มีนาคม
วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม
พระยะโฮวาจึงสั่งว่า ‘ดังนั้น ออกมาจากพวกเขาและแยกอยู่ต่างหาก เลิกแตะต้องสิ่งที่ไม่สะอาด’—2 คร. 6:17
ความรักต่อพระยะโฮวาและคัมภีร์ไบเบิลทำให้เราตั้งใจและกล้าที่จะเชื่อฟังพระองค์แม้แต่ตอนที่ญาติหรือเพื่อนที่หวังดีพยายามกดดันเราให้ทำพิธีกรรมบางอย่างที่ไม่ถูกต้องตามคัมภีร์ไบเบิล พวกเขาอาจถึงกับพยายามทำให้เราอายถ้าเราไม่เข้าร่วมกับพวกเขา เช่น อาจพูดว่าเราไม่รักหรือไม่นับถือคนที่ตายไปแล้ว หรืออาจพูดว่าเรากำลังทำให้คนตายมาทำร้ายคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ในประเทศหนึ่งแถบแคริบเบียน หลายคนเชื่อว่าเมื่อคนเราตาย “วิญญาณ” จะออกจากร่างและยังคงวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ ร่างของเขา และจะทำร้ายคนที่เคยทำไม่ดีกับเขาตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ หนังสือเล่มหนึ่งบอกว่า “วิญญาณ” นั้นอาจถึงกับทำให้ “ทั้งชุมชนเดือดร้อน” บางประเทศในแอฟริกามีธรรมเนียมที่จะเอาผ้าคลุมกระจกทุกบานในบ้านที่มีคนตาย และเอารูปภาพของคนตายทุกรูปหันหน้าเข้าผนัง ทำไมถึงทำแบบนั้น? บางคนอ้างว่าเพื่อคนตายจะไม่ต้องเห็นตัวเอง แต่เพราะเราเป็นผู้รับใช้พระยะโฮวา เราจะไม่มีส่วนร่วมในพิธีกรรมหรือเชื่อเรื่องที่เล่าต่อ ๆ กันมาซึ่งส่งเสริมเรื่องโกหกของซาตาน—1 คร. 10:21, 22 ห19.04 น. 16 ว. 11-12
วันอังคารที่ 2 มีนาคม
ให้คุณทำกับคนอื่นเหมือนที่อยากให้คนอื่นทำกับคุณ—มธ. 7:12
พระเยซูสอนหลักการที่ช่วยให้สาวกรู้ว่าควรทำกับคนอื่นด้วยความยุติธรรมอย่างไร ตัวอย่างเช่น ขอให้คิดถึงกฎทอง ถ้าเราอยากได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรม เราต้องปฏิบัติกับคนอื่นอย่างยุติธรรม แล้วถ้าเราทำอย่างนั้น เขาก็อาจปฏิบัติกับเราอย่างยุติธรรมด้วย แต่ถ้าเราไม่ได้รับความยุติธรรมล่ะ? พระเยซูสอนด้วยว่า สาวกของท่านต้องไว้วางใจว่าพระยะโฮวาจะ “ให้ความยุติธรรมกับคนที่ . . . ขอความช่วยเหลือจากพระองค์ทั้งวันทั้งคืน” (ลก. 18:6, 7) นี่คือคำสัญญาของพระยะโฮวา พระองค์เป็นพระเจ้าที่ยุติธรรม พระองค์รู้ว่าเรากำลังเจอความยากลำบากอะไรในสมัยสุดท้ายนี้ และพระองค์จะให้ความยุติธรรมกับเราเมื่อถึงเวลา (2 ธส. 1:6) เมื่อเราทำตามหลักการที่พระเยซูสอน เราก็จะปฏิบัติกับคนอื่นอย่างยุติธรรม และถ้าเราเป็นเหยื่อของความไม่ยุติธรรมในโลกของซาตาน เราก็ได้กำลังใจที่รู้ว่าพระยะโฮวาจะให้ความยุติธรรมกับเราแน่นอน ห19.05 น. 5 ว. 18-19
วันพุธที่ 3 มีนาคม
[ให้] พร้อมเสมอที่จะอธิบายเรื่องความหวังของคุณกับคนที่สงสัยว่าทำไมพวกคุณหวังอย่างนั้น แต่ให้ทำอย่างสุภาพและด้วยความนับถือจากใจ—1 ปต. 3:15
คุณยังเรียนหนังสืออยู่ไหม? เพื่อน ๆ ที่โรงเรียนอาจเชื่อเรื่องวิวัฒนาการ คุณอยากจะอธิบายความเชื่อในคัมภีร์ไบเบิลเรื่องพระเจ้าผู้สร้างให้พวกเขาฟัง แต่คุณอาจรู้สึกว่าทำไม่ได้ ถ้าคุณรู้สึกอย่างนั้น ลองเอาเรื่องนี้เป็นโปรเจ็คศึกษาส่วนตัวดูสิ คุณอาจตั้งเป้าหมาย 2 อย่างคือ (1) เพื่อทำให้คุณเชื่อมั่นมากขึ้นว่าพระเจ้าสร้างทุกสิ่ง และ (2) เพื่ออธิบายความเชื่อของคุณได้เก่งขึ้น (รม. 1:20) คุณอาจถามตัวเองก่อนว่า ‘ทำไมเพื่อนที่โรงเรียนถึงบอกว่าเชื่อเรื่องวิวัฒนาการ?’ จากนั้น ให้ค้นคว้าจากหนังสือขององค์การ การอธิบายความเชื่ออาจไม่ยากอย่างที่คุณคิด คนส่วนใหญ่เชื่อเรื่องวิวัฒนาการเพราะคนที่เขานับถือบอกว่ามันเป็นเรื่องจริง ถ้าคุณเจอข้อเท็จจริงแค่หนึ่งหรือสองข้อที่คุณสามารถบอกเขาได้ คุณก็อาจช่วยบางคนที่กำลังอยากรู้ความจริงได้—คส. 4:6 ห19.05 น. 29 ว. 13
วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม
เราจะปลอบเจ้า เหมือนอย่างแม่ปลอบลูก—อสย. 66:13
ตอนที่ผู้พยากรณ์เอลียาห์หนีเอาชีวิตรอดจากคนที่ต้องการฆ่าเขา เขารู้สึกทุกข์ใจมากจนอยากตาย พระยะโฮวาส่งทูตสวรรค์องค์หนึ่งไปหาเอลียาห์ ทูตสวรรค์ให้สิ่งที่จำเป็นกับเขาตอนนั้นพอดีนั่นคืออาหารร้อน ๆ และบอกให้เอลียาห์ลุกขึ้นมากิน (1 พก. 19:5-8) เรื่องนี้ทำให้เราเห็นข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งที่เราเอาไปใช้ได้ บางครั้ง การทำอะไรง่าย ๆ ให้คนที่ทุกข์ใจก็อาจช่วยได้มาก เช่น อาจพาไปกินข้าวหรือทำกับข้าวให้กิน ให้ของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ เขียนการ์ดหรือส่งข้อความให้กำลังใจ เพียงเท่านี้ก็ทำให้พี่น้องคนนั้นรู้ว่าเรารักและเป็นห่วงเขามาก ถ้าเรารู้สึกไม่สบายใจที่จะคุยเรื่องส่วนตัวของเขาหรือเรื่องที่ทำให้เขาสะเทือนใจ เราอาจแสดงว่าเป็นห่วงเขาได้โดยทำสิ่งดี ๆ เหล่านี้เพื่อเขา พระยะโฮวาทำการอัศจรรย์โดยช่วยให้เอลียาห์สามารถเดินทางไกลไปที่ภูเขาโฮเรบได้ ซึ่งเป็นที่ที่ไกลจากคนที่อยากจะฆ่าเขา เราได้บทเรียนอะไร? ถ้าเราอยากปลอบโยนคนที่เป็นเหยื่อของการถูกทำร้ายทางเพศ อย่างแรก เราต้องทำให้เขารู้สึกปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านของเขาหรือที่หอประชุม ห19.05 น. 16 ว. 11; น. 17 ว. 13-14
วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม
คนทั้งแผ่นดินจะร้องไห้ . . . แยกกันเป็นกลุ่ม ๆ ตามตระกูล . . . ตระกูลนาธันกลุ่มหนึ่ง—ศคย. 12:12
สมมุติว่าคุณอ่านคำพยากรณ์ที่เศคาริยาห์บท 12 ซึ่งบอกล่วงหน้าเรื่องการตายของเมสสิยาห์ (ศคย. 12:10) พออ่านมาถึงข้อ 12 คุณเจอประโยคที่บอกว่า “ตระกูลนาธัน” ร้องไห้เสียใจที่เมสสิยาห์ตาย แทนที่จะอ่านผ่าน ๆ ไป คุณอาจหยุดคิดและถามตัวเองว่า ‘ตระกูลนาธันเกี่ยวข้องอย่างไรกับเมสสิยาห์? คุณอาจต้องทำตัวเป็น “นักสืบ” สักหน่อย ถ้าคุณดูที่ข้ออ้างโยงของเศคาริยาห์ 12:12 คุณจะเห็นข้อคัมภีร์ข้อแรกคือ 2 ซามูเอล 5:13, 14 ซึ่งทำให้รู้ว่านาธันเป็นลูกชายของกษัตริย์ดาวิด แล้วคุณก็เห็นข้อคัมภีร์อีกข้อคือลูกา 3:23, 31 ข้อนี้ทำให้รู้ว่าพระเยซูเป็นลูกหลานของนาธันทางมารีย์แม่ของพระเยซู แล้วคุณก็ตื่นเต้นมาก! คุณรู้ว่ามีการบอกล่วงหน้าว่าพระเยซูจะเกิดมาทางเชื้อสายของดาวิด (มธ. 22:42) คิดดูสิ ดาวิดมีลูกชายมากกว่า 20 คน แต่เศคาริยาห์สามารถบอกได้อย่างเจาะจงว่าตระกูลนาธันมีเหตุผลที่จะร้องไห้เพราะการตายของพระเยซู น่าทึ่งจริง ๆ ใช่ไหม? ห19.05 น. 30 ว. 17
วันเสาร์ที่ 6 มีนาคม
ให้เปลี่ยนแปลงตัวเองโดยเปลี่ยนความคิดของคุณใหม่ เพื่อคุณจะได้ตรวจดูจนแน่ใจว่าอะไรคือสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เราทำซึ่งเป็นสิ่งที่ดี สมบูรณ์ และทำให้พระองค์พอใจ—รม. 12:2
เราต้องทำอย่างไร? โดยการศึกษาส่วนตัวเป็นประจำ เราจะแน่ใจว่าสิ่งที่เรียนในคัมภีร์ไบเบิลเป็นความจริง เราจะมั่นใจเต็มร้อยว่ามาตรฐานของพระยะโฮวาถูกต้อง แล้วเราจะ “มีความเชื่อที่มั่นคง” จริง ๆ เหมือนกับต้นไม้ที่มีรากแข็งแรง (คส. 2:6, 7) ขอจำไว้ว่าไม่มีใครทำให้คุณมีความเชื่อที่มั่นคงได้นอกจากตัวคุณเอง ดังนั้น คุณต้องเปลี่ยนความคิดจิตใจใหม่ต่อ ๆ ไป ให้อธิษฐานเป็นประจำและขอความช่วยเหลือจากพลังบริสุทธิ์ของพระยะโฮวา ให้คิดใคร่ครวญและคอยเช็กเป็นระยะ ๆ ว่าความคิดของคุณเป็นอย่างไรและแรงกระตุ้นของคุณคืออะไร ให้เลือกเพื่อนที่ดีโดยเลือกคนที่จะช่วยให้คุณเปลี่ยนแปลงความคิด เมื่อทำแบบนี้คุณก็จะขจัดและป้องกันอิทธิพลที่ไม่ดีของโลกซาตานได้สำเร็จและจะทำลาย “การคิดหาเหตุผลผิด ๆ และอะไรก็ตามที่ขัดกับความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า”—2 คร. 10:5 ห19.06 น. 13 ว. 17-18
วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม
การนมัสการแบบที่สะอาดและไม่แปดเปื้อนตามทัศนะของพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราคือ การดูแลลูกกำพร้ากับแม่ม่ายที่มีความทุกข์ยาก—ยก. 1:27
เหมือนกับรูธที่อยู่กับนาโอมีไม่ยอมไปไหน เราก็ต้องช่วยพี่น้องที่เสียคนรักต่อ ๆ ไป (นรธ. 1:16, 17) พอลล่าบอกว่า “ตอนที่สามีฉันเพิ่งตาย มีคนมาให้กำลังใจฉันเต็มไปหมด พอเวลาผ่านไป พวกเขาก็กลับไปใช้ชีวิตกันตามปกติ แต่ชีวิตฉันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ฉันคิดว่าสิ่งที่ช่วยได้มากก็คือการที่ทุกคนรู้ว่าคนที่สูญเสียยังคงต้องการความช่วยเหลือไม่ว่าเรื่องร้าย ๆ จะผ่านไปกี่เดือนกี่ปีแล้ว” แน่นอนว่าแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนดูเหมือนปรับตัวได้เร็ว แต่ยังมีอีกหลายคนที่รู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งตอนทำอะไรบางอย่างที่เคยทำกับคนที่เขารัก และวิธีแสดงความเศร้าของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ให้เราจำไว้ว่าพระยะโฮวาให้สิทธิพิเศษและหน้าที่รับผิดชอบกับเราที่จะเอาใจใส่คนที่คู่ชีวิตตายจากไป ห19.06 น. 24 ว. 16
วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม
ผมจะระวังคำพูดเหมือนเอาตะกร้อสวมปากไว้ เมื่ออยู่ต่อหน้าคนชั่ว—สด. 39:1
ช่วงที่ถูกสั่งห้าม เราต้องรู้ว่าเวลาไหนที่ควรเป็น “เวลาเงียบ” (ปญจ. 3:7) เราต้องปกป้องข้อมูลบางอย่างที่เป็นความลับ เช่น ชื่อของพี่น้อง ที่ที่เราจะประชุมกัน วิธีประกาศ และวิธีที่เราได้รับความรู้ที่เสริมความเชื่อ เราจะไม่เปิดเผยเรื่องเหล่านี้ให้กับเจ้าหน้าที่ และไม่บอกกับเพื่อนหรือญาติไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในประเทศหรือต่างประเทศ ถ้าเราไม่เชื่อฟังคำแนะนำนี้ เราจะทำให้พี่น้องตกอยู่ในอันตราย อย่าปล่อยให้ความขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำให้เราแตกแยกกัน ซาตานรู้ว่าบ้านไหนแตกแยกกัน บ้านนั้นก็จะอยู่ไม่ได้ (มก. 3:24, 25) มันจึงพยายามอย่างไม่ละลดที่จะทำให้เราแตกแยกกัน มันทำแบบนั้นเพราะหวังจะให้เราต่อสู้กันเองแทนที่จะต่อสู้กับมัน แม้แต่คริสเตียนที่มีความเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องระวังที่จะไม่ติดกับดักนี้ ถ้าเราพยายามจัดการความขัดแย้งที่มีกับพี่น้อง เราก็จะไม่ยอมให้อะไรมาทำให้เราแตกแยกกัน—คส. 3:13, 14 ห19.07 น. 11-12 ว. 14-16
วันอังคารที่ 9 มีนาคม
ทาสของผู้เป็นนาย . . . ต้องสุภาพอ่อนโยนกับทุกคน มีความสามารถที่จะสอน—2 ทธ. 2:24
หลายครั้งเราเห็นว่าที่ผู้คนฟังเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราพูดอะไร แต่ขึ้นอยู่กับวิธีพูดของเราต่างหาก ผู้ฟังจะชอบถ้าเราพูดน่าฟัง อ่อนโยน และสนใจเขาจริง ๆ เราไม่ได้บังคับใครให้ฟังเรา แต่เราพยายามเข้าใจว่าทำไมเขาคิดแบบนั้นเกี่ยวกับศาสนา อย่างเช่น บางคนไม่ชอบคุยเรื่องศาสนากับคนแปลกหน้า บางคนอาจรู้สึกแปลก ๆ ถ้ามีใครมาถามเรื่องพระเจ้า ส่วนบางคนมองว่าเป็นเรื่องไม่มีมารยาท คนอื่นรู้สึกอายถ้ามีคนเห็นว่าเขากำลังอ่านคัมภีร์ไบเบิลโดยเฉพาะกับพยานพระยะโฮวา แต่ไม่ว่าเขามีเหตุผลอะไรก็ตาม เราจะพยายามเข้าใจความรู้สึกของเขา ตอนที่เปาโลประกาศกับคนยิว เขาใช้ข้อคัมภีร์ แต่ตอนที่คุยกับนักปรัชญาชาวกรีกที่อาเรโอปากัส เขาไม่ได้บอกว่าสิ่งที่เขาพูดยกมาจากข้อคัมภีร์ (กจ. 17:2, 3, 22-31) แล้วคุณจะเลียนแบบเปาโลได้อย่างไร? ถ้าคุณเจอคนที่ไม่ยอมรับคัมภีร์ไบเบิล อาจจะดีที่สุดถ้าคุณจะไม่บอกว่าสิ่งที่คุณพูดมาจากคัมภีร์ไบเบิล และถ้าคุณรู้สึกว่าคนที่คุณกำลังคุยด้วยไม่ชอบให้คนอื่นเห็นว่ากำลังอ่านคัมภีร์ไบเบิลกับคุณ ให้ใช้วิธีที่คนอื่นไม่ค่อยสังเกตเห็น เช่น อ่านจากโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตแทน ห19.07 น. 21 ว. 5-6
วันพุธที่ 10 มีนาคม
ระวังให้ดี อย่าปล่อยให้หัวใจของคุณถูกล่อให้หลงไปนมัสการ . . . พระอื่น—ฉธบ. 11:16
ซาตานฉลาดมาก มันล่อใจชาวอิสราเอลให้ไหว้รูปเคารพได้ มันรู้ว่าชาวอิสราเอลจำเป็นต้องมีอาหาร มันเลยพยายามใช้สิ่งนี้เพื่อให้พวกเขาทำอย่างที่มันต้องการ ตอนที่ชาวอิสราเอลเข้าไปในแผ่นดินที่พระเจ้าสัญญา พวกเขาต้องเปลี่ยนวิธีเพาะปลูกแบบใหม่ สมัยอยู่ในอียิปต์ชาวอิสราเอลเพาะปลูกโดยอาศัยน้ำจากแม่น้ำไนล์ แต่พอพวกเขาเข้าไปอยู่ในแผ่นดินที่พระเจ้าสัญญา ที่นั่นไม่มีแม่น้ำใหญ่ ๆ พวกเขาเลยต้องอาศัยน้ำฝนและน้ำค้าง (ฉธบ. 11:10-15; อสย. 18:4, 5) ดังนั้น ชาวอิสราเอลต้องเรียนวิธีเพาะปลูกแบบใหม่ แต่ทำไมตอนที่พระยะโฮวาบอกวิธีเพาะปลูกแบบใหม่ พระองค์ถึงต้องเตือนพวกเขาเกี่ยวกับการนมัสการพระเท็จด้วย? พระยะโฮวารู้ว่าชาวอิสราเอลจะถูกล่อใจให้เรียนรู้วิธีเพาะปลูกจากชาติอื่นที่อยู่รอบ ๆ ซึ่งไม่ได้นมัสการพระองค์ และวิธีการคิดของเกษตรกรชาวคานาอันมีอิทธิพลมาจากการนมัสการพระบาอัล—กดว. 25:3, 5; วนฉ. 2:13; 1 พก. 18:18 ห19.06 น. 3 ว. 4-6
วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม
ผมเฝ้าอธิษฐานขอให้พวกคุณมีความรักมากขึ้นเรื่อย ๆ—ฟป. 1:9
ตอนที่อัครสาวกเปาโล สิลาส ลูกา และทิโมธีมาถึงเมืองฟีลิปปีซึ่งเป็นเมืองขึ้นของโรม มีหลายคนที่นั่นสนใจฟังและอยากรู้มากขึ้นเกี่ยวกับข่าวดี พี่น้องชายที่กระตือรือร้นทั้ง 4 คนนี้ช่วยตั้งประชาคมขึ้นและพวกพี่น้องใหม่ในเมืองนั้นก็เริ่มประชุมด้วยกัน พวกเขาอาจประชุมกันที่บ้านของลิเดียซึ่งเป็นพี่น้องที่มีน้ำใจต้อนรับแขก (กจ. 16:40) แต่ต่อมาไม่นานประชาคมใหม่นี้ต้องเจอปัญหา ซาตานกระตุ้นคนที่เกลียดความจริงให้ต่อต้านงานประกาศของเปาโลกับเพื่อน ๆ เปาโลกับสิลาสถูกจับ ถูกเฆี่ยนด้วยไม้ และถูกขังคุก หลังจากถูกปล่อยตัว ทั้งสองคนก็ไปเยี่ยมและให้กำลังใจพี่น้องใหม่ ต่อมา เปาโล สิลาส และทิโมธีก็ไปจากเมืองฟีลิปปี แต่ดูเหมือนว่าลูกายังอยู่ที่นั่น ส่วนพี่น้องใหม่ในเมืองนั้นทำอย่างไรต่อไป? พระยะโฮวาช่วยพวกเขาโดยทางพลังของพระองค์ พวกเขาจึงรับใช้พระองค์ต่อไปอย่างกระตือรือร้น (ฟป. 2:12) เปาโลต้องภูมิใจในตัวพวกเขามาก ๆ ห19.08 น. 8 ว. 1-2
วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม
คนที่ยืมจะเป็นทาสของคนให้ยืม—สภษ. 22:7
คุณเพิ่งย้ายที่อยู่ไหม? การย้ายไปที่อื่นอาจจะทำให้มีค่าใช้จ่ายเยอะซึ่งทำให้เป็นหนี้ได้ง่าย เพื่อจะเป็นหนี้น้อยที่สุดต้องระวังอย่ายืมเงินคนอื่น กู้หนี้ยืมสิน หรือใช้บัตรเครดิตเพื่อซื้อสิ่งที่จริง ๆ แล้วไม่จำเป็นต้องมี (สภษ. 22:3) เมื่อคุณเจอสถานการณ์ที่เครียด เช่น คนในครอบครัวล้มป่วย คุณอาจรู้สึกว่ายากที่จะตัดสินใจว่าต้องยืมเงินมากน้อยแค่ไหน ในสถานการณ์แบบนี้ขอจำไว้ว่า “การอธิษฐานและการอ้อนวอน” จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างฉลาด พระยะโฮวาจะตอบคำอธิษฐานโดยให้คุณมีสันติสุขที่ “ปกป้องหัวใจและความคิดของพวกคุณไว้” ซึ่งจะช่วยให้คุณมีใจสงบและตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง (ฟป. 4:6, 7; 1 ปต. 5:7) นอกจากนั้น ให้สนิทกับเพื่อนที่ดีและคนในครอบครัวเสมอ เล่าให้เพื่อนสนิทของคุณฟังว่าคุณรู้สึกอย่างไรและกำลังเจออะไร โดยเฉพาะเพื่อนที่เคยเจอสถานการณ์คล้ายกับคุณ การทำแบบนั้นอาจช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้น (ปญจ. 4:9, 10) เพื่อนที่คุณมีตอนทำงานมอบหมายเดิมก็จะยังคงเป็นเพื่อนของคุณ ห19.08 น. 22 ว. 9-10
วันเสาร์ที่ 13 มีนาคม
กษัตริย์ทั่วโลกมารวมตัวกันใน . . . อาร์มาเกดโดน—วว. 16:16
ทำไมพระยะโฮวาถึงเชื่อมโยงสงครามใหญ่ครั้งสุดท้ายกับเมกิดโด? ในสมัยคัมภีร์ไบเบิล เมืองเมกิดโดและหุบเขายิสเรเอลที่อยู่ใกล้ ๆ เป็นสมรภูมิรบที่มีการต่อสู้หลายครั้ง และมีบางครั้งที่พระยะโฮวาเข้าแทรกแซงเพื่อช่วยคนของพระองค์ที่นั่น ตัวอย่างเช่น พระเจ้าใช้ “ลำธารเมกิดโด” ช่วยผู้วินิจฉัยบาราคชาวอิสราเอลให้เอาชนะกองทัพของชาวคานาอันซึ่งนำโดยแม่ทัพสิเสรา บาราคและผู้พยากรณ์หญิงที่ชื่อเดโบราห์ขอบคุณพระยะโฮวาสำหรับชัยชนะที่น่ามหัศจรรย์ครั้งนั้น พวกเขาร้องเพลงว่า “ดวงดาวก็สู้รบจากสวรรค์ ต่างก็สู้รบกับสิเสรา . . . พระยะโฮวาพระเจ้า ขอให้ศัตรูของพระองค์พินาศไป แต่ขอให้คนที่รักพระองค์ส่องแสงแรงกล้าเหมือนดวงตะวัน” (วนฉ. 5:19-21, 31) ในสงครามอาร์มาเกดโดน ศัตรูของพระยะโฮวาจะพินาศเหมือนกัน และคนที่รักพระองค์จะได้รับการช่วยให้รอด แต่สิ่งหนึ่งที่ต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างสงครามอาร์มาเกดโดนกับการสู้รบสมัยบาราคคือ ในสงครามอาร์มาเกดโดน คนของพระยะโฮวาไม่ต้องต่อสู้ พวกเขาจะไม่มีแม้แต่อาวุธด้วยซ้ำ “ความเข้มแข็ง” ของพวกเขามาจากการ “มีใจที่สงบและวางใจ” พระยะโฮวากับกองทัพสวรรค์ของพระองค์—อสย. 30:15; วว. 19:11-15 ห19.09 น. 9 ว. 4-5
วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม
มาหาผมสิ—มธ. 11:28
วิธีหนึ่งที่เราจะ “มาหา” พระเยซูได้ก็คือเรียนจากคำพูดและการกระทำของท่านให้มากที่สุดเท่าที่เราทำได้ (ลก. 1:1-4) การเรียนเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครทำแทนเราได้ เราต้องเรียนเอง นอกจากนั้น เรา “มาหา” พระเยซูได้โดยตัดสินใจรับบัพติศมาและเข้ามาเป็นสาวกของพระคริสต์ อีกวิธีหนึ่งที่เราจะ “มาหา” พระเยซูได้ก็คือการขอความช่วยเหลือจากผู้ดูแล พระเยซูใช้ผู้ดูแลซึ่งเป็น “ของขวัญที่เป็นมนุษย์” ให้ดูแลแกะของท่าน (อฟ. 4:7, 8, 11; ยน. 21:16; 1 ปต. 5:1-3) เราต้องเป็นฝ่ายไปหาพวกเขาเพื่อขอความช่วยเหลือ เราจะคาดหมายให้ผู้ดูแลอ่านใจเราและรู้เองว่าเราต้องการอะไรไม่ได้ ขอให้คิดถึงตัวอย่างของพี่น้องที่ชื่อจูเลียน เขาบอกว่า ‘ผมขอผู้ดูแลมาเยี่ยมบำรุงเลี้ยง ผมรู้สึกว่าการเยี่ยมครั้งนั้นเป็นของขวัญที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยได้รับเลยครับ’ เหมือนกับผู้ดูแลสองคนนั้นที่ไปเยี่ยมจูเลียน ผู้ดูแลที่ภักดีจะพยายามช่วยเราให้มี “จิตใจอย่างพระคริสต์” นั่นคือเข้าใจว่าพระเยซูคิดอย่างไรและคิดให้เหมือนท่าน (1 คร. 2:16; 1 ปต. 2:21) การที่ผู้ดูแลช่วยเราแบบนั้น มันเป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่พวกเขาจะให้กับเราได้ ห19.09 น. 21 ว. 4-5
วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม
ผมยังมีแกะอื่นที่ไม่ได้อยู่ในคอกนี้—ยน. 10:16
เมื่อเราอ่านคัมภีร์ไบเบิล เราได้เห็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ทั้งผู้ชายและผู้หญิงซึ่งได้รับการชี้นำจากพลังบริสุทธิ์แต่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของคน 144,000 คน ยอห์นผู้ให้บัพติศมาก็เป็นหนึ่งในผู้รับใช้เหล่านั้น (มธ. 11:11) ดาวิดก็เหมือนกัน (กจ. 2:34) พวกเขากับคนอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วนจะถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตายและมีชีวิตในสวนอุทยานบนโลก พวกเขาทุกคนรวมทั้งชนฝูงใหญ่จะมีโอกาสแสดงความภักดีต่อพระยะโฮวาและการปกครองของพระองค์ ตอนนี้พระเจ้ารวบรวมหลายล้านคนจากทุกชาติให้มานมัสการพระองค์ด้วยกัน และนี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่เป็นอย่างนี้ ไม่ว่าเราจะมีความหวังไปสวรรค์หรืออยู่บนโลก เราต้องช่วยผู้คนให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ให้มาเป็นชนฝูงใหญ่ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “แกะอื่น” อีกไม่นานพระยะโฮวาจะทำให้ความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่อย่างที่บอกไว้ล่วงหน้าเกิดขึ้นจริงซึ่งจะทำลายรัฐบาลกับศาสนาต่าง ๆ ที่ทำให้มนุษย์เป็นทุกข์ ทุกคนที่เป็นชนฝูงใหญ่จะมีโอกาสพิเศษมาก ๆ ที่จะได้รับใช้พระยะโฮวาบนโลกตลอดไป—วว. 7:14 ห19.09 น. 31 ว. 18-19
วันอังคารที่ 16 มีนาคม
ในสมัยสุดท้ายจะมีคนทำตามใจตัวเองและชอบมาเยาะเย้ยถากถาง—2 ปต. 3:3
ยิ่งโลกของซาตานใกล้จะถึงจุดจบ เราคาดหมายได้ว่าความภักดีที่เรามีต่อพระเจ้าและต่อรัฐบาลของพระองค์จะยิ่งถูกทดสอบมากขึ้น ผู้คนคงจะเยาะเย้ยเราไม่หยุดหย่อน เรื่องนี้อาจเกิดขึ้นโดยเฉพาะตอนที่เรารักษาความเป็นกลางทางการเมือง เราต้องภักดีให้มากขึ้นตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อที่เราจะภักดีต่อพระยะโฮวาในช่วงความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่ ช่วงความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่จะมีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับพี่น้องชายที่นำหน้าบนโลก ในช่วงใดช่วงหนึ่งผู้ถูกเจิมทุกคนที่ยังอยู่บนโลกจะถูกรับไปสวรรค์เพื่อร่วมทำสงครามอาร์มาเกดโดน (มธ. 24:31; วว. 2:26, 27) นี่หมายความว่าในตอนนั้นคณะกรรมการปกครองจะไม่อยู่บนโลกกับเราแล้ว แต่ชนฝูงใหญ่ยังจะได้รับการจัดระเบียบอย่างดี พี่น้องที่มีคุณสมบัติซึ่งเป็นแกะอื่นจะนำหน้าพวกเรา ในตอนนั้นเราจะต้องแสดงความภักดีโดยสนับสนุนพวกเขาและทำตามการชี้นำที่พวกเขาได้รับจากพระยะโฮวา ความรอดของเราขึ้นอยู่กับสิ่งนี้ ห19.10 น. 17 ว. 13-14
วันพุธที่ 17 มีนาคม
แม่ไปไหน ลูกจะไปด้วย . . . แม่ตายที่ไหน ลูกจะตายที่นั่น—นรธ. 1:16, 17
นาโอมีเป็นผู้หญิงที่รักและซื่อสัตย์ภักดีต่อพระยะโฮวา หลังจากที่สามีกับลูกชาย 2 คนตาย เธออยากเปลี่ยนชื่อจากนาโอมีไปเป็น “มารา” ซึ่งหมายถึง “ขม” (นรธ. 1:3, 5, 20, เชิงอรรถ, 21) นาโอมีมีลูกสะใภ้คนหนึ่งชื่อรูธ รูธยังคงอยู่กับนาโอมีตลอดช่วงที่ยากลำบาก รูธไม่เพียงแต่ช่วยหาสิ่งที่นาโอมีจำเป็นต้องมีแต่ยังช่วยพูดปลอบใจนาโอมีด้วย รูธรักและให้กำลังใจนาโอมีด้วยคำพูดง่าย ๆ แต่จริงใจ พี่น้องที่คู่ชีวิตตายจากไปจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากเรา สามีภรรยาเป็นเหมือนต้นไม้ 2 ต้นที่เติบโตเคียงคู่กัน ตลอดเวลาหลายปีที่มันโตไปด้วยกัน รากของมันจะประสานกัน เมื่อต้นหนึ่งถูกถอนออกและตายไป ต้นไม้อีกต้นจะได้รับผลกระทบมาก คล้ายกันเมื่อสามีหรือภรรยาตายจากไป มันจะส่งผลกระทบต่ออีกฝ่ายไปยาวนาน ห19.06 น. 23 ว. 12-13
วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม
ทุกคนถูกล่อใจเมื่อความต้องการของตัวเองชักนำและล่อลวง—ยก. 1:14
เราไม่ใช่แค่เลือกว่าจะเล่น ฟัง หรือดูความบันเทิงอะไร แต่เราต้องระวังว่าใช้เวลามากแค่ไหนด้วย ไม่อย่างนั้น เราอาจจะใช้เวลากับความบันเทิงมากกว่ารับใช้พระยะโฮวา อย่างแรก ให้ดูก่อนว่าคุณใช้เวลาไปเท่าไร ทำไมไม่ลองจดดูสักอาทิตย์หนึ่งล่ะ? ลองจดในปฏิทินว่าคุณใช้เวลาดูทีวี เล่นอินเทอร์เน็ต เล่นเกมในมือถือไปมากแค่ไหน ถ้าเห็นว่าคุณใช้เวลาเยอะเกินไป ก็ลองวางแผนใหม่ จัดตารางทำสิ่งที่สำคัญกว่าก่อน แล้วค่อยแบ่งเวลาให้กับความบันเทิง ให้อธิษฐานขอพระยะโฮวาช่วยคุณให้ทำตามตาราง ถ้าคุณทำอย่างนั้น คุณก็จะมีเวลาและกำลังพอที่จะศึกษาส่วนตัว นมัสการประจำครอบครัว ไปประชุม ไปประกาศ และสอนความจริงให้กับคนอื่น แล้วคุณก็จะมีความสุขกับความบันเทิงมากขึ้น และไม่รู้สึกผิดเพราะใช้เวลาเยอะเกินไป ห19.10 น. 30 ว. 14, 16; น. 31 ว. 17
วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม
ผมอยากจะทำดี แต่ก็ทำไม่ได้สักที—รม. 7:18
ประมาณปี ค.ศ. 55 คริสเตียนในเมืองโครินธ์ได้ตัดสินใจเรื่องหนึ่งที่สำคัญ ตอนนั้นพี่น้องในเยรูซาเล็มและแคว้นยูเดียลำบากและยากจนมาก หลายประชาคมรวบรวมเงินบริจาคเพื่อช่วยพี่น้องที่นั่น (1 คร. 16:1; 2 คร. 8:6) สองสามเดือนผ่านไป เปาโลก็รู้ว่าพี่น้องในประชาคมโครินธ์ไม่ได้ทำตามที่พวกเขาบอกว่าจะทำ ผลก็คือพวกเขารวบรวมเงินบริจาคไม่ทันที่จะส่งไปเยรูซาเล็มพร้อมกับประชาคมอื่น ๆ (2 คร. 9:4, 5) พี่น้องในโครินธ์ตัดสินใจได้ดี และเปาโลชมเชยที่พวกเขามีความเชื่อมากและอยากแสดงน้ำใจ แต่เปาโลก็ต้องสนับสนุนให้พวกเขาทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ให้สำเร็จด้วย (2 คร. 8:7, 10, 11) เรื่องนี้สอนเราว่าแม้แต่คริสเตียนที่ซื่อสัตย์ก็ยังรู้สึกยากที่จะทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ให้สำเร็จ ทำไม? เพราะเราเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบ เราอาจผัดวันประกันพรุ่งหรืออาจมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น—ปญจ. 9:11; รม. 7:18 ห19.11 น. 26-27 ว. 3-5
วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม
ให้เอาความเชื่อเป็นโล่ใหญ่—อฟ. 6:16
เหมือนกับโล่ใหญ่ที่ป้องกันอวัยวะส่วนใหญ่ของร่างกาย ความเชื่อก็จะป้องกันคุณจากสิ่งที่ไม่ดีในโลกนี้ เช่น การทำผิดศีลธรรม ความรุนแรง และสิ่งอื่นที่ไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานของพระเจ้า เราเป็นคริสเตียน เราจึงอยู่ในสงครามด้านความเชื่อ ซึ่งหนึ่งในศัตรูของเราคือพวกปีศาจชั่ว (อฟ. 6:10-12) แต่คุณจะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะมีความเชื่อเข้มแข็งพอตอนที่เจอกับการทดสอบ? อย่างแรก คุณต้องอธิษฐานขอให้พระเจ้าช่วย แล้วคุณก็ต้องใช้คัมภีร์ไบเบิลด้วยเพื่อช่วยให้คุณเห็นตัวเองเหมือนที่พระยะโฮวาเห็น (ฮบ. 4:12) คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ขอให้วางใจพระยะโฮวาสุดหัวใจ และอย่าพึ่งความเข้าใจของตัวเอง” (สภษ. 3:5, 6) นอกจากนั้น ให้ลองคิดถึงสิ่งที่คุณเพิ่งตัดสินใจเร็ว ๆ นี้ ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีปัญหาเรื่องเงินอย่างหนัก ตอนที่หาทางแก้ คุณคิดถึงคำสัญญาของพระยะโฮวาที่ฮีบรู 13:5 ไหมที่บอกว่า “เราจะไม่มีวันทิ้งเจ้า เราจะไม่ทอดทิ้งเจ้าเลย”? คำสัญญานี้ช่วยให้คุณมั่นใจไหมว่าพระยะโฮวาจะช่วยคุณ? ถ้าใช่ ก็แสดงว่าความเชื่อที่เป็นเหมือนโล่ของคุณยังอยู่ในสภาพดี ห19.11 น. 14 ว. 1, 4
วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม
ลูก ๆ เป็นมรดกจากพระยะโฮวา—สด. 127:3
ลูกต้องการและสมควรได้รับเวลาและการเอาใจใส่อย่างดีจากพ่อแม่ ฉะนั้น ถ้ามีลูกหลายคนติด ๆ กันก็อาจยากที่พ่อแม่จะให้สิ่งเหล่านี้กับลูกทุกคน คนที่มีลูกหลายคนที่ยังเล็กยอมรับว่าบางครั้งพวกเขาก็ยุ่งมากจนทำอะไรไม่ถูก แม่อาจต้องสู้กับความอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจ นั่นอาจทำให้เธอไม่เหลือเรี่ยวแรงสำหรับศึกษา อธิษฐาน และประกาศเป็นประจำ หรืออาจทำให้เธอเอาใจใส่และรับประโยชน์จากการประชุมได้ไม่เต็มที่ แต่แน่นอนว่าสามีที่รักภรรยาจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อช่วยเธอดูแลลูกทั้งที่บ้านและที่การประชุม เช่น เขาอาจช่วยภรรยาทำงานบ้าน นอกจากนั้น เขาจะพยายามมากเพื่อจัดการนมัสการประจำครอบครัวให้ทุกคนได้รับประโยชน์เป็นประจำ และจะพาครอบครัวไปประกาศเป็นประจำด้วย ห19.12 น. 24 ว. 8
วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม
ปีที่ 50 จะเป็นปีที่พวกเจ้าจะมีความยินดีอย่างมาก—ลนต. 25:11
ปีที่น่ายินดีมีประโยชน์อย่างไรกับชาวอิสราเอล? ยกตัวอย่าง ถ้าชาวอิสราเอลคนหนึ่งเป็นหนี้และจำใจต้องขายที่ดินใช้หนี้ ในปีที่น่ายินดีเขาจะได้ “กลับไปอยู่ที่ของตัวเอง” ซึ่งหมายถึงเขาจะได้ที่ดินของเขาคืน มรดกที่เขาจะให้กับลูกหลานก็ไม่ตกเป็นของคนอื่น หรือถ้ามีคนหนึ่งเป็นหนี้เยอะมากจนต้องขายลูกหรือขายตัวเองเป็นทาสเพื่อใช้หนี้ ในปีที่น่ายินดีทาสคนนั้นก็จะได้กลับไป “อยู่กับครอบครัวของตัวเอง” (ลนต. 25:10) ไม่มีใครต้องเป็นทาสไปตลอดชีวิตโดยไม่มีความหวัง พระยะโฮวาเป็นห่วงประชาชนของพระองค์จริง ๆ! พระยะโฮวาพูดผ่านทางโมเสสว่า “ไม่น่าจะมีใครในพวกคุณเป็นคนยากจน เพราะในแผ่นดินที่พระยะโฮวาพระเจ้าจะยกให้คุณครอบครองเป็นมรดกนั้น พระยะโฮวาจะอวยพรคุณแน่ ๆ” (ฉธบ. 15:4) นี่ต่างกับสิ่งที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้จริง ๆ ที่คนรวยก็ยิ่งรวยขึ้นและคนจนก็ยิ่งจนลง ห19.12 น. 8-9 ว. 3-4
วันอังคารที่ 23 มีนาคม
ลูกของเรา ขอให้ฉลาดขึ้นและทำให้เราดีใจ—สภษ. 27:11
เมื่อพระเยซูเจอกับการทดสอบที่ยากลำบาก ท่านอธิษฐาน “เสียงดังทั้งน้ำตา” (ฮบ. 5:7) คำอธิษฐานสุดหัวใจของพระเยซูแสดงว่าท่านภักดีต่อพระยะโฮวาและทำให้ท่านตั้งใจมากขึ้นกว่าเดิมที่จะเชื่อฟังพระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง สำหรับพระยะโฮวาแล้ว คำอธิษฐานของพระเยซูเป็นเหมือนเครื่องหอมที่มีกลิ่นหอมมาก การใช้ชีวิตของท่านทำให้พระยะโฮวาพอใจมากและพิสูจน์ว่าการปกครองของพระองค์ถูกต้องและดีที่สุด เราสามารถเลียนแบบพระเยซูได้โดยพยายามเต็มที่ที่จะซื่อสัตย์และภักดีต่อพระยะโฮวาตลอดชีวิตของเรา เมื่อเราเจอการทดสอบหรือความลำบาก เราจะอธิษฐานอย่างสุดหัวใจขอให้พระยะโฮวาช่วยเพราะเราอยากทำให้พระองค์พอใจ เรารู้ว่าถ้าเราทำสิ่งที่พระยะโฮวาไม่ชอบ พระองค์จะไม่ยอมรับคำอธิษฐานของเรา แต่ถ้าเราใช้ชีวิตตามมาตรฐานของพระองค์ เรามั่นใจว่าคำอธิษฐานจากใจของเราจะเป็นเหมือนเครื่องหอมที่มีกลิ่นหอมสำหรับพระยะโฮวา และเราแน่ใจได้ว่าถ้าเราซื่อสัตย์และภักดีต่อพระองค์ เราจะทำให้พ่อที่อยู่ในสวรรค์พอใจแน่นอน ห19.11 น. 21-22 ว. 7-8
การอ่านคัมภีร์ไบเบิลช่วงการประชุมอนุสรณ์ (เหตุการณ์ตอนกลางวัน 9 นิสาน) ลูกา 19:29-44
วันพุธที่ 24 มีนาคม
จริง ๆ แล้ว ใครเป็นทาสที่ซื่อสัตย์และสุขุม?—มธ. 24:45
ในปี 1919 พระเยซูแต่งตั้งผู้ถูกเจิมกลุ่มเล็ก ๆ ให้เป็น “ทาสที่ซื่อสัตย์และสุขุม” ทาสกลุ่มนี้นำหน้าในการประกาศ และพวกเขา ‘แจกจ่ายอาหารตามเวลาที่เหมาะสม’ ให้กับคนที่ติดตามพระคริสต์ ซาตานกับคนที่ติดตามมันพยายามหยุดงานของทาสที่ซื่อสัตย์ ถ้าพวกเขาไม่ได้รับการช่วยเหลือจากพระยะโฮวาก็ไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะทำงานนั้นต่อไปได้ ทั้ง ๆ ที่ทาสที่ซื่อสัตย์และสุขุมได้รับผลกระทบจากสงครามโลก 2 ครั้ง ถูกข่มเหงอย่างไม่ละลด เจอวิกฤติเศรษฐกิจทั่วโลก และถูกปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรม พวกเขาก็ยังสามารถจัดเตรียมหนังสือและสื่อต่าง ๆ ที่เป็นเหมือนอาหารให้กับคนที่ติดตามพระเยซู ลองนึกดูว่าตอนนี้เรามีหนังสือและสื่อต่าง ๆ มากมายแค่ไหน เรามีมากกว่า 900 ภาษาและทั้งหมดฟรี! นี่เป็นหลักฐานที่ชัดเจนมากว่าพระยะโฮวากำลังสนับสนุนทาสที่ซื่อสัตย์อยู่ หลักฐานที่ชัดเจนอีกอย่างหนึ่งคือ การประกาศ ในทุกวันนี้มีการประกาศข่าวดี “ไปทั่วโลก” จริง ๆ—มธ. 24:14 ห19.11 น. 24 ว. 15-16
การอ่านคัมภีร์ไบเบิลช่วงการประชุมอนุสรณ์ (เหตุการณ์ตอนกลางวัน 10 นิสาน) ลูกา 19:45-48; มัทธิว 21:18, 19; 21:12, 13
วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม
พระเจ้ารับฟังท่านเพราะท่านเกรงกลัวพระองค์—ฮบ. 5:7
ในวันไถ่บาปของทุกปี มหาปุโรหิตต้องเผาเครื่องหอมก่อนถวายเครื่องบูชาซึ่งเป็นเลือดของสัตว์ เขาทำอย่างนี้เพื่อจะแน่ใจว่าพระยะโฮวาจะพอใจตอนที่เขาถวายเครื่องบูชา ตอนที่พระเยซูอยู่บนโลก ท่านต้องทำบางอย่างที่สำคัญกว่าและต้องทำก่อนที่ท่านจะถวายชีวิตเป็นเครื่องบูชาเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด สิ่งนั้นคืออะไร? ท่านต้องซื่อสัตย์และภักดีต่อพระยะโฮวาตลอดชีวิตบนโลก ท่านทำอย่างนี้เพื่อพระองค์จะยอมรับเครื่องบูชาของท่าน นอกจากนั้น ยังเป็นการพิสูจน์ว่าการใช้ชีวิตโดยทำสิ่งต่าง ๆ ในวิธีของพระยะโฮวาเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และยังพิสูจน์ว่าการปกครองของพระองค์ถูกต้องและยุติธรรม ตลอดเวลาที่พระเยซูอยู่บนโลก ท่านเชื่อฟังมาตรฐานของพระยะโฮวาอย่างครบถ้วนไม่ขาดตกบกพร่องเลย ไม่มีอะไรสามารถทำลายความตั้งใจของท่านที่จะพิสูจน์ว่าการปกครองของพ่อเป็นการปกครองที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการล่อใจ ความลำบาก หรือแม้แต่ความตายอย่างเจ็บปวดที่คืบใกล้เข้ามา—ฟป. 2:8 ห19.11 น. 21 ว. 6-7
การอ่านคัมภีร์ไบเบิลช่วงการประชุมอนุสรณ์ (เหตุการณ์ตอนกลางวัน 11 นิสาน) ลูกา 20:1-47
วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม
พวกคุณคอยอยู่เคียงข้างผมเสมอตอนที่ผมลำบาก—ลก. 22:28
ตลอดเวลาที่พระเยซูทำงานประกาศ อัครสาวกที่ซื่อสัตย์เป็นเพื่อนแท้ของท่าน พระเยซูถือว่าเพื่อนแบบนั้นมีค่ามาก (สภษ. 18:24) ในช่วงที่ท่านทำงานรับใช้ น้อง ๆ ของท่านไม่มีความเชื่อในตัวท่าน (ยน. 7:3-5) ครั้งหนึ่งญาติของพระเยซูถึงกับคิดว่าท่านเสียสติ (มก. 3:21) แต่ตรงกันข้าม พวกอัครสาวกที่ซื่อสัตย์เป็นเพื่อนแท้ของพระเยซูจนท่านสามารถบอกกับพวกเขาอย่างที่เราเห็นในข้อคัมภีร์ประจำวันนี้ในคืนก่อนที่ท่านจะตาย บางครั้งพวกอัครสาวกทำให้พระเยซูผิดหวัง แต่ท่านก็มองข้ามความผิดพลาดและมองว่าพวกเขามีความเชื่อในตัวท่าน (มธ. 26:40; มก. 10:13, 14; ยน. 6:66-69) ในคืนสุดท้ายก่อนที่ท่านจะถูกประหาร พระเยซูพูดกับอัครสาวกที่ภักดีต่อท่านว่า “ผมเรียกพวกคุณว่าเพื่อน เพราะผมบอกพวกคุณให้รู้ทุกอย่างที่ผมได้ยินจากพ่อของผม” (ยน. 15:15) เพื่อนของพระเยซูทำให้ท่านมีกำลังใจมากจริง ๆ ห19.04 น. 11 ว. 11-12
การอ่านคัมภีร์ไบเบิลช่วงการประชุมอนุสรณ์ (เหตุการณ์ตอนกลางวัน 12 นิสาน) ลูกา 22:1-6; มาระโก 14:1, 2, 10, 11
วันประชุมอนุสรณ์
หลังดวงอาทิตย์ตก
วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม
พลังของพระเจ้ายืนยันให้เรามั่นใจว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า—รม. 8:16
ผู้ถูกเจิมรู้ได้อย่างไรว่าเขาถูกเลือกให้ไปสวรรค์? คำตอบที่ชัดเจนอยู่ในคำพูดของอัครสาวกเปาโลที่พูดกับพี่น้องในกรุงโรมซึ่งถูก “เรียกให้มาเป็นคนบริสุทธิ์” ในข้อคัมภีร์วันนี้เปาโลบอกพวกเขาว่า “พลังของพระเจ้าไม่ได้ทำให้เราตกเป็นทาสและต้องกลัวอีก แต่ทำให้เราถูกรับเป็นลูก และด้วยพลังนี้เราจึงร้องเรียกพระเจ้าว่า ‘อับบา พ่อ’” (รม. 1:7; 8:15) ฉะนั้น โดยทางพลังบริสุทธิ์ พระเจ้าทำให้ผู้ถูกเจิมมั่นใจว่าพวกเขาถูกเลือกให้ไปสวรรค์ (1 ธส. 2:12) พระยะโฮวาทำให้ผู้ถูกเจิมมั่นใจจริง ๆ และไม่สงสัยเลยว่าพวกเขาถูกเลือกให้ไปสวรรค์ (1 ยน. 2:20, 27) ผู้ถูกเจิมไม่จำเป็นต้องให้ใครมายืนยันว่าพวกเขาถูกเจิม ห20.01 น. 22 ว. 7-8
การอ่านคัมภีร์ไบเบิลช่วงการประชุมอนุสรณ์ (เหตุการณ์ตอนกลางวัน 13 นิสาน) ลูกา 22:7-13; มาระโก 14:12-16 (เหตุการณ์หลังดวงอาทิตย์ตก 14 นิสาน) ลูกา 22:14-65
วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม
ไม่มีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือที่คนหนึ่งยอมสละชีวิตเพื่อเพื่อนของเขา—ยน. 15:13
“กฎหมายของพระคริสต์” มาจากพื้นฐานที่ดีที่สุด นั่นคือความรัก (กท. 6:2) ทุกอย่างที่พระเยซูทำมาจากความรัก ความรักแสดงออกโดยความสงสารและเห็นอกเห็นใจ พระเยซูรู้สึกสงสาร ท่านเลยสอนผู้คน รักษาคนป่วย เลี้ยงอาหารคนที่หิว และปลุกคนตายให้ฟื้น (มธ. 14:14; 15:32-38; มก. 6:34; ลก. 7:11-15) แต่ท่านก็เต็มใจให้ความจำเป็นของคนอื่นมาก่อนตัวเอง ที่สำคัญที่สุด พระเยซูแสดงความรักที่ยิ่งใหญ่โดยสละชีวิตเพื่อคนอื่น เราสามารถเลียนแบบพระเยซูได้โดยให้ความจำเป็นของคนอื่นมาก่อนตัวเราเอง นอกจากนั้น เราน่าจะสงสารและเห็นอกเห็นใจคนที่เราพบในเขตประกาศ ถ้าเราประกาศและสอนข่าวดีกับผู้คนเพราะเราเห็นอกเห็นใจพวกเขา นั่นก็แสดงว่าเรากำลังเชื่อฟังกฎหมายของพระคริสต์ ห19.05 น. 4 ว. 8-10
การอ่านคัมภีร์ไบเบิลช่วงการประชุมอนุสรณ์ (เหตุการณ์ตอนกลางวัน 14 นิสาน) ลูกา 22:66-71
วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม
[พระยะโฮวา] แต่งตั้งผม . . . ให้ประกาศเรื่องการปลดปล่อยกับพวกเชลย ให้บอกคนตาบอดว่าเขาจะมองเห็น ให้ปลดปล่อยคนที่ถูกกดขี่—ลก. 4:18
พระเยซูปลดปล่อยผู้คนให้เป็นอิสระจากคำสอนผิด ๆ ของผู้นำศาสนา คนยิวในสมัยนั้นเป็นทาสธรรมเนียมและความเชื่อผิด ๆ (มธ. 5:31-37; 15:1-11) ผู้นำศาสนาอ้างว่านำทางคนอื่นให้รับใช้พระเจ้าแต่ตัวเขาเองกลับไม่ได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง พวกเขาเป็นเหมือนคนตาบอด นอกจากนั้น พวกเขาปฏิเสธเมสสิยาห์และความจริงที่ท่านสอนซึ่งเป็นเหมือนความสว่าง นั่นเลยทำให้พวกเขายังอยู่ในความมืดและไม่ได้รับการอภัยบาป (ยน. 9:1, 14-16, 35-41) แต่โดยคำสอนที่ถูกต้องและตัวอย่างที่ดีของพระเยซู ท่านทำให้คนถ่อมเห็นว่าพวกเขาสามารถได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากคำสอนผิด ๆ (มก. 1:22; 2:23-3:5) นอกจากนั้น พระเยซูปลดปล่อยผู้คนให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของบาปด้วย พระเยซูสละชีวิตเป็นค่าไถ่ พระยะโฮวาจึงอภัยบาปให้กับคนที่ยอมรับค่าไถ่และแสดงความเชื่อได้—ฮบ. 10:12-18 ห19.12 น. 10 ว. 8; น. 11 ว. 10-11
การอ่านคัมภีร์ไบเบิลช่วงการประชุมอนุสรณ์ (เหตุการณ์ตอนกลางวัน 15 นิสาน) มัทธิว 27:62-66
วันอังคารที่ 30 มีนาคม
เมื่อพวกคุณเชื่อแล้ว พระเจ้าก็ใช้พระคริสต์ให้ประทับตราพวกคุณด้วยพลังบริสุทธิ์ของพระองค์ตามที่ได้สัญญาไว้ การประทับตรานั้นเป็นการรับรองล่วงหน้าว่าเราจะได้รับมรดกแน่นอน—อฟ. 1:13, 14; เชิงอรรถ
พระยะโฮวาใช้พลังบริสุทธิ์เพื่อทำให้คริสเตียนผู้ถูกเจิมมั่นใจจริง ๆ ว่าพระองค์เลือกพวกเขา โดยวิธีนี้ พลังบริสุทธิ์ได้ “รับรอง [ค้ำประกันหรือสัญญา]” กับพวกเขาว่าในอนาคต พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ตลอดไปในสวรรค์ไม่ใช่บนโลก (2 คร. 1:21, 22) ถ้าคริสเตียนคนหนึ่งถูกเจิม หมายความว่าเขาจะได้ไปสวรรค์แน่นอนไหม? ไม่ใช่ เขามั่นใจว่าเขาถูกเลือกให้ไปสวรรค์ แต่เขาต้องจำคำเตือนนี้ที่บอกว่า “พี่น้องครับ ให้พวกคุณพยายามมากขึ้นเพื่อยึดมั่นกับสิทธิพิเศษที่พระเจ้าเรียกและเลือกพวกคุณมา ถ้าทำอย่างนั้นต่อไป พวกคุณจะไม่มีวันล้มพลาดเลย” (2 ปต. 1:10) ฉะนั้น ถึงผู้ถูกเจิมจะถูกเลือกให้ไปสวรรค์ แต่เขาจะได้รางวัลนั้นก็ต่อเมื่อเขาซื่อสัตย์ต่อ ๆ ไป—ฟป. 3:12-14; ฮบ. 3:1; วว. 2:10 ห20.01 น. 21-22 ว. 5-6
การอ่านคัมภีร์ไบเบิลช่วงการประชุมอนุสรณ์ (เหตุการณ์ตอนกลางวัน 16 นิสาน) ลูกา 24:1-12
วันพุธที่ 31 มีนาคม
คำพูดที่ไม่คิดเป็นเหมือนดาบที่ทิ่มแทง แต่คำพูดของคนฉลาดจะช่วยเยียวยารักษา—สภษ. 12:18
ทำไมเพื่อน 3 คนที่ทำทีมาปลอบใจโยบถึงไม่เห็นอกเห็นใจเขาเลย? ก็เพราะพวกเขาไม่ได้พยายามเข้าใจจริง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับโยบ พวกเขาเลยด่วนสรุปและตัดสินโยบอย่างไม่ยุติธรรม เราจะไม่ทำแบบเดียวกันได้อย่างไร? คุณต้องยอมรับว่ามีแต่พระยะโฮวาเท่านั้นที่รู้สถานการณ์ทุกอย่างของคนคนหนึ่ง นอกจากนั้น คุณต้องตั้งใจฟังเมื่อมีคนที่ทุกข์ใจระบายให้คุณฟัง คุณต้องไม่ใช่แค่ฟังเขาพูด แต่ต้องพยายามเข้าใจความเจ็บปวดของเขาด้วย การที่คุณทำแบบนี้แหละถึงจะเรียกว่าการแสดงความเห็นอกเห็นใจพี่น้องจากใจจริง ความเห็นอกเห็นใจจะทำให้เราไม่ซุบซิบนินทาเกี่ยวกับปัญหาที่พี่น้องกำลังเจอ คนที่ชอบนินทาไม่ได้ส่งเสริมประชาคมให้เข้มแข็ง แต่ทำให้ประชาคมแตกแยก (สภษ. 20:19; รม. 14:19) คำพูดของเขาทำให้คนที่ทุกข์ใจอยู่แล้วยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นอีก (อฟ. 4:31, 32) คงจะดีกว่ามากถ้าเรามองหาส่วนดีของพี่น้องและคิดว่าเราจะช่วยเขารับมือกับปัญหาได้อย่างไร ห19.06 น. 21-22 ว. 8-9