พระยะโฮวาทรงเปลี่ยนกาลและฤดูใน—โรมาเนีย
กระแสลมแห่งการเปลี่ยนแปลงได้พัดผ่านยุโรปตะวันออกในปี 1989. ในเวลาไม่กี่เดือน รัฐบาลซึ่งครั้งหนึ่งเคยยืนตระหง่านราวกับป้อมปราการที่ไม่อาจพิชิตได้ก็ล้มลงเหมือนโดมิโน. พร้อม ๆ กับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองก็คือ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม, เศรษฐกิจ, และที่พยานพระยะโฮวาสนใจมากที่สุดก็คือ การเปลี่ยนแปลงทางศาสนา. ในประเทศแล้วประเทศเล่า พยานพระยะโฮวาได้รับการรับรอง และได้รับเสรีภาพในการดำเนินงานทางศาสนากลับคืนมา.
แต่ปรากฏว่าสิ่งต่าง ๆ จะไม่เป็นเช่นนั้นในโรมาเนีย. รัฐบาลกุมประชาชนไว้แน่น จนดูเหมือนว่ากระแสลมแห่งการเปลี่ยนแปลงไม่ค่อยจะมีผลกระทบเท่าไรนัก. เมื่อพยานพระยะโฮวาที่นั่นได้ยินถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศต่าง ๆ ในยุโรปตะวันออก พวกเขาถามตนเองว่า “พวกเราจะได้เสรีภาพในการนมัสการก่อนอาร์มาเก็ดดอนไหม?” หัวใจของพวกเขาร่ำหาสมัยที่พวกเขาจะสามารถชุมนุมกัน ณ การประชุมคริสเตียนกับพี่น้องชายหญิงฝ่ายวิญญาณ, ประกาศข่าวดีต่อสาธารณชน, และศึกษาคู่มือพระคัมภีร์อย่างเปิดเผย, โดยไม่ต้องปิดซ่อนหนังสือเหล่านั้นตลอดเวลา. ทั้งหมดนี้ดูเหมือนเป็นเพียงความฝัน.
แต่แล้วความฝันก็กลายเป็นจริง! สิ่งนี้เกิดขึ้นในเดือนธันวาคม ปี 1989. ยังความประหลาดใจแก่ทุกคน ระบบการปกครองของเชาเชสคูถูกโค่นล้มอย่างกะทันหัน. คริสเตียนเหล่านั้นได้รับการปลดปล่อยอย่างฉับพลัน. ในวันที่ 9 เมษายน 1990 พยานพระยะโฮวาเป็นที่ยอมรับถูกต้องตามกฎหมาย ในฐานะองค์การทางศาสนาในโรมาเนีย. พระยะโฮวาทรงเปลี่ยนกาลและฤดูสำหรับพยานฯที่ขันแข็ง 17,000 คนที่นั่น.—เทียบกับดานิเอล 2:21.
ประวัติอันยาวนาน
ในปี 1911 คารอล ซาโบและโยซิฟ คิสส์กลับไปยังโรมาเนียจากสหรัฐซึ่งเขาทั้งสองได้เรียนรู้ความจริงในคัมภีร์ไบเบิลที่นั่นและได้อุทิศชีวิตของเขาทั้งสองแด่พระยะโฮวาเพื่อทำตามพระทัยประสงค์ของพระองค์. เขาทั้งสองต้องการแบ่งปันข่าวดีกับเพื่อนร่วมชาติ. เมื่ออยู่ในโรมาเนีย ทั้งสองคนเริ่มประกาศทันที. เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขาทั้งสองถูกจับเนื่องจากสิ่งที่ทำอยู่. กระนั้น เมล็ดแห่งราชอาณาจักรที่เขาทั้งสองหว่านไว้ก็เริ่มออกผล. พอถึงปี 1920 เมื่อการงานได้รับการจัดให้เป็นระเบียบขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ก็มีผู้ประกาศราชอาณาจักรประมาณ 1,800 คนในโรมาเนีย.
ในเวลานั้น น้ำใจแห่งการปฏิวัติซึ่งแผ่ไปในประเทศต่าง ๆ ในคาบสมุทรบอลข่านนั้นนับวันจะมีมากขึ้นในโรมาเนีย และการจลาจลมีอยู่ทั่วไป. แม้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก พี่น้องฝ่ายวิญญาณของเรายังคงทำงานต่อไป. ในปี 1924 สมาคมว็อชเทาเวอร์เปิดสำนักงานแห่งหนึ่งขึ้นที่บ้านเลขที่ 26 ถนนเรยีนา มารีอา ในคลูจ-นาโพคา เพื่อดูแลงานในโรมาเนีย, ฮังการี, บัลแกเรีย, ยูโกสลาเวีย, และอัลแบเนีย.
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ทางการเมืองตึงเครียดมาก และนอกจากความยุ่งยากจากทางเจ้าหน้าที่บ้านเมืองแล้ว ยังมีความยุ่งยากภายในองค์การด้วย. หนังสือประจำปี 1930 รายงานว่า “เนื่องจากความไม่สัตย์ซื่อของผู้หนึ่งที่สมาคมส่งไปที่นั่น พี่น้องกระเจิดกระเจิงและความเชื่อมั่นของพวกเขาสั่นคลอนมาก. สมาคมฯมองหาโอกาสที่จะฟื้นฟูงานในดินแดนนั้นอีกครั้งหนึ่ง แต่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นสั่งห้ามทุกอย่าง และเราต้องคอยจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเปิดทางที่เอื้ออำนวยกว่านี้.” และแล้วในปี 1930 มาร์ติน มาจาโรชี พยานฯชาวโรมาเนียซึ่งรับบัพติสมาในปี 1922 ถูกแต่งตั้งเป็นผู้รับใช้สาขาคนใหม่ และในเวลาต่อมา ได้ย้ายสำนักงานไปที่บ้านเลขที่ 33 ถนนคริชานา เมืองบูคาเรสต์. หลังจากที่พยายามอยู่นาน ในที่สุด สมาคมได้รับการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายในโรมาเนียในปี 1933.
ความยากลำบากดำเนินต่อไป
การทดลองอย่างหนักหน่วงยังคงเกิดขึ้นกับพวกพยานฯในโรมาเนียอยู่ต่อ ๆ ไป. หนังสือประจำปี 1936 รายงานว่า “ไม่ต้องสงสัย ไม่มีส่วนใดของโลกที่พี่น้องทำงานด้วยความยากลำบากยิ่งไปกว่าในรูมาเนีย.” แม้มีสภาพการณ์ที่ยากลำบาก รายงานการรับใช้ปี 1937 ได้กล่าวถึง 75 ประชาคมโดยมีผู้ประกาศ 856 คนในโรมาเนีย. มี 2,608 คนเข้าร่วมการประชุมอนุสรณ์.
ขณะที่สงครามโลกครั้งที่สองกำลังดำเนินอยู่ ใช่ว่าโรมาเนียจะไม่ถูกกระทบกระเทือน. ในเดือนกันยายน ปี 1940 นายพลยอน แอนโตเนสคูยึดอำนาจในรัฐบาล และเริ่มการปกครองคล้ายคลึงกับของฮิตเลอร์. การกระทำทารุณเป็นสิ่งปกติธรรมดา. พี่น้องของเรานับร้อยคนถูกจับ, ถูกโบยตี, และถูกทรมาน. บราเดอร์มาจาโรชีถูกจับในเดือนกันยายน ปี 1942 แต่เขายังสามารถประสานงานสำหรับแถบทรานซิลวาเนียจากในเรือนจำได้.
การกดขี่ข่มเหงดำเนินต่อไปเมื่อกองทัพของฮิตเลอร์เคลื่อนเข้ามาในประเทศในปี 1944. มีรายงานจากเมืองบูคาเรสต์พรรณนาสภาพการณ์ภายใต้การปกครองของนาซีว่า “พยานพระยะโฮวาในประเทศนี้ถูกกดขี่ข่มเหงอย่างทารุณ. พี่น้องของเราหลายคนซึ่งถูกจองจำอยู่ด้วยกันกับพวกคอมมิวนิสต์ ถูกพวกนักเทศน์นักบวชซึ่งสนับสนุนฮิตเลอร์กล่าวหาว่าเลวร้ายยิ่งกว่าพวกคอมมิวนิสต์ ถูกตัดสินจำคุก 25 ปี, หรือตลอดชีวิต, หรือไม่ก็ถูกตัดสินประหารชีวิต.”
ในที่สุด สงครามสิ้นสุดลง และในวันที่ 1 มิถุนายน 1945 สำนักงานของสมาคมในบูคาเรสต์ก็เริ่มปฏิบัติงานอีกครั้งหนึ่ง. แม้ว่ากระดาษจะหายาก แต่พี่น้องที่เสียสละพิมพ์หนังสือเล่มเล็กได้กว่า 860,000 เล่มและวารสารหอสังเกตการณ์ กว่า 85,000 เล่มเป็นภาษาโรมาเนียและฮังการี. พระยะโฮวาทรงอวยพระพรงานที่ยากลำบากของพวกเขาอย่างอุดม. พอถึงปี 1946 มีคนใหม่ราว 1,630 คนรับบัพติสมา. จุดเด่นของปีนั้นก็คือการประชุมภาคซึ่งจัดขึ้นในบูคาเรสต์ในวันที่ 28 และ 29 กันยายน. พวกนักเทศน์นักบวชพยายามถึงที่สุดที่จะขัดขวางและหยุดการประชุมภาคนี้ให้ได้ แต่ไม่สำเร็จ และมีผู้เข้าฟังคำบรรยายสาธารณะประมาณ 15,000 คน. นับเป็นครั้งแรกที่พี่น้องในโรมาเนียสามารถมีการประชุมภาคเช่นนั้นได้.
สมาคมฯส่งบราเดอร์อัลเฟรด รือติมานน์จากสาขาประเทศสวิตเซอร์แลนด์ไปยังโรมาเนีย. ในเดือนสิงหาคม 1947 เขาสามารถให้คำบรรยายแก่พี่น้องกว่า 4,500 คนในสถานที่ต่าง ๆ 16 แห่ง ซึ่งเป็นการเสริมสร้างพวกเขาสำหรับสิ่งที่รออยู่ข้างหน้า. ในไม่ช้า ก็มีความกดดันต่าง ๆ เกิดขึ้นกับพวกพยานฯอีก คราวนี้จากระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์. ในเดือนกุมภาพันธ์ 1948 เจ้าหน้าที่สั่งห้ามงานพิมพ์และงานประกาศของเรา. จากนั้น ในเดือนสิงหาคม 1949 สำนักงานที่บ้านเลขที่ 38 ถนนอาลยอนถูกตรวจค้น. ยังผลให้พี่น้องหลายคน รวมทั้งบราเดอร์มาจาโรชี ถูกจับ. คราวนี้ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกจักรวรรดินิยม พวกเขาจึงถูกส่งไปยังเรือนจำหรือค่ายแรงงาน. ตลอด 40 ปีหลังจากนั้น งานถูกสั่งห้าม และพยานพระยะโฮวาประสบความยากลำบากมาก. ความยุ่งยากที่เกิดจากศัตรูยุยงภายในองค์การยิ่งเพิ่มความทุกข์มากขึ้น. ในที่สุด อำนาจการปกครองของเชาเชสคูถูกโค่นล้มในปี 1989 และพวกเขาเป็นอิสระ! ตอนนี้พวกเขาจะทำอย่างไรกับเสรีภาพ?
ประกาศอย่างเปิดเผยอีกครั้งหนึ่ง
พวกพยานฯไม่ปล่อยเวลาให้เสียไป. พวกเขาเริ่มต้นประกาศตามบ้านทันที. แต่สิ่งนี้ไม่ง่ายสำหรับผู้ที่ทำงานใต้ดินอย่างกล้าหาญด้วยการให้คำพยานอย่างไม่เป็นทางการมาเป็นเวลาหลายปี. ตอนนี้พวกเขารู้สึกประหม่าที่สามารถประกาศอย่างเปิดเผยได้. ส่วนใหญ่แล้วไม่เคยทำเช่นนี้มาก่อน และครั้งหลังสุดที่พวกเขาบางคนเคยประกาศตามบ้านก็คือในปลายทศวรรษของช่วงปี 1940. พวกเขาบังเกิดผลชนิดใด? ขอให้เรามาดูกัน.
ที่ที่เหมาะในการเริ่มต้นก็คือในเมืองหลวงบูคาเรสต์ซึ่งมีประชากร 2.5 ล้านคน. สองปีก่อน มีเพียงสี่ประชาคมในเมืองนี้. เวลานี้ มีสิบประชาคม และกว่า 2,100 คนมายังการประชุมอนุสรณ์ปี 1992. เนื่องจากมีรายศึกษาพระคัมภีร์ตามบ้านที่ก้าวหน้าหลายราย อาจมีการก่อตั้งประชาคมใหม่ ๆ ขึ้นบางแห่งในเร็ว ๆ นี้.
คราโยวาเป็นเมืองที่มีประชากรประมาณ 300,000 คน อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ. จวบจนกระทั่งปี 1990 ทั้งเมืองมีพยานฯเพียงประมาณ 80 คน. และแล้วน้ำใจไพโอเนียร์เริ่มมีขึ้น การงานจึงรุดหน้าไป. ในปี 1992 เพียงปีเดียว มี 74 คนรับบัพติสมาและมีการนำการศึกษากว่า 150 ราย. เนื่องจากมีผู้ประกาศกว่า 200 คน พวกเขาจึงกำลังมองหาสถานที่ที่เหมาะจะเป็นหอประชุมราชอาณาจักรอย่างกระตือรือร้น.
ในเทียกู-มูเรช พี่น้องพยานฯหญิงคนหนึ่งกับพี่น้องชายสองคนไปหาบาทหลวงออร์โทด็อกซ์ เพื่อให้เขาลบชื่อของเธอออกจากรายชื่อสมาชิกของคริสต์จักร. เมื่อได้ทราบจุดประสงค์ บาทหลวงจึงเชิญพวกเขาเข้ามา และได้สนทนากันเป็นอย่างดี. แล้วบาทหลวงก็บอกว่า “ผมอิจฉาพวกคุณ แต่ไม่ได้ริษยานะ. เราน่าจะทำในสิ่งพวกคุณกำลังทำอยู่. น่าเสียดายที่คริสต์จักรออร์โทด็อกซ์เป็นยักษ์ที่กำลังหลับ”! เขารับจุลสารคุณควรเชื่อในตรีเอกานุภาพไหม? และวารสารหอสังเกตการณ์ หนึ่งเล่ม. พี่น้องหญิงคนนั้นดีใจที่เธอไม่ได้สังกัดอยู่ใน “ยักษ์ที่กำลังหลับ” อีกต่อไป.—วิวรณ์ 18:4.
เป็นที่น่าสังเกตว่าคนส่วนใหญ่ที่กำลังเรียนรู้ความจริงในทุกวันนี้เป็นคนหนุ่มสาว. เพราะเหตุใด? เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคาดหวังมากจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่แล้วผิดหวัง. พวกเขายินดีที่ได้เรียนรู้ว่ามีเพียงราชอาณาจักรของพระยะโฮวาเท่านั้นที่สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของเราได้อย่างถาวร.—บทเพลงสรรเสริญ 146:3-5.
สิ่งใหญ่โตเกิดขึ้นในที่เล็ก ๆ
โอโคลีชเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ทางตอนเหนือของโรมาเนีย. ในปี 1920 ชายคนหนึ่งชื่อพินเทอา มอยเซ กลับจากแนวรบในรัสเซียซึ่งเป็นที่ที่เขาถูกจับไปเป็นเชลยศึก. เขาเคยเป็นคาทอลิก ทว่าก่อนที่เขาจะกลับมาเขาเปลี่ยนเป็นแบพติสต์. สามสัปดาห์ต่อมา นักศึกษาพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นชื่อที่พยานพระยะโฮวาเป็นที่รู้จักกันในตอนนั้น มาเยี่ยมเขา. หลังจากการเยี่ยมคราวนั้น เขาประกาศว่า “ตอนนี้ ผมได้พบความจริงเกี่ยวกับพระเจ้าแล้ว!” มาถึงปี 1924 มีกลุ่มผู้ประกาศ 35 คนในโอโคลีช.
ทุกวันนี้ จากประชากรท้องถิ่น 473 คน มีผู้ประกาศราชอาณาจักรที่นั่น 170 คน. ผู้ประกาศแต่ละคนได้บ้านประมาณสองหลังที่มอบหมายให้เป็นเขตของตน นอกจากนี้ พวกเขายังทำงานในหมู่บ้านที่อยู่รอบ ๆ ด้วย. ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังคาดหวังในทางดี. พวกเขาเพิ่งสร้างหอประชุมราชอาณาจักรที่สวยงามซึ่งจุได้ 400 คน. งานทั้งหมดทำโดยพยานฯท้องถิ่น.
วาลีอา ลาร์กาเป็นที่ที่บราเดอร์ซาโบและบราเดอร์คิสส์ได้ตั้งรกรากในปี 1914. ในปี 1991 จากประชากร 3,700 คน มีแปดประชาคมและผู้ประกาศราชอาณาจักร 582 คน. ในการประชุมอนุสรณ์ปี 1992 มีผู้เข้าร่วม 1,082 คน ซึ่งเป็นจำนวนเกือบ 1 ใน 3 ของประชากรในหุบเขานี้.
ไพโอเนียร์พิเศษปูทางไว้
ไพโอเนียร์พิเศษมีบทบาทสำคัญในการนำข่าวดีไปยังผู้คนที่อยู่ห่างไกลออกไป. ทันทีที่ได้เสรีภาพในการประกาศ โยเนล อาลบานเริ่มทำงานในสองเมือง โดยใช้เวลาสัปดาห์ละสองวันในออร์ชอวา และห้าวันในทัวร์นู-เซเวรีน.
ไม่มีพยานฯในออร์ชอวาตอนที่โยเนลไปถึง. สัปดาห์แรก เขาเริ่มศึกษาพระคัมภีร์กับเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุ 14 ปี. เด็กคนนี้เปลี่ยนแปลงหลายอย่างในเวลาสองเดือน จนเพื่อนคนหนึ่งและเพื่อนบ้านคนหนึ่งเริ่มศึกษาด้วย. โรลันด์ที่เป็นเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นคาทอลิกทำความก้าวหน้าอย่างน่าทึ่ง. หลังจากเพียงเดือนครึ่ง เขาก็ออกไปในงานประกาศกับโยเนล และในเวลาห้าเดือน เขารับบัพติสมา. เขาเข้าสู่งานรับใช้เต็มเวลาทันที. คุณแม่ของเขาก็เริ่มศึกษา และรับบัพติสมาตอนการประชุมภาค “ผู้ถือความสว่าง” ปี 1992. เวลานี้ มีผู้ประกาศสิบคนในออร์ชอวา และเขานำการศึกษาพระคัมภีร์ตามบ้าน 30 ราย.
คนแรกที่ยอมรับความจริงในทัวร์นู-เซเวรีนเป็นพนักงานต้อนรับในโรงแรมที่โยเนลไปพัก. หลังจากนั้นสองเดือน ชายคนนั้นได้เป็นผู้ประกาศที่ยังไม่รับบัพติสมา และในเวลาสามเดือน เขารับบัพติสมา. เวลานี้ เขาเป็นผู้ประกาศคนหนึ่งในจำนวน 32 คนที่นั่น ซึ่งนำการศึกษาพระคัมภีร์ตามบ้านรวมทั้งหมด 84 ราย.
กาบรีเอลา เจคา ไพโอเนียร์พิเศษอีกคนหนึ่ง เคยรับใช้ในฐานะไพโอเนียร์ประจำแม้ในตอนที่งานของเราอยู่ภายใต้การสั่งห้าม. ความปรารถนาของเธอก็คือทำงานในที่ที่มีความต้องการมากกว่า. เธอได้รับมอบหมายเขตที่กว้างใหญ่. บางครั้ง เธอเดินทาง 100 ถึง 160 กิโลเมตรเพื่อเยี่ยมผู้สนใจ. เมืองหนึ่งที่เธอทำงานก็คือมอตรู ซึ่งมีพยานฯเพียงสี่คน. เธอเล่าว่า “เนื่องจากกิจการงานที่ขยายตัวขึ้นในมอตรู พวกบาทหลวงและกลุ่มศาสนาอื่น ๆ เริ่มต่อต้านเรา. พวกเขาใช้อิทธิพลเหนือนายกเทศมนตรีและตำรวจให้มาบีบครอบครัวที่ให้ที่พักแก่ดิฉัน. พวกเขาไล่ดิฉันออกไป. ดังนั้น ประมาณเดือนเว้นเดือน ดิฉันต้องหาที่พักใหม่.”
กาบรีเอลาเริ่มการศึกษากับนักอเทวนิยมคนหนึ่งในออร์ชอวา ซึ่งบอกว่าตนไม่สนใจศาสนาหรือพระคัมภีร์. แต่หลังจากที่ศึกษาไปได้เพียงสี่เดือน ผู้หญิงคนนั้นเริ่มกล่าวปกป้องพระคัมภีร์. แม้ว่าสามีของเธอไม่ยอมให้เธอเข้าบ้านในตอนกลางคืน ทั้งขู่จะหย่าหรือฆ่าเธอ แต่เธอยังคงรักษาความซื่อสัตย์ภักดี. แม้แต่ก่อนรับบัพติสมา เธอนำการศึกษาพระคัมภีร์ถึงสิบราย.
มีความคาดหวังอันยอดเยี่ยมรออยู่ข้างหน้า
ในเดือนสิงหาคม ปี 1992 โรมาเนียบรรลุยอดผู้ประกาศ 24,752 คนใน 286 ประชาคม. ส่วนผู้เข้าร่วมการประชุมอนุสรณ์มีกว่า 66,000 คน. ณ สำนักงานสาขาเล็ก ๆ ในบูคาเรสต์ พี่น้อง 17 คนกำลังทำงานสุดความสามารถในการเอาใจใส่ต่อความต้องการฝ่ายวิญญาณของพี่น้อง. พวกเขากำลังตั้งตาคอยที่จะได้เริ่มงานก่อสร้างสำนักงานที่ใหญ่กว่าเดิมในอีกไม่ช้า.
พยานพระยะโฮวาในโรมาเนียอดที่จะอัศจรรย์ใจไม่ได้ในการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่เป็นไปอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีมานี้. พวกเขาขอบคุณพระเจ้ายะโฮวา ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของประชาคมนานาชาติที่ถือพระนามของพระองค์และนำประชาชนไปยังความรู้ที่ถูกต้องแม่นยำเกี่ยวกับพระองค์และพระประสงค์อันไม่แปรเปลี่ยนของพระองค์. หลังจากที่ประสบความยากลำบากและการกดขี่ข่มเหงอยู่หลายปี พวกเขารู้สึกขอบคุณพระยะโฮวาสักเพียงไรที่พระองค์ทรงเปลี่ยนกาลและฤดูในโรมาเนียอย่างแท้จริง!
[แผนที่หน้า 23]
(รายละเอียดดูจากวารสาร)
ฮังการี
โรมาเนีย
บูคาเรสต์
คลูจ-นาโพคา
คราอิโอวา
เทียกู-มูเรช
ออร์ชอวา
ทัวร์นู-เซเวรีน
โมทรู
ทัวร์ดา
บัลแกเรีย
[รูปภาพหน้า 24, 25]
1. พยานฯประมาณ 700 คนชุมนุมกันในป่าในปี 1947
2. ใบเชิญสำหรับคำบรรยายสาธารณะในปี 1946
3. การประชุมภาคในอาลบา ยูลิอาในปี 1992
4. การให้คำพยานในคลูจ-นาโพคาปัจจุบัน
5. หอประชุมราชอาณาจักรใกล้ทัวร์ดา
6. ครอบครัวเบเธลในบูคาเรสต์