ได้รับการสอนให้ประพฤติตามพระทัยของพระยะโฮวา
“ขอทรงโปรดฝึกสอนข้าพเจ้าให้ประพฤติตามพระทัยของพระองค์; เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า.”—บทเพลงสรรเสริญ 143:10.
1, 2. (ก) เมื่อไรที่เราควรได้รับการสอน และด้วยแง่มุมที่เป็นจริงเช่นไร? (ข) เหตุใดการได้รับการสอนจากพระยะโฮวาจึงสำคัญมาก?
ทุกวันที่คนเรามีชีวิตอยู่และกระฉับกระเฉง เขาสามารถเรียนรู้บางสิ่งที่คุ้มค่า. นั่นเป็นจริงในกรณีของคุณ และเป็นจริงกับคนอื่นด้วย. แต่เกิดอะไรขึ้นเมื่อตายไป? เป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับการสอนหรือเรียนรู้สิ่งใดในสภาพนั้น. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวอย่างชัดเจนว่า คนตายก็ “ไม่รับรู้อะไรเลย.” ไม่มีความรู้ในเชโอล หลุมฝังศพทั่วไปของมนุษยชาติ. (ท่านผู้ประกาศ 9:5, 10, ล.ม.) นี่หมายความว่า การที่เราถูกสอนมา การที่เราสะสมความรู้นั้นไร้ค่าหรือ? นั่นขึ้นอยู่กับว่า เราได้รับการสอนในเรื่องอะไร และวิธีที่เราใช้ความรู้นั้น.
2 ถ้าเราได้รับการสอนเฉพาะแต่สิ่งที่เป็นฝ่ายโลกนี้ เราก็ไม่มีอนาคตที่ยั่งยืน. อย่างไรก็ตาม น่ายินดีที่หลายล้านคนในทุกชาติกำลังได้รับการสอนในเรื่องพระทัยประสงค์ของพระเจ้า พร้อมกับจดจ้องไปที่ชีวิตนิรันดร์. รากฐานสำหรับความหวังนี้อยู่ที่การได้รับการสอนจากพระยะโฮวา ผู้ทรงเป็นแหล่งแห่งความรู้ที่ให้ชีวิต.—บทเพลงสรรเสริญ 94:9-12.
3. (ก) ทำไมจึงกล่าวได้ว่า พระเยซูเป็นศิษย์องค์แรกของพระเจ้า? (ข) เราได้รับการรับรองเช่นไรว่ามนุษย์จะได้รับการสอนจากพระยะโฮวา และพร้อมด้วยผลเช่นไร?
3 ในฐานะเป็นศิษย์องค์แรกของพระองค์ พระบุตรหัวปีของพระเจ้าได้รับการสอนให้ทำตามพระทัยประสงค์ของพระบิดาของพระองค์. (สุภาษิต 8:22-30; โยฮัน 8:28) พระเยซูทรงชี้ว่า ในลำดับต่อมา มนุษย์มากมายจะได้รับการสอนจากพระบิดาของพระองค์. มีความคาดหวังอะไรสำหรับพวกเราซึ่งได้เรียนรู้จากพระเจ้า? พระเยซูตรัสว่า “มีคำเขียนไว้ในคัมภีร์ศาสดาพยากรณ์ว่า ‘และเขาทั้งหลายทุกคนจะได้รับการสั่งสอนจากพระยะโฮวา.’ ทุกคนที่ได้ยินจากพระบิดา และได้เรียนรู้ก็มาหาเรา. . . . เราบอกเจ้าทั้งหลายตามจริงว่า ผู้ที่เชื่อถือก็มีชีวิตนิรันดร์.”—โยฮัน 6:45-47, ล.ม.
4. หลายล้านคนได้รับผลกระทบอย่างไรจากการสอนของพระเจ้า และพวกเขามีความคาดหวังเช่นไร?
4 พระเยซูทรงยกข้อความจากยะซายา 54:13 ขึ้นมากล่าว ซึ่งข้อนี้กล่าวต่อผู้หญิงโดยนัยของพระเจ้า ซีโอนทางภาคสวรรค์. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำพยากรณ์นี้ใช้กับเหล่าบุตรของเธอที่เป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ผู้ได้บังเกิดใหม่ด้วยพระวิญญาณซึ่งมีจำนวน 144,000 คน. ชนที่เหลือแห่งบุตรฝ่ายวิญญาณเหล่านี้ทำงานอย่างกระตือรือร้นอยู่ในทุกวันนี้ เป็นผู้นำหน้าในโครงการสอนตลอดทั่วโลก. ผลคือ คนอื่นอีกหลายล้านคนที่ประกอบกันเป็น “ชนฝูงใหญ่” ได้รับประโยชน์ด้วยจากการสอนของพระยะโฮวา. พวกเขามีความหวังเป็นพิเศษในการเรียนรู้ต่อ ๆ ไปโดยไม่มีความตายเข้ามาขัดจังหวะ. เป็นเช่นนั้นโดยวิธีใด? พวกเขาอยู่ในฐานะที่จะมีชีวิตรอดผ่าน “ความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่” ที่คืบใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็วและมีชีวิตนิรันดร์บนแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยาน.—วิวรณ์ 7:9, 10, 13-17, ล.ม.
การเน้นหนักยิ่งขึ้นในการทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า
5. (ก) ข้อพระคัมภีร์ประจำปีสำหรับปี 1997 คืออะไร? (ข) เราควรรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับการเข้าร่วมการประชุมคริสเตียน?
5 ระหว่างปี 1997 ใน 80,000 กว่าประชาคมตลอดทั่วโลก พยานพระยะโฮวาจะจดจ่ออยู่กับถ้อยคำเริ่มต้นของบทเพลงสรรเสริญ 143:10 ที่ว่า “ขอทรงโปรดฝึกสอนข้าพเจ้าให้ประพฤติตามพระทัยของพระองค์.” นั่นจะเป็นข้อพระคัมภีร์ประจำปีสำหรับปี 1997. ถ้อยคำเหล่านั้นซึ่งจะติดให้เห็นเด่นชัดที่หอประชุมราชอาณาจักร จะช่วยเตือนความจำว่า สถานที่ซึ่งโดดเด่นในการรับเอาการศึกษาที่มาจากพระเจ้าได้แก่ ณ การประชุมประจำประชาคม ซึ่งเป็นที่ที่เราสามารถมีส่วนร่วมในระเบียบวาระที่ให้การสั่งสอนซึ่งกำลังดำเนินอยู่นั้น. เมื่อเข้าร่วมกับพี่น้องของเรา ณ การประชุมต่าง ๆ เพื่อได้รับการสอนจากพระครูองค์ยิ่งใหญ่ของเรา เรารู้สึกได้เช่นเดียวกับผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญ ซึ่งได้เขียนไว้ว่า “ข้าพเจ้ารู้สึกปีติยินดีเมื่อเขาทั้งหลายกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ‘ให้เราไปยังราชนิเวศของพระยะโฮวาเถิด.’”—บทเพลงสรรเสริญ 122:1, ล.ม.; ยะซายา 30:20.
6. ตามถ้อยคำของดาวิด เรายอมรับอะไร?
6 ถูกแล้ว เราปรารถนาจะได้รับการสอนให้ทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า แทนที่จะทำตามความประสงค์ของพญามารศัตรูของเรา หรือตามความประสงค์ของมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์. ดังนั้น เช่นเดียวกับดาวิด เรายอมรับพระเจ้าผู้ซึ่งเรานมัสการและรับใช้ดังนี้: “เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า: พระวิญญาณของพระองค์ก็ดีเลิศล้น; ขอทรงนำข้าพเจ้าไปยังเมืองอันประกอบด้วยความสัตย์ธรรม.” (บทเพลงสรรเสริญ 143:10) แทนที่จะต้องการคลุกคลีกับมนุษย์ที่ไม่มีความจริง ดาวิดปรารถนามากกว่าจะอยู่ ณ ที่ซึ่งมีการนมัสการพระยะโฮวา. (บทเพลงสรรเสริญ 26:4-6) โดยมีพระวิญญาณของพระเจ้าชี้นำก้าวเดินของท่าน ดาวิดสามารถย่างเท้าไปในเส้นทางแห่งความชอบธรรม.—บทเพลงสรรเสริญ 17:5; 23:3.
7. พระวิญญาณของพระเจ้าดำเนินงานเหนือประชาคมคริสเตียนอย่างไร?
7 พระเยซูคริสต์ ดาวิดผู้ยิ่งใหญ่กว่า ทรงรับรองกับเหล่าอัครสาวกว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนพวกเขาทุกสิ่ง และช่วยพวกเขาระลึกถึงทุกสิ่งที่พระองค์ได้บอกพวกเขาไว้แล้ว. (โยฮัน 14:26) นับแต่วันเพนเตคอสเตเป็นต้นมา พระยะโฮวาได้ทรงเปิดเผย “ข้อลับลึกของพระเจ้า” ที่บรรจุอยู่ในพระคำที่ได้รับการจารึกของพระองค์ทีละขั้น. (1 โกรินโธ 2:10-13) พระองค์ทรงทำเช่นนั้นโดยอาศัยร่องทางอันเป็นที่ประจักษ์ด้วยตาที่พระเยซูทรงเรียกว่า “ทาสสัตย์ซื่อและสุขุม.” ชนกลุ่มนี้จัดเตรียมอาหารฝ่ายวิญญาณที่มีการพิจารณาในระเบียบวาระซึ่งให้การสอนสำหรับประชาคมต่าง ๆ แห่งไพร่พลของพระเจ้าทั่วโลก.—มัดธาย 24:45-47, ล.ม.
ได้รับการสอนในเรื่องพระทัยประสงค์ของพระยะโฮวา ณ การประชุมของเรา
8. เหตุใดการมีส่วนร่วมในการศึกษาหอสังเกตการณ์ จึงมีคุณค่ามาก?
8 เรื่องราวที่อยู่ในการศึกษาหอสังเกตการณ์ ประจำประชาคมแต่ละสัปดาห์มักจะเกี่ยวข้องกับการนำเอาหลักการของคัมภีร์ไบเบิลไปใช้. นี่ช่วยเราอย่างแน่นอนให้รับมือกับเรื่องยุ่งยากต่าง ๆ ในชีวิต. ส่วนการศึกษาอื่น ๆ ก็มีการพิจารณาความจริงฝ่ายวิญญาณหรือคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลที่ลึกซึ้ง. เราได้รับการสอนมากมายสักเพียงไรจากการเข้าร่วมการศึกษาเช่นนั้น! ในหลายประเทศ หอประชุมราชอาณาจักรที่จัดการประชุมเหล่านี้มีผู้เข้าร่วมเต็มหอประชุม. กระนั้น มีบางประเทศที่จำนวนผู้เข้าร่วมการประชุมลดน้อยลงไป. คุณคิดว่าเป็นเพราะเหตุใด? อาจเป็นได้ไหมว่า เนื่องจากบางคนปล่อยให้งานฝ่ายโลกขัดขวางการประชุมร่วมกันเป็นประจำ “เพื่อเร้าใจให้เกิดความรักและการกระทำที่ดี”? หรืออาจเป็นได้ไหมว่า เพราะมีการใช้เวลาหลายชั่วโมงในกิจกรรมทางสังคม หรือในการดูโทรทัศน์ ทำให้ตารางเวลาดูเหมือนว่าแน่นเกินกว่าจะเข้าร่วมการประชุมทุกรายการได้? ขอระลึกถึงคำสั่งที่มีขึ้นโดยการดลใจที่เฮ็บราย 10:23-25. การประชุมร่วมกันเพื่อได้รับการสอนจากพระเจ้ายิ่งสำคัญมากขึ้นไปอีกมิใช่หรือในปัจจุบันนี้ ขณะที่เรา “เห็นวันเวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว”?
9. (ก) การประชุมวิธีปฏิบัติงานสามารถช่วยเตรียมเราไว้พร้อมสำหรับงานรับใช้อย่างไร? (ข) ทัศนะของเราเกี่ยวกับการให้คำพยานควรเป็นเช่นไร?
9 หน้าที่รับผิดชอบของเราที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือ การรับใช้ในฐานะเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า. การประชุมวิธีปฏิบัติงานได้รับการจัดไว้โดยมุ่งหมายจะสอนเราถึงวิธีที่เราสามารถรับใช้อย่างประสบผลสำเร็จและมีประสิทธิภาพ. เราเรียนวิธีเข้าพบประชาชน, สิ่งที่จะพูด, วิธีตอบสนองเมื่อมีการตอบรับที่ดี, และแม้แต่จะทำเช่นไรเมื่อประชาชนปฏิเสธข่าวสารของเรา. (ลูกา 10:1-11) การพิจารณาและสาธิตวิธีที่มีประสิทธิภาพในการประชุมประจำสัปดาห์เช่นนั้น จะทำให้เราพร้อมมากขึ้นเพื่อจะเข้าพบประชาชนไม่เพียงแต่เมื่อประกาศตามบ้าน แต่เมื่อประกาศตามถนน, ที่ลานจอดรถ, บนรถโดยสาร, ที่สนามบิน, ในย่านธุรกิจ, หรือในโรงเรียนด้วย. สอดคล้องกับคำขอที่ว่า “ขอทรงโปรดฝึกสอนข้าพเจ้าให้ประพฤติตามพระทัยของพระองค์” เราต้องการจะฉวยประโยชน์จากทุกโอกาสในการทำดังที่พระผู้เป็นนายของเราทรงกระตุ้นเตือนที่ว่า “ให้ความสว่างของท่านส่องไปต่อหน้าคนทั้งปวงอย่างนั้น, เพื่อเขาจะได้ . . . สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้อยู่ในสวรรค์.”—มัดธาย 5:16.
10. โดยวิธีใดเราจะช่วย ‘คนที่เหมาะ’ ได้อย่างแท้จริง?
10 ณ การประชุมประจำประชาคมเช่นนั้น เรายังได้รับการสอนเพื่อทำให้คนอื่นเป็นสาวกด้วย. ครั้นพบคนที่สนใจหรือได้เสนอหนังสือไว้ เป้าหมายของเราเมื่อกลับไปเยี่ยมเยียนคือ เพื่อเริ่มการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลตามบ้าน. ในแง่หนึ่ง นี่คล้ายกันกับการที่พวกสาวก ‘ได้ไปอาศัยอยู่กับคนที่เหมาะ’ เพื่อจะสอนพวกเขาถึงสิ่งต่าง ๆ ที่พระเยซูได้ทรงสั่งไว้. (มัดธาย 10:11; 28:19, 20) โดยที่มีเครื่องมือที่ดีเยี่ยม อย่างเช่นหนังสือความรู้ซึ่งนำไปสู่ชีวิตนิรันดร์ เราจึงถูกเตรียมไว้พร้อมอย่างแท้จริงที่จะทำงานรับใช้ของเราให้ลุล่วงอย่างทั่วถึง. (2 ติโมเธียว 4:5) แต่ละสัปดาห์เมื่อคุณเข้าร่วมการประชุมวิธีปฏิบัติงานและโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้า ขอให้พยายามจับจุดที่เป็นประโยชน์แล้วนำไปใช้ ซึ่งการทำเช่นนี้จะทำให้คุณเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าที่มีคุณวุฒิพอเพื่อทำให้พระทัยประสงค์ของพระองค์สำเร็จ.—2 โกรินโธ 3:3, 5; 4:1, 2
11. บางคนได้แสดงความเชื่ออย่างไรในถ้อยคำที่มัดธาย 6:33?
11 เป็นพระทัยประสงค์ของพระเจ้าที่เราจะ “แสวงหาราชอาณาจักรและความชอบธรรมของพระองค์ก่อนเสมอไป.” (มัดธาย 6:33, ล.ม.) จงถามตัวเองว่า ‘ฉันจะใช้หลักการนี้อย่างไรถ้างานฝ่ายโลกของฉัน [หรือของคู่สมรส] จะขัดขวางการเข้าร่วมการประชุม?’ ผู้อาวุโสฝ่ายวิญญาณหลายคนจะพูดกับนายจ้างของตนเกี่ยวด้วยเรื่องนี้. ผู้รับใช้เต็มเวลาคนหนึ่งบอกให้นายจ้างทราบว่า เธอจำเป็นต้องขอเวลาหยุดงานในแต่ละสัปดาห์เพื่อเข้าร่วมการประชุมประจำประชาคม. เขาอนุมัติตามคำขอนั้น. แต่เนื่องจากอยากรู้ว่ามีการทำอะไรกัน ณ การประชุมเหล่านั้น เขาขอไปร่วมการประชุมด้วย. ที่นั่นเขาได้ยินคำประกาศเกี่ยวกับการประชุมภาคที่กำลังจะมาถึง. ผลคือ นายจ้างนั้นจัดแจงเพื่อเข้าร่วมการประชุมภาควันหนึ่งตลอดทั้งวัน. คุณได้บทเรียนอะไรจากตัวอย่างนี้?
ได้รับการสอนเรื่องพระทัยประสงค์ของพระยะโฮวาจากบิดามารดาที่เลื่อมใสในพระเจ้า
12. เพื่อบุตรจะได้รับการสอนในเรื่องพระทัยประสงค์ของพระยะโฮวา บิดามารดาคริสเตียนควรทำอะไรด้วยความอดทนและหนักแน่น?
12 แต่การประชุมประจำประชาคมและการประชุมใหญ่ไม่ใช่การจัดเตรียมเพียงอย่างเดียวสำหรับการได้รับการสอนให้ทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า. บิดามารดาที่เลื่อมใสพระเจ้าได้รับพระบัญชาให้อบรม, ตีสอน, และเลี้ยงดูบุตรของตนให้สรรเสริญพระยะโฮวาและทำตามพระทัยประสงค์ของพระองค์. (บทเพลงสรรเสริญ 148:12, 13; สุภาษิต 22:6, 15) การทำเช่นนั้นเรียกร้องให้เราพา “เด็กทั้งปวง” ไปยังการประชุม ซึ่งพวกเขาสามารถ ‘ได้ยินได้ฟังและเรียนรู้’ ทว่าจะว่าอย่างไรเกี่ยวกับการสอนคำจารึกศักดิ์สิทธิ์แก่พวกเขาที่บ้าน? (พระบัญญัติ 31:12; 2 ติโมเธียว 3:15) หลายครอบครัวได้เริ่มการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลในครอบครัวเป็นประจำด้วยความสำนึกตามสติรู้สึกผิดชอบ แต่ไม่นานนักก็เริ่มจะไม่ค่อยสม่ำเสมอหรือละเลยไปในที่สุด. คุณเคยมีประสบการณ์แบบนั้นไหม? คุณจะสรุปไหมว่าคำแนะนำที่ให้ศึกษาเป็นประจำ นั้นเป็นคำแนะนำที่ไม่เหมาะ หรือครอบครัวคุณมีสภาพที่ต่างออกไปมากจนคำแนะนำนี้ใช้การไม่ได้ในกรณีของคุณ? ไม่ว่าสภาพการณ์เป็นเช่นไร บิดามารดาทั้งหลาย โปรดทบทวนบทความที่ดีเรื่อง “มรดกอันมั่งคั่งฝ่ายวิญญาณของเรา” และ “บำเหน็จของความพากเพียร” ในหอสังเกตการณ์ ฉบับ 1 สิงหาคม 1995.
13. ครอบครัวสามารถได้รับประโยชน์จากการพิจารณาข้อพระคัมภีร์ประจำวันอย่างไร?
13 ครอบครัวได้รับการสนับสนุนให้มีนิสัยพิจารณาข้อพระคัมภีร์ประจำวันจากหนังสือการพิจารณาพระคัมภีร์ทุก ๆ วัน. เพียงได้อ่านข้อพระคัมภีร์และคำอธิบายก็นับว่าดี แต่การพินิจพิเคราะห์ข้อพระคัมภีร์นั้นและนำเอาไปใช้จะยิ่งก่อให้เกิดประโยชน์มากขึ้นไปอีก. ตัวอย่างเช่น หากพิจารณาเอเฟโซ 5:15-17 (ล.ม.) สมาชิกครอบครัวอาจให้เหตุผลถึงวิธีที่จะ “ใช้ประโยชน์เต็มที่จากเวลาอันเหมาะ” สำหรับการศึกษาส่วนตัว, การรับใช้เต็มเวลาบางประเภท, และการเอาใจใส่หน้าที่มอบหมายอื่น ๆ ตามระบอบของพระเจ้า. ใช่แล้ว การพิจารณาข้อพระคัมภีร์ประจำวันร่วมกันเป็นครอบครัวสามารถชักนำคนเราให้ “สังเกตเข้าใจต่อไป [อย่างเต็มที่ยิ่งขึ้น] ว่า พระทัยประสงค์ของพระยะโฮวาเป็นเช่นไร.”
14. พระบัญญัติ 6:6, 7 ชี้ว่าบิดามารดาควรเป็นครูแบบไหน เรื่องนี้เรียกร้องสิ่งใด?
14 บิดามารดาต้องเป็นครูที่ขยันหมั่นเพียรในการสอนบุตรของตน. (พระบัญญัติ 6:6, 7) ทว่า ไม่ใช่เอาแต่พร่ำพูดหรือออกคำสั่งแก่ลูก ๆ ของตนอยู่ถ่ายเดียว. บิดาและมารดายังจำเป็นต้องฟังด้วย ซึ่งโดยวิธีนี้จึงจะสามารถทราบว่า มีอะไรบ้างที่จำเป็นต้องอธิบาย, ชี้แจง, ยกตัวอย่างเปรียบเทียบ, หรือกล่าวซ้ำ. ในครอบครัวคริสเตียนครอบครัวหนึ่ง บิดามารดากระตุ้นให้มีการสื่อความกันอย่างเปิดเผยโดยสนับสนุนให้บุตรถามคำถามเกี่ยวด้วยเรื่องที่พวกเขาไม่เข้าใจหรือทำให้รู้สึกกังวล. โดยวิธีนี้พวกเขาจึงได้มารู้ว่า บุตรชายคนหนึ่งซึ่งกำลังเป็นวัยรุ่นรู้สึกว่ายากจะเข้าใจในเรื่องที่ว่า พระยะโฮวาไม่มีจุดเริ่มต้น. บิดามารดาจึงสามารถใช้ข้อมูลจากหนังสือต่าง ๆ ของสมาคมว็อชเทาเวอร์ที่ชี้ให้เห็นว่าเป็นที่ยอมรับกันว่า เวลาและอวกาศนั้นไม่มีที่สิ้นสุด. นั่นช่วยไขเรื่องนั้นให้กระจ่าง และบุตรชายของพวกเขาก็พอใจกับคำตอบนั้น. ดังนั้น จงใช้เวลาตอบคำถามบุตรของคุณอย่างชัดเจนจากพระคัมภีร์ ช่วยพวกเขาให้เห็นว่า การเรียนรู้ที่จะทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้าสามารถก่อให้เกิดความยินดีอย่างมาก. มีอะไรอีกที่ไพร่พลของพระเจ้า—ทั้งคนหนุ่มและผู้สูงอายุ—กำลังได้รับการสอนอยู่ในทุกวันนี้?
ได้รับการสอนให้แสดงความรักและต่อสู้
15. เมื่อไรที่เราอาจถูกทดสอบความรักแท้ต่อพวกพี่น้องของเรา?
15 สอดคล้องกับพระบัญชาใหม่ของพระเยซู เรา “รับคำสอนจากพระเจ้า . . . ให้รักซึ่งกันและกัน.” (1 เธซะโลนิเก 4:9) เมื่อสิ่งต่าง ๆ สงบและดำเนินไปด้วยดี เราอาจรู้สึกว่า เรารักพี่น้องของเราทุกคน. กระนั้น เป็นเช่นไรเมื่อมีข้อขัดแย้งเป็นส่วนตัวเกิดขึ้น หรือเมื่อเรารู้สึกไม่ค่อยจะพอใจเนื่องด้วยสิ่งที่คริสเตียนอีกคนหนึ่งพูดหรือกระทำ? ถึงตอนนี้ ความรักของเราอาจถูกทดสอบว่าจริงแท้หรือไม่. (เทียบกับ 2 โกรินโธ 8:8.) คัมภีร์ไบเบิลสอนเราเช่นไรในสถานการณ์เช่นนั้น? สิ่งหนึ่งนั้นคือพยายามสำแดงความรักให้เต็มที่. (1 เปโตร 4:8) แทนที่จะคิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเราเอง, รู้สึกขุ่นเคืองกับข้อบกพร่องเล็ก ๆ น้อย ๆ, หรือเก็บเรื่องความผิดนั้นเอาไว้, เราน่าจะให้ความรักปกปิดความผิดมากหลาย. (1 โกรินโธ 13:5) เรารู้ว่า นั่นคือพระทัยประสงค์ของพระเจ้า เพราะว่าพระคำของพระองค์สอนเช่นนั้น.
16. (ก) คริสเตียนได้รับการสอนให้ร่วมในการต่อสู้ชนิดใด? (ข) เราได้รับการช่วยให้เตรียมพร้อมอย่างไร?
16 แม้ว่าหลายคนคงจะไม่คิดว่าความรักและการต่อสู้จะมีอะไรเกี่ยวข้องกัน แต่การต่อสู้เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เรากำลังได้รับการสอน ทว่าเป็นการต่อสู้ที่มีลักษณะเฉพาะ. ดาวิดยอมรับว่าท่านพึ่งพระยะโฮวาให้สอนท่านในเรื่องวิธีการรบ แต่ในสมัยของท่านนั่นหมายรวมถึงการสู้รบจริง ๆ กับศัตรูของชาติยิศราเอล. (1 ซามูเอล 17:45-51; 19:8; 1 กษัตริย์ 5:3; บทเพลงสรรเสริญ 144:1) จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับการต่อสู้ของเราในปัจจุบัน? อาวุธของเราไม่ใช่ฝ่ายเนื้อหนัง. (2 โกรินโธ 10:4) การสู้รบของเราเป็นทางฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเราจำเป็นต้องได้รับการเตรียมพร้อมด้วยยุทธภัณฑ์ฝ่ายวิญญาณ. (เอเฟโซ 6:10-13) โดยทางพระคำของพระองค์และไพร่พลของพระองค์ที่มาร่วมประชุมกัน พระยะโฮวาทรงสอนเราให้ทำการรบฝ่ายวิญญาณอย่างประสบผลสำเร็จ.
17. (ก) ซาตานใช้กลยุทธ์อะไรเพื่อทำให้เราเขว? (ข) ด้วยความสุขุม เราควรหลีกเลี่ยงอะไร?
17 ด้วยวิธีที่เจ้าเล่ห์และแยบยล พญามารมักใช้สิ่งล่อใจต่าง ๆ ของโลก, พวกออกหาก, และผู้ต่อต้านความจริงคนอื่น ๆ ในการพยายามทำให้เราเขวไปหาเรื่องที่ไม่สำคัญ. (1 ติโมเธียว 6:3-5, 11; ติโต 3:9-11) ดูเหมือนมันเห็นว่ามีโอกาสน้อยที่จะเอาชนะเราด้วยการโจมตีโดยตรงซึ่ง ๆ หน้า ดังนั้น มันพยายามทำให้เราก้าวล้มพลาดไปโดยทำให้เรามีเรื่องที่จะบ่นว่าและตั้งคำถามในเรื่องที่โง่เขลา ซึ่งไร้ค่าทางฝ่ายวิญญาณ. ในฐานะนักรบผู้กล้าหาญ เราควรตื่นตัวระวังอันตรายเช่นนั้น เช่นเดียวกับการจู่โจมซึ่งหน้า.—1 ติโมเธียว 1:3, 4.
18. การไม่มีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองอีกต่อไปหมายรวมสิ่งใดอย่างแท้จริง?
18 เราไม่ส่งเสริมความปรารถนาของมนุษย์หรือความมุ่งหมายของชาติต่าง ๆ. พระยะโฮวาได้ทรงสอนเราด้วยตัวอย่างของพระเยซูว่า เราต้องไม่อยู่เพื่อตัวเองอีกต่อไป; แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เราควรมีน้ำใจแบบเดียวกับที่พระเยซูคริสต์ทรงมีและดำเนินชีวิตเพื่อพระทัยประสงค์ของพระเจ้า. (2 โกรินโธ 5:14, 15) ในอดีต เราอาจดำเนินชีวิตอย่างไม่บันยะบันยัง, สุรุ่ยสุร่าย, และผลาญเวลาอันมีค่าเป็นว่าเล่น. การเลี้ยงเฮฮา, การแข่งขันประชันกันดื่ม, และการผิดศีลธรรมเป็นลักษณะเด่นของโลกชั่วนี้. เดี๋ยวนี้ เมื่อเราได้รับการสอนให้ทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า เรารู้สึกหยั่งรู้ค่าที่ได้แยกออกมาจากโลกที่เสื่อมทรามนี้มิใช่หรือ? ดังนั้น ให้เราต่อสู้อย่างหนักทางฝ่ายวิญญาณเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจปฏิบัติของโลกที่เป็นมลทิน.—1 เปโตร 4:1-3.
ทรงสอนเราเพื่อให้เราได้รับประโยชน์
19. การได้รับการสอนเรื่องพระทัยประสงค์ของพระยะโฮวาและทำตามนั้นจะนำไปสู่ผลประโยชน์เช่นไร?
19 เป็นเรื่องที่ต้องยอมรับว่า การได้รับการสอนให้ทำตามพระทัยประสงค์ของพระยะโฮวาจะทำให้เราได้รับประโยชน์อย่างมาก. เห็นได้ชัดว่า เราต้องทำส่วนของเราโดยการจดจ่อจริง ๆ เพื่อจะเรียนรู้และจากนั้นปฏิบัติตามคำแนะนำที่มาถึงเราโดยทางพระบุตร รวมทั้งที่มาทางพระคำของพระองค์และทางไพร่พลที่รวมตัวกันเป็นประชาคม. (ยะซายา 48:17, 18; เฮ็บราย 2:1) โดยการทำเช่นนั้น เราจะได้รับการเสริมให้ยืนมั่นในสมัยนี้ที่เต็มไปด้วยภัยพิบัติและฟันฝ่าผ่านมรสุมที่อยู่เบื้องหน้าไปได้. (มัดธาย 7:24-27) แม้แต่ขณะนี้ เราจะทำให้พระเจ้าพอพระทัยโดยการทำตามพระทัยประสงค์ของพระองค์ และเป็นการรับประกันว่า คำอธิษฐานของเราจะได้รับคำตอบ. (โยฮัน 9:31; 1 โยฮัน 3:22) และเราจะประสบความสุขแท้.—โยฮัน 13:17.
20. คงจะเป็นการดีที่จะใคร่ครวญถึงสิ่งใดเมื่อคุณเห็นข้อพระคัมภีร์ประจำปีตลอดปี 1997?
20 ในระหว่างปี 1997 นี้ เราจะมีโอกาสได้อ่านและพิจารณาข้อพระคัมภีร์ประจำปีบ่อย ๆ คือบทเพลงสรรเสริญ 143:10 ซึ่งอ่านว่า “ขอทรงโปรดฝึกสอนข้าพเจ้าให้ประพฤติตามพระทัยของพระองค์.” ขณะที่เราอ่านข้อนี้ ให้เราใช้บางโอกาสคิดใคร่ครวญเรื่องการจัดเตรียมที่พระเจ้าได้ทรงจัดให้เพื่อเราจะได้รับการสอน ดังที่ได้อธิบายไว้ข้างต้น. และให้เราใช้การคิดรำพึงถึงคำเหล่านั้นเป็นสิ่งที่กระตุ้นการกระทำให้สอดคล้องกับคำขอนั้น โดยรู้อยู่ว่า “ผู้ที่ทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้าจะดำรงอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์.”—1 โยฮัน 2:17, ล.ม.
คุณจะตอบเช่นไร?
▫ ใครในทุกวันนี้ที่ได้รับการสอนให้ทำตามพระทัยประสงค์ของพระยะโฮวา?
▫ บทเพลงสรรเสริญ 143:10 ควรมีผลกระทบเราอย่างไรในระหว่างปี 1997?
▫ โดยวิธีใดเรากำลังได้รับการสอนให้ทำตามพระทัยประสงค์ของพระยะโฮวา?
▫ บิดามารดาคริสเตียนจำต้องทำประการใดในการสอนบุตรของตน?