ธันวาคม
วันพุธที่ 1 ธันวาคม
มีเวลา . . . เงียบ—ปญจ. 3:1, 7
การไม่ควบคุมคำพูดสร้างปัญหาหลายอย่าง คุณจะทำอย่างไรเวลาเจอพี่น้องที่รู้ความลับบางอย่าง? ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเจอพี่น้องที่รับใช้ในประเทศที่ถูกสั่งห้าม คุณรู้สึกอยากถามรายละเอียดพวกเขาไหมว่าพวกเขารับใช้กันอย่างไร? จริง ๆ แล้วคุณก็คงหวังดี เราทุกคนรักพี่น้องและอยากรู้ว่าพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง และเราก็อยากอธิษฐานอย่างเจาะจงเพื่อพวกเขา แต่ตอนนี้เป็นเวลาที่เราไม่ควรพูด ถ้าเรากดดันคนที่รู้ความลับ เราก็ได้แสดงความรักทั้งต่อพี่น้องคนนั้นและพี่น้องคนอื่น ๆ ที่คาดหมายให้เขาเก็บความลับ แน่นอนว่า เราคงไม่อยากทำให้พี่น้องที่รับใช้ในประเทศที่ถูกสั่งห้ามลำบากกว่าเดิม และถ้าเราเองรับใช้ในประเทศที่ถูกสั่งห้าม เราก็ไม่อยากบอกคนอื่นว่าพยานฯ ที่นั่นประกาศ ประชุม หรือทำกิจกรรมคริสเตียนกันอย่างไร ห20.03 น. 21-22 ว. 11-12
วันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม
พวกคุณจะไม่ตายหรอก—ปฐก. 3:4
พระเจ้าไม่ได้อยากให้มนุษย์ตาย แต่เพื่ออาดัมกับเอวาจะมีชีวิตตลอดไป พวกเขาต้องเชื่อฟังพระยะโฮวา พระองค์ให้คำสั่งง่าย ๆ กับพวกเขาว่า “ห้ามกินผลจากต้นไม้ที่ให้รู้ดีรู้ชั่ว ถ้าเจ้ากินผลจากต้นนั้นในวันไหน เจ้าจะต้องตายในวันนั้น” (ปฐก. 2:16, 17) แต่แล้วซาตานก็มาสร้างปัญหา มันบอกกับเอวาผ่านงูเหมือนที่บอกในข้อคัมภีร์วันนี้ น่าเศร้าจริง ๆ ที่เอวาเชื่อคำโกหกและกินผลไม้นั้นเข้าไป ต่อมาสามีของเธอก็กินด้วย (ปฐก. 3:6) นี่เลยทำให้มนุษย์ทั้งโลกเป็นคนบาปและต้องตาย (รม. 5:12) อาดัมกับเอวาตายเหมือนที่พระเจ้าบอกไว้ไม่มีผิด แต่ซาตานยังไม่เลิกโกหกเรื่องความตาย ต่อมามันเริ่มขยายเรื่องโกหกนั้นออกไปอีก เรื่องโกหกอย่างหนึ่งคือคำสอนที่ว่า ร่างกายตายก็จริงแต่ยังมีวิญญาณเหลืออยู่และอาจไปอยู่ในโลกวิญญาณ เรื่องโกหกนี้ซึ่งมีรายละเอียดแตกต่างหลากหลายได้หลอกมนุษย์มากมายนับไม่ถ้วนจนถึงสมัยของเรา—1 ทธ. 4:1 ห19.04 น. 14-15 ว. 3-4
วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม
ตอนที่ผมเป็นเด็ก ผมพูดเหมือนเด็ก คิดเหมือนเด็ก หาเหตุผลเหมือนเด็ก—1 คร. 13:11
เด็กยังไม่รู้จักคิดหาเหตุผลแบบผู้ใหญ่ ไม่รู้ว่าอะไรคืออันตรายที่ต้องหลีกเลี่ยง ดังนั้น จึงเป็นเรื่องง่ายมากที่เด็กบางคนจะถูกล่อลวงมาทำร้ายทางเพศ คนที่ตั้งใจทำร้ายเด็กอาจโกหกหลายอย่างที่เป็นอันตรายกับเด็กมาก เช่น เขาอาจบอกว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของตัวเด็กเอง หรืออาจบอกให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ เขาอาจบอกว่าไม่มีใครฟังและไม่มีใครเชื่อที่เด็กพูด หรืออาจบอกว่าคนที่รักกันก็ต้องทำแบบนี้ เด็กอาจเข้าใจผิดแบบนั้นนานหลายปีจนกว่าจะรู้ว่าทั้งหมดเป็นเรื่องโกหก และเมื่อโตขึ้น เด็กอาจยังรู้สึกผิด รู้สึกว่าตัวเองสกปรก ไม่มีค่าพอที่จะได้รับความรักและการปลอบโยนจากใคร ทั้งหมดนี้ทำให้เราเข้าใจว่าทำไมคนที่ถูกทำร้ายทางเพศถึงยังคงเจ็บปวดและทุกข์ทรมานใจนานหลายปี เราอยู่ในสมัยสุดท้ายที่ผู้คน “ไม่มีความรักตามธรรมชาติ” และ ‘คนชั่วจะยิ่งชั่วร้ายขึ้นเรื่อย ๆ’—2 ทธ. 3:1-5, 13, เชิงอรรถ ห19.05 น. 15 ว. 7-8
วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม
การทำแบบนี้แสดงว่าพวกคุณเชื่อฟังกฎหมายของพระคริสต์—กท. 6:2
พระเยซูสอนอย่างไร? อย่างแรกท่านสอนโดยคำพูด คำพูดของท่านมีพลังเพราะท่านสอนความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า สอนว่าจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของชีวิตคืออะไร และสอนว่ารัฐบาลของพระเจ้าเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาทุกอย่างของมนุษย์ได้ (ลก. 24:19) นอกจากนั้น พระเยซูยังสอนโดยตัวอย่างของท่าน การใช้ชีวิตของท่านทำให้พวกสาวกเห็นว่าพวกเขาควรใช้ชีวิตอย่างไร (ยน. 13:15) พระเยซูสอนเมื่อไรบ้าง? ท่านสอนตอนที่ทำงานรับใช้พระเจ้าบนโลก (มธ. 4:23) และไม่นานหลังจากฟื้นขึ้นจากตายท่านก็สอนด้วย ตัวอย่างเช่น ตอนที่ท่านปรากฏตัวให้สาวกกลุ่มหนึ่งเห็นซึ่งอาจมีมากกว่า 500 คน ท่านสั่งพวกเขาให้ไป “สอนคน . . . ให้เป็นสาวก” (มธ. 28:19, 20; 1 คร. 15:6) เนื่องจากท่านเป็นผู้นำของประชาคม ท่านยังคงสอนสาวกต่อไปหลังจากที่ท่านกลับไปสวรรค์แล้ว ตัวอย่างเช่น ประมาณปี ค.ศ. 96 พระเยซูชี้นำอัครสาวกยอห์นเพื่อให้เขาให้กำลังใจและให้คำแนะนำคริสเตียนผู้ถูกเจิม—คส. 1:18; วว. 1:1 ห19.05 น. 3 ว. 4-5
วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม
มองให้ออกว่าอะไรสำคัญกว่า—ฟป. 1:10
ทุกวันนี้ผู้คนทำงานหนักมากเพื่อหาเลี้ยงตัวเอง พี่น้องเราหลายคนทำงานตั้งแต่เช้าจดค่ำเพื่อจะหาเงินมาใช้จ่ายสำหรับสิ่งจำเป็นในครอบครัว และมีพี่น้องอีกมากที่ใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมงเพื่อไปและกลับจากที่ทำงาน ส่วนหลายคนทำงานที่ต้องใช้แรง พอตกเย็นพี่น้องที่เหน็ดเหนื่อยเหล่านี้ก็หมดแรง สิ่งสุดท้ายที่พวกเขาอยากทำก็คือศึกษาส่วนตัว ถึงจะเป็นอย่างนั้น เราต้องหาเวลาศึกษาคัมภีร์ไบเบิลรวมทั้งหนังสือและสื่อต่าง ๆ ขององค์การและต้องศึกษาอย่างจริงจัง ความสัมพันธ์ของเรากับพระยะโฮวาและชีวิตตลอดไปขึ้นอยู่กับการทำอย่างนี้ (1 ทธ. 4:15, 16) เพื่อจะศึกษาคัมภีร์ไบเบิลหรือหนังสือขององค์การและคิดใคร่ครวญ บางคนใช้เวลาตอนเช้าทุกวันเมื่อสมองปลอดโปร่งหลังจากได้นอนหลับพักผ่อนแล้วและบ้านก็เงียบสงบ ส่วนคนอื่นใช้เวลาสั้น ๆ ก่อนนอนตอนไม่มีอะไรมารบกวนสมาธิ ห19.05 น. 26 ว. 1-2
วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม
เลิกเลียนแบบคนในโลกนี้ แต่ให้เปลี่ยนแปลงตัวเองโดยเปลี่ยนความคิดของคุณใหม่—รม. 12:2
การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืนและไม่ได้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เราอาจต้อง “พยายามอย่างจริงจัง” นานหลายปี (2 ปต. 1:5) เราต้องออกความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตัวตนข้างในของเรา วิธีสำคัญอย่างแรกคือการอธิษฐาน เราต้องอธิษฐานเหมือนที่ผู้เขียนหนังสือสดุดีอธิษฐานว่า “ได้โปรดเถอะพระเจ้า โปรดช่วยให้ผมมีหัวใจที่สะอาด และให้ผมมีจิตใจใหม่ที่มั่นคง” (สด. 51:10) เราต้องขอให้พระยะโฮวาช่วยและต้องยอมรับว่าเราจำเป็นต้องเปลี่ยนความคิดจิตใจ วิธีสำคัญอย่างที่สองคือการคิดใคร่ครวญ เมื่อเราอ่านคัมภีร์ไบเบิลอย่างละเอียดในแต่ละวัน เราต้องใช้เวลาคิดใคร่ครวญเพื่อจะดูว่าความคิดและความรู้สึกของเราแบบไหนบ้างที่ต้องเปลี่ยน (สด. 119:59; ฮบ. 4:12; ยก. 1:25) เราต้องเช็กดูว่าความคิดและความรู้สึกของเราได้รับอิทธิพลจากปรัชญาของมนุษย์และแนวคิดแบบโลกบ้างไหม เราต้องซื่อสัตย์กับตัวเองและยอมรับว่าเรามีจุดอ่อนอะไร แล้วพยายามเต็มที่ที่จะกำจัดจุดอ่อนนั้น ห19.06 น. 8 ว. 1; น. 10 ว. 10; น. 12 ว. 11-12
วันอังคารที่ 7 ธันวาคม
ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์มากที่สุด—อฟ. 5:16
ตอนที่ตัดสินใจ คุณต้องกำหนดเวลาและอย่าเปลี่ยน อย่ามัวรอเวลาเหมาะ ๆ เพราะเวลานั้นอาจไม่มีวันมาถึง (ปญจ. 11:4) ระวังไม่ให้เรื่องที่ไม่สำคัญมาแย่งเวลาและกำลังของเราที่จะทำสิ่งที่สำคัญกว่า (ฟป. 1:10) ถ้าเป็นไปได้ให้เลือกเวลาที่ไม่มีอะไรมาขัดจังหวะคุณ บอกให้คนอื่นรู้ว่าคุณต้องการสมาธิ ปิดมือถือ เช็กอีเมลหรือโซเชียลมีเดียทีหลัง คิดถึงผลที่จะได้รับ ผลที่จะเกิดขึ้นจากการตัดสินใจของคุณก็เป็นเหมือนจุดหมายของการเดินทาง ถ้าคุณอยากไปให้ถึงจุดหมายจริง ๆ ถึงจะมีอุปสรรค คุณก็จะไม่เลิกล้มแม้ต้องเปลี่ยนเส้นทาง คล้ายกัน ถ้าเราคิดถึงผลที่จะได้รับ เราจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ เมื่อบางอย่างไม่เป็นไปตามที่วางแผนไว้หรืออาจช้ากว่าที่คิด—กท. 6:9 ห19.11 น. 30 ว. 17-18
วันพุธที่ 8 ธันวาคม
ถ้อยคำของพระเจ้า . . . สามารถรู้ถึงความคิดและเจตนาในใจ—ฮบ. 4:12
อะไรควรเป็นเหตุผลที่คุณตัดสินใจรับบัพติศมา? เมื่อคุณศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอย่างละเอียด คุณก็ได้เรียนหลายอย่างเกี่ยวกับพระยะโฮวา ทั้งคุณลักษณะต่าง ๆ ของพระองค์และวิธีคิดของพระองค์ สิ่งที่คุณได้เรียนทำให้คุณประทับใจและรักพระยะโฮวามาก ความรักที่คุณมีต่อพระยะโฮวาต้องเป็นเหตุผลสำคัญที่สุดที่ทำให้คุณตัดสินใจรับบัพติศมา เหตุผลอีกอย่างหนึ่งที่คุณตัดสินใจรับบัพติศมาคือ คุณเชื่อสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลสอน ขอคิดถึงคำสั่งของพระเยซูที่ให้ไปสอนคนให้เป็นสาวก (มธ. 28:19, 20) พระเยซูบอกว่าคนที่เป็นสาวกต้องรับบัพติศมา “ในนามพระเจ้าผู้เป็นพ่อ ในนามลูกของพระองค์ และในนามพลังบริสุทธิ์” นี่หมายถึงอะไร? คุณต้องเชื่อและมั่นใจเต็มที่ในสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลสอนเกี่ยวกับพระยะโฮวา พระเยซู และพลังบริสุทธิ์ ความจริงเหล่านี้มีพลังมากและกระตุ้นใจคุณให้ลงมือทำอะไรบางอย่างได้ ห20.03 น. 9 ว. 8-9
วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม
เตือนสติคนที่ออกนอกลู่นอกทาง . . . ช่วยเหลือคนอ่อนแอ และอดกลั้นกับทุกคน—1 ธส. 5:14
พระยะโฮวาส่งทูตสวรรค์ไปหาโลทไม่ใช่แค่ไปเตือนเท่านั้น แต่ช่วยเขาหนีจากหายนะที่กำลังจะมาถึงเมืองโสโดมด้วย (ปฐก. 19:12-14, 17) เหมือนกันเราอาจต้องเตือนพี่น้องถ้าเห็นว่าสิ่งที่เขากำลังทำจะทำให้เขาเจอปัญหา แม้พี่น้องอาจไม่กระตือรือร้นเอาคำแนะนำจากคัมภีร์ไบเบิลที่เขาได้รับไปใช้ทันที แต่เราต้องอดทน เราต้องเป็นเหมือนทูตสวรรค์ 2 องค์นั้น แทนที่จะยอมแพ้และเลิกช่วยพี่น้องคนนั้น เราควรลงมือทำอะไรบางอย่างไม่ใช่แค่บอกเขาอย่างเดียว (1 ยน. 3:18) เราควรยื่นมือเข้าช่วยเหมือนที่ทูตสวรรค์คว้ามือโลท เราต้องช่วยเขาให้เอาคำแนะนำที่ได้รับจากคัมภีร์ไบเบิลไปใช้ พระยะโฮวาอาจมองแต่ความผิดพลาดและความไม่สมบูรณ์ของโลทก็ได้ แต่แทนที่จะทำอย่างนั้น พระองค์กลับดลใจให้อัครสาวกเปโตรเรียกโลทว่าผู้ซื่อสัตย์ (สด. 130:3) เราจะเลียนแบบวิธีที่พระยะโฮวามองโลทได้ไหม? ถ้าเราพยายามมองแต่ส่วนดีของพี่น้อง เราก็จะอดทนกับพวกเขาได้มากขึ้น และพวกเขาจะยอมรับความช่วยเหลือของเราได้ง่ายขึ้นด้วย ห19.06 น. 21 ว. 6-7
วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม
แต่ละคนจะต้องแบกความรับผิดชอบของตัวเอง—กท. 6:5
ถ้ารัฐบาลประเทศคุณสั่งห้ามการนมัสการ คุณอาจสงสัยว่าจะย้ายไปอยู่ประเทศอื่นที่สามารถรับใช้พระยะโฮวาอย่างอิสระดีไหม นี่เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่มีใครสามารถตัดสินใจแทนคุณได้ แต่ก่อนตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร บางคนรู้สึกว่าได้ประโยชน์เมื่อค้นคว้าเกี่ยวกับคริสเตียนในยุคแรกที่เจอการข่มเหง สาวกคนอื่น ๆ ในกรุงเยรูซาเล็มกระจัดกระจายไปในที่ต่าง ๆ ของแคว้นยูเดียและสะมาเรีย บางคนไปไกลถึงฟีนิเซีย เกาะไซปรัส และเมืองอันทิโอก (มธ. 10:23; กจ. 8:1; 11:19) ส่วนพี่น้องบางคนที่ค้นคว้าในคัมภีร์ไบเบิลอาจสังเกตว่า หลังการข่มเหงคริสเตียนอีกครั้งหนึ่ง อัครสาวกเปาโลตัดสินใจอยู่ต่อในเขตที่มีการต่อต้านงานประกาศ (กจ. 14:19-23) เราได้เรียนอะไรจากเรื่องราวเหล่านี้? หัวหน้าครอบครัวต้องตัดสินใจเองว่าจะย้ายหรือไม่ แต่ก่อนจะตัดสินใจ เขาควรอธิษฐานและคิดใคร่ครวญอย่างละเอียดเกี่ยวกับสถานการณ์ของครอบครัวเขา และคิดว่าถ้าย้ายจะมีผลดีหรือผลเสียอะไร เราไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจของคนอื่น ห19.07 น. 10 ว. 8-9
วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม
พวกเขาจะได้ชีวิตตลอดไป ถ้าพวกเขามารู้จักพระองค์ที่เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักคนที่พระองค์ใช้มา คือเยซูคริสต์—ยน. 17:3
พระเยซูสั่งเราให้ “ไปสอนคนทุกชาติให้เป็นสาวก” (มธ. 28:19) เพื่อจะทำงานมอบหมายนี้ให้สำเร็จได้ หลายครั้งเราต้องคุยกับคนที่คิดต่างจากเรามาก ซึ่งรวมถึงคนที่ไม่นับถือศาสนาอะไรเลยหรือไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าด้วย นอกจากนั้น เราไม่ใช่แค่สอนนักศึกษาให้รู้ว่าพระเยซูต้องการให้สาวกทำอะไร แต่ต้องสอนเขาให้รู้ว่าจะใช้ชีวิตแบบคริสเตียนแท้อย่างไรด้วย เราต้องอดทนช่วยเขาตอนที่เขาพยายามเอาหลักการในคัมภีร์ไบเบิลมาใช้ นักศึกษาบางคนสามารถเปลี่ยนความคิดและนิสัยโดยใช้เวลาไม่กี่เดือน แต่บางคนต้องใช้เวลานานกว่านั้น มิชชันนารีคนหนึ่งในประเทศเปรูมีประสบการณ์ที่ดีจากการที่เขาอดทน เขาเล่าว่า “ผมศึกษากับราอูลจนจบไป 2 เล่มแล้ว แต่เขาก็ยังมีปัญหาหนัก ๆ ในชีวิตหลายอย่าง เขามีปัญหากับภรรยา ใช้คำหยาบ ทำตัวให้ลูก ๆ ไม่นับถือ แต่เขายังมาประชุมเป็นประจำ ผมก็เลยไปเยี่ยมเพื่อช่วยเขากับครอบครัวต่อไป ในที่สุดหลังจาก 3 ปีตั้งแต่ผมประกาศกับเขาครั้งแรก เขาก็มีคุณสมบัติที่จะรับบัพติศมา” ห19.07 น. 15 ว. 3; น. 19 ว. 15-17
วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม
คุณต้องพยายามสุดความสามารถ—ลก. 13:24
ลองคิดถึงความพยายามของเปาโลตอนที่เขาเขียนจดหมายถึงคริสเตียนในเมืองฟีลิปปี ตอนนั้นเขาถูกกักตัวอยู่ที่บ้านในกรุงโรม เขาออกไปประกาศข้างนอกไม่ได้เลย แต่เขาก็ยังประกาศกับคนที่มาเยี่ยมที่บ้านและเขียนจดหมายถึงประชาคมต่าง ๆ ที่อยู่ห่างไกล เปาโลรู้สึกเหมือนพระเยซู เขารู้ว่าต้องพยายามสุดความสามารถตลอดชีวิต เขาเลยเปรียบชีวิตคริสเตียนเหมือนการวิ่งแข่ง (1 คร. 9:24-27) นักวิ่งต้องคิดถึงเส้นชัยเสมอและไม่สนใจเรื่องอื่น ตัวอย่างเช่น ทุกวันนี้นักวิ่งอาจวิ่งบนถนนที่มีร้านค้าอยู่ข้างทางหรืออาจมีสิ่งอื่น ๆ ที่มาดึงความสนใจของเขา คุณคิดว่านักวิ่งจะหยุดดูตามร้านค้าต่าง ๆ ไหม? ถ้าอยากชนะเขาจะไม่ทำอย่างนั้นแน่ ๆ เหมือนกับการวิ่งแข่งเพื่อชีวิต เราต้องไม่ให้เรื่องอื่นมาดึงความสนใจ เมื่อเราคิดถึงแต่เส้นชัยเสมอและพยายามสุดความสามารถเหมือนที่เปาโลทำ เราจะได้รางวัลแน่นอน ห19.08 น. 3 ว. 4; น. 4 ว. 7
วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม
เอาใจใส่ตัวคุณและการสอนของคุณให้ดี . . . เพราะถ้าทำอย่างนั้น คุณจะช่วยทั้งตัวเองและคนที่ฟังคุณให้รอด—1 ทธ. 4:16
ตอนที่เราตัดสินใจทำตามมาตรฐานของพระเจ้า เราได้เปลี่ยนความเชื่อและการใช้ชีวิตของตัวเอง เรื่องนี้อาจทำให้คนในครอบครัวและญาติ ๆ ยอมรับได้ยาก เพราะสิ่งแรก ๆ ที่พวกเขาเห็นก็คือเราไม่ฉลองเทศกาลต่าง ๆ ทางศาสนากับพวกเขาและไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ตอนแรกญาติบางคนอาจโกรธมาก (มธ. 10:35, 36) แต่เราต้องไม่หมดหวังในตัวพวกเขา ถ้าเราเลิกช่วยพวกเขาให้เข้าใจความเชื่อของเรา ก็เหมือนกับเราตัดสินไปแล้วว่าพวกเขาไม่ดีพอที่จะได้ชีวิตตลอดไป นี่ไม่ใช่หน้าที่เรา เพราะพระยะโฮวาให้หน้าที่พิพากษาตัดสินกับพระเยซูเท่านั้น (ยน. 5:22) ถ้าเราอดทน ในที่สุดคนในครอบครัวและญาติ ๆ อาจเต็มใจตอบรับความจริง เราต้องคิดถึงความรู้สึกของคนในครอบครัวกับญาติ ๆ แต่ยังคงหนักแน่นต่อไปแม้ต้องอดทนกับความยากลำบาก (1 คร. 4:12ข) มันอาจต้องใช้เวลากว่าที่คนในครอบครัวและญาติ ๆ จะเข้าใจว่าการรับใช้พระยะโฮวาเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับเรา ห19.08 น. 17 ว. 10, 13; น. 18 ว. 14
วันอังคารที่ 14 ธันวาคม
ผมมีกำลังทนได้ทุกสิ่งเพราะพระองค์ให้กำลังกับผม—ฟป. 4:13
เมื่อคิดถึงปัญหาที่คุณได้เจอในชีวิต คุณเคยรู้สึกแบบนี้ไหม? “ฉันไม่มีทางผ่านมันได้ด้วยตัวเองแน่ ๆ” พวกเราหลายคนเคยรู้สึกเหมือนกัน บางทีคุณอาจพูดทำนองนี้ตอนที่คุณผ่านช่วงที่ป่วยหนักหรือตอนที่คนรักตายจากไป เมื่อมองย้อนกลับไป คุณก็เห็นว่าที่คุณอดทนและผ่านปัญหาแต่ละวันมาได้เพราะพลังบริสุทธิ์ของพระยะโฮวาช่วยให้คุณมี “กำลังที่มากกว่าปกติ” (2 คร. 4:7-9) นอกจากนั้น เราต้องพึ่งพลังบริสุทธิ์เพื่อช่วยให้เราสู้กับอิทธิพลของโลกชั่วนี้ (1 ยน. 5:19) และเราต้องต่อสู้กับ “กองทัพปีศาจชั่ว” ด้วย (อฟ. 6:12) พลังบริสุทธิ์ของพระยะโฮวาช่วยเราให้มีกำลังที่จะทำงานมอบหมายต่าง ๆ ได้สำเร็จแม้จะมีปัญหาหลายอย่าง อัครสาวกเปาโลรู้ว่าที่เขารับใช้ต่อไปได้ถึงแม้ว่าจะเจอปัญหาหลายอย่างก็เพราะเขาพึ่ง “พลังอำนาจของพระคริสต์”—2 คร. 12:9 ห19.11 น. 8 ว. 1-3
วันพุธที่ 15 ธันวาคม
คนที่ได้เห็นผมก็ได้เห็นพระเจ้าผู้เป็นพ่อด้วย—ยน. 14:9
คัมภีร์ไบเบิลเท่านั้นที่บอกอย่างถูกต้องเกี่ยวกับสิ่งที่พระเยซูทำเพื่อคุณ ขอให้รักพระเยซู แล้วคุณจะรักพระยะโฮวามากขึ้น ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น? เพราะพระเยซูเลียนแบบพ่อของท่านได้อย่างสมบูรณ์แบบ ยิ่งเรียนเรื่องพระเยซู คุณก็จะเข้าใจและเห็นค่าพระยะโฮวามากขึ้น ลองคิดถึงตอนที่พระเยซูแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อคนที่ใคร ๆ ก็ดูถูก ไม่ว่าจะเป็นคนยากจน คนเจ็บป่วย หรือคนอ่อนแอไม่มีทางสู้ นอกจากนั้น ลองคิดดูว่าเมื่อคุณเชื่อฟังพระเยซูโดยทำตามคำแนะนำของท่าน คุณมีชีวิตดีขึ้นแค่ไหน (มธ. 5:1-11; 7:24-27) เมื่อคุณคิดถึงการเสียสละของพระเยซูที่ทำให้เราได้รับการอภัยบาป คุณต้องรักท่านมากขึ้นแน่ ๆ (มธ. 20:28) การที่คุณเข้าใจว่าพระเยซูเต็มใจตายเพื่อคุณ คงกระตุ้นให้คุณกลับใจและขออภัยบาปจากพระยะโฮวา (กจ. 3:19, 20; 1 ยน. 1:9) ยิ่งคุณรักพระยะโฮวาและพระเยซู คุณก็จะยิ่งอยากอยู่กับคนที่รักพระองค์ทั้งสองด้วย ห20.03 น. 5-6 ว. 10-12
วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม
แม้พระยะโฮวาสูงส่ง แต่พระองค์ก็สนใจคนถ่อม—สด. 138:6
พี่น้องชายคนหนึ่งอาจเริ่มคิดว่าเขาเหมาะที่สุดที่จะทำงานนี้ หรือพี่น้องหญิงอาจคิดว่า ‘ถ้าเป็นสามีฉัน เขาคงทำได้ดีกว่าพี่น้องคนนั้นเยอะ’ แต่ถ้าเราเป็นคนถ่อมจริง ๆ เราจะไม่คิดแบบนั้น เราเรียนเรื่องนี้ได้จากตัวอย่างของโมเสสตอนที่เขาเห็นคนอื่นได้รับสิทธิพิเศษ เขาเห็นค่าหน้าที่รับผิดชอบที่ได้เป็นผู้นำชาติอิสราเอล แต่ตอนที่พระยะโฮวาให้คนอื่นมีความสามารถที่จะทำงานบางอย่างเหมือนกับเขา โมเสสทำอย่างไร? เขาไม่อิจฉา (กดว. 11:24-29) ความถ่อมทำให้โมเสสยอมให้คนอื่นมาช่วยงานตัดสินคดีความ (อพย. 18:13-24) ชาวอิสราเอลเลยมีผู้ชายหลายคนที่ทำหน้าที่นั้นมากขึ้น และทำให้พวกเขาไม่ต้องรอการตัดสินคดีนานเกินไป นี่แสดงว่าโมเสสสนใจการช่วยประชาชนมากกว่าสิทธิพิเศษของเขา เรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับเรา ให้เราจำไว้ว่าถ้าเราอยากเป็นประโยชน์ต่อพระยะโฮวาจริง ๆ ความถ่อมสำคัญกว่าความสามารถที่เรามี ห19.09 น. 5-6 ว. 13-14
วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม
พระยะโฮวาปกป้องคนที่ซื่อสัตย์—สด. 31:23
เราไม่รู้ว่าชาติต่าง ๆ จะอ้างเหตุผลอะไรในการโจมตีบาบิโลนใหญ่ พวกเขาอาจบอกว่าศาสนาต่าง ๆ เป็นตัวการขัดขวางสันติภาพและแทรกแซงการเมืองตลอดเวลา หรืออาจบอกว่าศาสนาร่ำรวยและมีทรัพย์สินมากเกินไป (วว. 18:3, 7) เมื่อชาติต่าง ๆ โจมตีศาสนา พวกเขาคงไม่ได้ทำลายสมาชิกทุกคนแต่ดูเหมือนว่าพวกเขาแค่ทำลายศาสนาเหล่านั้น ตอนนั้นคนที่เคยเป็นสมาชิกจะรู้ว่าผู้นำศาสนาไม่ได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ ดังนั้น พวกเขาอาจบอกว่าตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลยกับศาสนานั้น การทำลายบาบิโลนใหญ่จะใช้เวลาไม่นานมาก (วว. 18:10, 21) พระยะโฮวาสัญญาว่าจะ “ทำให้ช่วงเวลานั้นสั้นลง” เพื่อ “คนที่พระองค์เลือกไว้” จะรอดและศาสนาแท้จะคงอยู่—มก. 13:19, 20 ห19.10 น. 15 ว. 4-5
วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม
แนะนำผู้หญิงสาว ๆ ให้ . . . รักลูก—ทต. 2:4
คนที่เป็นแม่ คุณอาจโตมาในครอบครัวที่ชอบใช้อารมณ์และพูดแรง ๆ กับลูก คุณเลยคิดว่านั่นเป็นเรื่องปกติ และแม้แต่หลังจากที่คุณได้รู้แล้วว่าพระยะโฮวาอยากให้คุณเลี้ยงลูกอย่างไร คุณยังอาจรู้สึกว่ายากที่จะใจเย็นและอดทนกับลูก ๆ โดยเฉพาะตอนที่คุณกำลังเหนื่อยและลูกก็ไม่เชื่อฟังคุณด้วย (อฟ. 4:31) ตอนนั้นคุณยิ่งต้องอธิษฐานขอให้พระยะโฮวาช่วย (สด. 37:5) อีกปัญหาหนึ่งที่คนเป็นแม่อาจเจอก็คือพวกเขารู้สึกยากที่จะแสดงความรักกับลูก ๆ พวกเขาอาจเติบโตมาในครอบครัวที่พ่อแม่ไม่ได้แสดงความรักกับลูก ๆ ถ้าคุณโตมาในครอบครัวแบบนั้น อย่าทำผิดซ้ำรอยพ่อแม่ของคุณ แม่ที่เชื่อฟังและยอมรับอำนาจของพระยะโฮวาต้องเรียนรู้ที่จะแสดงความรักกับลูก ถึงมันอาจจะเป็นเรื่องยากแต่นั่นเป็นเรื่องที่ทำได้ และมันจะทำให้ทั้งคนที่เป็นแม่และครอบครัวมีความสุขมากขึ้น ห19.09 น. 18-19 ว. 19-20
วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม
ไม่มีใครเป็นทาสนาย 2 คนได้—มธ. 6:24
ถ้าใครนมัสการพระยะโฮวา แต่ใช้เวลาและกำลังไปหาเงินเยอะ ๆ เพราะอยากรวย เขาก็กำลังพยายามรับใช้นาย 2 คน ไม่ได้นมัสการพระยะโฮวาเพียงผู้เดียว ตอนปลายศตวรรษแรก คริสเตียนในประชาคมเมืองเลาดีเซียอวดว่า “ฉันรวย มีสมบัติเยอะแยะ ฉันไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว” แต่ในสายตาพระยะโฮวาและพระเยซู พวกเขา “เป็นคนน่าสมเพช น่าสงสาร ยากจน ตาบอด และเปลือยกายอยู่” พระเยซูว่าพวกเขาแบบนั้นไม่ใช่เพราะพวกเขารวย แต่เพราะพวกเขารักเงินมากจนมีผลต่อความสัมพันธ์กับพระยะโฮวา (วว. 3:14-17) ฉะนั้น ถ้าเราเจอว่าตัวเองเริ่มมีความรู้สึกรักเงินในหัวใจ เราต้องรีบจัดการ (1 ทธ. 6:7, 8) เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้น เราอาจกำลังแบ่งหัวใจให้สิ่งอื่นซึ่งนั่นจะทำให้พระยะโฮวาไม่ยอมรับการนมัสการของเรา พระองค์ “ต้องการให้นมัสการพระองค์เพียงผู้เดียว”—ฉธบ. 4:24 ห19.10 น. 27-28 ว. 5-6
วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม
มนุษย์พูดสิ่งที่มาจากพระเจ้าตามที่พลังบริสุทธิ์ของพระองค์ชี้นำ—2 ปต. 1:21
คำว่า “ชี้นำ” ในภาษากรีกแปลตรงตัวว่า “พัดพา” ลูกาผู้เขียนหนังสือกิจการก็ใช้คำภาษากรีกคำเดียวกันในอีกรูปแบบหนึ่งเมื่อพูดถึงเรือที่ “ลอยไป” ตามลม (กจ. 27:15) นักวิชาการด้านคัมภีร์ไบเบิลคนหนึ่งบอกว่า ตอนที่เปโตรบอกว่าผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลได้รับการ “ชี้นำ” หรือถูก “พัดพา” โดยพลังบริสุทธิ์ เขาเปรียบเทียบทำให้เห็นภาพเกี่ยวกับการแล่นเรือ เหมือนกับลมที่พัดพาเรือให้แล่นไปถึงจุดหมาย พลังบริสุทธิ์ก็ชี้นำหรือพัดพาผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลให้ทำงานได้สำเร็จ นักวิชาการคนเดียวกันยังบอกอีกว่า ผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิล “กางใบเรือ” ของพวกเขาไว้ พระยะโฮวาทำส่วนของพระองค์โดยให้ “ลม” หรือพลังบริสุทธิ์กับพวกเขา ผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลก็ทำส่วนของพวกเขาโดยทำตามการชี้นำของพลังนั้น ในทุกวันนี้พลังบริสุทธิ์จะช่วยให้เราก้าวไปข้างหน้าฝ่าคลื่นของการต่อต้านและปัญหาต่าง ๆ ได้ และจะช่วยเราอดทนอย่างซื่อสัตย์จนถึงจุดหมายซึ่งก็คือโลกใหม่ของพระเจ้า ห19.11 น. 9 ว. 7-9
วันอังคารที่ 21 ธันวาคม
ถ้าคุณท้อแท้ในวันที่ทุกข์ลำบาก กำลังเรี่ยวแรงของคุณก็จะน้อย—สภษ. 24:10
บางครั้งเราท้อใจเพราะเจอปัญหาหลายอย่าง แต่เราต้องไม่จมอยู่กับปัญหาหรือเอาแต่คิดถึงเรื่องเหล่านั้น เพราะการทำแบบนั้นอาจทำให้ลืมความหวังยอดเยี่ยมที่พระเจ้าให้เรา (วว. 21:3, 4) ความท้อใจอาจถึงกับทำให้เราหมดแรง ยอมแพ้และเลิกรับใช้พระยะโฮวา ให้เรามาดูตัวอย่างของพี่น้องหญิงคนหนึ่งในสหรัฐอเมริกาว่าเธอรักษาความเชื่อให้เข้มแข็งอย่างไรตอนที่ต้องดูแลสามีที่ป่วยหนัก เธอเขียนว่า “บางครั้งสิ่งที่เราเจอทำให้เครียดและท้อมาก ๆ แต่ความหวังของเรายังชัดเจน ฉันรู้สึกขอบคุณพระยะโฮวาจริง ๆ สำหรับทุกสิ่งที่พระองค์ช่วยให้เรามีความเชื่อเข้มแข็งและมีกำลังใจมากขึ้น คำแนะนำและกำลังใจแบบนี้จำเป็นมากสำหรับเรา มันช่วยให้เรารับใช้พระยะโฮวาได้ต่อไปและช่วยให้เราอดทนกับความยากลำบากต่าง ๆ” คำพูดของพี่น้องหญิงคนนี้ทำให้เรารู้ว่าเราเอาชนะความท้อใจได้ เราจะทำได้อย่างไร? มองปัญหาและความลำบากต่าง ๆ ที่คุณเจอว่าเป็นการทดสอบจากซาตานและมองว่านั่นเป็นโอกาสที่คุณจะต่อต้านมันได้ ไว้ใจพระยะโฮวาว่าพระองค์จะให้กำลังใจคุณ และให้คุณเห็นค่าหนังสือและสื่อต่าง ๆ ซึ่งเป็นเหมือนอาหารบำรุงเลี้ยงความเชื่อที่พระองค์ให้กับคุณ ห19.11 น. 16 ว. 9-10
วันพุธที่ 22 ธันวาคม
คนที่ไว้ใจได้จะเก็บความลับไว้—สภษ. 11:13
เป็นเรื่องสำคัญมากที่ผู้ดูแลต้องทำตามหลักการนี้ ผู้ดูแลรู้ดีว่าเขาต้องไม่ “แพร่งพรายความลับ” ของพี่น้องในประชาคม ถ้าเขาทำอย่างนั้น พี่น้องคนอื่น ๆ ก็จะไม่เชื่อใจและตัวเขาก็จะเสียชื่อเสียงด้วย คนที่ได้รับการแต่งตั้งและได้รับความไว้วางใจจากประชาคมต้อง “ไม่เป็นคนพูดจากลับกลอก” หรือหลอกลวง นี่หมายความว่าเขาต้องไม่หลอกพี่น้องให้เข้าใจว่าเขาเป็นคนที่ไว้ใจได้ แต่เขากลับเอาเรื่องของพี่น้องไปบอกคนอื่นซึ่งการทำอย่างนั้นเป็นเหมือนการนินทา (1 ทธ. 3:8; เชิงอรรถ) ผู้ดูแลที่รักภรรยาจะไม่เพิ่มภาระให้เธอโดยบอกเรื่องที่เธอไม่จำเป็นต้องรู้ ส่วนภรรยาของผู้ดูแลก็จะช่วยรักษาชื่อเสียงที่ดีของสามีโดยไม่กดดันเขาให้บอกความลับ การที่เธอทำแบบนั้นจะช่วยสนับสนุนสามีและให้เกียรติคนที่ไว้ใจสามีของเธอ และที่สำคัญที่สุด เธอจะทำให้พระยะโฮวามีความสุขเพราะเธอกำลังส่งเสริมสันติสุขและความเป็นหนึ่งเดียวกันในประชาคม—รม. 14:19 ห20.03 น. 22 ว. 13-14
วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม
พระยะโฮวาจะมาหาพวกคุณ—ลนต. 9:4
ในปี 1512 ก่อน ค.ศ. ตอนที่มีการตั้งเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นที่เชิงเขาซีนาย โมเสสเป็นคนดูแลการแต่งตั้งอาโรนและพวกลูกชายให้เป็นปุโรหิต ชาวอิสราเอลมารวมตัวกันเพื่อดูพวกปุโรหิตถวายสัตว์เป็นเครื่องบูชาครั้งแรก (อพย. 40:17; ลนต. 9:1-5) พระยะโฮวาแสดงอย่างไรว่าพระองค์ยอมรับพวกปุโรหิตที่เพิ่งถูกแต่งตั้ง? พออาโรนกับโมเสสอวยพรประชาชน พระยะโฮวาก็ส่งไฟลงมาเผาเครื่องบูชาบนแท่นจนหมด (ลนต. 9:23, 24) การที่พระยะโฮวาให้ไฟลงมาจากสวรรค์แสดงถึงอะไร? แสดงว่าพระองค์ยอมรับและสนับสนุนอาโรนและพวกลูกชายซึ่งพระองค์เลือกให้เป็นปุโรหิต เมื่อชาวอิสราเอลเห็นหลักฐานชัดเจนว่าพระยะโฮวาสนับสนุนพวกปุโรหิต พวกเขาก็เข้าใจว่าต้องสนับสนุนอย่างเต็มที่ด้วยเหมือนกัน เรื่องนี้สำคัญกับเราอย่างไร? ปุโรหิตในสมัยอิสราเอลเป็นภาพหมายถึงคณะปุโรหิตที่ยิ่งใหญ่กว่า พระคริสต์เป็นมหาปุโรหิตที่ยิ่งใหญ่กว่า และยังมีคน 144,000 คนซึ่งจะรับใช้ในฐานะปุโรหิตและกษัตริย์กับท่านในสวรรค์ด้วย (ฮบ. 4:14; 8:3-5; 10:1) ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พระยะโฮวากำลังชี้นำและอวยพรองค์การของพระองค์ ห19.11 น. 23 ว. 13; น. 24 ว. 14, 16
วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม
เราทำงานหนักเหน็ดเหนื่อยทั้งวันทั้งคืนเพื่อจะไม่เป็นภาระที่ทำให้พวกคุณต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก—2 ธส. 3:8
ตอนที่เปาโลอยู่บ้านอะควิลลากับปริสสิลลาในเมืองโครินธ์ พวกเขา “ทำงานด้วยกัน เพราะพวกเขามีอาชีพเป็นช่างทำเต็นท์เหมือนกัน” ที่เปาโลบอกว่าทำงาน “ทั้งวันทั้งคืน” ไม่ได้หมายความว่าเขาทำงานไม่หยุดเลย มีบางวันที่เปาโลหยุดทำเต็นท์ เช่น วันสะบาโต เขาใช้วันนั้นประกาศกับชาวยิวที่หยุดงานด้วยเหมือนกัน (กจ. 13:14-16, 42-44; 16:13; 18:1-4) อัครสาวกเปาโลเป็นตัวอย่างที่ดี เขาต้องทำงานอาชีพแต่เขาก็ “ทำงานที่ศักดิ์สิทธิ์” ซึ่งก็คือการ “ประกาศข่าวดีของพระเจ้า” เป็นประจำ (รม. 15:16; 2 คร. 11:23) เขาสนับสนุนคนอื่นให้ทำเหมือนกันด้วย เปาโลเรียกอะควิลลากับปริสสิลลาว่าเป็น “เพื่อนร่วมงานของ [เขา] ในการรับใช้พระคริสต์เยซู” (รม. 12:11; 16:3) เปาโลยังกระตุ้นพี่น้องในเมืองโครินธ์ “ให้ทุ่มเทกับงานของผู้เป็นนายที่มีให้ทำมากมาย” ด้วย (1 คร. 15:58; 2 คร. 9:8) พระยะโฮวาถึงกับดลใจให้เปาโลเขียนว่า “ถ้าใครไม่อยากทำงาน ก็อย่าให้เขากิน”—2 ธส. 3:10 ห19.12 น. 5 ว. 12-13
วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม
ลูก ๆ เป็นมรดกจากพระยะโฮวา—สด. 127:3
พระยะโฮวาสร้างมนุษย์คู่แรกให้อยากมีลูก ใครควรเป็นคนตัดสินใจว่าควรมีลูกไหมและจะมีลูกเมื่อไร? คนในบางวัฒนธรรมคิดว่าแต่งงานแล้วควรมีลูกให้เร็วที่สุด คนที่เพิ่งแต่งงานอาจถูกครอบครัวและคนอื่น ๆ กดดันให้ทำตามธรรมเนียมนี้ เจทโทรพี่น้องในเอเชียบอกว่า “ในประชาคม บางคนที่มีลูกก็กดดันคนที่ไม่มี” เจฟฟรีพี่น้องอีกคนในเอเชียบอกว่า “บางคนบอกคนที่ไม่มีลูกว่าตอนแก่จะไม่มีใครดูแล” แต่สามีภรรยาทุกคู่ต้องตัดสินใจเองว่าจะมีลูกหรือไม่มี นี่เป็นหน้าที่รับผิดชอบของพวกเขา (กท. 6:5) ครอบครัวและเพื่อน ๆ อาจอยากให้คนที่เพิ่งแต่งงานมีความสุข แต่ทุกคนต้องจำไว้ว่าสามีภรรยาต้องตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยตัวเอง—1 ธส. 4:11 ห19.12 น. 22 ว. 1-3
วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม
คุณควรจะอธิษฐานตามแบบนี้ว่า “พระเจ้า พ่อของพวกเรา”—มธ. 6:9
คุณรู้สึกยากที่จะมองพระยะโฮวาว่าเป็นพ่อไหม? บางคนอาจรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยด้อยค่าเมื่อเทียบกับพระยะโฮวา เขาไม่มั่นใจว่าพระเจ้าองค์สูงสุดจะสนใจเขาบ้างหรือเปล่า แต่พระเจ้าผู้เป็นพ่อในสวรรค์ที่รักเราไม่อยากให้เราคิดแบบนั้น พระองค์ให้ชีวิตเราและอยากให้เราเสาะหาแล้วได้พบพระองค์ อัครสาวกเปาโลบอกความจริงเรื่องนี้กับคนในกรุงเอเธนส์ แล้วก็บอกว่าพระยะโฮวา “ไม่ได้อยู่ไกลจากเราแต่ละคนเลย” (กจ. 17:24-29) พระเจ้าอยากให้เราคุยกับพระองค์เหมือนลูกที่สบายใจเมื่อคุยกับพ่อที่รักและเป็นห่วงเขา แต่ก็มีบางคนที่รู้สึกยากที่จะมองพระยะโฮวาว่าเป็นพ่อเพราะพ่อจริง ๆ ของเขาไม่ค่อยแสดงความรัก หรือไม่เคยแสดงความรักกับเขาเลยแม้แต่น้อย พี่น้องหญิงคนหนึ่งบอกว่า “พ่อฉันดุมากและชอบด่าฉัน ตอนเรียนคัมภีร์ไบเบิลใหม่ ๆ ฉันรู้สึกยากที่จะสนิทกับพ่อในสวรรค์” คุณรู้สึกคล้าย ๆ กันไหม? ถ้าคุณรู้สึกแบบนั้น ขอให้มั่นใจว่า ในที่สุดคุณจะมองว่าพระยะโฮวาเป็นพ่อที่ดีที่สุดของคุณได้เหมือนกัน ห20.02 น. 3 ว. 4-5
วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม
อย่าทิ้งผมตอนที่ผมหมดแรง—สด. 71:9
พระเยซูสอนว่า ถึงเราจะมองว่าตัวเองทำได้น้อยมากหรือสิ่งที่เราทำไม่ค่อยสำคัญหรือมีอายุมากขึ้น แต่พระยะโฮวาก็เห็นค่าทุกสิ่งที่เราทำเพื่อรับใช้พระองค์ (สด. 92:12-15; ลก. 21:2-4) ดังนั้น ให้สนใจสิ่งที่คุณทำได้ เช่น คุณสามารถบอกเรื่องพระยะโฮวากับคนอื่น อธิษฐานเผื่อพี่น้องคริสเตียน และให้กำลังใจคนอื่นเพื่อเขาจะซื่อสัตย์ต่อ ๆ ไป พระยะโฮวามองว่าคุณเป็นเพื่อนร่วมงานไม่ใช่เพราะสิ่งที่คุณทำได้ แต่เพราะคุณเต็มใจเชื่อฟังพระองค์ (1 คร. 3:5-9) เราขอบคุณจริง ๆ ที่ได้นมัสการพระยะโฮวาพระเจ้าที่เห็นค่าผู้รับใช้ของพระองค์อย่างแท้จริง พระองค์สร้างเราให้ทำตามความประสงค์ของพระองค์ และการนมัสการแท้ก็ทำให้เรามีความสุขความพอใจในชีวิต (วว. 4:11) แม้โลกนี้มองว่าเราไม่มีค่า แต่พระยะโฮวาไม่ได้มองเราแบบนั้น (ฮบ. 11:16, 38) ถ้าเราท้อใจหรือรู้สึกไร้ค่าเพราะเจ็บป่วย เพราะเจอปัญหาการเงิน หรือเพราะอายุมากขึ้น ขอให้จำไว้ว่าไม่มีอะไรขัดขวางความรักที่พ่อในสวรรค์แสดงต่อเราได้เลย—รม. 8:38, 39 ห20.01 น. 18 ว. 16; น. 19 ว. 18-19
วันอังคารที่ 28 ธันวาคม
ได้โปรดเถอะพระเจ้า โปรดช่วยให้ผมมีหัวใจที่สะอาด และให้ผมมีจิตใจใหม่ที่มั่นคง—สด. 51:10
เราจะเอาชนะความอิจฉาได้ถ้าเราให้ความถ่อมและความพอเพียงเติบโตในหัวใจเรา ถ้าหัวใจเราเต็มไปด้วยคุณลักษณะที่ดีสองอย่างนี้ มันก็จะไม่มีที่ว่างสำหรับความอิจฉา ความถ่อมจะช่วยเราไม่ให้คิดถึงตัวเองมากเกินไป คนถ่อมจะไม่คิดว่าตัวเองสมควรได้รับสิ่งต่าง ๆ มากกว่าคนอื่น (กท. 6:3, 4) คนที่พอเพียงจะพอใจในสิ่งที่เขามีอยู่และจะไม่เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น (1 ทธ. 6:7, 8) เมื่อคนที่ถ่อมและรู้จักพอเพียงเห็นคนอื่นได้ดี เขาก็จะดีใจและมีความสุขไปกับคนนั้น เพื่อเราจะไม่อิจฉาแต่ถ่อมและรู้จักพอเพียง เราต้องได้รับความช่วยเหลือจากพลังบริสุทธิ์ของพระเจ้า (กท. 5:16; ฟป. 2:3, 4) พลังบริสุทธิ์จะช่วยเราให้ตรวจดูความคิดและความรู้สึกลึก ๆ ของเรา พระเจ้าจะช่วยเราให้เอาความรู้สึกและความคิดที่ไม่ดีออกไป และใส่ความรู้สึกและความคิดที่ดีเข้ามาแทน—สด. 26:2 ห20.02 น. 15 ว. 8-9
วันพุธที่ 29 ธันวาคม
เอาใจใส่ตัวคุณและการสอนของคุณให้ดี—1 ทธ. 4:16
การอุทิศตัวเป็นการปฏิญาณที่พระยะโฮวาคาดหมายให้คุณทำตาม ขอให้ใกล้ชิดกับประชาคมของคุณ พี่น้องในประชาคมเป็นเหมือนครอบครัวของคุณ เมื่อคุณไปประชุมเป็นประจำ คุณก็จะยิ่งสนิทกับพวกเขา ให้คุณอ่านคัมภีร์ไบเบิลและคิดใคร่ครวญทุกวัน หลังจากที่ได้อ่านบางส่วนแล้วก็ให้ใช้เวลาเพื่อคิดใคร่ครวญเรื่องที่อ่านอย่างลึกซึ้ง ถ้าคุณทำอย่างนั้นเรื่องที่อ่านจะเข้าถึงหัวใจของคุณ (สด. 1:1, 2) ให้คุณ “อธิษฐานอยู่เรื่อย ๆ” คำอธิษฐานจากใจจะช่วยให้คุณสนิทกับพระยะโฮวามากขึ้น (มธ. 26:41) คุณต้อง “ให้การปกครองของพระเจ้า . . . เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต” (มธ. 6:33) เพื่อจะทำอย่างนั้นได้ งานประกาศต้องเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตของคุณ เมื่อคุณไปประกาศเป็นประจำ ความเชื่อของคุณก็จะเข้มแข็งอยู่เสมอ ความลำบากที่คุณเจอตอนนี้จะ “มีอยู่ช่วงสั้น ๆ และไม่หนัก” (2 คร. 4:17) แต่การรับบัพติศมาจะเปิดทางให้คุณมีชีวิตที่มีความสุขมากขึ้นในตอนนี้ และได้ “ชีวิตแท้” ในอนาคต มันจะคุ้มกับสิ่งที่เสียไปไหม? คุ้มแน่นอน—1 ทธ. 6:19 ห20.03 น. 13 ว. 19-21
วันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม
เวลาเหลือน้อยแล้ว—1 คร. 7:29
ถ้านักศึกษาของคุณไม่ก้าวหน้า ให้ถามตัวเองว่า ‘คุณควรเลิกศึกษากับเขาไหม?’ ก่อนตัดสินใจให้คิดถึงความสามารถของนักศึกษา บางคนอาจต้องใช้เวลามากกว่าคนอื่นกว่าจะก้าวหน้า ให้ถามตัวเองว่า ‘นักศึกษาคนนี้ก้าวหน้าตามที่ควรจะเป็นไหม?’ ‘เขาเริ่ม “ทำตาม” สิ่งที่เรียนบ้างไหม?’ (มธ. 28:20) น่าเสียดายที่นักศึกษาบางคนเป็นเหมือนชาวอิสราเอลในสมัยเอเสเคียล พระยะโฮวาบอกเอเสเคียลว่า “สำหรับพวกเขา เจ้าเป็นเหมือนคนที่ร้องเพลงรักซึ่งมีเสียงไพเราะและเล่นเครื่องสายอย่างชำนาญ พวกเขาจะฟังเจ้าพูด แต่จะไม่มีใครทำตาม” (อสค. 33:32) เราอาจรู้สึกยากที่จะบอกนักศึกษาว่าจะเลิกศึกษากับเขา แต่ตอนนี้ “เวลาเหลือน้อยแล้ว” แทนที่จะเสียเวลากับคนที่ไม่ก้าวหน้า ให้เราพยายามหาคนที่ “เต็มใจตอบรับความจริงซึ่งทำให้ได้ชีวิตตลอดไป”—กจ. 13:48 ห20.01 น. 6 ว. 17; น. 7 ว. 20
วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม
ขอให้รัฐบาลของพระองค์มาปกครอง และขอให้ทุกอย่างบนโลกและบนสวรรค์เป็นอย่างที่พระองค์อยากให้เป็น—มธ. 6:10
คริสตจักรไม่ได้สอนความจริงในคัมภีร์ไบเบิลที่ว่าวันหนึ่งมนุษย์ที่เชื่อฟังจะมีชีวิตตลอดไปบนโลก (2 คร. 4:3, 4) ทุกวันนี้ นิกายส่วนใหญ่ของคริสตจักรสอนว่าคนดีทุกคนไปสวรรค์หลังจากตายไปแล้ว แต่กลุ่มนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกลุ่มเล็ก ๆ ซึ่งเริ่มพิมพ์วารสารหอสังเกตการณ์ ในปี 1879 สอนต่างออกไป พวกเขาเข้าใจว่าพระเจ้าจะทำให้โลกกลายเป็นสวนอุทยานอีกครั้งและมนุษย์หลายล้านคนที่เชื่อฟังจะมีชีวิตตลอดไปบนโลกนี้ไม่ใช่ในสวรรค์ แต่ยังอีกหลายปีกว่าที่กลุ่มนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลจะเข้าใจชัดเจนว่าใครคือคนที่เชื่อฟังกลุ่มนั้น นอกจากนั้น กลุ่มนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเข้าใจจากคัมภีร์ไบเบิลว่า คนกลุ่มหนึ่งที่ถูก “ซื้อไว้จากโลก” นี้จะไปปกครองกับพระเยซูในสวรรค์ (วว. 14:3) คนกลุ่มนั้นมีจำนวน 144,000 คน พวกเขาเป็นคริสเตียนที่กระตือรือร้นและอุทิศตัวให้พระเจ้าซึ่งรับใช้พระองค์อย่างซื่อสัตย์ตอนที่อยู่บนโลก ห19.09 น. 27 ว. 4-5