สิงหาคม
วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม
พระองค์ที่ใช้ผมมานั้นอยู่กับผม พระองค์ไม่ทิ้งผมไว้ให้อยู่คนเดียว—ยน. 8:29
แม้ตอนที่พระเยซูถูกข่มเหง ท่านยังสงบใจได้เพราะรู้ว่ากำลังทำให้พ่อของท่านดีใจ ท่านยังคงเชื่อฟังเสมอถึงจะรู้สึกว่ายาก เนื่องจากท่านรักพระยะโฮวาพ่อของท่าน ท่านเลยให้การรับใช้พระองค์สำคัญที่สุด เช่น ก่อนที่จะมาบนโลกท่านเป็น “นายช่าง” ของพระยะโฮวา (สภษ. 8:30) และตอนที่พระเยซูอยู่บนโลก ท่านก็ขยันสอนคนอื่นเรื่องของพระองค์ (มธ. 6:9; ยน. 5:17) งานนี้ทำให้ท่านมีความสุขมากจริง ๆ (ยน. 4:34-36) เราเลียนแบบพระเยซูได้โดยเชื่อฟังพระยะโฮวาและ “ทุ่มเทกับงานของผู้เป็นนายที่มีให้ทำมากมาย” (1 คร. 15:58) เมื่อเรา “ทุ่มเทเวลา” ในการประกาศ มันจะทำให้เราคิดในแง่บวกมากขึ้นต่อปัญหาที่เราเจอ (กจ. 18:5) ตัวอย่างเช่น คนที่เราพบในเขตประกาศหลายคนเจอปัญหาหนักกว่าเรา แต่ถ้าพวกเขามีโอกาสเรียนรู้ที่จะรักพระยะโฮวาและใช้คำแนะนำของพระองค์ พวกเขาก็มีชีวิตที่ดีขึ้นและมีความสุขมากขึ้น ทุกครั้งที่เราเห็นแบบนั้น เรารู้สึกมั่นใจมากขึ้นว่าพระยะโฮวาจะดูแลเอาใจใส่เรา ห19.04 น. 10-11 ว. 8-9
วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม
หลายคนที่เคยใช้เวทมนตร์คาถาก็เอาม้วนหนังสือของเขามากองรวมกันแล้วเผาต่อหน้าทุกคน—กจ. 19:19
พวกเขาทำทุกอย่างเพื่อต่อสู้กับปีศาจชั่ว ม้วนหนังสือเกี่ยวกับเวทมนตร์คาถาเหล่านั้นราคาแพงมาก แต่แทนที่จะเอาไปให้คนอื่นหรือขายต่อ พวกเขาทำลายมันทิ้ง พวกเขาสนใจที่จะทำให้พระยะโฮวาพอใจมากกว่าสนใจมูลค่าของหนังสือ เราจะเลียนแบบคริสเตียนเหล่านั้นในเมืองเอเฟซัสได้อย่างไร? เป็นเรื่องฉลาดที่เราจะทิ้งหรือทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์ เช่น เครื่องรางของขลังหรือวัตถุมงคลต่าง ๆ ที่เชื่อว่าช่วยให้แคล้วคลาดปลอดภัยและพ้นจากภูติผีปีศาจได้ (1 คร. 10:21) เช็กสิ่งที่คุณอ่าน ดู และฟังตอนที่พักผ่อนหย่อนใจ ให้ถามตัวเองว่า ‘มีอะไรสักอย่างที่ฉันทำตอนพักผ่อนหย่อนใจที่เกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์ไหม?’ คุณต้องเลือกอย่างดีที่สุดเพื่อจะไม่ไปยุ่งกับอะไรก็ตามที่พระยะโฮวาเกลียด เราตั้งใจเต็มที่ที่จะ “ไม่ทำผิดต่อพระเจ้า . . . เพื่อจะไม่มีอะไรรบกวนความรู้สึกผิดชอบชั่วดี”—กจ. 24:16 ห19.04 น. 22-23 ว. 10-12
วันอังคารที่ 3 สิงหาคม
เชิญพวกผู้ดูแล—ยก. 5:14
เมื่อผู้ดูแลได้รับรายงานว่ามีบางคนทำผิดร้ายแรง พวกเขาต้องคิดให้รอบคอบหลายเรื่อง สิ่งที่ผู้ดูแลต้องสนใจอันดับแรกคือการทำให้ชื่อของพระยะโฮวาได้รับการยกย่องสรรเสริญและปกป้องชื่อเสียงของพระองค์ (ลนต. 22:31, 32; มธ. 6:9) พวกเขายังต้องสนใจที่จะช่วยพี่น้องในประชาคมให้มีสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระยะโฮวา และต้องช่วยพี่น้องที่ตกเป็นเหยื่อของการทำผิดร้ายแรงด้วย นอกจากนั้น ถ้าผู้ทำผิดเป็นพี่น้องในประชาคม ผู้ดูแลต้องพยายามดูว่าคนที่ทำผิดร้ายแรงนั้นกลับใจจริง ๆ ไหม ถ้าเขากลับใจจริง ๆ ผู้ดูแลจะพยายามช่วยให้คนนั้นกลับมามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระยะโฮวาเหมือนเดิม (ยก. 5:14, 15) คริสเตียนที่ทำผิดร้ายแรงเพราะปล่อยตัวเองให้ทำตามความต้องการผิด ๆ เป็นเหมือนคนป่วย นี่หมายความว่าสายสัมพันธ์ของเขากับพระยะโฮวามีปัญหา ดังนั้น ผู้ดูแลจึงเป็นเหมือนหมอ พวกเขาจะพยายามทำให้ “คนป่วย [ในที่นี้คือคนทำผิด] หายดี” ผู้ดูแลจะให้คำแนะนำจากคัมภีร์ไบเบิลเพื่อช่วยคนนั้นกลับมามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้าเหมือนเดิม แต่เพื่อจะเป็นแบบนั้นได้ คนที่ทำผิดต้องกลับใจจริง ๆ—กจ. 3:19; 2 คร. 2:5-10 ห19.05 น. 10 ว. 10-11
วันพุธที่ 4 สิงหาคม
พระเจ้าเป็นผู้ที่กระตุ้นพวกคุณให้มีทั้งความต้องการและกำลังเพื่อจะทำสิ่งที่พระองค์พอใจ—ฟป. 2:13
พระยะโฮวาสามารถให้เรามีความต้องการที่จะลงมือทำ พระองค์ทำอย่างไร? บางครั้งเรารู้ว่าที่ประชาคมของเราหรือที่อื่น ๆ มีความจำเป็นบางอย่างและต้องการความช่วยเหลือ แล้วเราก็ถามตัวเองว่า ‘ฉันจะช่วยอะไรได้บ้าง?’ หรือเราอาจได้รับเชิญให้ทำงานยาก ๆ แต่สงสัยว่าจะทำได้ดีหรือไม่ หรือพออ่านคัมภีร์ไบเบิลแล้วเราก็ถามตัวเองว่า ‘ฉันจะใช้เรื่องนี้ช่วยคนอื่นได้ยังไง?’ เมื่อพระยะโฮวาเห็นว่าเราพยายามคิดว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง พระองค์ก็จะให้เรามีความต้องการที่จะลงมือทำ พระยะโฮวายังสามารถให้เรามีกำลังที่จะลงมือทำด้วย (อสย. 40:29) พระองค์สามารถใช้พลังบริสุทธิ์ช่วยให้เราพัฒนาความสามารถที่มีอยู่ (อพย. 35:30-35) นอกจากนั้น องค์การของพระองค์อาจให้คำแนะนำเกี่ยวกับงานเฉพาะอย่าง เมื่อคุณไม่รู้ว่าจะทำงานมอบหมายอย่างไรก็ให้ขอความช่วยเหลือจากคนอื่น และขอให้สบายใจที่จะขอ “กำลังที่มากกว่าปกติ” จากพ่อในสวรรค์ผู้ใจกว้างของเราด้วย—2 คร. 4:7; ลก. 11:13 ห19.10 น. 21 ว. 3-4
วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม
คนจะเห็นแก่ตัว—2 ทธ. 3:2
โลกนี้ส่งเสริมความคิดที่เห็นแก่ตัว สารานุกรมเล่มหนึ่งได้บอกว่า ในช่วงยุค 1970 จำนวนของหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับวิธีประสบความสำเร็จในชีวิตมีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หนังสือบางเล่ม “กระตุ้นผู้อ่านให้รู้ว่าตัวเองเป็นอย่างไรและยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น และให้ภูมิใจที่เป็นแบบนั้น” ตัวอย่างเช่น หนังสือเล่มหนึ่งบอกว่า “ถ้าจะรักใครสักคนที่สวยที่สุด เร้าใจที่สุด และน่าชื่นชมที่สุด คนนั้นก็คือตัวคุณ!” หนังสือนั้นยังสนับสนุนว่าคนเราควรตัดสินใจเองว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร ถ้าคิดว่าอะไรถูกต้องและสบายใจที่จะทำแบบนั้น ก็ทำไปเลย คุณรู้สึกคุ้น ๆ กับแนวคิดแบบนี้ไหม? นี่แหละคือสิ่งที่ซาตานอยากให้เอวาคิด มันบอกว่าเธอจะ “เป็นเหมือนพระเจ้า รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว” (ปฐก. 3:5) ทุกวันนี้ หลายคนมั่นใจในตัวเองมาก ๆ จนคิดว่าไม่มีใครหน้าไหนทั้งนั้นแม้แต่พระเจ้าจะมาบอกเขาว่าอะไรผิดอะไรถูก ตัวอย่างของความคิดแบบนี้เห็นได้ชัดจากวิธีที่ผู้คนมองชีวิตคู่ ห19.05 น. 23 ว. 10-11
วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม
ผมทุกข์ใจและหดหู่เหลือเกิน ผมเดินไปมาทั้งวันด้วยความเศร้า—สด. 38:6
กษัตริย์ดาวิดเครียดมากหลายครั้ง ลองคิดถึงปัญหาที่ถาโถมเข้ามาในชีวิตเขา ดาวิดรู้สึกผิดมากเพราะทำผิดหลายอย่าง (สด. 40:12) นอกจากนั้น อับซาโลมลูกที่เขารักมากได้ก่อกบฏ แล้วก็พบจุดจบ (2 ซม. 15:13, 14; 18:33) แถมเพื่อนสนิทที่สุดของดาวิดยังหักหลังเขาด้วย (2 ซม. 16:23-17:2; สด. 55:12-14) เพลงสดุดีหลายบทที่ดาวิดเขียนสะท้อนให้เห็นว่าเขารู้สึกท้อขนาดไหน แต่ขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นว่าเขาไว้วางใจพระยะโฮวาไม่เปลี่ยนแปลง (สด. 38:5-10; 94:17-19) ผู้เขียนหนังสือสดุดีอีกคนหนึ่งรู้สึกอิจฉาชีวิตของคนชั่ว เขาอาจเป็นลูกหลานของอาสาฟซึ่งเป็นคนเลวี เขารับใช้ใน “ที่ศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า” เขารู้สึกเครียดจนไม่มีความสุขและรู้สึกไม่พอใจกับชีวิต เขาถึงกับเริ่มคิดว่าพรที่ได้จากการรับใช้พระยะโฮวายังไม่พอสำหรับเขา—สด. 73:2-5, 7, 12-14, 16, 17, 21 ห19.06 น. 17 ว. 12-13
วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม
เรารู้อุบายของ [ซาตาน]—2 คร. 2:11
ซาตานใช้ความต้องการในเรื่องธรรมดา ๆ เป็นเรื่องปกติที่เราทุกคนอยากมีความรู้เพื่อจะหาเลี้ยงตัวเองกับครอบครัว (1 ทธ. 5:8) ดังนั้น เราจึงไปโรงเรียนและตั้งใจเรียน แต่เราต้องระวังด้วย เพราะระบบการศึกษาในหลายประเทศไม่ใช่แค่สอนความรู้ที่เป็นประโยชน์เท่านั้น แต่ยังสอนปรัชญาของมนุษย์และแนวคิดแบบโลกด้วย ตัวอย่างเช่น ครูมักจะสอนให้นักเรียนสงสัยว่าพระเจ้ามีจริงไหมและสงสัยความน่าเชื่อถือของคัมภีร์ไบเบิล นอกจากนั้น นักเรียนจะถูกสอนว่าคนที่ฉลาดส่วนใหญ่มักจะเชื่อเรื่องวิวัฒนาการ (รม. 1:21-23) คำสอนแบบนั้นขัดแย้งกับ “สติปัญญาของพระเจ้า” (1 คร. 1:19-21; 3:18-20) เราต้องตั้งใจที่จะไม่ถูกซาตานหลอกด้วย “ปรัชญาและคำหลอกลวงเหลวไหล” ของโลกนี้ (คส. 2:8; 1 คร. 3:18) อย่ายอมให้ซาตานทำให้คุณลืมว่าพระยะโฮวาเป็นใครและลืมว่าพระองค์อยากให้คุณนมัสการพระองค์อย่างไร ให้ใช้ชีวิตตามมาตรฐานของพระองค์ต่อ ๆ ไป อย่าปล่อยให้ซาตานหลอกคุณไม่ให้สนใจคำแนะนำของพระองค์ ห19.06 น. 5 ว. 13; น. 7 ว. 17
วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม
สอนพวกเขาให้ทำตามทุกสิ่งที่ผมสั่งคุณไว้—มธ. 28:20
ไม่ว่าคุณจะเลือกเรื่องไหนขึ้นมาคุย ให้คิดถึงเจ้าของบ้าน ให้คุณลองคิดดูว่ามันจะดีและเป็นประโยชน์กับเขาขนาดไหนถ้าเขาได้รู้ว่าคัมภีร์ไบเบิลสอนอะไรบ้าง นอกจากนั้นตอนที่คุยกับเขา เป็นเรื่องสำคัญที่คุณจะตั้งใจฟังและเคารพความคิดเห็นของเขา นี่จะทำให้คุณเข้าใจเขาดีขึ้นและเขาก็อาจฟังคุณมากขึ้นด้วย ก่อนที่คนหนึ่งจะตัดสินใจศึกษาคัมภีร์ไบเบิล คุณอาจต้องใช้เวลาและความพยายามในการไปเยี่ยมเขาหลายรอบ เพราะอะไร? เพราะเขาอาจไม่อยู่บ้านหรือไม่สะดวกตอนที่เราไปเยี่ยม นอกจากนั้น คุณอาจต้องกลับเยี่ยมหลายครั้งกว่าที่เจ้าของบ้านจะรู้สึกสบายใจและอยากจะศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับคุณ ให้จำไว้ว่าต้นไม้จะเจริญเติบโตได้ดีถ้าเรารดน้ำเป็นประจำ เหมือนกัน เพื่อที่ผู้สนใจจะรักพระยะโฮวาและพระคริสต์ เราก็ต้องคุยเรื่องคัมภีร์ไบเบิลกับคนนั้นเป็นประจำ ห19.07 น. 14 ว. 1; น. 15-16 ว. 7-8
วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม
เมื่อมีคนเกลียดคุณ เลิกคบกับคุณ ด่าว่าคุณ และตราหน้าคุณว่าเป็นคนชั่วเพราะคุณติดตาม ‘ลูกมนุษย์’ คุณก็มีความสุข—ลก. 6:22
พระเยซูหมายความว่าอย่างไร? พระเยซูไม่ได้บอกว่าคริสเตียนชอบที่มีคนเกลียด แต่ท่านกำลังพูดถึงความเป็นจริง เราไม่ได้เป็นคนของโลกนี้ เราใช้ชีวิตตามคำสอนของพระเยซูและประกาศข่าวดีเรื่องเดียวกับที่ท่านประกาศ โลกนี้เลยเกลียดเรา (ยน. 15:18-21) สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเราคือการทำให้พระยะโฮวาพ่อของเราพอใจ ดังนั้น ถ้าคนอื่นเกลียดเราเพราะเรารักพระองค์ มันก็เรื่องของเขา เราจะไม่รู้สึกแย่กับเรื่องนั้น เราต้องไม่คิดว่าคุณค่าของตัวเราขึ้นอยู่กับการที่คนอื่นมาชอบเรา เราไม่รู้ว่าคลื่นแห่งการข่มเหงจะเริ่มต้นเมื่อไร หรือการสั่งห้ามจากรัฐบาลจะส่งผลต่อการนมัสการของเรามากแค่ไหน แต่เรารู้ว่าเราเตรียมพร้อมได้ตั้งแต่ตอนนี้โดยสนิทกับพระยะโฮวามากขึ้น ทำให้ตัวเรามีความกล้าหาญมากขึ้น และเรียนรู้ที่จะรับมือเมื่อมีคนเกลียดเรา การเตรียมพร้อมตั้งแต่ตอนนี้จะช่วยให้เรายืนหยัดมั่นคงในอนาคต ห19.07 น. 6 ว. 17-18; น. 7 ว. 21
วันอังคารที่ 10 สิงหาคม
คนที่เข้ามาหาพระเจ้าต้องเชื่อว่าพระองค์มีอยู่จริง—ฮบ. 11:6
เมื่อเรานำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับคนที่บอกว่าไม่มีศาสนาหรือไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า เราต้องช่วยเขาต่อไปให้มีความเชื่อมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่ามีพระเจ้า และช่วยเขาให้เชื่อในคัมภีร์ไบเบิล เราอาจต้องพูดจุดเดิมบ่อย ๆ ตัวอย่างเช่น ทุกครั้งที่เราศึกษา เราอาจคุยกันเกี่ยวกับหลักฐานที่ทำให้เห็นว่าคัมภีร์ไบเบิลมาจากพระเจ้าจริง ๆ เช่น อาจคุยกันสั้น ๆ เกี่ยวกับคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลที่เกิดขึ้นจริง หรือคุยกันว่าคัมภีร์ไบเบิลถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์และประวัติศาสตร์อย่างไร หรือมีความรู้ที่เอาไปใช้ได้จริง ๆ ในชีวิตอย่างไร เราสามารถช่วยคนให้เป็นสาวกของพระคริสต์ได้โดยการแสดงความรักกับผู้คนไม่ว่าพวกเขาจะมีศาสนาหรือไม่มีศาสนา หรือเชื่อว่ามีพระเจ้าหรือไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า (1 คร. 13:1) ตอนที่เราสอน เป้าหมายของเราคือให้พวกเขารู้ว่าพระเจ้ารักพวกเขาและพระเจ้าก็อยากให้พวกเขารักพระองค์ด้วย ทุกปีมีหลายหมื่นคนที่เมื่อก่อนสนใจเรื่องศาสนานิดหน่อยหรือไม่สนใจเลย ได้รับบัพติศมาและเข้ามาเป็นพยานพระยะโฮวาเพราะพวกเขาได้เรียนรู้และรักพระยะโฮวาพระเจ้า ดังนั้น ให้เราคิดบวกเสมอ แสดงความสนใจ และรักคนทุกชนิด ให้เราตั้งใจฟังสิ่งที่พวกเขาพูด และพยายามเข้าใจความรู้สึกและความคิดของพวกเขา ตัวอย่างของคุณจะช่วยพวกเขาให้เข้ามาเป็นสาวกของพระคริสต์ได้ ห19.07 น. 24 ว. 16-17
วันพุธที่ 11 สิงหาคม
อย่าลืมทำความดีและแบ่งปันสิ่งของให้คนอื่น เพราะพระเจ้าพอใจเครื่องบูชาแบบนั้น—ฮบ. 13:16
พระยะโฮวาใช้พวกลูกสาวของชัลลูมในงานซ่อมแซมกำแพงกรุงเยรูซาเล็ม (นหม. 2:20; 3:12) ถึงจะมีพ่อเป็นถึงเจ้านายแต่พวกเธอก็เต็มใจทำงานที่ยากและอันตรายนี้ (นหม. 4:15-18) ตรงกันข้าม พวกคนใหญ่คนโตชาวเมืองเทโคอากลับ “ไม่ยอมลดตัวลงมา” ทำงานเลย (นหม. 3:5) คิดดูสิว่าพวกลูกสาวของชัลลูมมีความสุขขนาดไหนที่เห็นว่าโครงการนี้เสร็จในเวลาแค่ 52 วัน! (นหม. 6:15) ในสมัยของเรา พี่น้องหญิงหลายคนเต็มใจและมีความสุขมากที่ได้ทำงานรับใช้ที่ศักดิ์สิทธิ์ในรูปแบบพิเศษไม่ว่าจะเป็นงานก่อสร้างหรือซ่อมบำรุงอาคารต่าง ๆ ที่อุทิศให้พระยะโฮวา นี่สำเร็จได้เพราะทักษะ ความกระตือรือร้น และความภักดีของพวกเธอ พระยะโฮวากระตุ้นให้ทาบิธา “ทำสิ่งดี ๆ มากมายและช่วยเหลือคนยากคนจน” โดยเฉพาะพวกแม่ม่าย (กจ. 9:36) ใคร ๆ ก็รู้ว่าทาบิธาใจดีและชอบช่วยคนอื่น ตอนเธอตาย หลายคนร้องไห้เสียใจ และพอเปโตรปลุกเธอให้ฟื้นขึ้นจากตาย พวกเขาก็ดีใจกันใหญ่ (กจ. 9:39-41) เราทุกคนไม่ว่าเพศอะไรหรืออายุเท่าไร ก็สามารถทำสิ่งดี ๆ เพื่อช่วยพี่น้องคนอื่นได้ ห19.10 น. 23 ว. 11-12
วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม
ขอให้พวกคุณมองให้ออกว่าอะไรสำคัญกว่า เพื่อพวกคุณจะไม่มีที่ติและไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางความเชื่อของคนอื่น—ฟป. 1:10
เราจะเป็นต้นเหตุให้คนอื่นทำผิดได้อย่างไร? นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลคนหนึ่งเคยติดเหล้ามาก่อน หลังจากที่เขาพยายามมานานในที่สุดก็เลิกเหล้าได้ แต่เขารู้ว่าเขาต้องไม่กลับไปแตะเหล้าเลย หลังจากนั้น เขาก็ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและรับบัพติศมา ต่อมามีพี่น้องชายคนหนึ่งชวนเขาไปกินข้าวที่บ้านและยื่นเครื่องดื่มให้ แล้วบอกว่า “ตอนนี้คุณรับบัพติศมาแล้ว คุณมีพลังบริสุทธิ์ของพระยะโฮวาแล้ว ส่วนหนึ่งของผลที่เกิดจากพลังบริสุทธิ์ก็คือการควบคุมตัวเอง ผมว่าคุณดื่มได้นิดหน่อยนะถ้าคุณรู้จักควบคุมตัวเอง” เราคงนึกออกว่าผลจะเป็นอย่างไรถ้าพี่น้องใหม่คนนี้ฟังคำแนะนำผิด ๆ นั้น การประชุมช่วยเราให้เอาคำแนะนำจากข้อคัมภีร์วันนี้มาใช้อย่างไร? อย่างแรก การประชุมช่วยให้เราเห็นว่าอะไรคือสิ่งที่พระยะโฮวาถือว่าสำคัญที่สุด อย่างที่ 2 เราได้เรียนรู้จากการประชุมว่าจะเอาสิ่งที่เราเรียนไปใช้อย่างไรเพื่อที่เราจะ “ไม่มีที่ติ” และอย่างที่ 3 เมื่อเราไปประชุม เราถูก ‘กระตุ้นให้มีความรักและทำความดี’ (ฮบ. 10:24, 25) และเมื่อเราได้รับการกระตุ้นอย่างนั้น เราก็ยิ่งรักพระเจ้าและรักพี่น้องมากขึ้น เมื่อเรารักพี่น้องและรักพระเจ้าจากหัวใจ เราก็จะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อจะไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางความเชื่อของคนอื่น ห19.08 น. 9 ว. 13-14
วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม
ผมต่ำต้อยที่สุดในพวกอัครสาวก และผมไม่เหมาะที่จะถูกเรียกว่าอัครสาวกด้วยซ้ำ เพราะผมเคยข่มเหงประชาคมของพระเจ้า—1 คร. 15:9
คนที่มั่นใจและพูดอะไรตรง ๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนหยิ่ง (ยน. 1:46, 47) แต่ไม่ว่าเราจะเป็นคนมั่นใจหรือเปล่า เราทุกคนต้องพยายามจริง ๆ ที่จะเป็นคนถ่อมจากหัวใจ ให้เราคิดถึงตัวอย่างของอัครสาวกเปาโล พระยะโฮวาใช้เขาเยอะมากและให้เขามีส่วนตั้งประชาคมในหลาย ๆ เมือง เขาอาจทำงานรับใช้มากกว่าอัครสาวกคนอื่น ๆ ของพระเยซูด้วยซ้ำ แต่เขาไม่ได้คิดว่าเขาดีกว่าพี่น้องคนอื่น เปาโลพูดอย่างถูกต้องว่า ที่เขาสนิทกับพระยะโฮวาได้ก็เพราะพระองค์แสดงความกรุณาที่ยิ่งใหญ่กับเขา ไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนพิเศษหรือทำงานรับใช้สำเร็จหลายอย่าง (1 คร. 15:10) เปาโลเป็นตัวอย่างที่ดีมากเรื่องความถ่อม เราเห็นได้จากจดหมายที่เขาเขียนถึงประชาคมโครินธ์ ถึงแม้บางคนในประชาคมนั้นพยายามพิสูจน์ว่าพวกเขาดีกว่าเปาโล แต่เปาโลก็ไม่ได้โอ้อวดเรื่องของตัวเอง—2 คร. 10:10 ห19.09 น. 3 ว. 5-6
วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม
เราน่าจะเชื่อฟัง [พระเจ้าผู้เป็นพ่อ] ยิ่งกว่านั้นอีกไม่ใช่หรือ?—ฮบ. 12:9
สิ่งหนึ่งที่ทำให้การเชื่อฟังและการยอมรับอำนาจของพระยะโฮวาไม่ใช่เรื่องง่าย คือบาปที่ตกทอดมาจากมนุษย์คู่แรกทำให้เรากลายเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์แบบ หลายครั้งเราเลยรู้สึกไม่อยากจะเชื่อฟังพระเจ้า หลังจากอาดัมกับเอวาไม่เชื่อฟังและกินผลไม้ที่พระองค์ห้าม พวกเขาก็ตั้งมาตรฐานของตัวเอง (ปฐก. 3:22) ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ก็ไม่สนใจพระยะโฮวาและอยากตัดสินใจเองว่าอะไรถูกอะไรผิด ถึงแม้เราจะรู้จักและรักพระยะโฮวาอยู่แล้ว แต่เราอาจรู้สึกว่าการยอมรับอำนาจของพระองค์และเชื่อฟังที่พระองค์บอกทุกอย่างไม่ใช่เรื่องง่าย เปาโลก็รู้สึกแบบนั้นด้วย (รม. 7:21-23) เราก็เหมือนเปาโล เราอยากทำสิ่งที่พระยะโฮวาบอกว่าถูกต้อง แต่มันไม่ง่าย เรายังต้องต่อสู้ต่อ ๆ ไปกับความต้องการที่จะทำผิด อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้การเชื่อฟังและการยอมรับอำนาจของพระยะโฮวาไม่ใช่เรื่องง่าย คืออิทธิพลจากวัฒนธรรมและความคิดของคนในสังคมที่เราเติบโตมา ความคิดของคนส่วนใหญ่ไม่ตรงกับความคิดของพระยะโฮวา เราเลยต้องพยายามมากที่จะไม่คิดแบบพวกเขา ห19.09 น. 15 ว. 4-6
วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม
ไปขายสิ่งของที่คุณมีอยู่และเอาเงินไปแจกคนจน . . . แล้วตามผมมา—มก. 10:21
เราต้องยอมรับความจริงว่าเราแต่ละคนมีกำลังจำกัด เราเลยต้องคิดให้ดีว่าจะใช้มันอย่างไร ตัวอย่างเช่น เราอาจหมดแรงไปกับการพยายามหาเงินให้ได้เยอะ ๆ ขอให้คิดถึงสิ่งที่พระเยซูพูดกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ร่ำรวย เขาถามท่านว่า “ผมต้องทำอะไรถึงจะได้ชีวิตตลอดไป?” ผู้ชายคนนี้ต้องเป็นคนดีเพราะหนังสือมาระโกบอกว่าพระเยซู “มองเขาด้วยความรัก” ท่านเชิญเขาอย่างที่บอกในข้อคัมภีร์วันนี้ แต่เขาเศร้ามาก เขาทิ้ง “ทรัพย์สมบัติมากมาย” ของเขาไม่ได้ (มก. 10:17-22) ผลก็คือเขาไม่ยอมรับแอกของพระเยซูและเลือกที่จะเป็น “ทาสทรัพย์สมบัติ” ต่อไป (มธ. 6:24) ถ้าเป็นคุณ คุณจะเลือกอะไร? เป็นเรื่องดีที่เราจะทบทวนเป็นระยะ ๆ ว่าเราให้อะไรเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต ทำไม? เพราะการทำอย่างนั้นจะทำให้มั่นใจว่าเราได้ใช้กำลังที่เรามีอย่างฉลาด ห19.09 น. 24 ว. 17-18
วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม
แต่ก่อนที่จุดจบจะมาถึง จะต้องมีการประกาศข่าวดีกับคนทุกชาติก่อน—มก. 13:10
เราจะไม่หยุดประกาศเรื่องรัฐบาลของพระเจ้าจนกว่าพระยะโฮวาจะบอกว่างานนี้จบแล้ว เหลือเวลาอีกนานแค่ไหนที่ผู้คนจะมารู้จักพระยะโฮวาและพระเยซู? เราไม่รู้ (ยน. 17:3) เรารู้แต่ว่าจนกว่าความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่จะเริ่มขึ้น “ทุกคนที่เต็มใจตอบรับความจริงซึ่งทำให้ได้ชีวิตตลอดไป” ก็ยังเลือกรับใช้พระยะโฮวาได้ (กจ. 13:48) เราจะช่วยพวกเขาได้อย่างไรก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป? โดยทางองค์การของพระยะโฮวา พระองค์ให้ทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อช่วยให้เราสอนความจริงกับผู้คนได้ ตัวอย่างเช่น เราได้รับการฝึกเป็นประจำในการประชุมกลางสัปดาห์ การประชุมนี้ช่วยให้เรารู้วิธีประกาศและกลับเยี่ยม ถ้าคุณได้คุยกับคนที่สนใจ แล้วคุณให้แผ่นพับหรือวารสารกับเขา เขาก็จะมีโอกาสอ่านก่อนที่คุณจะได้เจอกับเขาอีกครั้ง มันเป็นหน้าที่ของเราแต่ละคนที่จะต้องประกาศอย่างขยันขันแข็งทุกเดือน ห19.10 น. 9 ว. 7; น. 10 ว. 9-10
วันอังคารที่ 17 สิงหาคม
อย่าลืมทำความดีและแบ่งปันสิ่งของให้คนอื่น เพราะพระเจ้าพอใจเครื่องบูชาแบบนั้น—ฮบ. 13:16
พระยะโฮวาสัญญากับสิเมโอนชายชราที่ซื่อสัตย์ในเยรูซาเล็มว่าเขาจะไม่ตายก่อนที่จะได้เห็นเมสสิยาห์ คำสัญญานี้คงทำให้เขามีกำลังใจมากเพราะเขารออยู่หลายปีแล้ว ในที่สุดพระยะโฮวาก็ตอบแทนความเชื่อและความอดทนของสิเมโอน วันหนึ่ง “พลังของพระเจ้าก็พาสิเมโอนมาที่วิหาร” ซึ่งเขาได้เห็นทารกเยซู และพระยะโฮวาใช้เขาให้พยากรณ์เกี่ยวกับทารกนี้ที่จะเป็นพระคริสต์ (ลก. 2:25-35) ถึงแม้ดูเหมือนว่าสิเมโอนตายก่อนได้เห็นพระเยซูรับใช้บนโลก แต่เขาก็ขอบคุณสำหรับสิทธิพิเศษที่ได้รับใช้พระยะโฮวาแบบนี้ และอนาคตยังมีสิ่งยอดเยี่ยมรอเขาอยู่! ในโลกใหม่ชายที่ซื่อสัตย์คนนี้จะได้เห็นทุกครอบครัวบนโลกได้รับพรที่มาจากการปกครองของพระเยซู (ปฐก. 22:18) เราเองก็รู้สึกขอบคุณสำหรับสิทธิพิเศษที่ได้รับใช้พระยะโฮวาในตอนนี้ ไม่ว่าพระองค์จะใช้เราแบบไหนก็ตาม ห19.10 น. 22 ว. 7; น. 23 ว. 12
วันพุธที่ 18 สิงหาคม
ให้ปกป้องหัวใจของลูกยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด—สภษ. 4:23
ไม่ว่าจะมีเงินมากหรือน้อย เราทุกคนต้องปกป้องหัวใจ เราต้องระวังที่จะไม่กลายเป็นคนรักเงิน อย่าให้งานอาชีพสำคัญกว่าการรับใช้พระยะโฮวา แต่คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณเป็นแบบนั้นหรือเปล่า? วิธีหนึ่งก็คือ ลองถามตัวเองว่า ‘ตอนประชุมและไปประกาศ ฉันคิดเรื่องงานบ่อยไหม? ฉันกังวลตลอดไหมว่าต่อไปจะมีเงินไม่พอใช้? ฉันมีปัญหากับคู่ของฉันเกี่ยวกับเรื่องเงินหรือเรื่องวัตถุสิ่งของไหม? ฉันเต็มใจทำงานที่คนอื่นดูถูกไหมถ้านั่นจะทำให้ฉันรับใช้พระยะโฮวาได้มากขึ้น?’ (1 ทธ. 6:9-12) ตอนที่คิดถึงคำถามเหล่านี้ ให้คิดด้วยว่าพระยะโฮวารักคุณ และสัญญากับคนที่รักพระองค์ว่า “เราจะไม่มีวันทิ้งเจ้า เราจะไม่ทอดทิ้งเจ้าเลย” ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่เปาโลเขียนว่า “อย่าใช้ชีวิตแบบคนรักเงิน”—ฮบ. 13:5, 6 ห19.10 น. 29 ว. 10
วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม
เหล็กยังลับเหล็กให้คมได้ คนเราก็ช่วยเพื่อนให้เก่งขึ้นได้เหมือนกัน—สภษ. 27:17
เมื่อเราทำงานรับใช้กับพี่น้องและได้เห็นสิ่งดี ๆ ในตัวพวกเขา เราจะได้เรียนจากพวกเขาและสนิทกับพวกเขามากขึ้น ตัวอย่างเช่น คุณรู้สึกอย่างไรเมื่อไปประกาศและเห็นเพื่อนอธิบายความเชื่ออย่างกล้าหาญ หรือเมื่อได้ยินเพื่อนพูดเรื่องพระยะโฮวาและความประสงค์ของพระองค์ด้วยความมั่นใจ? คุณคงจะรักเพื่อนคนนั้นมากขึ้น แอเดอลีนพี่น้องหญิงอายุ 23 ชวนแคนดีซเพื่อนของเธอไปประกาศเขตที่ไม่ค่อยมีการประกาศ แอเดอลีนบอกว่า “เราสองคนอยากเพิ่มความกระตือรือร้นในการประกาศ อยากมีความสุขกับงานรับใช้มากขึ้น และอยากได้กำลังใจที่จะให้สิ่งดีที่สุดกับพระยะโฮวา” การทำงานรับใช้ด้วยกันทำให้พวกเธอได้สิ่งที่ต้องการไหม? แอเดอลีนบอกว่า “พอจบแต่ละวัน เราก็คุยกันว่ารู้สึกยังไง ประทับใจอะไรเกี่ยวกับสิ่งที่เราคุยกับผู้คน และพระยะโฮวาชี้นำเรายังไง เราชอบการเปิดใจคุยกันแบบนี้ เพราะทำให้เรารู้จักกันดีขึ้นกว่าเดิมอีก” ห19.11 น. 5 ว. 10-11
วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม
ให้เอาความเชื่อเป็นโล่ใหญ่—อฟ. 6:16
ในสมัยโบราณ ถ้าทหารคนหนึ่งกลับจากการรบโดยไม่มีโล่ เขาจะรู้สึกอับอายขายหน้ามาก ทาซิทุสนักประวัติศาสตร์ชาวโรมันเขียนไว้ว่า “การที่ทหารทิ้งโล่เป็นสิ่งที่น่าอัปยศอดสูที่สุด” นี่เป็นเหตุผลที่ทหารต้องถือโล่ให้แน่นในสนามรบ เราจะถือโล่ให้แน่นและรักษาความเชื่อให้เข้มแข็งอยู่เสมอได้โดยไปประชุมเป็นประจำและบอกชื่อของพระยะโฮวาและรัฐบาลของพระองค์ให้คนอื่นฟัง (ฮบ. 10:23-25) เราต้องอ่านคัมภีร์ไบเบิลทุกวันและอธิษฐานขอพระยะโฮวาช่วยให้เราเอาคำแนะนำไปใช้ในทุกด้านของชีวิต (2 ทธ. 3:16, 17) ไม่มีอาวุธอะไรของซาตานจะทำให้เกิดผลเสียหายถาวรกับเราได้ (อสย. 54:17) ‘ความเชื่อที่เป็นโล่ใหญ่’ จะปกป้องเรา เราจะยืนหยัดรับใช้อย่างกล้าหาญเคียงบ่าเคียงไหล่กับพี่น้อง และเราจะชนะการต่อสู้ในทุก ๆ วันได้ แต่ไม่ใช่แค่นั้น ที่สำคัญที่สุด เราจะได้รับเกียรติที่จะอยู่ฝ่ายพระเยซูตอนที่ท่านรบชนะซาตานและพวกที่ติดตามมัน—วว. 17:14; 20:10 ห19.11 น. 19 ว. 18-19
วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม
ที่ผมชกอยู่นี้ ผมไม่ได้ชกลม—1 คร. 9:26
การวางแผนชัดเจนและเขียนออกมาจะช่วยให้ง่ายขึ้นที่จะทำตามนั้น (1 คร. 14:40) ตัวอย่างเช่น คณะผู้ดูแลอาจมอบหมายผู้ดูแลคนหนึ่งให้จดบันทึกเรื่องที่คณะผู้ดูแลตัดสินใจ เขาอาจจดบันทึกว่าใครจะเป็นคนทำและเรื่องนั้นจะต้องเสร็จเมื่อไร การทำอย่างนี้จะช่วยผู้ดูแลให้ทำตามที่ตัดสินใจไว้ง่ายขึ้น ในชีวิตประจำวันคุณก็ทำแบบนั้นได้ด้วย อย่างเช่น คุณอาจเขียนรายการสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวันและเรียงลำดับว่าจะทำอะไรก่อน การทำแบบนี้ไม่ได้ช่วยให้ทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ได้สำเร็จเท่านั้น แต่คุณจะเห็นว่าคุณได้งานมากกว่าและเสร็จเร็วกว่าที่คิดไว้ด้วยซ้ำ และคุณต้องออกความพยายามด้วย คุณต้องใช้ความพยายามที่จะทำตามแผนและทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ให้สำเร็จ (โรม 12:11) เปาโลบอกทิโมธีให้ “ใส่ใจ” และ “มุ่งมั่น” ที่จะเป็นผู้สอนที่ดีขึ้น คำแนะนำนี้ของเปาโลใช้ได้กับเป้าหมายอื่น ๆ ของคริสเตียนด้วย—1 ทธ. 4:13, 16 ห19.11 น. 29-30 ว. 15-16
วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม
พระยะโฮวาคุยกับโมเสสเหมือนคน 2 คนคุยกัน—อพย. 33:11
ตอนที่พระยะโฮวาให้โมเสสนำหน้าชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์ เขาไม่มั่นใจว่าจะทำได้และบอกพระองค์หลายครั้งว่าเขาไม่มีความสามารถ คำตอบของพระเจ้าแสดงว่าพระองค์เมตตาสงสารโมเสสมาก พระองค์เข้าใจความรู้สึกของเขาและช่วยเขา (อพย. 4:10-16) ผลคือโมเสสสามารถบอกคำพิพากษาที่รุนแรงต่อหน้าฟาโรห์ได้ ต่อมา โมเสสเห็นพระยะโฮวาใช้พลังของพระองค์ช่วยชาวอิสราเอลให้รอด และทำลายฟาโรห์กับกองทัพของเขาในทะเลแดง (อพย. 14:26-31; สด. 136:15) หลังจากโมเสสนำชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์ พวกเขาบ่นเรื่องนั้นเรื่องนี้ตลอดเวลา แต่โมเสสเห็นพระยะโฮวาอดทนอดกลั้นมากกับชาวอิสราเอลที่พระองค์ช่วยจากการเป็นทาส (สด. 78:40-43) นอกจากนั้น โมเสสยังเห็นว่าพระยะโฮวาถ่อมมากที่พระองค์เปลี่ยนใจตามที่เขาขอร้อง (อพย. 32:9-14) หลังจากอพยพออกจากอียิปต์ โมเสสสนิทกับพระยะโฮวามากจนเขารู้สึกเหมือนเห็นพระองค์ผู้เป็นพ่อในสวรรค์ได้—ฮบ. 11:27 ห19.12 น. 17 ว. 7-9
วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม
ท่านจะไปรอพบพวกคุณที่แคว้นกาลิลี คุณจะได้พบท่านที่นั่น—มธ. 28:7
สาวกของพระเยซูส่วนใหญ่เป็นชาวกาลิลีจึงมีเหตุผลมากกว่าที่พระเยซูจะประชุมกับคนจำนวนมากที่ภูเขาในแคว้นกาลิลีแทนที่จะเป็นบ้านในกรุงเยรูซาเล็ม นอกจากนั้น หลังจากพระเยซูฟื้นขึ้นจากตาย ท่านเจออัครสาวก 11 คนในบ้านที่กรุงเยรูซาเล็มแล้ว ถ้าท่านอยากสั่งให้ 11 คนนี้ไปประกาศและสอนคนให้เป็นสาวก ท่านก็ทำได้เลยที่กรุงเยรูซาเล็ม ไม่จำเป็นต้องบอกให้พวกเขา พวกผู้หญิง และคนอื่น ๆ ไปที่กาลิลี (ลก. 24:33, 36) แต่คำสั่งที่ให้ไปสอนคนให้เป็นสาวกไม่ได้ให้แค่คริสเตียนในสมัยนั้น เรารู้ได้อย่างไร? พระเยซูลงท้ายคำสั่งนี้ว่า “ผมจะอยู่กับพวกคุณเสมอจนถึงสมัยสุดท้ายของโลกนี้” (มธ. 28:19, 20) ในทุกวันนี้ผู้คนมากมายกำลังทำตามคำสั่งของท่าน คิดดูสิ! ทุกปีมีเกือบ 300,000 คนรับบัพติศมาเป็นพยานพระยะโฮวาและมาเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ ห20.01 น. 2 ว. 1; น. 3 ว. 5-6
วันอังคารที่ 24 สิงหาคม
เมื่อพวกเราตกต่ำ พระองค์ก็นึกถึงพวกเรา—สด. 136:23
พี่น้องบางคนยังอายุไม่มากแต่เป็นโรคร้ายที่ทรุดลงเรื่อย ๆ ส่วนบางคนที่อายุมากขึ้นก็ทำงานรับใช้พระยะโฮวาได้ไม่เหมือนเดิม ถ้าคุณเจอปัญหาเหมือนที่พูดมา คุณก็อาจรู้สึกว่าตัวเองไม่มีประโยชน์อีกต่อไป สถานการณ์แบบนี้อาจปล้นความสุขไปจากคุณ อาจทำให้คุณรู้สึกแย่กับตัวเอง และอาจทำให้คุณมีปัญหากับคนอื่นได้ง่าย คนในโลกนี้มองชีวิตมนุษย์เหมือนที่ซาตานมอง ซาตานทำเหมือนมนุษย์เราไม่มีค่า มันใจดำอำมหิตที่บอกเอวาว่าเธอจะเป็นอิสระถ้าไม่เชื่อฟังพระเจ้าทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเธอต้องตายถ้าทำอย่างนั้น มันคอยชักใยระบบต่าง ๆ ของโลกอยู่ตลอด ทั้งระบบการค้า การเมือง และศาสนา เราจึงไม่แปลกใจที่เห็นว่าพ่อค้านักธุรกิจ นักการเมือง และผู้นำศาสนาไม่เห็นค่าชีวิตและไม่แคร์ว่าผู้คนจะรู้สึกอย่างไร ตรงกันข้าม พระยะโฮวาอยากให้เรารู้สึกว่าตัวเองมีค่า และเมื่อเราเจออะไรที่อาจทำให้รู้สึกไร้ค่าพระองค์ก็จะคอยช่วยเหลือเรา—รม. 12:3 ห20.01 น. 14 ว. 1-4
วันพุธที่ 25 สิงหาคม
อย่าพยากรณ์ในนามพระยะโฮวา ไม่อย่างนั้นพวกเราจะฆ่าแก—ยรม. 11:21
อย่างน้อย 40 ปีที่เยเรมีย์ถูกแวดล้อมไปด้วยคนที่ไม่ภักดี รวมทั้งเพื่อนบ้านและอาจมีญาติจากเมืองอานาโธทบ้านเกิดของเขาด้วย (ยรม. 12:6) ถึงอย่างนั้น เยเรมีย์ไม่ได้เป็นคนเก็บตัวและไม่อยากยุ่งกับใคร ที่จริง เขาเปิดเผยความรู้สึกกับบารุคเลขานุการที่ภักดี และการมีบันทึกเรื่องนี้ในคัมภีร์ไบเบิลก็เหมือนเปิดเผยกับเราด้วย (ยรม. 8:21; 9:1; 20:14-18; 45:1) เราพอจะเห็นภาพว่าในช่วงที่บารุคเขียนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตเยเรมีย์นั้น ทั้งสองได้เรียนรู้ที่จะรักและนับถือกันมากขึ้นแน่ ๆ (ยรม. 20:1, 2; 26:7-11) เป็นเวลาหลายปีที่เยเรมีย์เตือนชาวอิสราเอลอย่างกล้าหาญเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับกรุงเยรูซาเล็ม (ยรม. 25:3) เมื่อพระยะโฮวาต้องการเตือนอีกครั้งให้ประชาชนกลับใจ พระองค์สั่งให้เยเรมีย์เขียนคำเตือนของพระองค์ไว้ในม้วนหนังสือ (ยรม. 36:1-4) เขากับบารุคอาจทำงานนี้ด้วยกันอย่างใกล้ชิดนานหลายเดือน มั่นใจได้เลยว่าสิ่งที่ทั้งสองคุยกันในช่วงนั้นทำให้ความเชื่อของทั้งคู่เข้มแข็งขึ้น ห19.11 น. 2-3 ว. 3-4
วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม
คนที่ยกตัวเองขึ้นจะถูกกดให้ต่ำลง และคนที่ถ่อมตัวลงจะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น—มธ. 23:12
เราควรปฏิบัติกับผู้ถูกเจิมอย่างไร? ไม่ถูกต้องที่จะชื่นชมหรือยกย่องใครมากเกินไป แม้แต่ผู้ถูกเจิมซึ่งเป็นพี่น้องของพระคริสต์ (มธ. 23:8-11) เมื่อพูดถึงพวกผู้ดูแล คัมภีร์ไบเบิลบอกให้เรา “เลียนแบบความเชื่อของพวกเขา” แต่คัมภีร์ไบเบิลไม่เคยบอกให้เรายกย่องมนุษย์คนไหนเป็นผู้นำ (ฮบ. 13:7) ก็จริงที่คัมภีร์ไบเบิลพูดถึงบางคนว่า “ควรได้รับความนับถือมากเป็นพิเศษ” แต่นั่นก็เพราะเขา “นำหน้าอย่างดี” และ “ทำงานหนักในการพูดและการสอน” ไม่ใช่เพราะเป็นผู้ถูกเจิม (1 ทธ. 5:17) ถ้าเราสนใจและยกย่องผู้ถูกเจิมมากเกินไป เราอาจทำให้เขารู้สึกอึดอัด และแย่ยิ่งกว่านั้น เราอาจทำให้เขากลายเป็นคนหยิ่ง (รม. 12:3) คงไม่มีใครอยากทำอะไรที่ทำให้ผู้ถูกเจิมซึ่งเป็นพี่น้องของพระคริสต์ทำผิดร้ายแรงแบบนั้น—ลก. 17:2 ห20.01 น. 29 ว. 8
วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม
นอกจากปัญหาพวกนั้นแล้ว ยังมี . . . ความกังวลเกี่ยวกับทุก ๆ ประชาคม—2 คร. 11:28
เปาโลมีหลายเรื่องที่ทำให้กังวลและเครียด เปาโลกังวลมากเมื่อรู้ว่าพี่น้องเจอปัญหา (2 คร. 2:4) เขาโดนพวกผู้ต่อต้านเฆี่ยนตีทำร้ายและจับโยนเข้าคุก เขายังต้องทนความลำบากหลายอย่าง เช่น ความขัดสน นั่นคงทำให้เขากังวลและเครียดมากด้วย (ฟป. 4:12) ในชีวิตการรับใช้ เปาโลเจอภัยเรือแตกอย่างน้อย 3 ครั้ง คิดดูสิว่าเขาจะเครียดขนาดไหนถ้าต้องเดินทางโดยเรืออีก (2 คร. 11:23-27) แล้วอะไรช่วยเปาโล? เปาโลกังวลเพราะเป็นห่วงพี่น้องที่เจอปัญหา แต่เขาไม่ได้พยายามแก้ปัญหาทั้งหมดของพี่น้องด้วยตัวเอง เขาเจียมตัวและรู้ว่าทำทุกอย่างเองไม่ได้ เขาจึงขอให้คนอื่นช่วยดูแลพี่น้องในประชาคมนั้น เช่น ผู้ชายที่ไว้ใจได้อย่างทิโมธีและทิตัส สิ่งที่ทั้งสองทำต้องช่วยลดความกังวลให้เปาโลแน่ ๆ—ฟป. 2:19, 20; ทต. 1:1, 4, 5 ห20.02 น. 22-23 ว. 11-12
วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม
คนที่เป็นลูก ให้เชื่อฟังพ่อแม่—อฟ. 6:1
พระยะโฮวาอยากให้เราเชื่อฟังพระองค์ด้วย เราควรเชื่อฟังพระองค์เพราะพระองค์เป็นผู้ให้ชีวิตเราและให้สิ่งต่าง ๆ ที่ช่วยเรามีชีวิตอยู่ได้ พระองค์เป็นพ่อที่ฉลาดกว่าพ่อทุกคน แต่เหตุผลสำคัญที่สุดที่เราเชื่อฟังพระองค์ก็คือเรารักพระองค์ (1 ยน. 5:3) ถึงจะมีเหตุผลหลายอย่างที่เราควรเชื่อฟังพระยะโฮวาแต่พระองค์ก็ไม่ได้บังคับเรา พระยะโฮวาให้เรามีอิสระที่จะเลือก พระองค์จึงมีความสุขมากเมื่อเราเชื่อฟังเพราะรักพระองค์ พ่อแม่อยากให้ลูกปลอดภัย พวกเขาจึงตั้งกฎเพื่อปกป้องลูก เมื่อลูกเชื่อฟังก็แสดงว่าเขาไว้ใจและนับถือพ่อแม่ ดังนั้นก็ยิ่งสำคัญที่เราจะรู้มาตรฐานของพระยะโฮวาและทำตาม การทำแบบนั้นแสดงว่าเรารักและนับถือพระองค์ และนั่นยังเป็นประโยชน์กับเราด้วย (อสย. 48:17, 18) ส่วนคนที่ไม่เชื่อฟังพระยะโฮวาและไม่ทำตามมาตรฐานของพระองค์จะได้รับผลเสีย—กท. 6:7, 8 ห20.02 น. 9-10 ว. 8-9
วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม
ขอให้ดิฉันได้พูดกับท่าน ขอให้ท่านฟังดิฉันซึ่งเป็นคนรับใช้ของท่านก่อนเถอะค่ะ—1 ซม. 25:24
เหมือนกับอาบีกายิล เราต้องกล้าพูดถ้าเห็นใครทำบางอย่างที่อาจทำให้เขาทำผิดร้ายแรง (สด. 141:5) เราต้องแสดงความนับถือ แต่เราก็ต้องมีความกล้าด้วย ถ้าเราให้คำแนะนำใครด้วยความรัก เราก็กำลังแสดงว่าเราเป็นเพื่อนแท้ของเขา (สภษ. 27:17) สำคัญมากที่ผู้ดูแลต้องกล้าเตือนพี่น้องในประชาคมที่กำลังก้าวไปผิดทาง (กท. 6:1) ผู้ดูแลรู้ดีว่าตัวเองไม่สมบูรณ์และอาจต้องถูกแนะนำในบางครั้งด้วย แต่เขาจะไม่ยอมให้เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกลังเลที่จะว่ากล่าวตักเตือนคนที่ต้องได้รับการสั่งสอน (2 ทธ. 4:2; ทต. 1:9) ตอนให้คำแนะนำ ผู้ดูแลต้องจำไว้ว่าเขาต้องใช้ความสามารถในการพูดซึ่งเป็นของขวัญจากพระเจ้าอย่างฉลาดและอดทน เขารักพี่น้องและความรักนี้จะกระตุ้นเขาให้อยากช่วยพี่น้อง (สภษ. 13:24) แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาคือการให้เกียรติพระยะโฮวาโดยสนับสนุนมาตรฐานของพระองค์และปกป้องประชาคมจากปัญหาต่าง ๆ—กจ. 20:28 ห20.03 น. 20-21 ว. 8-9
วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม
ผมมีกำลังทนได้ทุกสิ่งเพราะพระองค์ให้กำลังกับผม—ฟป. 4:13
พระยะโฮวาใช้โมเสสให้ช่วยชาวอิสราเอลให้รอด พระองค์ใช้เขาตอนไหน? ตอนที่เขาคิดว่าตัวเองพร้อมเพราะ “ได้รับการสอนวิชาความรู้ทุกอย่างของชาวอียิปต์” แล้วไหม? (กจ. 7:22-25) ไม่ พระองค์ใช้เขาหลังจากที่ช่วยให้เขาถ่อมและอ่อนโยนแล้ว (กจ. 7:30, 34-36) พระยะโฮวาช่วยให้โมเสสกล้าไปพูดกับผู้ปกครองอียิปต์ที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก (อพย. 9:13-19) จากเรื่องนี้เราเห็นว่าพระยะโฮวาใช้คนที่พยายามเลียนแบบพระองค์และพึ่งกำลังจากพระองค์ ตลอดประวัติศาสตร์ พระยะโฮวาทำให้ผู้รับใช้ของพระองค์เป็นได้หลายอย่าง แล้วพระองค์จะทำให้คุณเป็นอะไรได้บ้าง? หลัก ๆ แล้วขึ้นอยู่กับความเต็มใจและความพยายามของคุณ (คส. 1:29) ถ้าคุณพร้อมให้พระยะโฮวาใช้ พระองค์ก็สามารถช่วยคุณให้เป็นผู้ประกาศที่ขยันขันแข็ง เป็นครูที่สอนได้ดี เป็นคนที่ให้กำลังใจเก่ง เป็นคนที่มีทักษะในการทำงาน เป็นเพื่อนที่คอยช่วยเหลือ หรือเป็นอะไรก็ได้เพื่อทำให้ความประสงค์ของพระองค์เป็นจริง ห19.10 น. 21 ว. 5; น. 25 ว. 14
วันอังคารที่ 31 สิงหาคม
ผมเรียกพวกคุณว่าเพื่อน—ยน. 15:15
เพื่อนที่ดีจะช่วยให้เราซื่อสัตย์ภักดีต่อพระยะโฮวา และวิธีดีที่สุดที่จะมีเพื่อนที่ดีก็คือตัวเราเองต้องเป็นเพื่อนที่ดีของคนอื่น (มธ. 7:12) ตัวอย่างเช่น คัมภีร์ไบเบิลกระตุ้นให้เราใช้เวลาและกำลังเพื่อช่วยคนอื่นโดยเฉพาะคนที่ “ขัดสน” หรือคนที่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ (อฟ. 4:28) เมื่อเราทุ่มเทช่วยเหลือคนอื่น เราก็จะมีความสุขมากขึ้น (กจ. 20:35) เพื่อนจะช่วยเราตอนที่เราเจอความยากลำบากและช่วยให้เรามีความสงบใจ เหมือนกับเอลีฮูที่ฟังโยบเล่าว่าเจอความทุกข์อะไรบ้าง เพื่อนของเราก็จะฟังเราอย่างอดทนตอนที่เราระบายความรู้สึก (โยบ 32:4) เราไม่ควรคาดหมายให้เพื่อนตัดสินใจแทนเรา แต่เป็นเรื่องฉลาดที่เราจะฟังคำแนะนำของพวกเขาซึ่งมาจากคัมภีร์ไบเบิล (สภษ. 15:22) เหมือนที่กษัตริย์ดาวิดถ่อมใจยอมรับความช่วยเหลือจากเพื่อนของเขา เราไม่ควรหยิ่งเกินกว่าที่จะรับความช่วยเหลือที่เพื่อนเสนอให้ตอนที่เราจำเป็นต้องได้รับ (2 ซม. 17:27-29) เพื่อนดี ๆ แบบนี้เป็นของขวัญจากพระยะโฮวา—ยก. 1:17 ห19.04 น. 11 ว. 12; น. 12 ว. 14-15