มีเหตุผลมากมายจริง ๆ ที่ดิฉันต้องขอบพระคุณ!
เล่าโดย ลอตตี ฮอลล์
เทหตุการณ์เกิดขึ้นในระหว่างการเดินทางของเราจากเมืองกัลกัตตา ประเทศอินเดีย ไปย่างกุ้ง ประเทศพม่า ในปี 1963. ชั่วครู่เดียวหลังจากเครื่องบินออกจากกัลกัตตานั้น พี่น้องคนหนึ่งสังเกตเห็นน้ำมันรั่วที่ปีกเครื่องบิน. เมื่อเจ้าหน้าที่ประจำเครื่องได้รับแจ้งเรื่องดังกล่าว เขาประกาศถึงการร่อนลงฉุกเฉิน. ก่อนอื่นต้องถ่ายน้ำมันจำนวนมากออกจากเครื่องบินเพื่อจะสามารถเอาเครื่องลงได้. เจ้าหน้าที่ประจำเครื่องร้องออกมาว่า “ถ้าคุณต้องการอธิษฐาน จงทำเดี๋ยวนี้เลย.” เราได้อธิษฐานจริง ๆ หากเป็นน้ำพระทัยของพระยะโฮวา เราอาจจะร่อนลงอย่างปลอดภัย และก็เป็นเช่นนั้น. จริงทีเดียว เรามีบางสิ่งที่ต้องขอบพระคุณ!
ใช่แล้ว และดิฉันมีอีกหลายสิ่งที่ต้องขอบพระคุณ. ด้วยอายุ 79 ปี ดิฉันยังมีเรี่ยวแรงและสุขภาพดีอยู่ ซึ่งดิฉันใช้เพื่องานรับใช้เต็มเวลา. ยิ่งกว่านั้น นอกเหนือจากพระพรมากมายซึ่งพลไพร่ของพระยะโฮวาทุกคนได้รับอยู่เสมอแล้ว ดิฉันยังมีประสบการณ์ที่เด่น ๆ อีกหลายอย่าง. กล่าวโดยรวมแล้ว นับเป็นสิ่งที่มีค่าอย่างยิ่งสำหรับดิฉันที่ได้รับใช้พระยะโฮวามานานกว่า 60 ปี และมากกว่าครึ่งของช่วงเวลานั้นดิฉันเป็นผู้รับใช้เต็มเวลา หรือไพโอเนียร์.
ทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากคุณพ่อตอนที่เราอยู่ที่เมืองคาร์บอนเดล มลรัฐอิลลินอยส์. ท่านสมทบกับนิกายสาวกของพระคริสต์และท่านสนใจอยากจะเป็นนักเทศน์. อย่างไรก็ดี ประสบการณ์ของท่านจากการศึกษาวิทยาลัยทางศาสนาสองแห่งทำให้ท่านหมดศรัทธา เนื่องจากท่านมีความเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับเรื่องตรีเอกานุภาพ จิตวิญญาณอมตะ และการทรมานตลอดไป.
ในที่สุด ท่านพอใจกับความจริงที่มาจากคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งนำมาโดยผู้เผยแพร่นักศึกษาพระคัมภีร์ในปี 1924 เวลานั้นดิฉันเพิ่งจะอายุ 12 ปี. คุณพ่อของดิฉันยินดีที่รู้ว่ามีคนอื่น ๆ อีกที่รู้สึกเช่นเดียวกับท่าน ในเรื่องตรีเอกานุภาพ ไฟนรก และเรื่องจิตวิญญาณมนุษย์เป็นอมตะว่าเป็นคำสอนเท็จ. ไม่นานครอบครัวของเราก็ประชุมเป็นประจำกับนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งเป็นชื่อเรียกพยานพระยะโฮวาในเวลานั้น. การเรียนรู้ความจริงเรื่องพระยะโฮวาและพระวจนะของพระองค์เป็นสิ่งหนึ่งที่ดิฉันรู้สึกขอบพระคุณจริง ๆ.
อย่างไรก็ดี ต่อมาไม่นานเกิดเหตุการณ์ยุ่งยาก. ผู้ชายซึ่งนำความจริงเหล่านี้มาให้คุณพ่อของดิฉัน กลับกลายเป็นคนที่ผิดศีลธรรมและไม่ซื่อสัตย์. เขาทำให้คุณพ่อสะดุด แต่ดิฉันกับคุณแม่ไม่สะดุด. ตอนนั้นดิฉันอายุ 15 ปี เป็นคนโตในจำนวนพี่น้องหกคน และพร้อมกับคุณแม่ดิฉันยึดมั่นกับความจริง.
ในฤดูร้อนของปี 1927 มีคำประกาศว่าการประชุมใหญ่ของนักศึกษาพระคัมภีร์จะจัดขึ้นที่เมืองโตรอนโตประเทศแคนาดา. คุณพ่อบอกว่าเขาไม่สามารถจะไปได้ แต่คุณแม่เป็นผู้หญิงที่มีความมุ่งมั่น. ท่านเริ่มขายเครื่องใช้ในบ้านหลายอย่าง และพอถึงเวลาการประชุม ท่านสะสมเงินได้ 200 บาท. ด้วยเงินจำนวนนั้นคุณแม่กับดิฉันเริ่มต้นเดินทางโดยโบกรถไปโตรอนโต ไกลออกไป 1,600 กิโลเมตร. ใช้เวลาถึงห้าวันและขอโดยสารรถ 37 คันก่อนที่เราจะมาถึงในที่สุด เราไปถึงที่นั่นวันหนึ่งก่อนการประชุมเริ่มต้น. เนื่องจากเงินสะสมของเรามีอยู่เล็กน้อย เราจึงขอที่พักที่ไม่ต้องเสียเงินและก็ได้รับ. เมื่อบราเดอรเอ. เอ็ช. แมคมิลลัน ได้ยินเกี่ยวกับการเดินทางของเรา เขาเขียนเรื่องนี้ลงในหนังสือพิมพ์เพื่อแถลงข่าวการประชุมภาคใต้หัวข้อ: “ไม่ว่าค่าโดยสารรถไฟจะขึ้นเท่าไร นักศึกษาพระคัมภีร์เหล่านี้ไม่วิตก.”
คุณแม่ส่งข่าวคราวถึงคุณพ่อด้วยไปรษณียบัตร. ผลที่สุด ในนาทีสุดท้าย คุณพ่อตัดสินใจเดินทางมาและมาถึงโดยรถยนต์ทันเวลาคำบรรยายสาธารณะในวันสุดท้ายของการประชุมพอดี. ตอนนี้ไม่มีความจำเป็นที่เราจะโบกรถกลับบ้าน. การประชุมช่างวิเศษอะไรเช่นนี้! ดิฉันรู้สึกขอบพระคุณสักเพียงไรที่เราสามารถเข้าร่วมประชุมได้ และดิฉันตื้นตันใจอย่างยิ่งที่การประชุมนี้ช่วยคุณพ่อให้ฟื้นสู่สภาพความสมดุลฝ่ายวิญญาณอีก.
เป็นเวลาหลายปีเมื่อดิฉันถูกถามว่านับถือศาสนาอะไร ดิฉันตอบว่า “ไอบีเอสเอ” เป็นอักษรแทนคำว่ากลุ่มนักศึกษาพระคัมภีร์นานาชาติ. แต่บ่อยครั้งที่ดิฉันรู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับชื่อเรียกนี้. ด้วยเหตุนั้น ดิฉันรู้สึกขอบคุณยิ่ง เมื่อคราวการประชุมภาคปี 1931 ที่โคลัมบัส รัฐโอไฮโอ เรารับเอาชื่อใหม่เป็นพยานพระยะโฮวา.
อาชีพครูของฉัน
ในบรรดาพระพรมากมายซึ่งทำให้ชีวิตของดิฉันมีความหมายคือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับดนตรี. ดิฉันชอบดนตรีมากและเรียนเปียโนตั้งแต่เล็ก ๆ. เป็นเวลาหลายปีที่ดิฉันมีสิทธิพิเศษในการเล่นดนตรีคลอในการร้องเพลงของประชาคม. ก่อนที่สมาคมวอชเทาเวอร์จะทำแผ่นเสียงเพลงราชอาณาจักร มิชชันนารีคนหนึ่งซึ่งรับใช้อยู่ในปาปัวนิวกินี ขอให้ดิฉันบันทึกเสียงเพลงของเราหลายเพลงเพื่อว่าพี่น้องที่ปาปัวนิวกินี สามารถฝึกร้องเพลงเหล่านั้นได้. นั่นเป็นสิ่งที่ดิฉันยินดีจริง ๆ ที่ได้ทำ.
อย่างไรก็ดี เครื่องดนตรีที่ดิฉันชอบที่สุดคือปี่แคลริเนท. ดิฉันชอบเล่นเครื่องดนตรีนี้ในวงดนตรีของวิทยาลัย. ศาสตราจารย์ในวิทยาลัยชื่นชอบการเล่นดนตรีของดิฉันมากถึงกับขอให้ดิฉันร่วมเล่นในวงดนตรีผู้ชายด้วย. ในยุคโน้นไม่มีผู้หญิงคนไหนได้ร่วมวงกับผู้ชาย ดังนั้น พอสมาชิกของวงได้ยินเรื่องข้อเสนอของศาสตราจารย์ พวกเขาวางแผนสไตรค์. พวกเขาเปลี่ยนใจเมื่อได้ทราบว่าหากพวกเขานัดกันหยุด เขาจะถูกไล่ออกจากวง. ธรรมเนียมอีกอย่างหนึ่งถูกเลิกไปเมื่อดิฉันถูกขอร้องให้ร่วมขบวนวงดุริยางค์ซึ่งบรรเลงตลอดวัน. หนังสือพิมพ์ลงเรื่องนี้เป็นข่าวครึกโครมและรายงานเรื่องนี้ด้วยการพาดหัวข่าวด้วยตัวพิมพ์หนาว่า “นักดนตรีหญิงท่ามกลางผู้ชายมากมาย.”
ในที่สุด ดิฉันเข้าสัมภาษณ์เพื่อเป็นศาสตราจารย์ทางดนตรี. อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ ทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นหากดิฉันเป็นครูสอนดนตรี อย่างเช่น ตอนถูกขอให้บรรเลงหรือสอนเพลงด้านศาสนาหรือดนตรีที่แสดงความเป็นชาตินิยม ดิฉันตัดสินใจที่จะทำงานอื่นและได้รับการมอบหมายให้สอนประวัติศาสตร์โลก. การเปลี่ยนแปลงในครั้งนั้นไม่ได้กีดกั้นดิฉันจากการเป่าแคลริเนทหลายปีต่อมาในวงออร์เคสตราของการประชุมภาคในหลายประเทศเมื่อดิฉันเดินทางร่วมการประชุมนานาชาติของพยานพระยะโฮวา.
ต่อมา ดิฉันเป็นครูสอนประวัติศาสตร์โลกในโรงเรียนมัธยมปลายขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่ชานเมืองดีทรอยท์ และในฐานะดังกล่าว ครูใหญ่ขอให้ดิฉันคัดเลือกตำราต่าง ๆ ออกมาเล่มหนึ่ง. เมื่อตรวจสอบหนังสือเหล่านี้ ดิฉันรู้สึกตกใจเนื่องจากตามจริงแล้วตำราที่ใช้กันอยู่เอ่ยพระนามพระยะโฮวาถึงแปดครั้ง ขณะที่ตำราใหม่ตัดพระนามพระเจ้าของชาวฮีบรูทิ้งไปทั้งที่เขาเอ่ยชื่อพระเจ้าต่าง ๆ ของชนนอกรีต เช่น รา โมเล็ก ซูส และจูปิเตอร์. เมื่อคนขายหนังสือมาหา ดิฉันถามเขาว่าทำไมยะโฮวาจึงไม่มีการกล่าวถึงในตำราของเขา เขาพูดว่า “ไม่ได้ เราจะไม่ใส่ชื่อนั้นในตำราของเราเพราะพวกพยานพระยะโฮวา.” ดังนั้น ดิฉันบอกเขาว่า “ถ้าอย่างนั้น ฉันก็จะไม่แนะนำให้ใช้ตำราของพวกคุณ.” เขากระแทกหนังสือลงกระเป๋าอย่างแรงและออกจากประตูทันที.
ต่อมา ดิฉันรายงานให้ครูใหญ่ทราบว่าเราไม่มีความจำเป็นจริง ๆ ที่จะมีตำราใหม่และได้ให้เหตุผลที่ดีหลายประการ. เขาเห็นด้วยกับดิฉัน. ทุก ๆ คนยินดีกับการตัดสินใจครั้งนั้น เมื่อไม่กี่เดือนต่อมา มีการเลิกสอนวิชาประวัติศาสตร์โลกในหลักสูตรมัธยมปลาย. วิชาใหม่ ใช้ชื่อว่าสังคมศึกษา มาแทนวิชาเดิมซึ่งใช้สอนในโรงเรียนในเครือทั้ง 14 แห่งด้วย. หากโรงเรียนซื้อตำราประวัติศาสตร์ชุดใหม่ ช่างจะนำมาซึ่งการสูญเปล่าสักเพียงไร!
ดิฉันมีประสบการณ์ดี ๆ หลายเรื่องจากการสอนในโรงเรียนและเป็นครูที่เข้มงวดคนหนึ่ง. ผลจากสิ่งนี้ทำให้มีมิตรภาพอันยาวนานกับหลายคน. นอกจากนั้น ดิฉันมีโอกาสมากมายที่จะให้คำพยานอย่างไม่เป็นทางการ. แต่ในที่สุด เวลาบวกกับสภาพแวดล้อมทำให้ดิฉันเข้าสู่งานรับใช้เต็มเวลาได้.
การประชุมนานาชาติ
หลังจากสอนหนังสือเป็นเวลา 20 ปี สายตาของดิฉันเริ่มแย่ลง. นอกจากนั้น คุณพ่อคุณแม่รู้สึกต้องการดิฉัน ดังนั้น คุณพ่อจึงขอให้ดิฉันกลับบ้าน และกล่าวว่ามีงานสอนที่สำคัญกว่าซึ่งต้องทำให้เสร็จ และพระยะโฮวาคงจะเอาพระทัยใส่เพื่อดิฉันจะไม่อด. ดิฉันลาออกจากการสอนหนังสือในปี 1955 และพระพรประการแรกหลังจากนั้นคือการเข้าร่วมชุดการประชุมภาคเรื่อง “ราชอาณาจักรที่มีชัย” ในยุโรป. ช่างเป็นพระคุณสักเพียงไรที่ดิฉันอยู่กับพี่น้องในยุโรป ซึ่งหลายคนในพวกเขาประสบกับความทุกข์ทรมานอย่างยิ่งระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง! นับเป็นพระพรยิ่งเป็นพิเศษที่ได้อยู่ท่ามกลางพี่น้อง 107,000 คนที่รวมกันอยู่ที่ เซปเปลินวีเซ หรือเซปเปลินเมดโดว์ในนูเรมเบิร์กอันเป็นที่ซึ่งฮิตเลอร์วางแผนจะฉลองชัยชนะของเขาหลังสงครามโลกครั้งที่สอง.
ครั้งนั้นเป็นการเดินทางรอบโลกครั้งแรกในหลาย ๆ ครั้งซึ่งดิฉันถือเป็นสิทธิพิเศษที่ได้ไป. ในปี 1963 คุณแม่กับดิฉันอยู่ในกลุ่ม 583 คนซึ่งเดินทางรอบโลกเพื่อเข้าร่วมประชุมภาคภายใต้อรรถบทว่า “ข่าวดีนิรันดร.” การเดินทางเริ่มจากนิวยอร์กไปยุโรป จากนั้นไปยังเอเชียและเกาะต่าง ๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิกก่อนจะสิ้นสุดการเดินทางที่พาซาเดนา แคลิฟอร์เนียร์. ระหว่างการเดินทางคราวนี้เองที่เราประสบกับเหตุการณ์ที่น่าหวาดเสียวดังที่กล่าวไว้ตอนต้น. การเดินทางต่อมาพาเราไปประชุมที่อเมริกาใต้ แปซิฟิคใต้และแอฟริกา. จริงทีเดียว การเดินทางเหล่านี้เพิ่มกำไรในชีวิตให้แก่ดิฉัน และการที่สามารถร่วมในวงออร์เคสตราการประชุมภาคในหลาย ๆ ดินแดนเหล่านี้ถือเป็นของแถมพกสำหรับผู้ที่มีความรักในเสียงดนตรี.
เข้าสู่งานไพโอเนียร์
ในปี 1955 ภายหลังกลับจากยุโรป ดิฉันร่วมงานไพโอเนียร์กับคุณแม่เป็นเวลาหนึ่งปี และต่อมาสมาคมขอให้ดิฉันทำงานร่วมกับประชาคมเล็ก ๆ ที่อะพาลาชิโคลาในฟลอริดาตะวันตก. ดิฉันกับพี่น้องหญิงอีกคนหนึ่งช่วยงานที่นั่นนานเจ็ดปี และไม่นานประชาคมก็สามารถสร้างหอประชุมเพื่อรองรับจำนวนผู้เข้าร่วมที่มากขึ้น. ความก้าวหน้ายังมีอย่างต่อเนื่องและต่อมาไม่นานมีการตั้งประชาคมอีกแห่งหนึ่งที่พอร์ตเซนต์โจ. ดิฉันใช้เวลา 11 ปีทำงานร่วมกับสามประชาคมในฟลอริดาตะวันตก.
คราวหนึ่งผู้ดูแลหมวดมอบหมายให้ดิฉันหาสถานที่สำหรับการประชุมหมวด. ดิฉันสามารถหาอาคารที่มีชื่อซึ่งสร้างขึ้นเมื่อครบรอบร้อยปีในเมืองพอร์ตเซนต์โจ ด้วยค่าเช่าเพียง 250 บาท. แต่เรายังต้องการโรงอาหาร และเราคิดถึงการใช้สถานที่ในโรงเรียน. อย่างไรก็ดี ปรากฏว่าผู้อำนวยการโรงเรียนคัดค้าน และเขาบอกว่าดิฉันจะต้องพบกับคณะกรรมการของโรงเรียน. ท่านนายกเทศมนตรีได้มายังการประชุมนั้นด้วย เพราะเขาต้องการให้เราได้ใช้โรงอาหารนั้น. เมื่อเขาถามว่ามีอะไรเป็นอุปสรรคไม่ให้พวกเราใช้โรงอาหารนั้น ประธานคณะกรรมการของโรงเรียนกล่าวว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยมีการใช้สถานที่ต่าง ๆ ของโรงเรียนในการประชุมทางศาสนา. ท่านนายกเทศมนตรีหันหน้ามาทางดิฉันเพื่อจะได้คำตอบ. เอาล่ะ ดิฉันมีใบเชิญมากมายที่แสดงว่าเราได้ใช้อาคารต่าง ๆ ของโรงเรียนสำหรับการประชุมของเราในเมืองอื่น ๆ จากนั้นดิฉันชี้ไปที่กิจการ 19:9 ซึ่งกล่าวถึงอัครสาวกเปาโลได้เทศนาประกาศในหอประชุมของโรงเรียน. สิ่งนั้นทำให้เรื่องนี้ลงเอยได้. คณะกรรมการเห็นชอบตามนายกเทศมนตรีที่จะอนุญาตให้เราใช้โรงอาหารของโรงเรียน—เสียค่าใช้จ่ายเพียง 900 บาท.
เมื่อดิฉันอายุได้ 13 ปี ซึ่งเป็นตอนที่ดิฉันรับบัพติสมา ดิฉันอธิษฐานว่า “โอ พระเจ้า ขอโปรดให้ดิฉันได้นำสักหนึ่ง คนเข้ามาในความจริง.” บัดนี้คำอธิษฐานนั้นได้รับคำตอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อพระเจ้าทรงอวยพรดิฉันในการช่วยคนจำนวนไม่น้อยให้ยืนหยัดต่อพระยะโฮวาและราชอาณาจักรของพระองค์. อย่างไรก็ตาม บ่อยครั้ง ก่อนที่นักศึกษาจะถึงขั้นอุทิศตัวและรับบัพติสมา ดิฉันถูกมอบหมายให้ไปอยู่อีกประชาคมหนึ่ง. กระนั้น ดิฉันได้สิทธิพิเศษในการปลูกและรดน้ำ และนักศึกษาพระคัมภีร์เหล่านี้หลายคนได้แสดงให้เห็นความเป็นเพื่อนแท้กันมาตลอดชีวิต. การมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เกิดผลเช่นนั้นทำให้ดิฉันมีเหตุผลมากมายจริง ๆ ที่จะขอบพระคุณ.
สื่อมวลชนช่วย
ในระหว่างที่หลายครั้งหลายหนสื่อมวลชนในที่ต่าง ๆ ลงข่าวไม่พอใจกิจกรรมของพยานพระยะโฮวา ดิฉันดีใจที่บอกได้ว่าสื่อมวลชนในแถบเดอแลนด์ ฟลอริดา—ที่ซึ่งดิฉันรับใช้อยู่ขณะนี้—ได้ช่วยดิฉันในการให้คำพยาน. อย่างเช่นช่วงหนึ่งของการเดินทางไปประชุมภาคทั่วโลก ดิฉันและคุณแม่ส่งโทรเลขค่อนข้างยาวไปยังหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น และเรื่องนี้ก็ได้รับการตีพิมพ์พร้อมกับภาพต่าง ๆ ทันที. ข่าวนี้เป็นลักษณะรายงานการท่องเที่ยว แต่เรามักจะใช้ข่าวนี้ในการให้คำพยานเรื่องพระนามและราชอาณาจักรของพระยะโฮวาเสมอ.
เรื่องทำนองเดียวกันเกิดขึ้นอีกในงานประกาศตามท้องถนนของดิฉัน. ดิฉันจะอยู่ที่หัวมุมถนนพร้อมกับเก้าอี้บุกำมะหยี่สองตัว ตัวหนึ่งเอาไว้นั่ง อีกตัวหนึ่งใช้ตั้งโชว์สรรพหนังสือของเรา. ครั้งหนึ่ง มีการลงบทความขนาดครึ่งหน้าพร้อมกับภาพปรากฏในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นภายใต้หัวข้อที่ว่า “ลอตตีแห่งเดอแลนด์ดำเนินงานของพ่อแม่ต่อในฐานะพยาน.” เมื่อเร็ว ๆ นี้ ในปี 1987 หนังสือพิมพ์อีกฉบับหนึ่งลงบทความยาวครึ่งหน้าพร้อมกับภาพสีขนาดใหญ่ภายใต้หัวข้อว่า “ลอตตี ฮอลล์มีมุมที่เป็นอาณาบริเวณของเธอในการประกาศเรื่องพระคริสต์.” ปีต่อมาหนังสือพิมพ์อีกฉบับหนึ่งลงภาพดิฉันในหน้าแรกของหนังสือพิมพ์พร้อมกับหมายเหตุเรื่องดังกล่าวว่า “เธอจะอยู่ที่นั่นเสมอ” และ “นั่งบนเก้าอี้บุกำมะหยี่ ครูที่เกษียณแล้วใช้สถานที่ของเธอที่หัวมุมถนนเพื่อทำงานเผยแพร่ของพยานพระยะโฮวา.” นอกจากนั้น สถานีโทรทัศน์ของท้องถิ่นได้เสนอเรื่องราวเกี่ยวกับงานประกาศของดิฉันถึงสี่ครั้ง. ดิฉันยังเข้าส่วนต่อ ๆ ไปตามขีดที่ทำได้ในทุกลักษณะงานของการรับใช้ เช่น การประกาศตามบ้าน การกลับเยี่ยมเยียน และการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลตามบ้าน. อย่างไรก็ดี เนื่องจากอายุมากขึ้นและกำลังที่เสื่อมถอยลง ตอนนี้ดิฉันจึงใช้เวลามากในงานตามท้องถนน.
เมื่อหวนระลึกถึงอดีต ดิฉันต้องกล่าวว่าตัวเองมีเหตุผลมากมายจริง ๆ ที่ต้องแสดงความขอบคุณ. นอกเหนือจากพระพรต่าง ๆ ที่พยานฯทุกคนมักจะได้รับ ดิฉันในฐานะที่เป็นครูมีสิทธิพิเศษในการโน้มนำเยาวชนจำนวนมาก ดิฉันประสบความยินดีที่ได้เข้าร่วมการประชุมภาคตลอดทั่วโลกหลายครั้ง งานรับใช้ไพโอเนียร์ของฉันเกิดผลมากมาย และดิฉันยังได้รับพระพรเกี่ยวเนื่องกับดนตรีอีกด้วย. นอกจากนี้ ดิฉันยังสามารถทำงานประกาศนี้โดยผ่านทางสื่อมวลชนอีก. แท้จริง ดิฉันสามารถกล่าวได้เช่นเดียวกับท่านดาวิดผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญที่ว่า “ข้าพเจ้าจะร้องเพลงถวายสรรเสริญพระนามของพระองค์เจ้า และจะยกย่องพระองค์โดยขอบพระเดชพระคุณ.”—บทเพลงสรรเสริญ 69:30.
[รูปภาพของ ลอตตี ฮอลล์ หน้า 10]