เหตุใดจึงเป็นเวลาที่จะตัดสินใจ?
ในศตวรรษที่ 16 ก่อนสากลศักราช พระเจ้าทรงเลือกชนยิศราเอลเป็น “ทรัพย์ประเสริฐ . . . ยิ่งกว่าชาติทั้งปวง . . . เป็นชนชาติอันบริสุทธิ์” ของพระองค์. (เอ็กโซโด 19:5, 6) ไม่นานพวกเขาได้สูญเสียความบริสุทธิ์ ความผ่องแผ้วด้านศาสนาของเขา ปล่อยตัวให้แปดเปื้อนด้วยการไหว้รูปเคารพและกิจปฏิบัติที่เสื่อมทรามของชาติที่อยู่ใกล้เคียง. ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงเผยให้เห็นว่าเป็น “คนใจคอแข็งกระด้าง.” (พระบัญญัติ 9:6, 13; 10:16; 1 โกรินโธ 10:7-11) ระหว่างช่วงเวลาสามร้อยกว่าปีหลังจากความตายของยะโฮซูอะ พระยะโฮวาทรงตั้งผู้วินิจฉัย ผู้นำทางที่ซื่อสัตย์ซึ่งควรได้นำชนยิศราเอลกลับคืนสู่การนมัสการแท้. อย่างไรก็ดี ประชาชน “มิได้งดเว้นการชั่ว, และกิริยาดื้อดึงของเขาเลย.”—วินิจฉัย 2:17-19.
หลังจากนั้น พระเจ้าทรงตั้งกษัตริย์และผู้พยากรณ์ที่ซื่อสัตย์ขึ้นเพื่อชักจูงประชาชนให้กลับคืนสู่การนมัสการแท้. ผู้พยากรณ์อะซาระยาได้สนับสนุนกษัตริย์อาซาและเพื่อนร่วมชาติของท่านให้แสวงหาพระยะโฮวาว่า “ถ้าพวกท่านแสวงหาพระองค์ ๆ จะทรงโปรดให้พวกท่านประสบ; แต่ทว่า, ถ้าพวกท่านละทิ้งพระองค์ ๆ จะละทิ้งพวกท่านเสีย.” อาซาได้ดำเนินการปฏิรูปด้านศาสนาในอาณาจักรยูดาจนบรรลุผลสำเร็จ. (2 โครนิกา 15:1-16) ภายหลัง พระเจ้าต้องเสนอคำเชิญใหม่โดยทางโยเอลผู้พยากรณ์ของพระองค์. (โยเอล 2:12, 13) แม้กระทั่งต่อมา ซะฟันยายังได้ตักเตือนพลเมืองแห่งยูดาให้ “แสวงหาพระยะโฮวา.” กษัตริย์โยซียาผู้ทรงพระเยาว์ได้ทำเช่นนั้นในการรณรงค์ปฏิรูปเพื่อกำจัดการไหว้รูปเคารพและความเสื่อมทราม.—ซะฟันยา 2:3; 2 โครนิกา 34:3-7.
ทั้ง ๆ ที่มีช่วงตอนของการกลับใจเช่นนั้นก็ตาม สภาพทางศาสนาของประชาชนกลับอยู่ในภาวะวิกฤตยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ. (ยิระมะยา 2:13; 44:4, 5) ยิระมะยาได้แถลงคัดค้านระบบศาสนาที่แปดเปื้อนด้วยกิจปฏิบัติที่เป็นการไหว้รูปเคารพ พรรณนาระบบนั้นว่าปฏิรูปไม่ได้: “ชาติอายธิโอบจะเปลี่ยนผิวหนังของตัวได้หรือ, หรือเสือดาวจะเปลี่ยนลายกระของตัวได้หรือ. กระนั้น พวกเจ้าที่เคยทำชั่วอาจกลับเป็นดีได้ด้วย.” (ยิระมะยา 13:23) เพราะเหตุนี้ พระเจ้าจึงลงโทษอาณาจักรยูดาอย่างรุนแรง. กรุงยะรูซาเลมกับพระวิหารถูกทำลายในปี 607 ก่อนสากลศักราช และผู้รอดชีวิตถูกเนรเทศไปเป็นทาสในบาบูโลน ซึ่งพวกเขาอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 70 ปี.
เมื่อระยะเวลานั้นสิ้นสุดลง พระเจ้าทรงแสดงความเมตตา. พระองค์ทรงชักนำกษัตริย์ไซรัสให้ปลดปล่อยชนยิศราเอล ซึ่งจำนวนหนึ่งจากชนที่เหลืออยู่ได้กลับคืนสู่กรุงยะรูซาเลมเพื่อสร้างพระวิหารขึ้นใหม่. แทนที่จะเรียนรู้บทเรียนจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมด พวกเขาหันเหจากการนมัสการแท้อีกครั้งหนึ่ง เป็นเหตุให้พระเจ้ายะโฮวาเสนอคำเชิญอีกครั้งว่า “จงกลับมาหาเราเสียเถอะ, และเราจะกลับไปหาเจ้าทั้งหลาย.”—มาลาคี 3:7.
สาเหตุที่ชาติยิศราเอลถูกปฏิเสธ
สภาพทางศาสนาของชนยิศราเอลในสมัยของพระเยซูเป็นอย่างไร? พวกหัวหน้าศาสนาที่หน้าซื่อใจคดเป็น “คนนำทางตาบอด, [ล.ม.]” “เอาคำของมนุษย์สอนว่าเป็นพระบัญญัติ.” ‘พวกเขาละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้าด้วยคำสอน [ประเพณี, ล.ม.] ของพวกเขา.’ ผู้คนนับถือพระเจ้า “ด้วยริมฝีปาก” แต่หัวใจของเขาห่างไกลจากพระองค์. (มัดธาย 15:3, 4, 8, 9, 14) พวกเขาฐานะเป็นชาติได้รับโอกาสอีกครั้งหนึ่งที่จะกลับใจไหม? ไม่. พระเยซูตรัสว่า “แผ่นดินของพระเจ้าจะต้องเอาไปจากท่าน, ยกให้แก่ประเทศหนึ่งประเทศใดซึ่งจะกระทำให้ผลเจริญสมกับแผ่นดินนั้น.” นอกจากนั้น พระองค์ตรัสว่า “เรือนของเจ้า” พระวิหารในกรุงยะรูซาเลม “ถูกปล่อยไว้ให้ร้างตามลำพังเจ้า.” (มัดธาย 21:43; 23:38) พวกเขามีความผิดมหันต์เกินไป. พวกเขาปฏิเสธพระเยซูฐานะพระมาซีฮาและประหารชีวิตพระองค์ เลือกกายะซาชาติโรมันผู้กดขี่เป็นกษัตริย์ของเขา.—มัดธาย 27:25; โยฮัน 19:15.
ชนยิศราเอลไม่ต้องการเข้าใจว่า ช่วงเวลาซึ่งพระเยซูดำเนินงานสั่งสอนของพระองค์นั้นเป็นเวลาแห่งการพิพากษา. พระเยซูตรัสแก่ชาวเมืองยะรูซาเลมที่ไม่ซื่อสัตย์ว่า “เจ้าไม่รู้เวลาที่พระองค์เสด็จมาหาเจ้า.”—ลูกา 19:44.
ในวันเพ็นเตคอสเตปีสากลศักราช 33 พระเจ้าทรงตั้งชาติหรือประชาชนใหม่ สาวกของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ ซึ่งเป็นสาวกที่ถูกเจิมด้วยพระวิญญาณ ผู้ซึ่งจะถูกเลือกออกจากทุกเผ่าพันธุ์และทุกเชื้อชาติ. (กิจการ 10:34, 35; 15:14, ล.ม.) มีความหวังใด ๆ ไหมที่ว่าระบบศาสนาของยิวจะได้รับการปฏิรูปในที่สุด? กองทหารโรมันให้คำตอบในปีสากลศักราช 70 โดยได้ทำลายกรุงยะรูซาเลมจนราบเป็นหน้ากลอง. พระเจ้าได้ปฏิเสธระบบศาสนานั้นอย่างสิ้นเชิง.—ลูกา 21:5, 6.
การออกหากครั้งใหญ่ของคริสต์ศาสนจักร
คริสเตียนที่ถูกเจิมด้วยพระวิญญาณประกอบกันเป็น “ชาติบริสุทธิ์, ไพร่พลที่เป็นสมบัติพิเศษ” ด้วย. (1 เปโตร 2:9, ล.ม.; ฆะลาเตีย 6:16) แต่แม้กระทั่งประชาคมคริสเตียนยุคแรกก็รักษาความผ่องแผ้วทางศาสนาไว้ได้ไม่นาน.
พระคัมภีร์ได้บอกล่วงหน้าถึงการออกหากครั้งใหญ่ หรือการทิ้งความเชื่อแท้เสีย. ข้าวละมานที่มีความหมายเป็นนัยในคำอุปมาของพระเยซู กล่าวคือคริสเตียนปลอม จะพยายามปิดกั้นข้าวดีที่เป็นนัย หรือคริสเตียนแท้ คนเหล่านั้นที่ถูกเจิมด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า. คำอุปมาเผยให้เห็นว่า การแพร่กระจายของศาสนาคริสเตียนปลอมซึ่งได้รับการส่งเสริมจากพญามาร ศัตรูตัวสำคัญของพระเจ้านั้นจะเริ่มขึ้น “เมื่อคนทั้งหลายนอนหลับอยู่.” เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นภายหลังความตายของอัครสาวกที่ซื่อสัตย์ของพระคริสต์ ระหว่างช่วงเวลาที่มีความซบเซาฝ่ายวิญญาณ. (มัดธาย 13:24-30, 36-43; 2 เธซะโลนิเก 2:6-8) ดังที่พวกอัครสาวกได้บอกไว้ล่วงหน้า คริสเตียนปลอมหลายคนค่อย ๆ เล็ดลอดเข้ามาในคอกแกะ. (กิจการ 20:29, 30; 1 ติโมเธียว 4:1-3; 2 ติโมเธียว 2:16-18; 2 เปโตร 2:1-3) โยฮันเป็นอัครสาวกคนสุดท้ายที่ตาย. ราว ๆ ปีสากลศักราช 98 ท่านเขียนว่า “เวลาสุดท้าย” ซึ่งหมายถึงตอนสิ้นสุดของสมัยอัครสาวก ได้เริ่มต้นอยู่แล้ว.—1 โยฮัน 2:18, 19.
เนื่องด้วยการเป็นพันธมิตรกันของศาสนาและอำนาจฝ่ายการเมืองซึ่งคอนสแตนตินจักรพรรดิโรมันให้การรับรอง สภาพการณ์ด้านวิญญาณ, ด้านคำสอน, และด้านศีลธรรมของคริสต์ศาสนจักรตกลงฮวบฮาบ. นักประวัติศาสตร์หลายคนเห็นพ้องว่า “ชัยชนะ ของคริสตจักรระหว่างศตวรรษที่สี่” จากทัศนะของคริสเตียนแล้วเป็น “ความหายนะ.” ‘คริสต์ศาสนจักรได้สูญเสียระดับทางศีลธรรมอันสูงส่งไป’ และยอมรับกิจปฏิบัติและปรัชญาหลายอย่างจากศาสนานอกรีต เช่น “การนมัสการมาเรีย” และการบูชา “พวกนักบุญ” อีกทั้งแนวคิดเรื่องตรีเอกานุภาพ.
ภายหลังชัยชนะจอมปลอมแล้ว สภาพการณ์ของคริสต์ศาสนจักรก็เสื่อมลง. คำสั่งต่าง ๆ และการนิยามความหมายของคำสอนต่าง ๆ โดยสันตะปาปาและสภาประชุมทางศาสนา นอกเหนือจากศาลศาสนาอันทารุณ, สงครามครูเสด, และสงคราม “ศักดิ์สิทธิ์” ระหว่างชาวคาทอลิกกับโปรเตสแตนต์ ก่อให้เกิดระบบศาสนาที่ปฏิรูปไม่ได้.
ในหนังสือโลกที่สว่างไสวด้วยเปลวเพลิงอย่างเดียว วิลเลียม แมนเชสเตอร์เขียนว่า “พวกสันตะปาปาในศตวรรษที่สิบห้าและสิบหกมีชีวิตอยู่เยี่ยงจักรพรรดิโรมัน. พวกเขาเป็นคนร่ำรวยที่สุดในโลก, และพวกเขาและคาร์ดินัลของเขาได้ทำให้ตัวเองมั่งคั่งขึ้นอีกโดยการขายตำแหน่งศักดิ์สิทธิ์.” ระหว่างการออกหากครั้งใหญ่ ชนกลุ่มเล็ก ๆ หรือปัจเจกบุคคลเฉพาะตัวพยายามจะค้นหาศาสนาคริสเตียนแท้ และแสดงลักษณะพิเศษของข้าวดีที่เป็นนัย. บ่อยครั้งพวกเขาต้องจ่ายด้วยราคาแพง. หนังสือเล่มเดียวกันกล่าวว่า “บางครั้งดูเหมือนว่าพวกนักบุญแท้ของศาสนาคริสเตียน ทั้งโปรเตสแตนต์และคาทอลิก ได้ถูกเผาจนดำฐานะผู้พลีชีพเพื่อศาสนา.” คนอื่น ๆ ที่ได้ชื่อว่านักปฏิรูป เช่น มาร์ติน ลูเทอร์และจอห์น แคลวิน สามารถสร้างระบบทางศาสนาที่ยืนยงซึ่งแยกจากคริสตจักรคาทอลิก แต่ว่ายังคงมีส่วนร่วมในคำสอนพื้นฐานของคริสตจักรนั้นอยู่. พวกเขาได้เข้าไปพัวพันอย่างล้ำลึกในการเมืองด้วย.
ในวงการโปรเตสแตนต์ มีการใช้ความพยายามเพื่อก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าการทำให้ตื่นตัวทางศาสนาขึ้นอีก. ตัวอย่างเช่น ระหว่างศตวรรษที่ 18 และ 19 ความพยายามเหล่านี้ได้ยังผลด้วยกิจการมิชชันนารีที่แข็งขัน. อย่างไรก็ดี โดยการยอมรับของนักเทศน์นักบวชเอง ปัจจุบันสภาพฝ่ายวิญญาณของฝูงแกะโปรเตสแตนต์ไม่ได้ให้กำลังใจเลย. ออสการ์ คุลล์มานน์ นักเทววิทยาโปรเตสแตนต์ยอมรับเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า “ภายในคริสตจักรของพวกเขาเอง มีความวิกฤติด้านความเชื่อ.”
การปฏิรูปและการต่อต้านการปฏิรูปยังได้รับการสนับสนุนภายในคริสตจักรคาทอลิก. ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ถึง 13 สากลศักราช เมื่อมีการทุจริตอย่างแพร่หลายและความมั่งคั่งมหาศาลของนักเทศน์ ได้มีการก่อตั้งวงการนักบวชซึ่งปฏิบัติตามคำปฏิญาณว่าจะเป็นคนสมถะนั้นอย่างเคร่งครัด. แต่วงการนักบวชถูกเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด และได้ถูกการปกครองของพวกบาทหลวงขัดขวางอยู่ ตามที่ผู้คงแก่เรียนกล่าว. ครั้นแล้วก็มีการปฏิรูปเพื่อต่อต้านการปฏิรูปในศตวรรษที่ 16 ซึ่งได้รับการส่งเสริมจากสภาแห่งเทร็นท์และส่วนใหญ่มุ่งในการต่อสู้กับการปฏิรูปฝ่ายโปรเตสแตนต์.
ในครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19 ระหว่างช่วงการฟื้นฟูด้านศาสนา คริสตจักรคาทอลิกแสดงท่าทีใช้อำนาจเผด็จการและเป็นแบบอนุรักษ์นิยม. แต่ไม่อาจพูดได้ว่ามีการปฏิรูปที่แท้จริงใด ๆ เพื่อฟื้นฟูศาสนาคริสเตียนแท้. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น นี้เป็นเพียงความพยายามที่จะรวมอำนาจของนักเทศน์ให้เป็นหนึ่งเดียวในการเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของโลกทางด้านศาสนา, การเมือง, และด้านสังคม.
ยิ่งสมัยหลัง ๆ นี้ ในทศวรรษปี 1960 ดูเหมือนว่า คริสตจักรคาทอลิกต้องการดำเนินขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงอย่างล้ำลึกกับสภาวาติกันที่ 2. อย่างไรก็ดี สันตะปาปาปัจจุบันได้สั่งให้หยุดการปรับเปลี่ยนคณะกรรมการบริหารตามที่เรียกกันนั้นทันทีเพื่อยับยั้งเจตนารมณ์ของสมาชิกหัวก้าวหน้าในคริสตจักร. การปรับเปลี่ยนเช่นนี้ ซึ่งบางคนเรียกว่าการฟื้นฟูของวออิทิวา ได้รับการจำกัดความโดยคาทอลิกกลุ่มหนึ่งว่าเป็น “รูปแบบใหม่ของลัทธิคอนสแตนติน.” ดังที่ระบุไว้ในวารสารของนิกายเยซูอิตชื่อลา ชีวีลทา คาทอลีคา นั้น เช่นเดียวกับศาสนาอื่น ๆ คริสตจักรคาทอลิกกำลังเผชิญกับ “วิกฤตการณ์ด้านรากฐานและเป็นไปทั่วโลก: ด้านรากฐานเนื่องจากนั่นพัวพันกับรากฐานของความเชื่อและชีวิตแบบคริสเตียนทีเดียว เป็นไปทั่วโลกเพราะนั่นเกี่ยวข้องกับทุกแง่มุมของศาสนาคริสเตียน.”
ศาสนาแห่งคริสต์ศาสนจักรไม่ได้ผ่านขั้นตอนการปฏิรูปอย่างแท้จริง ทั้งพวกเขาก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากศาสนาคริสเตียนแท้จะได้รับการฟื้นฟูเฉพาะในเวลาแห่ง “การเกี่ยว” พร้อมกับการรวบรวมข้าวดีที่เป็นนัยเข้าไว้ในประชาคมเดียวที่บริสุทธิ์. (มัดธาย 13:30, 39) รายการอันยืดยาวของอาชญากรรมและการกระทำผิดที่กระทำกันในนามของศาสนา ไม่ว่าอ้างเป็นคริสเตียนหรือไม่ก็ตาม ก่อให้เกิดคำถามว่า เป็นเรื่องตรงกับสภาพจริงไหมที่จะคาดหมายการปฏิรูปแท้จากคริสต์ศาสนจักร?
การปฏิรูปเป็นไปไม่ได้หรือ?
พระธรรมวิวรณ์ หรืออะพอคาลิปส์ กล่าวถึงหญิงแพศยาคนสำคัญที่เป็นนัยซึ่งมีชื่อลึกลับว่า “บาบูโลนใหญ่.” (วิวรณ์ 17:1, 5) เป็นเวลาหลายศตวรรษ ผู้อ่านคัมภีร์ไบเบิลได้พยายามอธิบายความลึกลับของสัญลักษณ์นี้. หลายคนรู้สึกสะอิดสะเอียนเนื่องจากความมั่งคั่งและการทุจริตของนักเทศน์. บางคนเคยเข้าใจว่า บาบูโลนใหญ่เป็นภาพแสดงถึงการปกครองของนักเทศน์นักบวช. ท่ามกลางพวกเขาก็มี ยาน ฮุส บาทหลวงคาทอลิกชาวโบฮีเมียซึ่งถูกเผาทั้งเป็นในปีสากลศักราช 1415 และอาออนโย พาเลอารีโอ นักมานุษยวิทยาชาวอิตาลีผู้ซึ่งถูกแขวนคอและเผาในปีสากลศักราช 1570. ทั้งสองพยายามบากบั่นที่จะปฏิรูปคริสตจักรคาทอลิกโดยหวังว่าคริสตจักรจะกลับคืนสู่ “ศักดิ์ศรีดั้งเดิมของตน” แต่ไม่สำเร็จ.
ตรงกันข้าม บท 17 และ 18 ของพระธรรมวิวรณ์บ่งชี้ว่า บาบูโลนใหญ่เป็นภาพแสดงถึงจักรวรรดิโลกแห่งศาสนาเท็จทั้งสิ้น.a “หญิงแพศยาคนสำคัญ” ที่ประกอบด้วยศาสนาเท็จนี้ไม่อาจจะปฏิรูปได้ เพราะ “ความบาปของเมืองนั้นกองสูงขึ้นจรดสวรรค์.” ที่จริง ในศตวรรษที่ 20 นี้ โดยแท้แล้ว เกือบทุกศาสนา ไม่เพียงแต่ศาสนาเหล่านั้นในคริสต์ศาสนจักร มีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสงครามซึ่งทำให้เลือดมากมายไหลนองอยู่เรื่อยมาและต่อการเสื่อมทรามทางศีลธรรมอย่างร้ายแรงที่ทำให้มนุษยชาติเป็นทุกข์เดือดร้อน. เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงทรงมีประกาศิตเกี่ยวกับความพินาศ “ของบาบูโลน.”—วิวรณ์ 18:5, 8.
บัดนี้ถึงเวลาที่จะ “ออกไปจากเมืองนั้น”
ความสำเร็จเป็นจริงของคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลเปิดเผยว่า สมัยของเราตรงกับ “ช่วงอวสาน”ของ “ระบบ” ชั่วนี้. (มัดธาย 24:3, ล.ม.) ใครที่ต้องการอย่างจริงใจที่จะนมัสการพระเจ้าไม่ควรติดตามแนวคิดและสิ่งที่ตนเองชอบ. เขาต้อง ‘แสวงหาพระยะโฮวาขณะเมื่อจะหาพระองค์พบได้’ ถูกแล้ว ขณะนี้ทีเดียว เพราะ “ความทุกข์ลำบากใหญ่” ที่พระเยซูทรงบอกไว้ล่วงหน้านั้นใกล้เข้ามาแล้ว. (ยะซายา 55:6; มัดธาย 24:21, ล.ม.) เช่นเดียวกับกรณีของประชาชนยิศราเอล พระเจ้าจะไม่ยอมทนกับความทุจริตเสื่อมทรามของศาสนาเพียงเพราะศาสนานั้นอวดอ้างความเก่าแก่ของตน. แทนที่จะพยายามซ่อมเรือที่ถูกกำหนดให้จมนั้น คนทั้งปวงที่ปรารถนาความพอพระทัยของพระเจ้าและความรอดต้องเชื่อฟังพระบัญชาที่ได้รับการดลใจในวิวรณ์ 18:4 (ล.ม.) โดยไม่ชักช้าที่ว่า “จงออกไปจากเมือง [บาบูโลนใหญ่] นั้นเถิด ประชาชนของเรา ถ้าพวกเจ้าไม่อยากจะมีส่วนในบาปของเมืองนั้น และถ้าพวกเจ้าไม่อยากจะได้รับส่วนแห่งภัยพิบัติของเมืองนั้น.”
แต่ “ออกไป” ยังที่ไหน? จะพบความรอดได้ในที่อื่นใดหรือ? มีอันตรายในการแสวงหาที่ลี้ภัยผิดที่มิใช่หรือ? จะระบุศาสนาเดียวที่พระเจ้าพอพระทัยได้อย่างไร? สามารถพบคำตอบที่ไว้ใจได้อย่างเดียวเท่านั้นในพระวจนะของพระเจ้า. (2 ติโมเธียว 3:16, 17) พยานพระยะโฮวาเชิญคุณให้ตรวจสอบคัมภีร์ไบเบิลอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น. คุณจะสามารถเข้าใจว่าใครเป็นผู้ที่พระเจ้าเลือกสรรเป็น “ประชาชนสำหรับพระนามของพระองค์” ผู้ซึ่งพระองค์จะคุ้มครองระหว่างวันแห่งความกริ้วของพระองค์ที่กำลังจะมาถึงนั้น.—กิจการ 15:14, ล.ม.; ซะฟันยา 2:3; วิวรณ์ 16:14-16.
[เชิงอรรถ]
a เพื่อระบุตัวบาบูโลนใหญ่ที่มีความหมายเป็นนัยได้อย่างถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์ โปรดดูบท 33 ถึง 37 ของหนังสือพระธรรมวิวรณ์—ใกล้จะถึงจุดสุดยอด! จัดพิมพ์ในปี 1994 โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์แห่งนิวยอร์ก
[รูปภาพหน้า 7]
หากเรือทางศาสนาของคุณกำลังจะจมจงหันไปหาเรือช่วยชีวิตแห่งศาสนาคริสเตียนแท้