การ “จับคน” ในน่านน้ำฟิจิ
ฟิจิ—ชื่อนี้ก่อให้เกิดภาพลักษณ์ของอุทยานในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้. น้ำสีเขียวคราม, แนวหินปะการัง, ทิวมะพร้าวที่โอนเอนตามลม, ภูเขาที่เขียวชอุ่ม, ปลาสวยงามหลากหลาย, ผลไม้และดอกไม้ที่แปลกตา. คุณสามารถพบสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ได้มากมายในกลุ่มเกาะที่มี 300 เกาะนี้ ซึ่งอยู่ห่างจากนิวซีแลนด์ขึ้นไปทางเหนือ 1,800 กิโลเมตรในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้. ดังนั้น คุณอาจเห็นด้วยที่ว่า ฟิจิอาจเป็นดินแดนแห่งอุทยานในเขตร้อนที่ทุกคนใฝ่ฝันถึง.
อย่างไรก็ตาม ฟิจิมีสิ่งที่น่าทึ่งยิ่งกว่าความงามตามธรรมชาติ. ใช่แล้ว เช่นเดียวกับที่มีความหลากหลายท่ามกลางหมู่ปลาในแนวหินปะการัง ความหลากหลายก็พบบนพื้นแผ่นดินเช่นกัน. อาจกล่าวได้ว่า ไม่มีหมู่เกาะใดในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้จะเทียบได้กับฟิจิในเรื่องความแตกต่างด้านชาติพันธุ์. ชนกลุ่มใหญ่ที่สุดสองกลุ่มจากประชากรเกือบ 750,000 คนคือชาวฟิจิที่เป็นชนพื้นเมืองซึ่งมีถิ่นกำเนิดจากหมู่เกาะเมลานีเซีย กับชาวอินเดียที่เกิดในฟิจิซึ่งเป็นลูกหลานของคนงานที่ถูกนำตัวมาจากอินเดียในช่วงที่เป็นอาณานิคมของอังกฤษ. แต่ยังมีชาวเกาะบานาบา, ชาวจีน, ชาวยุโรป, ชาวเกาะกิลเบอร์ต, ชาวเกาะโรตูมา, ชาวเกาะตูวาลู, และอื่น ๆ.
ในสังคมหลากวัฒนธรรมนี้ พยานพระยะโฮวาง่วนอยู่กับงาน “จับคน.” (มาระโก 1:17) นับเป็นการท้าทายที่จะประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าในชุมชนที่มีความหลากหลายเช่นนี้. ประการแรก มีอุปสรรคทางด้านภาษาและวัฒนธรรมที่จะต้องเอาชนะ. แม้มีการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลาง แต่บ่อยครั้ง ก็ต้องใช้ภาษาฟิจิ, ภาษาฮินดี, ภาษาโรตูมา, หรือภาษาอื่น ๆ ด้วย.
นอกจากนี้ เพื่อจะสนทนากับผู้ที่มีภูมิหลังทางศาสนาต่างกัน จะต้องมีวิธีเข้าหาต่างกันด้วย. ชาวฟิจิส่วนใหญ่ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองและชาวเกาะอื่น ๆ สังกัดนิกายต่าง ๆ ของคริสเตียน. ประชากรชาวอินเดียประกอบด้วยฮินดู, มุสลิม, และซิกข์ แต่ส่วนใหญ่เป็นฮินดู. มีโบสถ์มากมายทั้งในเมืองและหมู่บ้านต่าง ๆ แต่บนเกาะใหญ่ที่สุดสองเกาะของฟิจิ มีวัดของฮินดูและสุเหร่าของมุสลิมอยู่มากมายซึ่งทำให้เห็นความแตกต่างกัน.
พยานฯเป็นจำนวนมากในท้องถิ่นเติบโตขึ้นโดยพูดภาษาหลักสามภาษา—อังกฤษ, ฟิจิ, และฮินดี. การมีทักษะนี้เป็นประโยชน์มากในงาน “จับคน.” บางครั้ง ผู้คนประหลาดใจที่ได้ยินชาวฟิจิพูดภาษาฮินดีอย่างคล่องแคล่ว และชาวฮินดูพูดภาษาฟิจิอย่างคล่องแคล่ว. เนื่องจากมีความแตกต่างทางวัฒนธรรม, ศาสนา, และภาษาที่จะรับมือ จึงจำต้องคอยปรับเปลี่ยนวิธีการเข้าหา เพื่อจะ ‘แบ่งปันข่าวดีกับคนอื่น.’—1 โกรินโธ 9:23, ล.ม.
การ “จับคน” ในหมู่บ้านชาวฟิจิ
ชาวฟิจิที่เป็นชนพื้นเมืองเป็นผู้ที่มีอัธยาศัยไมตรี. เป็นการยากที่จะสร้างมโนภาพว่า ศตวรรษเศษ ๆ มานี้ มีการสู้รบระหว่างเผ่าอย่างมากมาย. จริง ๆ แล้ว ตอนที่มีการติดต่อกับพวกยุโรปเป็นครั้งแรก ฟิจิเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นเกาะของมนุษย์กินคน. ในที่สุด เมื่อมีหัวหน้าใหญ่ขึ้นมามีอำนาจและเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ การสู้รบและการกินคนจึงหมดไป. สิ่งเดียวที่ยังคงแสดงความแตกต่างระหว่างเผ่าก็คือภาษาท้องถิ่นที่มีอยู่มากมายในภูมิภาคต่าง ๆ แม้ว่าภาษาเบาอันจะเป็นที่เข้าใจกันทั่วไปก็ตาม.
นอกเหนือจากซูวาซึ่งเป็นเมืองหลวงแล้ว ยังมีหลายเมืองทั่วเกาะฟิจิ. ชาวฟิจิส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามชุมชนต่าง ๆ ในหมู่บ้านภายใต้การควบคุมของทูรังงา นี คอโร หรือผู้ใหญ่บ้าน. เมื่อเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อ “จับคน” เป็นธรรมเนียมที่จะไปหาชายผู้นี้เพื่อขออนุญาตเยี่ยมตามบูเรหรือบ้านในท้องถิ่นนั้น. เป็นเพียงครั้งคราวเท่านั้นที่จะไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งมักเป็นเพราะนักเทศน์นักบวชบางคนในหมู่บ้านต่อต้านพยานพระยะโฮวา. การเยี่ยมที่บ้านของชาวฟิจินั้นเป็นอย่างไร?
เมื่อเข้าไปในบูเร เราจะนั่งขัดสมาธิบนพื้น. คำนำที่มีการเลือกอย่างรอบคอบเพื่อจับความสนใจของชาวตะวันตกที่มีธุระยุ่งนั้นไม่จำเป็นสำหรับที่นี่. ใครก็ตามที่มาพูดคุยเกี่ยวกับพระเจ้าจะได้รับการต้อนรับ. เมื่อเชิญให้หยิบคัมภีร์ไบเบิล เจ้าของบ้านจะรีบลุกขึ้นพร้อมกับพูดว่า “ทูโล” (ขอโทษ) และเอื้อมมือไปหยิบคัมภีร์ไบเบิลภาษาฟิจิมาเล่มหนึ่งจากชั้นหนังสือ แล้วอ่านข้อคัมภีร์ต่าง ๆ อย่างกระตือรือร้นที่ผู้เผยแพร่ที่มาเยี่ยมกล่าวถึง. อย่างไรก็ตาม ท่าทีที่มีอัธยาศัยและแสดงความนับถือของชาวฟิจิเป็นข้อท้าทายอย่างหนึ่งในรูปแบบที่ต่างออกไป. ต้องมีวิจารณญาณและความผ่อนหนักผ่อนเบามากเพื่อจะดึงเจ้าของบ้านเข้าสู่การสนทนา, เพื่อสนับสนุนเขาให้ติดตามแนวการหาเหตุผลที่วางไว้, หรือเพื่อช่วยเขาให้เห็นความจำเป็นที่จะเปรียบเทียบความเชื่อของตนกับคำสอนในคัมภีร์ไบเบิล.
โดยทั่วไปแล้ว เจ้าของบ้านชาวฟิจิสนใจที่จะพิจารณาเรื่องหลักคำสอนมากกว่าที่จะพูดคุยเรื่องสภาพหรือปัญหาทางสังคม. ที่จริง พยานพระยะโฮวาที่ขยันขันแข็งเป็นจำนวนมาก จากกว่า 1,400 คนในฟิจิ ได้มาสนใจความจริงในคัมภีร์ไบเบิลเนื่องจากการพิจารณาคำถามต่าง ๆ เช่น นรกเป็นสถานที่แบบไหน? ใครไปสวรรค์? และแผ่นดินโลกจะถูกทำลายไหม? อย่างไรก็ตาม การติดตามผู้สนใจจำต้องมีการปรับตัวและความมุมานะ. เมื่อกลับเยี่ยมเยียนตามเวลาที่นัดหมายไว้ มักพบว่าเจ้าของบ้านไปเทเท (ไร่นา) หรือที่ใดอื่นเสียแล้ว. เปล่า ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่หยั่งรู้ค่าการเยี่ยมเยียน แต่เพียงเพราะการรู้สำนึกในเรื่องเวลาของพวกเขานั้นต่างออกไป. แน่นอน สำหรับพยานฯที่เป็นคนท้องถิ่น สิ่งนี้ไม่ได้ดูผิดปกติ. พวกเขาเพียรพยายามต่อไปโดยไปเยี่ยมเยียนเวลาอื่น. ไม่มีชื่อถนนหรือบ้านเลขที่ให้จดบันทึก ดังนั้น จึงต้องมีความจำดีเมื่อกลับเยี่ยม.
การ “จับคน”ในรูปแบบโพลีนีเซีย
ตอนนี้ ให้เราไป “จับคน” กับผู้ดูแลเดินทางหรือผู้ดูแลหมวด ขณะที่เขาไปเยี่ยมประชาคมเล็ก ๆ ในโรตูมา. หมู่เกาะภูเขาไฟนี้อยู่เหนือฟิจิขึ้นไป 500 กิโลเมตร. เพื่อไปถึงที่นั่น เรานั่งเครื่องบินขนาด 19 ที่นั่ง. เกาะใหญ่มีเนื้อที่เพียง 50 ตารางกิโลเมตร มีประชากรทั้งหมดประมาณ 3,000 คน. มีทางที่เป็นทรายเลียบชายฝั่ง เชื่อมประมาณ 20 หมู่บ้านเข้าด้วยกัน. โรตูมานั้นปกครองโดยฟิจิ แต่มีวัฒนธรรมและภาษาต่างออกไป. เนื่องจากมีเชื้อสายของชาวโพลีนีเซีย ประชาชนในโรตูมาจึงมีรูปร่างหน้าตาผิดจากชาวฟิจิที่เป็นชาวเมลานีเซีย. เมื่อพูดในด้านศาสนาแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่เป็นโรมันคาทอลิกหรือไม่ก็เมโทดิสต์.
ขณะที่เครื่องบินบินต่ำลงเพื่อลงจอดบนพื้นดิน เราเห็นพืชเขียวชอุ่มบนเกาะ. ใบที่เป็นดุจขนนกของต้นมะพร้าวมีให้เห็นทุกหนทุกแห่ง. ฝูงชนกลุ่มใหญ่อยู่พร้อมที่จะให้การต้อนรับเที่ยวบินซึ่งมาสัปดาห์ละครั้ง. ท่ามกลางฝูงชนนั้นมีกลุ่มพยานฯอยู่ด้วย. เราได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น และมีการส่งมะพร้าวอ่อนลูกใหญ่ ๆ ที่เจาะ “ตา” แล้วให้เราเพื่อดับกระหาย.
หลังจากที่เดินทางสักครู่ เราก็ถึงที่พักของเรา. มีการเตรียมอาหารซึ่งอบในเตาอบใต้ดินไว้ให้. หมูย่าง, ไก่ย่าง, ปลาทอด, กุ้งมังกร, และเผือกซึ่งเป็นพืชที่มีหัวที่ปลูกในท้องถิ่น ถูกวางเรียงรายอยู่ตรงหน้าเรา. ช่างเป็นการเลี้ยงที่วิเศษอะไรเช่นนี้ในสภาพแวดล้อมที่เป็นราวกับอุทยาน ใต้ต้นมะพร้าวที่ร่มรื่น!
วันรุ่งขึ้น เราไปเยี่ยมผู้คนในหมู่บ้านซึ่งเรียกว่าฮูอังงา ในภาษาโรตูมา. เมื่อเราใกล้จะถึงบ้านแรก ลูกหมูตัวหนึ่งวิ่งหนีออกจากเล้าผ่านหน้าเราไป พร้อมกับร้องเสียงแหลม. เจ้าของบ้านเห็นเรากำลังเดินมา และเปิดประตูพร้อมด้วยรอยยิ้ม ทักทายเราว่า “นออียา!” เป็นภาษาโรตูมา แล้วเชิญเราเข้าไปนั่ง. มีกล้วยสุกจานหนึ่งวางไว้ตรงหน้าเรา ทั้งยังมีการเชิญให้เราดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน. การต้อนรับแขกนั้นมาเป็นอันดับแรกในโรตูมา.
ไม่มีพวกอไญยนิยมหรือนักวิวัฒนาการที่นี่. ทุกคนเชื่อในคัมภีร์ไบเบิล. หัวเรื่องอย่างเช่น พระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับแผ่นดินโลกจับความสนใจของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย. เจ้าของบ้านรู้สึกประหลาดใจที่ทราบว่า แผ่นดินโลกจะไม่ถูกทำลายแต่จะมีคนชอบธรรมอาศัยอยู่ตลอดไป. (บทเพลงสรรเสริญ 37:29) เขาติดตามอย่างใกล้ชิดเมื่อมีการอ่านข้อคัมภีร์ซึ่งพิสูจน์ถึงจุดนี้ และรับอย่างกระตือรือร้นเมื่อเราเสนอสรรพหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล. ขณะที่เราเตรียมตัวลา เขาขอบคุณเราที่มาเยี่ยม และเอากล้วยสุกให้เราเต็มถุง ซึ่งเรากินได้ตามทาง. การประกาศที่นี่อาจทำให้น้ำหนักเพิ่มได้ง่าย ๆ!
การปรับตัวให้เข้ากับชุมชนชาวอินเดีย
แม้ว่าประเทศเกาะอื่น ๆ มากมายในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ก็มีหลายเชื้อชาติ แต่ฟิจิโดดเด่นในด้านนี้. ที่เคียงคู่ไปกับวัฒนธรรมของเมลานีเซีย, ไมโครนีเซีย, และโพลีนีเซียก็คือวัฒนธรรมที่มีรกรากมาจากทวีปเอเชีย. ระหว่างปี 1879 ถึง 1916 ผู้ใช้แรงงานที่มีสัญญาผูกมัดจากอินเดียถูกนำเข้ามาทำงานในไร่อ้อย. ข้อตกลงนี้ซึ่งเรียกว่าเกอร์มิต (สัญญา) ยังผลให้ชาวอินเดียนับพันมาที่ฟิจิ. ลูกหลานของคนงานเหล่านี้จึงประกอบกันเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ. พวกเขารักษาวัฒนธรรม, ภาษา, และศาสนาเอาไว้.
ที่อยู่ทางด้านอับลมของเกาะใหญ่ของฟิจิคือเมืองเลาโตกา. ที่นี่เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมน้ำตาลของฟิจิ และประชากรชาวอินเดียเป็นจำนวนมากของประเทศนี้อาศัยอยู่ที่นี่. สมาชิกของประชาคมพยานพระยะโฮวาสามประชาคมที่นี่จำต้องปรับตัวในงาน “จับคน.” เมื่อไปตามบ้าน ต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนหัวเรื่อง ซึ่งขึ้นอยู่กับเชื้อชาติและศาสนาของเจ้าของบ้าน. ให้เรามาร่วมกับกลุ่มพยานฯในท้องถิ่นขณะที่เขาไปเยี่ยมตามบ้านซึ่งกระจัดกระจายอยู่ตามไร่อ้อยนอกเมืองเลาโตกา.
ขณะที่เราใกล้จะถึงบ้านแรก เราสังเกตเห็นไม้ไผ่ลำยาว มีผ้าสีแดงเป็นชิ้น ๆ ผูกอยู่ที่ยอด ตั้งอยู่ที่มุมด้านหน้าของบริเวณบ้าน. สิ่งนี้เป็นสัญลักษณ์ระบุว่าครอบครัวนี้เป็นฮินดู. บ้านของชาวฮินดูส่วนใหญ่จะมีภาพเทพเจ้าของพวกเขาประดับอยู่. หลายบ้านจะมีเทพเจ้าองค์โปรด เช่น พระกฤษณะ และมักมีหิ้งเล็ก ๆ.a
ชาวฮินดูส่วนใหญ่เชื่อว่า ทุกศาสนาก็ดีทั้งนั้นและเป็นเพียงวิธีนมัสการต่างกัน. ดังนั้น เจ้าของบ้านอาจฟังอย่างสุภาพ, รับสรรพหนังสือบางเล่ม, เอาเครื่องดื่มมาให้, และรู้สึกว่าทำหน้าที่ของตนแล้ว. เพื่อจะตั้งคำถามที่เหมาะสมเพื่อดึงเจ้าของบ้านเข้าสู่การพิจารณาที่มีความหมายยิ่งขึ้น จึงมักเป็นประโยชน์ที่จะรู้เรื่องราวบางอย่างซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อของเขา. ยกตัวอย่าง เมื่อรู้เรื่องซึ่งพรรณนาเทพเจ้าของเขาว่าหมกมุ่นในกิจปฏิบัติซึ่งหลายคนถือว่าน่าสงสัย เราอาจถามว่า “คุณจะเห็นชอบด้วยไหม หากภรรยา (สามี) ของคุณประพฤติเช่นนั้น?” คำตอบมักจะเป็นดังนี้ “ไม่อย่างแน่นอน!” จากนั้น อาจถามผู้นั้นว่า “เอาล่ะ เทพเจ้าควรประพฤติตัวเช่นนั้นไหม?” การพิจารณาแบบนี้มักเปิดโอกาสให้แสดงคุณค่าของคัมภีร์ไบเบิล.
ความเชื่อในเรื่องการกลับชาติมาเกิด ลักษณะเด่นอีกอย่างหนึ่งของศาสนาฮินดู เป็นหัวเรื่องที่ใช้พิจารณาอย่างได้ผล. สตรีฮินดูมีการศึกษาดีคนหนึ่ง ซึ่งสูญเสียบิดาไปไม่นานมานี้ ถูกถามว่า “คุณอยากเห็นบิดาอีกครั้งหนึ่งเหมือนเมื่อก่อนไหม?” เธอตอบว่า “อยากสิ นั่นคงจะยอดเยี่ยมทีเดียว.” จากคำตอบของเธอและการสนทนาที่ตามมา เป็นที่ชัดแจ้งว่า เธอไม่พึงพอใจกับความเชื่อที่ว่า บิดาของเธอเวลานี้มีชีวิตในรูปแบบอื่น และเธอจะไม่มีวันรู้จักท่านอีก. แต่คำสอนอันยอดเยี่ยมเกี่ยวกับการกลับเป็นขึ้นจากตายในคัมภีร์ไบเบิลทำให้เธอซาบซึ้งใจ.
ชาวฮินดูบางคนมีข้อสงสัยจริง ๆ และกำลังแสวงหาคำตอบที่จุใจ. เมื่อพยานฯคนหนึ่งไปเยี่ยมที่บ้านของชาวฮินดูคนหนึ่ง ชายคนนั้นถามว่า “พระเจ้าของคุณชื่ออะไร?” พยานฯคนนั้นอ่านบทเพลงสรรเสริญ 83:18 ให้เขาฟังและอธิบายว่า พระนามของพระเจ้าคือยะโฮวา และโรม 10:13 บอกว่าเพื่อจะรอด เราต้องร้องออกพระนามนั้น. ชายคนนั้นรู้สึกประทับใจและต้องการเรียนรู้มากขึ้น. ที่จริง เขาอยากรู้เหลือเกิน. เขาอธิบายว่า บิดาของเขาซึ่งมีความเลื่อมใสมากต่อรูปเคารพประจำครอบครัว ล้มป่วยหลังจากที่บูชารูปนั้นและเสียชีวิตไม่นานหลังจากนั้น. สิ่งเดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นกับพี่ชายของเขา. แล้วเขากล่าวเสริมว่า “รูปเคารพนั้นนำความตายมาสู่เรา ไม่ใช่ชีวิต. ดังนั้น จะต้องมีอะไรสักอย่างที่ผิดปกติกับการบูชารูปนั้น. อาจเป็นพระเจ้ายะโฮวานี้ที่จะช่วยเราให้พบวิถีทางไปสู่ชีวิต.” ดังนั้นจึงมีการเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับเขา, ภรรยา, และลูกสองคนของเขา. พวกเขาทำความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและไม่ช้าก็รับบัพติสมา. พวกเขาละรูปเคารพและเวลานี้กำลังเดินในหนทางของพระยะโฮวา พระเจ้าแห่งชีวิต.
ถัดจากนั้น เราก็มาถึงบ้านของครอบครัวมุสลิมครอบครัวหนึ่ง. มีการแสดงน้ำใจต้อนรับอย่างเดียวกัน และไม่ช้าเราได้นั่งพร้อมด้วยเครื่องดื่มเย็น ๆ อยู่ในมือ. เราไม่เห็นภาพที่เกี่ยวข้องกับศาสนาบนผนังห้อง นอกจากข้อความสั้น ๆ เป็นภาษาอาหรับติดอยู่ในกรอบ. เรากล่าวว่า มีจุดร่วมที่ทำให้คัมภีร์ไบเบิลกับคัมภีร์กุรอ่านมีความเกี่ยวข้องกัน นั่นคืออับราฮามบรรพบุรุษต้นตระกูล และพระเจ้าทรงสัญญากับอับราฮามว่า โดยทางพงศ์พันธุ์ของท่าน ชนทุกชาติจะได้รับพร. คำสัญญานี้จะสำเร็จเป็นจริงในพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์. มุสลิมบางคนจะคัดค้านความคิดที่ว่าพระเจ้ามีพระบุตร. ดังนั้น เราอธิบายว่า เช่นเดียวกับที่อาดามมนุษย์คนแรกถูกเรียกว่าบุตรของพระเจ้าเพราะพระเจ้าสร้างเขาขึ้นมา พระเยซูก็เป็นพระบุตรของพระเจ้าในวิธีเดียวกัน. พระเจ้าไม่จำเป็นต้องมีภรรยาตามตัวอักษรเพื่อจะมีบุตร. เนื่องจากพวกมุสลิมไม่เชื่อในคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพ เราจึงใช้จุดที่เห็นพ้องกันนี้ในการแสดงว่า พระเจ้ายะโฮวานั้นใหญ่ยิ่งสูงสุด.
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงแล้ว และสมาชิกในกลุ่มของเรากำลังเดินออกจากไร่อ้อยกลับออกมาที่ถนน เพื่อคอยรถประจำทางกลับเข้าไปในเมือง. แม้ว่าจะเหนื่อยอยู่บ้าง แต่ทุกคนก็พูดกันอย่างกระตือรือร้นถึงงาน “จับคน” ในตอนเช้า. ความเพียรพยายามที่จะปรับให้เข้ากับสภาพการณ์และความเชื่อที่ต่างกันนับว่าคุ้มค่าทีเดียว.
น่านน้ำและแนวหินปะการังที่ฟิจินั้นเต็มไปด้วยปลาหลายชนิด. เพื่อจะประสบผลสำเร็จ ชาวฟิจิที่เป็นงอเนนโด (ชาวประมง) จำต้องมีความชำนิชำนาญในงานของตน. เป็นเช่นนี้ด้วยกับงาน “จับคน” ซึ่งพระเยซูคริสต์ทรงมอบหมายให้สาวกของพระองค์กระทำ. คริสเตียนที่เป็น “ผู้จับคน” จะต้องมีความชำนิชำนาญ โดยปรับการเสนอและการหาเหตุผลของตนให้เข้ากับความเชื่อที่หลากหลายของประชาชน. (มัดธาย 4:19) นี่เป็นสิ่งจำเป็นในฟิจิอย่างแน่นอน. และได้ปรากฏผลให้เห็น ณ การประชุมภาคประจำปีของพยานพระยะโฮวา ที่ซึ่งชาวฟิจิ, ชาวอินเดีย, ชาวโรตูมา, และประชาชนที่มีภูมิหลังทางชาติพันธุ์ผสมกัน นมัสการพระเจ้ายะโฮวาอย่างมีเอกภาพ. ใช่แล้ว พระองค์ทรงอวยพระพรงาน “จับคน” ในน่านน้ำฟิจิ.
[เชิงอรรถ]
a ดูหนังสือมนุษย์แสวงหาพระเจ้า (ภาษาอังกฤษ) พิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์แห่งนิวยอร์ก หน้า 115-117.
[แผนที่หน้า 23]
(รายละเอียดดูจากวารสาร)
เกาะวิติเวลู
เกาะวันนาเลวู
ซูวา
เลาโตกา
นันดี
0 100 ก.ม.
0 100 ไมล์
18°
180°
[รูปภาพหน้า 24]
บูเร หรือบ้านในท้องถิ่น
[รูปภาพหน้า 24]
วัดฮินดูในฟิจิ
[รูปภาพหน้า 25]
การ “จับคน” ที่ประสบผลสำเร็จในฟิจิ
[ที่มาของภาพหน้า 24]
Fiji Visitors Bureau