พระยะโฮวาเป็นที่ลี้ภัยของดิฉัน
เล่าโดยเพเนโลพี มาคริส
คุณแม่ของดิฉันเคยขอร้องอย่างจริงจังกับดิฉันว่า “ทิ้งสามีเสีย พี่ชายของเธอจะหาคนใหม่ให้ดีกว่าคนนี้.” ทำไมคุณแม่ซึ่งมีน้ำใจรักใคร่ถึงต้องการให้ดิฉันเลิกกับสามี? อะไรทำให้คุณแม่ว้าวุ่นใจมากขนาดนี้?
ดิฉันเกิดปี 1897 ที่อัมเบโลสชนบทเล็ก ๆ บนเกาะซามอส ประเทศกรีซ. ครอบครัวของเราเป็นสมาชิกถือเคร่งของคริสตจักรกรีกออร์โทด็อกซ์. คุณพ่อตายก่อนดิฉันเกิดไม่นาน และคุณแม่ พี่ชายสามคน และตัวดิฉันเองต้องทำงานอย่างหนักเพื่อความอยู่รอดท่ามกลางภาวะอัตคัดขัดสนอย่างยิ่งในสมัยนั้น.
สงครามโลกครั้งที่หนึ่งปะทุเมื่อปี 1914 และไม่นานหลังจากนั้น พี่ชายสองคนก็ถูกหมายเกณฑ์ให้ลงชื่ออยู่ในกองทัพ. แต่เพื่อหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร เขาจึงได้อพยพไปอยู่ประเทศอเมริกา ละดิฉันกับพี่ชายอีกคนให้อยู่ที่บ้านกับแม่. เมื่อปี 1920 ดิฉันแต่งงานกับดิมิทริส ครูหนุ่มจากหมู่บ้านเดียวกัน.
การเยี่ยมครั้งสำคัญ
ดิฉันแต่งงานได้ไม่นาน พี่ชายของแม่มาจากอเมริกาและได้เยี่ยมพวกเรา. บังเอิญเขานำหนังสือเล่มหนึ่งในชุด คู่มือการศึกษาพระคัมภีร์ (ภาษาอังกฤษ) เขียนโดยชาลส์ เทซ รัสเซลล์. เป็นหนังสือของนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิล เวลานี้เป็นที่รู้จักด้วยชื่อพยานพระยะโฮวา.
เมื่อดิมิทริสเปิดหนังสือนั้นดู เขาสังเกตเห็นเรื่องหนึ่งซึ่งตัวเองเคยสงสัยตั้งแต่เด็ก เรื่องนั้นคือ “เกิดอะไรขึ้นเมื่อคนเราตาย?” ตอนที่เขาเรียนหนังสือชั้นมัธยม เขาเคยถามนักเทววิทยา ซึ่งอยู่นิกายกรีกออร์โทด็อกซ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจ. อรรถาธิบายที่ชัดเจนมีเหตุผลซึ่งเขาได้พบในหนังสือนั้นทำให้ดิมิทริสดีใจถึงขนาด เขาจึงเดินไปที่ร้านกาแฟประจำหมู่บ้านทันที ซึ่งเป็นธรรมเนียมของผู้ชายกรีกที่จะมาพบกันเป็นประจำที่นั่น. ณ ที่นั้น เขาเล่าเรื่องต่าง ๆ จากคัมภีร์ไบเบิลตามที่เขาได้เรียนรู้.
การยืนหยัดอยู่ฝ่ายความจริงของคัมภีร์ไบเบิล
ในเวลานั้น—ช่วงต้นทศวรรษปี 1920—ประเทศกรีซอยู่ในระหว่างการทำสงครามอีกครั้งหนึ่ง. ดิมิทริสถูกเรียกเข้าประจำการและส่งไปอยู่ที่แผ่นดินใหญ่ของตุรกี ในเอเชียไมเนอร์. เขาได้รับบาดเจ็บจึงถูกส่งตัวกลับบ้าน. หลังจากสุขภาพร่างกายของเขาแข็งแรงดีแล้ว ดิฉันได้เดินทางไปกับเขายังสเมอร์นา ในเอเชียไมเนอร์ (ปัจจุบันคือเมืองอิซเมียร์ ในประเทศตุรกี). เมื่อสงครามยุติอย่างกะทันหันในปี 1922 เราต้องหลบหนี. อันที่จริง เกือบหนีไม่รอดเพราะเราอยู่บนเรือที่ชำรุดแทบใช้การไม่ได้เพื่อไปยังเกาะซามอส. เมื่อไปถึงบ้าน เราคุกเข่ากล่าวคำขอบคุณพระเจ้า—พระเจ้าที่เราเพิ่งมีความรู้อย่างงู ๆ ปลา ๆ เกี่ยวกับพระองค์.
จากนั้นไม่นาน ดิมิทริสได้รับมอบงานสอนหนังสือที่โรงเรียนในวาธี เมืองหลวงของเกาะแห่งนี้. เขายังคงอ่านสรรพหนังสือของนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอย่างต่อเนื่อง และคืนหนึ่งขณะฝนตกหนักได้มีชายสองคนจากเกาะคิออสมาเยี่ยมเรา. ทั้งสองเดินทางกลับจากอเมริกาเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้เผยแพร่เต็มเวลา. เราเชิญเขาพักค้างคืนที่บ้าน และเขาได้บอกเราหลายอย่างเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของพระเจ้า.
หลังจากนั้นดิมิทริสบอกดิฉันว่า “เพเนโลพี ผมตระหนักว่าเรื่องนี้เป็นความจริง และผมต้องดำเนินในแนวนี้. ทั้งนี้หมายความว่าผมต้องเลิกร้องเพลงในโบสถ์ของกรีกออร์โทด็อกซ์ และที่ว่าผมไม่อาจจะเข้าโบสถ์กับพวกเด็กนักเรียนอีกต่อไป.” ถึงแม้ความรู้เกี่ยวกับพระยะโฮวามีจำกัด แต่ความปรารถนาของเราที่จะรับใช้พระองค์นั้นแน่วแน่. ฉะนั้น ดิฉันจึงตอบว่า “ดิฉันจะไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางคุณ ศึกษาต่อไปเถอะ.”
เขาพูดต่อด้วยท่าทีค่อนข้างลังเลใจ “แต่ถ้าพวกเจ้าหน้าที่ของโบสถ์หรือที่โรงเรียนรู้เรื่องนี้ผมคงตกงานแน่ ๆ.”
ดิฉันบอกว่า “อย่ากังวลเลย ทุกคนมีอาชีพเป็นครูสอนหนังสือหรือเปล่าล่ะ? เรายังไม่แก่และยังมีเรี่ยวแรง และด้วยการช่วยเหลือของพระเจ้า เราจะสามารถหางานอื่นได้.”
ระหว่างช่วงนั้น เราได้ข่าวว่านักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอีกคนหนึ่งซึ่งก็เป็นผู้เผยแพร่เต็มเวลาเช่นกันได้มาที่เมืองซามอส. เมื่อได้ยินว่าตำรวจไม่อนุญาตให้เขาบรรยายเรื่องคัมภีร์ไบเบิลแก่สาธารณชน เราจึงออกสืบตามหาเขา. และพบเขากำลังสนทนากับนักเทววิทยาสองคนแห่งนิกายกรีกออร์โทด็อกซ์ภายในร้านแห่งหนึ่ง. ด้วยความรู้สึกอับอายที่ไม่อาจจะใช้คัมภีร์ไบเบิลปกป้องความเชื่อของตน ในไม่ช้า นักเทววิทยาเหล่านั้นจึงจากไป. ด้วยความรู้สึกประทับใจที่เห็นผู้เผยแพร่คนนี้มีความรู้ สามีดิฉันจึงถามว่า “คุณทำอย่างไรถึงได้ใช้คัมภีร์ไบเบิลคล่องจริง ๆ?”
เขาตอบว่า “พวกเราศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอย่างเป็นระบบ.” แล้วเขาก็เปิดกระเป๋า หยิบหนังสือคู่มือศึกษาพระคัมภีร์ พิณของพระเจ้า (ภาษาอังกฤษ) ออกมาและสาธิตวิธีใช้หนังสือนี้ในการศึกษา. เรากระตือรือร้นจะเรียนถึงขนาดที่สามี, ดิฉัน, ผู้เผยแพร่เต็มเวลาคนนั้น, และผู้ชายอีกสองคนได้ร่วมทางทันทีทันใดกับเจ้าของร้านไปที่บ้านของเขา. ผู้เผยแพร่ยื่นหนังสือ พิณของพระเจ้า ให้พวกเราคนละเล่ม และเราเริ่มศึกษาทันที. เราศึกษาต่อเนื่องกระทั่งเลยเที่ยงคืน และจวนเวลารุ่งสางอยู่แล้ว เราตั้งต้นเรียนร้องเพลงตามแบบอย่างที่นักศึกษาพระคัมภีร์ร้อง.
ตั้งแต่นั้นเรื่อยมา ดิฉันเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลวันหนึ่ง ๆ หลายชั่วโมง. นักศึกษาพระคัมภีร์ในต่างประเทศทยอยส่งหนังสือคู่มือศึกษามาให้พวกเราเสมอ. เดือนมกราคม 1926 ดิฉันได้อุทิศตัวแด่พระเจ้าด้วยการอธิษฐาน ปฏิญาณตนจะทำตามพระทัยประสงค์ของพระองค์โดยไม่มีเงื่อนไข. ต่อมาในฤดูร้อนปีนั้นเอง ดิฉันพร้อมกับสามีได้แสดงสัญลักษณ์การอุทิศตนโดยการรับบัพติสมา. เราทั้งสองมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าจะบอกเล่าสิ่งต่าง ๆ ที่เราได้เรียนรู้แก่ผู้อื่น ดังนั้น เราจึงเริ่มออกประกาศตามบ้านเรือนด้วยการใช้แผ่นพับ ข่าวแห่งความหวัง.
อดทนการต่อต้านขัดขวางอย่างรุนแรง
วันหนึ่งดิฉันได้รับเชิญจากสตรีสาวคนหนึ่งให้เข้าร่วมพิธีสวด ณ ศาสนสถานเล็ก ๆ ของนิกายกรีกออร์โทด็อกซ์. ดิฉันชี้แจงว่า “ดิฉันเลิกนมัสการพระเจ้าโดยวิธีนั้น เดี๋ยวนี้ดิฉันนมัสการพระองค์ด้วยวิญญาณและความจริงตามที่สอนในคัมภีร์ไบเบิล.” (โยฮัน 4:23, 24) สตรีผู้นั้นประหลาดใจมากและเล่าลือเรื่องที่เกิดขึ้นไปทั่วทุกหัวระแหง รวมทั้งเรื่องสามีดิฉันด้วย.
แทบทุกคนเลยทีเดียวเริ่มต่อต้าน. เราไม่อาจหาความสงบได้เลย ไม่ว่าในบ้านของเราหรือ ณ การประชุมซึ่งเราจัดขึ้นพร้อมกับคนสนใจไม่กี่คนบนเกาะนั้น. ด้วยการยุยงของพวกบาทหลวงนิกายออร์โทด็อกซ์ ฝูงชนได้มารุมล้อมอยู่ข้างนอกห้องประชุม ขว้างปาก้อนหินและตะโกนด่าอย่างเหยียดหยาม.
เมื่อเราแจกแผ่นพับ ข่าวแห่งความหวัง พวกเด็ก ๆ แห่กันมาห้อมล้อมพวกเราพร้อมกับการส่งเสียงตะโกนว่า “มิเล็นเนียลิสต์” (พวกเชื่อพระคริสต์จะปกครองโลกหนึ่งพันปี) อีกทั้งคำพูดอื่น ๆ ในทางดูหมิ่น. เพื่อนร่วมงานของสามีก็เริ่มก่อความยุ่งยากแก่เขาเหมือนกัน. ช่วงท้ายปี 1926 สามีถูกดำเนินคดี ในข้อหาที่ว่าเขาไม่เหมาะจะเป็นครูในโรงเรียนรัฐบาลและถูกตัดสินจำคุก 15 วัน.
เมื่อคุณแม่รู้เรื่องนี้จึงแนะนำให้ดิฉันเลิกกับสามี. ดิฉันตอบแม่ว่า “คุณแม่ขา ฟังนะคะ คุณแม่รู้ดีว่าลูกรักและเคารพคุณแม่มากขนาดไหน. แต่ลูกไม่อยากให้คุณแม่เข้ามาขัดขวางการนมัสการของเราต่อพระยะโฮวาพระเจ้าเที่ยงแท้.” คุณแม่กลับไปบ้านด้วยความผิดหวังอย่างขมขื่น.
ปี 1927 นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลได้จัดการประชุมใหญ่ขึ้นที่กรุงเอเธนส์ และพระยะโฮวาทรงเปิดช่องทางให้เราได้เข้าร่วม. เราตื่นเต้นดีใจและรับการหนุนกำลังฝ่ายวิญญาณเพราะได้ร่วมประชุมกับเพื่อนร่วมความเชื่อหลายสิบคน. เมื่อกลับมาถึงซามอส เราแจกจ่ายแผ่นพับ พยานหลักฐานแสดงต่อบรรดานักปกครองของโลก ได้มากถึง 5,000 แผ่น ในเมืองและหมู่บ้านในชนบททั่วเกาะเลยทีเดียว.
ประมาณช่วงนั้น ดิมิทริสถูกไล่ออกจากงานสอนหนังสือ และเนื่องจากอคติที่มีต่อพวกเรา จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะได้งานทำ. แต่เนื่องจากดิฉันเย็บผ้าได้ และดิมิทริสเป็นช่างสีที่ชำนาญ เราจึงสามารถหาเงินได้พอซื้อหาสิ่งจำเป็น. ปี 1928 สามีดิฉัน พร้อมด้วยพี่น้องคริสเตียนอีกสี่คนในเกาะซามอสถูกตัดสินจำคุกสองเดือนเพราะการประกาศข่าวดี. เนื่องจากดิฉันเป็นนักศึกษาพระคัมภีร์คนเดียวที่ไม่ถูกจำคุก จึงสามารถนำอาหารไปส่งพวกเขาในคุกได้.
ต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บที่รุนแรง
มีอยู่ช่วงหนึ่งดิฉันล้มป่วยเป็นโรคกระดูกสันหลังอักเสบเนื่องด้วยเชื้อวัณโรค สมัยนั้นการป่วยเรื้อรังแบบนี้ยังไม่เป็นที่รู้จัก ดิฉันเบื่ออาหารและมีไข้สูงไม่สร่าง. การพยาบาลรักษารวมเอาการใส่เฝือกปูนปลาสเตอร์หุ้มจากคอถึงต้นขาสองข้าง. ที่จะรับมือด้านการเงิน สามีของดิฉันได้ขายที่ดินแปลงหนึ่งเพื่อนำเงินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาล. ด้วยความรู้สึกหดหู่ ดิฉันทูลอธิษฐานพระเจ้าทุกวันขอพระองค์โปรดให้กำลัง.
เมื่อญาติมาเยี่ยม พวกเขายั่วยุปลุกปั่นให้มีการต่อต้านอยู่ร่ำไป. แม่บอกว่าเราประสบความยุ่งยากเดือดร้อนเช่นนี้เพราะเราเปลี่ยนศาสนา. เนื่องจากไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวได้ ดิฉันเอาแต่ร้องไห้จนหมอนเปียกชุ่มขณะที่วิงวอนพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์โปรดช่วยดิฉันให้เพียรอดทนและกล้าแกร่งเพื่ออดทนได้ต่อไป.
ดิฉันใช้โต๊ะข้างเตียงเป็นที่วางพระคัมภีร์พร้อมด้วยหนังสือเล่มเล็กและแผ่นพับสำหรับผู้มาเยี่ยม. นับว่าเป็นพระพรที่การประชุมวาระต่าง ๆ ของประชาคมเล็ก ๆ ของเราได้จัดขึ้นที่บ้านของเรา ดิฉันจึงได้รับการหนุนกำลังฝ่ายวิญญาณเป็นประจำ. เราจำต้องขายที่ดินอีกแปลงหนึ่งจ่ายเป็นค่าหมอที่มาจากกรุงเอเธนส์.
หลังจากนั้นไม่นาน ผู้ดูแลเดินทางได้มาเยี่ยมพวกเรา. เขาสลดใจมากที่เห็นดิฉันอยู่ในสภาพเช่นนี้และดิมิทริสตกงาน. เขาช่วยเหลือเราด้วยความกรุณา โดยเตรียมการให้เราไปอยู่ที่เมืองมิทลีนี บนเกาะเลสบอส. เราย้ายไปที่นั่นในปี 1934 และดิมิทริสหางานได้. เราได้พบคริสเตียนพี่น้องชายหญิงที่แสนดีในเกาะนั้นซึ่งให้การช่วยเหลือดูแลดิฉันยามเจ็บป่วย. ภายหลังการบำบัดรักษานานถึงห้าปี ดิฉันมีสุขภาพดีขึ้นเป็นลำดับและหายโรคในที่สุด.
อย่างไรก็ดี ปี 1946 ไม่นานหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ดิฉันป่วยหนักอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เยื่อบุช่องท้องอักเสบเนื่องด้วยเชื้อวัณโรค. ดิฉันนอนแซ่วถึงห้าเดือนมีไข้ขึ้นสูงและปวดอย่างรุนแรง. แต่ก็เหมือนครั้งก่อน ดิฉันไม่ได้เลิกพูดเรื่องพระยะโฮวาแก่ผู้มาเยี่ยม. ต่อมา ดิฉันก็ฟื้นคืนสู่สุขภาพดีอย่างเดิม.
เป็นไพโอเนียร์แม้ถูกต่อต้านขัดขวาง
การต่อต้านอย่างไม่สร่างซาเป็นสิ่งที่พยานพระยะโฮวาในประเทศกรีซได้ประสบสมัยหลังสงคราม. พวกเราถูกจับนับครั้งไม่ถ้วนขณะทำงานประกาศเผยแพร่ตามบ้านเรือน. สามีดิฉันต้องโทษจำคุกรวมเวลาแล้วนานเกือบหนึ่งปี. เมื่อพวกเราเริ่มต้นงานรับใช้วันใดก็ตาม ปกติแล้วเรารู้ว่าจะต้องค้างคืนที่สถานีตำรวจโดยถูกคุมขัง. แต่พระยะโฮวาไม่ทอดทิ้งพวกเรา. ตลอดเวลา พระองค์ทรงจัดเตรียมการเพื่อเราจะมีความกล้าและมีกำลังอดทนได้.
ช่วงปีทศวรรษ 1940 ดิฉันได้อ่านใน ใบแจ้งข่าว (เดี๋ยวนี้คือพระราชกิจของเรา) เกี่ยวกับการจัดเตรียมเพื่อการเป็นไพโอเนียร์ในช่วงพักร้อนประจำปี. ดิฉันตัดสินใจจะลองรับใช้ประเภทนี้ซึ่งกำหนดเวลาทำงานประกาศ 75 ชั่วโมงต่อเดือน. ผลที่ตามมาคือ มีการกลับเยี่ยมและรายศึกษาพระคัมภีร์ของดิฉันเพิ่มมากขึ้น—ระยะหนึ่งดิฉันได้นำการศึกษาพระคัมภีร์ประจำสัปดาห์ 17 ราย. นอกจากนี้ ดิฉันจัดการเวียนส่งวารสารในย่านธุรกิจของเมืองมิทลีนี ซึ่งเป็นย่านที่ดิฉันนำส่งวารสาร หอสังเกตการณ์และ ตื่นเถิด! ประมาณ 300 เล่มให้แก่ห้างร้าน, สำนักงาน, และธนาคารต่าง ๆ เป็นประจำ.
ปี 1964 เมื่อผู้ดูแลเดินทางมาเยี่ยมประชาคมของเรา เขาพูดว่า “ซิสเตอร์เพเนโลพี ผมเห็นจากบัตรบันทึกของผู้ประกาศของคุณ คุณบังเกิดผลดีเยี่ยมในงานรับใช้. คุณไม่คิดอยากจะกรอกใบสมัครเป็นไพโอเนียร์ประจำบ้างหรือ?” ดิฉันจะนึกขอบคุณเขาอยู่เสมอสำหรับการให้กำลังใจ; งานรับใช้เต็มเวลาให้ความยินดีแก่ดิฉันมาตลอดสามสิบกว่าปี.
ประสบการณ์ซึ่งยังผลเป็นความพึงพอใจ
บริเวณหนึ่งในเมืองมิทลีนีที่เรียกว่าลังกาดา มีประชากรหนาแน่น เป็นแหล่งอาศัยของผู้ลี้ภัยชาวกรีก. พวกเราเลี่ยงการไปตามบ้านในบริเวณนั้นเพราะเราเคยประสบการต่อต้านอย่างบ้าคลั่งมาแล้ว. อย่างไรก็ดี เมื่อสามีดิฉันติดคุก ดิฉันต้องเดินผ่านย่านนี้ไปเยี่ยมเขา. วันหนึ่งขณะฝนตกพรำ ๆ หญิงคนหนึ่งได้เชิญดิฉันเข้าไปในบ้านและอยากรู้ว่าทำไมสามีดิฉันถึงติดคุก. ดิฉันชี้แจงว่าเป็นเพราะการประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า และสามีต้องรับความทุกข์เช่นเดียวกับพระคริสต์ทรงทนทุกข์.
จากนั้นไม่นาน ผู้หญิงอีกคนหนึ่งได้นัดหมายให้ดิฉันแวะไปที่บ้านของเธอ. พอไปถึงก็พบว่าเธอได้ชวนผู้หญิงมารอยู่แล้วถึง 12 คน. ดิฉันคาดเดาว่าคงเจอการต่อต้านแน่ ดังนั้น ดิฉันจึงอธิษฐานขอพระเจ้าประทานปัญญาและความกล้าเพื่อเผชิญอะไรก็ตามที่อาจเกิดขึ้น. ผู้หญิงเหล่านั้นมีคำถามมากมาย และบางคนก็ยกข้อคัดค้าน แต่ดิฉันสามารถให้คำตอบจากพระคัมภีร์ได้. เมื่อดิฉันยืนขึ้นกล่าวอำลา หญิงเจ้าของบ้านขอร้องดิฉันให้กลับมาอีกวันรุ่งขึ้น. ดิฉันตอบรับคำเชิญด้วยความยินดี. วันถัดมาเมื่อดิฉันกับเพื่อนไปถึง ก็เห็นผู้หญิงกลุ่มนั้นรอเราอยู่แล้ว.
นับแต่นั้นมา การสนทนาถกกันด้วยเรื่องต่าง ๆ จากพระคัมภีร์ก็ดำเนินอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ และการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลได้เริ่มขึ้นหลายราย. ผู้หญิงหลายคนจากจำนวนนี้ก้าวหน้าด้วยความรู้ถ่องแท้ และคนในครอบครัวของเขาก็ก้าวหน้าเช่นกัน. ภายหลัง กลุ่มนี้กลายเป็นแกนของประชาคมพยานพระยะโฮวาที่ตั้งใหม่ในเมืองมิทลีนี.
พระยะโฮวาทรงเกื้อกูลดิฉันโดยดีเสมอมา
ตลอดหลายปี พระยะโฮวาประทานรางวัลแก่สามีและดิฉันที่ได้บากบั่นรับใช้พระองค์. เหล่าพยานฯแค่หยิบมือเดียวบนเกาะซามอสในช่วงทศวรรษปี 1920 ได้เติบโตจนกลายเป็นสองประชาคมและกลุ่มผู้ประกาศอีกแห่งหนึ่ง มีผู้ประกาศรวมแล้วประมาณ 130 คน. และที่เกาะเลสบอส มีสี่ประชาคมและอีกห้ากลุ่ม รวมจำนวนผู้ประกาศราชอาณาจักรมีราว 430 คน. สามีดิฉันขยันขันแข็งประกาศข่าวราชอาณาจักรของพระเจ้ากระทั่งสิ้นชีวิตในปี 1977. นับว่าเป็นสิทธิพิเศษจริง ๆ ที่ได้เห็นคนเหล่านั้นซึ่งเราเคยช่วยยังคงกระตือรือร้นในงานรับใช้! คนเหล่านี้พร้อมด้วยลูก, หลาน, เหลนทั้งหลายของเขาประกอบกันเป็นชนฝูงใหญ่นมัสการพระยะโฮวาด้วยความพร้อมเพรียง!
แนวทางการรับใช้ของดิฉันฐานะคริสเตียน ซึ่งยืนนานมาตลอด 70 กว่าปีนั้นก็ใช่ว่าผ่านพ้นมาได้อย่างง่ายดาย. กระนั้น พระยะโฮวาทรงเป็นป้อมมั่นคงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้. เนื่องจากวัยชราและสุขภาพร่างกายเสื่อมถอย ดิฉันลุกจากที่นอนไปไหนไม่ได้ และหากทำงานประกาศก็จำกัดมาก. แต่ดังที่ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญกล่าวไว้ ดิฉันสามารถทูลพระยะโฮวาได้ว่า “พระองค์เป็นที่พึ่งพำนักและเป็นป้อมของข้าพเจ้า พระองค์เป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าวางใจในพระองค์.”—บทเพลงสรรเสริญ 91:2, ล.ม.
(ซิสเตอร์มาคริสถึงแก่ชีวิตในระหว่างที่เตรียมพิมพ์เรื่องนี้. เธอมีความหวังทางภาคสวรรค์.)
[รูปภาพหน้า 26]
ถ่ายกับสามี ปี 1955
[รูปภาพหน้า 26]
ซิสเตอร์มาคริสถ้าไม่เสียชีวิตจะมีอายุครบ 100 ปีในเดือนมกราคม 1997