครียดจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำบางอย่างเพื่อช่วยพวกเขา (กท. 6:1) ผู้ดูแลควรทำอย่างไร? ผู้ดูแลต้องเลียนแบบเอลีฮูซึ่งฟังโยบด้วยความเห็นอกเห็นใจ (โยบ 33:6, 7) เอลีฮูให้คำแนะนำหลังจากที่เขาเข้าใจความคิดของโยบ ผู้ดูแลที่เลียนแบบเอลีฮูก็ต้องตั้งใจฟังและพยายามเข้าใจสถานการณ์ของพี่น้องคนนั้น แล้วหลังจากนั้นเขาถึงค่อยให้คำแนะนำ ถ้าทำแบบนั้นเขาก็จะให้คำแนะนำอย่างที่เข้าถึงหัวใจของผู้ฟัง ห19.06 น. 22-23 ว. 10-11
วันเสาร์ที่ 9 มกราคม
ต้องเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่ามนุษย์—กจ. 5:29
คุณจะนมัสการพระยะโฮวาต่อไปได้อย่างไรแม้ถูกสั่งห้าม? สำนักงานสาขาจะให้คำแนะนำกับผู้ดูแลในประชาคมของคุณ ถ้าสำนักงานสาขาไม่สามารถติดต่อผู้ดูแลได้ ผู้ดูแลของแต่ละประชาคมจะช่วยคุณและพี่น้องทุกคนในประชาคมให้ยังคงนมัสการพระยะโฮวาต่อ ๆ ไป ผู้ดูแลจะให้คำแนะนำที่สอดคล้องกับคำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิลและหนังสือต่าง ๆ ขององค์การ (มธ. 28:19, 20; ฮบ. 10:24, 25) พระยะโฮวาสัญญาว่าผู้รับใช้ของพระองค์จะไม่ขาดความรู้ที่เสริมความเชื่อ (อสย. 65:13, 14; ลก. 12:42-44) ดังนั้น คุณสามารถไว้ใจได้ว่าองค์การของพระองค์จะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อให้คุณมีความรู้ที่ช่วยคุณรักษาความซื่อสัตย์ต่อไปได้ แต่มีบางอย่างที่คุณสามารถทำได้ด้วย เมื่อไรที่คุณถูกสั่งห้าม ให้หาที่เหมาะ ๆ ที่คุณจะซ่อนคัมภีร์ไบเบิลและหนังสือรวมทั้งสื่อต่าง ๆ ขององค์การ ระวังอย่าเอาสิ่งที่มีค่าเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นหนังสือต่าง ๆ หรือเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ที่มีความรู้ขององค์การไปไว้ในที่ที่ค้นเจอได้ง่าย เราแต่ละคนต้องทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อรักษาความเชื่อให้เข้มแข็ง ห19.07 น. 10 ว. 10-11
วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม
ผมยอมปรับตัวเป็นคนทุกชนิดเพื่อจะช่วยคนให้รอดได้บ้างไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน—1 คร. 9:22
ตลอดหลายพันปี ผู้คนส่วนใหญ่บอกว่าตัวเองมีศาสนา แต่ช่วงไม่กี่สิบปีมานี้สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนไปมาก ผู้คนมากขึ้นเรื่อย ๆ บอกว่าไม่มีศาสนาหรือไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า ที่จริง ประชากรส่วนใหญ่ในบางประเทศเป็นแบบนั้น (มธ. 24:12) ทำไมถึงมีคนมากขึ้นบอกว่าไม่มีศาสนาหรือไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า? เหตุผลหนึ่งก็เพราะผู้คนในทุกวันนี้สนใจแต่ความสนุกหรือเอาแต่กังวลกับปัญหาในชีวิต (ลก. 8:14) ส่วนบางคนที่เคยเชื่อว่ามีพระเจ้ากลับเลิกเชื่อแบบนั้น นอกจากนั้น บางคนเชื่อว่ามีพระเจ้าแต่มองว่าศาสนาเป็นเรื่องล้าสมัย ไม่เข้ากับวิทยาศาสตร์และหลักเหตุผล บางคนได้ยินเพื่อน ครู หรือสื่อต่าง ๆ บอกว่าชีวิตเกิดมาจากวิวัฒนาการ แต่กลับไม่ค่อยได้ยินเรื่องที่มีเหตุผลเกี่ยวกับพระเจ้าเลย บางคนเอือมระอาที่เห็นผู้สอนศาสนาและพวกนักบวชเอาแต่โลภเงินและอำนาจ ส่วนบางประเทศ รัฐบาลก็จำกัดเสรีภาพทางศาสนา ห19.07 น. 20 ว. 1-2
วันจันทร์ที่ 11 มกราคม
ขอให้มั่นคงไว้ อย่าหวั่นไหว ให้ทุ่มเทกับงานของผู้เป็นนายที่มีให้ทำมากมาย เพราะพวกคุณรู้ว่างานหนักที่พวกคุณทำให้กับผู้เป็นนายนั้นจะไม่เสียเปล่าแน่นอน—1 คร. 15:58
คุณไม่ต้องใช้กำลังเรี่ยวแรงเพื่อจะมีความเชื่อในพระยะโฮวามากขึ้นและทำงานรับใช้อย่างเต็มที่มากขึ้น ที่จริง หลายคนที่ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงมากเหมือนเมื่อก่อนก็ยังอยากรับใช้พระยะโฮวาอย่างดีที่สุด (2 คร. 4:16) บางทีคุณอาจรับใช้พระยะโฮวามาแล้วหลายปีและตอนนี้สุขภาพไม่ค่อยดีทำให้ไม่สามารถรับใช้พระองค์ได้มากอย่างที่เคยทำ ถ้าเป็นอย่างนั้น อย่าเพิ่งท้อใจ ขอให้มั่นใจว่าพระยะโฮวาไม่ลืมสิ่งที่คุณทำ พระองค์เห็นค่าที่คุณรับใช้พระองค์อย่างซื่อสัตย์มานานหลายปี (ฮบ. 6:10) สำหรับตอนนี้ขอให้จำไว้ว่าปริมาณงานรับใช้ไม่ใช่ตัววัดว่าเรารักพระยะโฮวามากหรือน้อย แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เราจะแสดงออกว่ารักพระยะโฮวามากโดยการเป็นคนคิดบวกและทำเต็มที่ตามความสามารถของเรา (คส. 3:23) พระยะโฮวารู้ดีว่าเรามีข้อจำกัดอะไรและไม่ได้เรียกร้องจากเรามากเกินกว่าที่เราจะให้ได้—มก. 12:43, 44 ห19.08 น. 3 ว. 6; น. 5 ว. 11-12
วันอังคารที่ 12 มกราคม
ให้คุณส่องแสงสว่างให้คนอื่นเห็นด้วยการทำดี—มธ. 5:16
พระยะโฮวาชักนำผู้คนให้มาหาพระองค์โดย “การทำดี” ของพี่น้องในประชาคม (มธ. 5:14, 15; 1 ปต. 2:12) ถ้าคู่ของคุณไม่ได้เป็นพยานฯ เขาเคยเจอพี่น้องในประชาคมของคุณไหม? ลองชวนคนในครอบครัวและญาติ ๆ มาประชุมด้วยกันกับคุณดูสิ (1 คร. 14:24, 25) เราอยากให้คนในครอบครัวและญาติทุกคนรับใช้พระยะโฮวาด้วยกันกับเรา แต่ถึงเราจะทำเต็มที่แล้วเพื่อช่วยพวกเขาให้เข้ามารับใช้พระเจ้า พวกเขาก็อาจไม่มาเป็นพยานฯ ถ้าเป็นแบบนั้นขอเราอย่าโทษตัวเองที่พวกเขาตัดสินใจแบบนั้น เราบังคับใครให้มาเชื่อเหมือนเราไม่ได้ แต่ถ้าพวกเขาเห็นว่าเรามีความสุขมากที่ได้รับใช้พระยะโฮวา มันอาจมีผลที่ดีกับเขา ดังนั้น ขอให้เราอธิษฐานเผื่อพวกเขา พูดแบบที่คิดถึงความรู้สึกพวกเขา อย่าเพิ่งถอดใจหรือลังเลที่จะประกาศกับพวกเขา (กจ. 20:20) ขอให้คุณมั่นใจว่าพระยะโฮวาจะอวยพรความพยายามของคุณแน่นอน และถ้าคนในครอบครัวและญาติ ๆ ฟังคุณ พวกเขาจะรอด ห19.08 น. 18-19 ว. 15-17
วันพุธที่ 13 มกราคม
ตาเป็นเหมือนแสงสว่างสำหรับร่างกาย ถ้าตาของคุณมองที่สิ่งเดียว ทั้งตัวคุณก็จะสว่าง—มธ. 6:22
พระเยซูหมายความว่าอย่างไร? ท่านหมายถึงเราต้องสนใจที่เป้าหมายเดียวโดยไม่วอกแวกหรือเขวไปจากเป้าหมายนั้น พระเยซูเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้โดยสนใจแต่งานรับใช้ และสอนสาวกให้สนใจที่งานรับใช้พระยะโฮวาและรัฐบาลของพระองค์ เราเลียนแบบพระเยซูโดยให้งานประกาศเป็นสิ่งสำคัญที่สุดและ “ทำให้การปกครองของพระเจ้าและความถูกต้องชอบธรรมของพระองค์เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต” (มธ. 6:33) วิธีหนึ่งที่จะแสดงว่าเราสนใจและทุ่มเทกับงานรับใช้คือการใช้ชีวิตเรียบง่ายเพื่อจะใช้เวลามากขึ้นในการช่วยคนอื่นให้รู้จักและรักพระยะโฮวา ตัวอย่างเช่น เราปรับตารางงานได้ไหมเพื่อจะใช้เวลาในงานรับใช้มากขึ้นช่วงกลางสัปดาห์? เราจะลดกิจกรรมยามว่างซึ่งกินเวลาเราได้ไหม? ห19.04 น. 5-6 ว. 12-13
วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม
แม้เราอยู่ในที่สูงส่งและบริสุทธิ์ แต่เราก็อยู่กับคนที่ถูกกดขี่และคนที่ต่ำต้อย—อสย. 57:15
ไม่กี่ปีมานี้ พี่น้องของเราหลายคนที่รับใช้พระยะโฮวามานานหลายสิบปีถูกเปลี่ยนงานมอบหมาย เมื่อเจอแบบนี้หลายคนรู้สึกว่ายากที่จะยอมรับ พวกเขารู้สึกรักงานมอบหมายเก่าที่ได้ทำมาหลายปี บางคนทำใจไม่ได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาก็ปรับตัวได้ เพราะอะไร? สิ่งที่ช่วยได้ก็คือพวกเขารักพระยะโฮวา พวกเขารู้ว่าพวกเขาอุทิศชีวิตให้กับพระองค์ ไม่ใช่ให้กับงานมอบหมายหรือตำแหน่งหน้าที่ (คส. 3:23) พวกเขาถ่อมและดีใจที่ยังรับใช้พระยะโฮวาต่อไปได้ไม่ว่าจะเป็นงานอะไร พวกเขา “ฝากความกังวลทั้งหมดไว้กับพระองค์” เพราะรู้ว่าพระองค์ห่วงใยพวกเขาจริง ๆ (1 ปต. 5:6, 7) เมื่อเราพยายามถ่อมมากขึ้น คนอื่นก็อยากอยู่ใกล้เรา ความถ่อมทำให้ทั้งเราและคนอื่นได้ประโยชน์ นอกจากนั้น เราจะรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น และที่สำคัญที่สุดเราจะสนิทกับพระยะโฮวาพ่อของเราในสวรรค์มากขึ้น ห19.09 น. 6-7 ว. 15-17
วันศุกร์ที่ 15 มกราคม
ข้อกำหนดของพระยะโฮวาถูกต้องชอบธรรมและทำให้สุขใจ . . . คนที่ทำตามก็จะได้รับผลดีมากมาย—สด. 19:8, 11
พระยะโฮวาไม่ได้แค่แต่งตั้งดาวิดให้เป็นหัวหน้าครอบครัวเท่านั้น แต่ให้เขาเป็นผู้นำชาติอิสราเอลทั้งชาติ การเป็นกษัตริย์ทำให้เขามีอำนาจมาก แต่บางครั้งเขาก็ใช้อำนาจในทางที่ผิดแล้วก็ทำผิดร้ายแรงด้วย (2 ซม. 11:14, 15) ถึงจะเป็นอย่างนั้นเขายังเชื่อฟังและยอมรับอำนาจของพระยะโฮวาโดยยอมรับการสั่งสอนจากพระองค์ อธิษฐานจากหัวใจและบอกพระองค์ว่าเขารู้สึกอย่างไร เขาพยายามสุดความสามารถที่จะเชื่อฟังคำแนะนำที่มาจากพระยะโฮวา (สด. 51:1-4) นอกจากนั้น เขายังถ่อมมากพอที่จะยอมรับคำแนะนำที่ดีซึ่งไม่ได้มาจากผู้ชายเท่านั้นแต่มาจากผู้หญิงด้วย (1 ซม. 19:11, 12; 25:32, 33) ดาวิดได้เรียนหลายอย่างจากความผิดพลาด และเขาให้การรับใช้พระยะโฮวาเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกในชีวิต ดาวิดรู้ว่าการเชื่อฟังและการยอมรับอำนาจของพระยะโฮวามีประโยชน์มาก ในทุกวันนี้ เราเห็นความแตกต่างระหว่างคนที่เชื่อฟังและยอมรับอำนาจของพระยะโฮวากับคนที่ไม่ยอมรับคำแนะนำด้วยความรักจากพระองค์ คนที่เชื่อฟังและยอมรับอำนาจของพระยะโฮวาจะ “โห่ร้องด้วยความยินดีเพราะพวกเขามีใจชื่นบาน”—อสย. 65:13, 14 ห19.09 น. 17 ว. 15; น. 19 ว. 21
วันเสาร์ที่ 16 มกราคม
ผมก็เห็น . . . ชนฝูงใหญ่ . . . ยืนอยู่หน้าบัลลังก์และหน้าลูกแกะของพระเจ้า—วว. 7:9
ในปี 1935 พยานพระยะโฮวาเข้าใจชัดเจนขึ้นว่าใครคือชนฝูงใหญ่ในนิมิตที่ยอห์นเห็น พวกเขาได้เข้าใจว่าชนฝูงใหญ่ไม่ต้องไปสวรรค์จริง ๆ เพื่อจะไป “ยืนอยู่หน้าบัลลังก์และหน้าลูกแกะของพระเจ้า” แทนที่จะเป็นอย่างนั้น แม้ชนฝูงใหญ่จะยังอยู่บนโลกแต่พวกเขาก็ “ยืนอยู่หน้าบัลลังก์” ได้โดยยอมรับว่าพระยะโฮวาเป็นผู้ปกครองเอกภพและยอมรับอำนาจของพระองค์โดยการเชื่อฟัง (อสย. 66:1) นอกจากนั้น พวกเขายัง ‘ยืนอยู่หน้าลูกแกะของพระเจ้า’ ได้โดยแสดงความเชื่อในเครื่องบูชาไถ่ของพระเยซู คล้ายกัน มัทธิว 25:31, 32 บอกว่า “คนทุกชาติ” รวมทั้งคนชั่วจะ “ถูกรวบรวมมาอยู่ต่อหน้า” พระเยซูที่นั่งอยู่บนบัลลังก์อันยิ่งใหญ่ เห็นได้ชัดว่า “คนทุกชาติ” ไม่ได้อยู่ในสวรรค์แต่อยู่บนโลก ข้อคัมภีร์นี้ช่วยให้เราเข้าใจว่าการ “ยืนอยู่หน้าบัลลังก์” ที่พูดถึงในวิวรณ์ 7:9 ไม่ได้หมายถึงการไปสวรรค์จริง ๆ การปรับเปลี่ยนความเข้าใจใหม่นี้เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล มันอธิบายว่าทำไมคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้บอกว่าชนฝูงใหญ่ถูกรับไปสวรรค์ และคนเพียงกลุ่มเดียวที่ได้รับคำสัญญาว่าจะมีชีวิตตลอดไปในสวรรค์ก็คือ 144,000 คนซึ่ง “จะเป็นกษัตริย์ปกครองโลก” กับพระเยซู—วว. 5:10 ห19.09 น. 28 ว. 9
วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม
ทุกคนที่ภักดีต่อพระยะโฮวา ขอให้รักพระองค์—สด. 31:23
พระยะโฮวาอยากให้ผู้รับใช้ของพระองค์ไม่ยุ่งเกี่ยวกับศาสนาเท็จ แต่แค่นั้นยังไม่พอ เราต้องตั้งใจสนับสนุนศาสนาแท้ด้วยซึ่งก็คือการนมัสการบริสุทธิ์ของพระยะโฮวา ขอให้เราดู 2 วิธีที่เราจะทำแบบนั้นได้ วิธีแรกคือเราต้องยึดมั่นกับมาตรฐานทางศีลธรรมของพระยะโฮวาต่อไป เราจะไม่ยอมรับค่านิยมและมาตรฐานของโลกเด็ดขาด ตัวอย่างเช่น เราจะไม่ยอมรับการผิดศีลธรรมทางเพศทุกรูปแบบ ซึ่งรวมถึงการแต่งงานระหว่างคนเพศเดียวกันหรือการใช้ชีวิตแบบรักร่วมเพศ (มธ. 19:4, 5; รม. 1:26, 27) วิธีที่สองคือเราต้องนมัสการพระยะโฮวากับพี่น้องคริสเตียนต่อไป ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน เราจะนมัสการพระยะโฮวาโดยการประชุมเสมอที่หอประชุม และถ้าจำเป็นเราก็จะประชุมกันที่บ้านส่วนตัวหรือแม้แต่ประชุมกันอย่างลับ ๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราจะไม่เลิกไปประชุม ที่จริง เราต้องประชุมกัน “ให้มากขึ้นเมื่อเห็นว่าวันนั้นใกล้มาถึงแล้ว”—ฮบ. 10:24, 25 ห19.10 น. 16 ว. 6-7
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม
[พระยะโฮวา] เป็นพระเจ้าที่ต้องการให้นมัสการพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น—อพย. 34:14
พระยะโฮวาอยากให้เรามีความสุขกับชีวิต และความบันเทิงก็ช่วยให้เราเป็นอย่างนั้น คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “สำหรับมนุษย์ไม่มีอะไรจะดีไปกว่ากินและดื่มและมีความสุขที่ได้ทำงานหนัก” (ปญจ. 2:24) แต่ความบันเทิงของโลกก็อาจจะมีผลเสียกับเราได้ด้วย มันทำให้มาตรฐานทางศีลธรรมของผู้คนต่ำลง และทำให้ผู้คนยอมรับและถึงกับชอบสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าเป็นสิ่งชั่ว เราอยากนมัสการพระยะโฮวาเพียงผู้เดียว ถ้าอย่างนั้น เราจะกินจาก “โต๊ะของพระยะโฮวา” และจาก “โต๊ะของปีศาจ” ด้วยไม่ได้ (1 คร. 10:21, 22) ปกติแล้วคนที่กินข้าวด้วยกันมักถูกมองว่าเป็นเพื่อนกัน ฉะนั้น ถ้าเราเลือกความบันเทิงที่รุนแรง ผิดศีลธรรม เน้นเรื่องผีปีศาจ หรือความต้องการและความคิดที่ไม่ดีอื่น ๆ ก็เป็นเหมือนการที่เรากินข้าวกับศัตรูของพระเจ้าและกำลังกินอาหารที่พวกมันทำ ซึ่งนั่นจะมีผลเสียไม่ใช่แค่กับตัวเรา แต่กับความสัมพันธ์ของเรากับพระยะโฮวาด้วย ห19.10 น. 26 ว. 2; น. 29-30 ว. 11-12
วันอังคารที่ 19 มกราคม
มนุษย์พูดสิ่งที่มาจากพระเจ้าตามที่พลังบริสุทธิ์ของพระองค์ชี้นำ—2 ปต. 1:21
เพื่อนักแล่นเรือจะได้ประโยชน์จากลม เขาต้องทำ 2 อย่าง อย่างแรก เขาต้องเอาเรือไปอยู่ในทิศทางลม เพราะถ้าเขายังอยู่ที่ท่าเรือที่ไกลจากทิศทางลม เรือก็จะแล่นไปข้างหน้าไม่ได้ อย่างที่สอง เขาต้องกางใบเรือให้ตึงที่สุด ถึงจะมีลมแต่เรือจะไปข้างหน้าได้ก็ต่อเมื่อใบเรือได้รับลมเท่านั้น คล้ายกัน เราจะอดทนและรับใช้พระยะโฮวาต่อไปได้ก็ต่อเมื่อได้รับความช่วยเหลือจากพลังบริสุทธิ์ เพื่อเราจะได้ประโยชน์จากพลังบริสุทธิ์เราต้องทำ 2 อย่าง อย่างแรก เราต้องให้ตัวเราอยู่ในทิศทางของพลังบริสุทธิ์โดยทำกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งพลังบริสุทธิ์ชี้นำ อย่างที่สอง เราต้อง “กางใบเรือ” ให้ตึงที่สุดโดยทำกิจกรรมเหล่านั้นอย่างเต็มที่และสุดความสามารถ (สด. 119:32) พลังบริสุทธิ์จะช่วยให้เราก้าวไปข้างหน้าฝ่าคลื่นของการต่อต้านและปัญหาต่าง ๆ ได้ ห19.11 น. 9 ว. 8; น. 10 ว. 11
วันพุธที่ 20 มกราคม
ผมให้พวกคุณมีความสงบสุข—ยน. 14:27
ในวันสุดท้ายที่พระเยซูมีชีวิตอยู่บนโลก ท่านเครียดมากเพราะอีกไม่นานท่านจะต้องตายอย่างทรมานด้วยมือคนชั่ว แต่สิ่งที่พระเยซูเป็นห่วงไม่ใช่แค่ท่านกำลังจะตาย ท่านรักพระยะโฮวาพ่อของท่านมากและอยากทำให้พระองค์พอใจ ท่านรู้ว่าถ้ารักษาความซื่อสัตย์ตอนที่เจอการทดสอบ ท่านก็ช่วยพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหาทั้งหมดเกี่ยวกับพระยะโฮวาเป็นเรื่องไม่จริงและพระองค์สมควรได้รับการยกย่อง นอกจากนั้น พระเยซูยังรักผู้คน และท่านรู้ว่าอนาคตของเราที่จะได้อยู่ตลอดไปขึ้นอยู่กับการที่ท่านรักษาความซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวาจนตาย แม้พระเยซูจะเครียดมากแต่ท่านก็ยังคงสงบใจ ท่านมี “สันติสุขของพระเจ้า” ซึ่งเป็นความสงบใจที่เกิดจากการมีสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระยะโฮวา สันติสุขแบบนั้นแหละที่ทำให้พระเยซูไม่กังวลมากเกินไป (ฟป. 4:6, 7) ในพวกเราไม่มีใครสักคนเคยเจอความกดดันแบบพระเยซู แต่ทุกคนที่เป็นสาวกของท่านก็ต้องเจอการทดสอบและความยากลำบากหลายอย่าง (มธ. 16:24, 25; ยน. 15:20) และเหมือนกับพระเยซู บางครั้งเรารู้สึกเครียดมาก ห19.04 น. 8 ว. 1-3
วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม
อย่าดับไฟในตัวคุณที่เกิดจากพลังของพระเจ้า—1 ธส. 5:19
เราควรถามตัวเองว่า ‘ฉันรู้สึกขอบคุณที่ได้อยู่ในองค์การส่วนที่อยู่บนโลกไหม?’ เหมือนกับที่พระยะโฮวาให้ไฟลงมาจากสวรรค์ในสมัยของโมเสสและอาโรนเพื่อแสดงว่าพระองค์ยอมรับคนที่พระองค์แต่งตั้ง พระองค์ก็ให้หลักฐานที่ชัดเจนว่าพระองค์กำลังใช้องค์การของพระองค์ในทุกวันนี้ เราควรรู้สึกขอบคุณพระยะโฮวาที่ได้อยู่ในองค์การของพระองค์ (1 ธส. 5:18) เราจะแสดงอย่างไรว่าสนับสนุนองค์การของพระองค์? เราทำอย่างนั้นได้โดยทำตามสิ่งที่เราเรียนจากคัมภีร์ไบเบิลในหนังสือและสื่อต่าง ๆ ในการประชุมประชาคมและการประชุมใหญ่ และโดยการประกาศและการสอนคนอื่นให้มากที่สุดเท่าที่เราทำได้ (1 คร. 15:58) ขอให้เราทำสิ่งที่พระยะโฮวาพอใจเพื่อพระองค์จะยอมรับเครื่องบูชาของเรา ขอให้เรารับใช้พระยะโฮวาเพราะรู้สึกขอบคุณพระองค์ ขอให้เราให้สิ่งที่ดีที่สุดกับพระยะโฮวาเพราะรักพระองค์สุดหัวใจ และขอให้เราทำทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อสนับสนุนองค์การที่พระองค์กำลังอวยพรอยู่ในทุกวันนี้ โดยการทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เรากำลังแสดงให้พระยะโฮวาเห็นว่า เราเห็นค่าสิทธิพิเศษที่ได้รับใช้เป็นพยานของพระองค์ ห19.11 น. 25 ว. 17-18
วันศุกร์ที่ 22 มกราคม
คนที่แสดงความเชื่อในตัวผม . . . จะทำงานใหญ่กว่าที่ผมทำอีก—ยน. 14:12
พระเยซูไม่ได้หมายความว่าเราจะทำการอัศจรรย์เหมือนท่าน แต่หมายความว่าสาวกของท่านจะประกาศและสอนในเขตที่ใหญ่กว่า เจอกับผู้คนมากกว่า และใช้เวลานานกว่าที่ท่านทำ ถ้าคุณทำงานอาชีพ ให้ถามตัวเองว่า ‘คนในที่ทำงานมองว่าฉันเป็นคนขยันไหม? ฉันทำงานเต็มที่และเสร็จทันเวลาไหม?’ ถ้าใช่ นายจ้างก็จะไว้ใจคุณมากขึ้น และคนในที่ทำงานที่สังเกตเห็นก็จะเต็มใจฟังข่าวดีมากขึ้น นอกจากนั้น ให้คุณถามตัวเองเกี่ยวกับงานรับใช้ว่า ‘พี่น้องมองว่าฉันขยันในงานรับใช้ไหม? ฉันเตรียมตัวอย่างดีก่อนจะออกประกาศไหม? ฉันรีบกลับไปเยี่ยมคนที่สนใจไหม? และฉันรับใช้ในหลาย ๆ แบบเป็นประจำไหม?’ ถ้าใช่ คุณก็จะมีความสุขในงานรับใช้ ห19.12 น. 5 ว. 14-15
วันเสาร์ที่ 23 มกราคม
ให้สามีทุกคนรักภรรยาเหมือนรักตัวเอง ส่วนภรรยาก็ควรนับถือสามีจากใจ—อฟ. 5:33
คู่ที่ตัดสินใจจะมีลูกควรคุยกันเกี่ยวกับเรื่องสำคัญ 2 เรื่องคือ (1) จะมีลูกเมื่อไร? และ (2) อยากมีกี่คน? พวกเขาจะคุยกันเกี่ยวกับ 2 เรื่องนี้เมื่อไรจึงจะดีที่สุด? และทำไม 2 เรื่องนี้ถึงสำคัญ? ส่วนใหญ่แล้วควรจะคุยเรื่องการมีลูกตั้งแต่ก่อนแต่งงาน ทำไม? เพราะสำคัญมากที่ทั้งสองคนจะต้องคิดตรงกันในเรื่องนี้ นอกจากนั้น พวกเขาต้องดูด้วยว่าพร้อมจะทำหน้าที่พ่อแม่ไหม บางคู่ตัดสินใจรออย่างน้อย 1-2 ปีหลังแต่งงานแล้วค่อยมีลูก เพราะเมื่อมีลูก พวกเขาต้องทุ่มเทเวลาและกำลังเกือบจะทั้งหมดให้กับลูก แต่การไม่ได้มีลูกทันที จะช่วยให้พวกเขามีเวลาปรับตัวกับชีวิตคู่และใกล้ชิดกันมากขึ้น ห19.12 น. 23 ว. 4-5
วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม
เพื่อนแท้ . . . เป็นเหมือนพี่น้องที่เกิดมาเพื่อช่วยกันในเวลาลำบาก—สภษ. 17:17
ทั่วโลก ผู้รับใช้พระยะโฮวาเจอปัญหาและเจอเรื่องทุกข์กังวลหลายอย่าง คุณสังเกตพี่น้องในประชาคมไหม? บางคนกำลังเศร้ามากเพราะคนที่รักตายจากไป บางคนเจ็บปวดเพราะคนในครอบครัวหรือเพื่อนสนิทเลิกรับใช้พระเจ้า บางคนกำลังป่วยหนัก และยังมีบางคนกำลังรับมือกับปัญหาที่เป็นผลพวงจากภัยธรรมชาติ พี่น้องเหล่านั้นจำเป็นต้องได้รับกำลังใจ เราจะช่วยพวกเขาได้อย่างไร? เพื่อนที่ภักดีเสียสละเพื่อช่วยพี่น้องคริสเตียน ตัวอย่างเช่น เมื่อปีเตอร์ป่วยเป็นโรคที่ทรุดลงอย่างรวดเร็วและจะอยู่ได้ไม่นาน แคทรีนภรรยาของเขาบอกว่า “วันที่รู้ว่าปีเตอร์เป็นโรคนี้ สามีภรรยาคู่หนึ่งในประชาคมเป็นคนพาเราสองคนไปโรงพยาบาล พอหมอบอกข่าวร้าย พวกเขาก็ตัดสินใจทันทีว่าหลังจากนี้จะไม่ปล่อยให้เราไปหาหมอกันอย่างเศร้า ๆ ตามลำพัง ตั้งแต่นั้นมา เมื่อไหร่ที่พวกเราต้องการ พวกเขาก็อยู่เคียงข้างเราเสมอ” การมีเพื่อนแท้ที่ช่วยให้เราอดทนปัญหาได้ทำให้มีกำลังใจจริง ๆ! ห20.01 น. 8 ว. 1; น. 9 ว. 5; น. 10 ว. 6
วันจันทร์ที่ 25 มกราคม
พวกเขาเต็มไปด้วยพลังบริสุทธิ์ของพระเจ้าและเริ่มพูดเป็นภาษาต่าง ๆ—กจ. 2:4
ถ้าคุณเป็นสาวกที่ได้ประชุมในห้องชั้นบนในวันเพ็นเทคอสต์ปี ค.ศ. 33 คุณคงมั่นใจแน่ ๆ ว่าคุณได้รับการเจิมด้วยพลังบริสุทธิ์ (กจ. 2:5-12) แต่ผู้ถูกเจิมทุกคนได้รับการเจิมด้วยพลังบริสุทธิ์โดยวิธีที่น่าตื่นเต้นแบบนี้และในช่วงเวลาเดียวกันของชีวิตไหม? ไม่ใช่ เรารู้ได้อย่างไร? ให้เรามาดูเรื่องเวลาด้วยกัน ในวันนั้น ไม่ได้มีคริสเตียนแค่ 120 คนที่ถูกเจิม ต่อมาในวันเดียวกันมีอีกประมาณ 3,000 คนที่ได้รับพลังบริสุทธิ์อย่างที่พระเยซูสัญญาไว้ พวกเขาถูกเจิมตอนรับบัพติศมา (กจ. 2:37, 38, 41) แต่หลังจากนั้น ก็ไม่ใช่ผู้ถูกเจิมทุกคนได้รับการเจิมตอนรับบัพติศมา คนสะมาเรียหลายคนได้รับการเจิมหลังจากพวกเขารับบัพติศมาระยะหนึ่งแล้ว (กจ. 8:14-17) นอกจากนั้น ยังมีกรณีพิเศษของโคร์เนลิอัสกับคนในบ้านของเขาที่ถูกเจิมก่อนรับบัพติศมาด้วยซ้ำ—กจ. 10:44-48 ห20.01 น. 20-21 ว. 2-4
วันอังคารที่ 26 มกราคม
ผมทำให้พวกเขารู้จักชื่อของพระองค์แล้ว—ยน. 17:26
พระเยซูเรียกพระยะโฮวาว่า “พ่อ” เกือบ 200 ครั้งในหนังสือข่าวดีสี่เล่ม ทำไมท่านใช้คำว่า “พ่อ” บ่อยขนาดนั้น? เหตุผลหนึ่งคือเพื่อให้ผู้คนมั่นใจว่าพระยะโฮวาเป็นพ่อที่รักพวกเขาจริง ๆ (ยน. 17:25) ขอให้เราคิดถึงวิธีที่พระยะโฮวาปฏิบัติกับพระเยซูลูกของพระองค์ พระยะโฮวาฟังคำอธิษฐานของพระเยซูเสมอ แต่ไม่ใช่แค่ฟังเท่านั้น พระองค์ยังตอบคำอธิษฐานของท่านด้วย (ยน. 11:41, 42) ไม่ว่าพระเยซูเจอกับปัญหาอะไร ท่านรู้ว่าพ่อของท่านรักท่านและคอยช่วยเหลือท่านเสมอ (ลก. 22:42, 43) พระยะโฮวารักพระเยซู พระองค์เลยทำให้พระเยซูมั่นใจว่าพ่อคอยช่วยท่านอยู่เสมอ (มธ. 26:53; ยน. 8:16) ถึงพระยะโฮวาไม่ได้ปกป้องพระเยซูจากปัญหาทุกอย่างแต่พระองค์ช่วยท่านให้อดทนได้ พระเยซูรู้ว่าปัญหาและความลำบากทุกอย่างที่ท่านเจอมีอยู่แค่ชั่วคราวเท่านั้น (ฮบ. 12:2) พระยะโฮวาแสดงว่ารักพระเยซูโดยฟังท่าน ดูแลให้ท่านมีสิ่งจำเป็น ฝึกสอนท่าน และคอยช่วยเหลือท่าน—ยน. 5:20; 8:28 ห20.02 น. 3 ว. 6-7, 9
วันพุธที่ 27 มกราคม
ให้คุณทำทุกสิ่งแบบที่จะทำให้พระเจ้าได้รับการยกย่องสรรเสริญ อย่าเป็นต้นเหตุให้คน . . . ไม่สบายใจ—1 คร. 10:31, 32
เมื่อต้องตัดสินใจว่าจะทำตามธรรมเนียมบางอย่างหรือไม่ เราต้องคิดด้วยว่าการตัดสินใจของเราจะส่งผลต่อความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของคนอื่นหรือเปล่าโดยเฉพาะของพี่น้อง เราไม่อยากทำให้ใครทิ้งความเชื่อหรือไม่สบายใจแน่ ๆ! (มก. 9:42) นอกจากนั้น เราไม่อยากทำให้คนที่ไม่ใช่พยานฯ รู้สึกไม่ดีโดยไม่จำเป็น ความรักจะทำให้เราพูดกับพวกเขาด้วยความนับถือซึ่งจะเป็นการยกย่องสรรเสริญพระยะโฮวา และเราจะไม่ทะเลาะกับคนอื่นหรือดูถูกธรรมเนียมของพวกเขา ให้จำไว้ว่าความรักมีพลังมาก เมื่อเราแสดงความรักโดยคิดถึงความรู้สึกของพวกเขาและให้ความนับถือ เราก็อาจทำให้คนที่ต่อต้านเราใจอ่อนลงได้ ให้คุณทำให้ทุกคนในละแวกที่คุณอยู่รู้ว่าคุณเป็นพยานพระยะโฮวา (อสย. 43:10) ถ้ามีบางคนในครอบครัวของคุณเสียชีวิต ญาติและเพื่อนบ้านอาจโกรธมากถ้าคุณไม่ยอมทำตามธรรมเนียมบางอย่าง คุณจะรับมือกับสถานการณ์นี้ได้ง่ายขึ้นถ้าคุณอธิบายความเชื่อให้พวกเขารู้ก่อนหน้านั้น ดังนั้น ขอเราอย่าอายที่จะปกป้องความจริงเกี่ยวกับความตาย—รม. 1:16 ห19.04 น. 17-18 ว. 14-16
วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม
ผมต่ำต้อยที่สุดในพวกอัครสาวก และผมไม่เหมาะที่จะถูกเรียกว่าอัครสาวกด้วยซ้ำ—1 คร. 15:9
อัครสาวก 12 คนได้ติดตามพระเยซูในงานรับใช้ แต่กว่าเปาโลจะได้เป็นคริสเตียนก็หลังจากที่พระเยซูฟื้นขึ้นจากตายแล้ว ถึงต่อมาเขาจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็น “อัครสาวกที่ถูกส่งไปหาคนต่างชาติ” แต่เปาโลก็ไม่ได้รับสิทธิพิเศษที่จะเป็นหนึ่งในอัครสาวก 12 คน (รม. 11:13; กจ. 1:21-26) แทนที่เปาโลจะอิจฉา 12 คนนั้นที่ได้เป็นอัครสาวกที่ใกล้ชิดกับพระเยซู เขารู้จักพอใจในสิ่งที่เขาเป็น ถ้าเราเป็นคนถ่อมและรู้จักพอเพียง เราจะเป็นเหมือนเปาโลและนับถือคนที่พระยะโฮวาให้อำนาจ (กจ. 21:20-26) พระยะโฮวาแต่งตั้งผู้ชายให้นำหน้าประชาคมคริสเตียน ถึงพวกเขาจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่พระองค์ก็ถือว่าพวกเขาเป็น “ของขวัญที่เป็นมนุษย์” (อฟ. 4:8, 11) ถ้าเรานับถือผู้ชายที่ได้รับการแต่งตั้งเหล่านี้และถ่อมตัวทำตามการชี้นำของพวกเขา เราก็จะสนิทกับพระยะโฮวาเสมอและมีสันติสุขกับพี่น้อง ห20.02 น. 17 ว. 13-14
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม
เราแสดงความรักก็เพราะพระองค์รักเราก่อน—1 ยน. 4:19
ก่อนคุณจะศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพยานฯ คุณอาจนับถือและเห็นค่าคัมภีร์ไบเบิลอยู่แล้ว คุณอาจรักพระเยซูด้วย ตอนนี้พอคุณมารู้จักพยานฯ คุณก็ชอบที่ได้ใช้เวลาด้วยกันกับพวกเขา แต่ความรักต่อเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้คุณอยากอุทิศตัวและรับบัพติศมา เหตุผลสำคัญที่สุดที่จะกระตุ้นให้คุณรับบัพติศมาคือความรักที่คุณมีต่อพระยะโฮวา เมื่อคุณรักพระองค์มากกว่าอะไรทั้งหมด คุณจะไม่ยอมให้อะไรมาขัดขวางคุณไม่ให้รับใช้พระองค์ ความรักต่อพระยะโฮวาเป็นเหมือนทั้งประตูที่นำไปสู่การรับบัพติศมา และราวกั้นที่จะช่วยให้คุณไม่ออกไปจากเส้นทางของการรับใช้พระเจ้า พระเยซูบอกว่าเราต้องรักพระยะโฮวาสุดหัวใจ สุดชีวิต สุดความคิด และสุดกำลังของเรา (มก. 12:30) คุณจะรักและนับถือพระองค์มากขนาดนั้นได้อย่างไร? การคิดดูว่าพระยะโฮวารักเรามากขนาดไหนจะกระตุ้นให้เรารักพระองค์ ห20.03 น. 4 ว. 4-5
วันเสาร์ที่ 30 มกราคม
ทำงานรับใช้ของคุณให้สำเร็จครบถ้วน—2 ทธ. 4:5
การทำงานรับใช้ให้สำเร็จครบถ้วนหมายความว่าอย่างไร? พูดง่าย ๆ ก็คือการทำงานรับใช้ให้สำเร็จครบถ้วนหมายถึงการที่เราต้องประกาศและสอนคนอื่นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่นี่ไม่ได้หมายถึงชั่วโมงในการรับใช้เท่านั้น สำหรับพระยะโฮวาแล้ว เหตุผลที่เราประกาศเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเรารักพระยะโฮวาและรักคนอื่น เราจะทำงานรับใช้สุดชีวิต (มก. 12:30, 31; คส. 3:23) การรับใช้พระยะโฮวาสุดชีวิตหมายถึงการทุ่มเทสุดตัว ใช้กำลังเรี่ยวแรงของเราสุดความสามารถเพื่อรับใช้พระองค์ เมื่อเราเข้าใจว่าเรามีสิทธิพิเศษขนาดไหนที่ได้ทำงานประกาศ เราจะทำอย่างดีที่สุดเพื่อบอกข่าวดีกับผู้คนให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เราอาจไม่ค่อยมีเวลาที่จะประกาศได้มากอย่างที่อยากทำ แต่เราก็รักงานนี้มาก เราเลยพยายามพัฒนาความสามารถในการประกาศข่าวดีในแบบที่เข้าถึงหัวใจคน เราให้งานรับใช้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต ห19.04 น. 2-3 ว. 3-4; น. 3 ว. 6
วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม
มันไม่มีความจริง—ยน. 8:44
เรื่องโกหกของซาตานยิ่งทำให้มนุษย์เสียใจและเป็นทุกข์มากขึ้น พ่อแม่ที่เสียใจเพราะลูกตายอาจได้ยินคนมาบอกว่าพระเจ้าเอาลูกของพวกเขาไปเป็นทูตสวรรค์ เรื่องโกหกของซาตานทำให้พวกเขาโศกเศร้าน้อยลงไหม หรือยิ่งทำให้รู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น? เรื่องโกหกอีกอย่างหนึ่งคือ คำสอนเท็จเรื่องไฟนรก มีการใช้คำสอนนี้เพื่อทำให้การทรมานดูเป็นเรื่องที่ถูกต้องและมีเหตุผล เช่น การเผาคนที่ต่อต้านคำสอนของคริสตจักรทั้งเป็นบนเสา ตามที่บอกไว้ในหนังสือเกี่ยวกับศาลศาสนาของสเปน บางคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทรมานโดยวิธีนี้อาจเชื่อว่า พวกเขาเพียงแต่ทำให้คนที่ไม่เห็นด้วยกับคำสอนของคริสตจักร “ได้ลิ้มรสว่าการถูกทรมานในไฟนรกตลอดกาลเป็นอย่างไร” เพื่อคนที่ถูกทรมานจะกลับใจก่อนตายและไม่ต้องโดนทรมานในไฟนรกจริง ๆ นอกจากนั้น ในหลายประเทศหลายคนรู้สึกว่าต้องไหว้ผีปู่ย่าตายายเพื่อจะขอให้ปกป้องคุ้มครอง ต้องเอาอาหารไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษ และต้องทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คนตาย ส่วนบางคนอยากทำให้บรรพบุรุษพอใจเพื่อจะไม่ถูกทำร้ายหรือถูกรังควาน น่าเศร้า ความเชื่อเหล่านี้ซึ่งเกิดจากคำโกหกของซาตานไม่ได้ทำให้ผู้คนได้กำลังใจจริง ๆ แต่มันกลับทำให้พวกเขายิ่งวิตกกังวลหรือหวาดกลัวโดยไม่จำเป็น ห19.04 น. 14 ว. 1; น. 16 ว. 10