จงให้การสังเกตเข้าใจปกป้องคุณ
“ความสามารถทางความคิดนั่นเองจะป้องกันเจ้าไว้ ความสังเกตเข้าใจก็จะปกป้องเจ้า.”—สุภาษิต 2:11, ล.ม.
1. การสังเกตเข้าใจสามารถปกป้องเราจากอะไร?
พระยะโฮวาทรงประสงค์ให้คุณสำแดงการสังเกตเข้าใจ. เพราะเหตุใด? เพราะพระองค์ทรงทราบว่า การสังเกตเข้าใจนั้นจะช่วยปกป้องคุณไว้จากอันตรายต่าง ๆ. สุภาษิต 2:10-19 (ล.ม.) กล่าวนำดังนี้: “เมื่อสติปัญญาเข้าสู่หัวใจของเจ้า และความรู้เป็นที่น่าชื่นใจแก่จิตวิญญาณของเจ้า ความสามารถทางความคิดนั่นเองจะป้องกันเจ้าไว้ ความสังเกตเข้าใจก็จะปกป้องเจ้า.” ปกป้องคุณไว้จากอะไร? จากสิ่งต่าง ๆ ที่เป็น “แนวทางชั่ว” คือให้พ้นจากพวกคนที่ละทิ้งแนวทางชอบธรรม, และผู้คนที่ทางประพฤติทั่วไปของพวกเขาหันเหไปจากมาตรฐานที่ถูกต้อง.
2. การสังเกตเข้าใจคืออะไร และการสังเกตเข้าใจชนิดใดที่คริสเตียนปรารถนาจะมีเป็นพิเศษ?
2 คุณคงจะจำได้ว่า การสังเกตเข้าใจคือความสามารถของจิตใจซึ่งช่วยแยกแยะสิ่งหนึ่งออกจากอีกสิ่งหนึ่ง. คนที่มีการสังเกตเข้าใจมองเห็นข้อแตกต่างของความคิดเห็นหรือสิ่งต่าง ๆ และมีดุลพินิจที่ดี. ฐานะคริสเตียน เราปรารถนาเป็นพิเศษจะได้การสังเกตเข้าใจฝ่ายวิญญาณซึ่งอาศัยความรู้ถ่องแท้แห่งพระคำของพระเจ้า. เมื่อเราศึกษาพระคัมภีร์ เป็นเหมือนกับว่าเรากำลังขุดเพื่อจะได้หินสำหรับก่อสร้างความสังเกตเข้าใจฝ่ายวิญญาณ. สิ่งที่เราเรียนรู้สามารถช่วยเราให้ทำการตัดสินใจต่าง ๆ ที่พระยะโฮวาทรงพอพระทัย.
3. เราสามารถได้การสังเกตเข้าใจฝ่ายวิญญาณโดยวิธีใด?
3 เมื่อพระเจ้าทรงถามซะโลโมกษัตริย์ชาติยิศราเอลว่าท่านต้องการพระพรอะไร ผู้ปกครองหนุ่มกล่าวว่า “ขอพระองค์ทรงโปรดประทานแก่ทาสของพระองค์ให้มีใจที่จะเข้าใจในการพิพากษาไพร่พลของพระองค์, เพื่อข้าพเจ้าจะสังเกต [“สังเกตเข้าใจ,” ล.ม.] ได้ซึ่งการดีและชั่ว.” ซะโลโมทูลขอการสังเกตเข้าใจ และพระยะโฮวาทรงประทานให้ท่านจนเกินขีดธรรมดา. (1 กษัตริย์ 3:9; 4:30) เพื่อได้การสังเกตเข้าใจ เราจำต้องอธิษฐาน และเราต้องศึกษาพระคำของพระเจ้าโดยอาศัยการไขแสงสว่างจากสรรพหนังสือซึ่งจัดไว้ให้ทาง “ทาสสัตย์ซื่อและสุขุม.” (มัดธาย 24:45-47, ล.ม.) การทำเช่นนั้นจะช่วยเราให้พัฒนาการสังเกตเข้าใจฝ่ายวิญญาณจนถึงขั้นที่เรากลายเป็น “ผู้ใหญ่ด้านความสามารถในการเข้าใจ” สามารถ “สังเกตเข้าใจว่าอะไรถูกอะไรผิด.”—1 โกรินโธ 14:20, ล.ม.; เฮ็บราย 5:14, ล.ม.
ความจำเป็นพิเศษ ที่ต้องมีการสังเกตเข้าใจ
4. การมีตา “ปกติ” หมายความเช่นไร และก่อผลประโยชน์อย่างไรต่อเรา?
4 ด้วยการสังเกตเข้าใจอย่างถูกต้อง เราสามารถกระทำสอดคล้องกับคำตรัสของพระเยซูคริสต์ที่ว่า “ดังนั้น จงแสวงหาราชอาณาจักรและความชอบธรรมของ [พระเจ้า] ก่อนเสมอไป แล้วสิ่งอื่นเหล่านี้ทั้งหมด [ฝ่ายวัตถุ] จะเพิ่มเติมให้แก่ท่าน.” (มัดธาย 6:33, ล.ม.) พระเยซูยังตรัสอีกว่า “ตาเป็นดวงสว่างของร่างกาย เมื่อตาของท่านปกติทั้งตัวก็พลอยสว่างไป.” (ลูกา 11:34) ตาเป็นดวงสว่างในความหมายเป็นนัย. ตาที่ “ปกติ” นั้นไม่ขุ่นมัว และจดจ่อ. ด้วยตาเช่นนั้น เราสามารถสำแดงการสังเกตเข้าใจและดำเนินไปโดยไม่สะดุดฝ่ายวิญญาณ.
5. ในเรื่องการดำเนินธุรกิจ เราควรจำอะไรเอาไว้เสมอถึงจุดประสงค์ของประชาคมคริสเตียน?
5 แทนที่จะรักษาตาให้ปกติ บางคนทำให้ชีวิตของตัวเองและของคนอื่นยุ่งยากซับซ้อนด้วยการทำธุรกิจที่ล่อใจ. แต่เราควรจำไว้เสมอว่า ประชาคมคริสเตียนเป็น “หลักและรากแห่งความจริง.” (1 ติโมเธียว 3:15) เช่นเดียวกับเสาของอาคาร ประชาคมส่งเสริมความจริงของพระเจ้า ไม่ใช่กิจการค้าของผู้ใด. ประชาคมแห่งพยานพระยะโฮวาไม่ได้ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมผลประโยชน์ทางการค้า, สินค้า, หรือการบริการ. เราต้องละเว้นจากการทำธุรกิจส่วนตัวที่หอประชุมราชอาณาจักร. การสังเกตเข้าใจช่วยให้เราเห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นที่หอประชุมราชอาณาจักร, กลุ่มการศึกษาหนังสือประจำประชาคม, ณ การประชุมหมวดและการประชุมภาคของพยานพระยะโฮวา ล้วนแต่เป็นสถานที่สำหรับการคบหาสมาคมแบบคริสเตียนและการพูดคุยกันเกี่ยวกับสิ่งฝ่ายวิญญาณ. ถ้าเราฉวยประโยชน์จากความสัมพันธ์ฝ่ายวิญญาณเพื่อส่งเสริมการค้าไม่ว่ารูปลักษณะใด อย่างน้อยนั่นย่อมแสดงให้เห็นถึงการขาดความหยั่งรู้ค่าอยู่บ้างต่อค่านิยมฝ่ายวิญญาณมิใช่หรือ? ความสัมพันธ์ใด ๆ ที่เกี่ยวกับประชาคมไม่ควรอย่างยิ่งที่จะถูกนำไปใช้เพื่อผลประโยชน์ทางการเงิน.
6. ทำไมไม่ควรขายหรือส่งเสริมผลิตภัณฑ์และการบริการทางการค้าที่การประชุมประจำประชาคม?
6 บางคนได้ใช้การคบหาสมาคมตามระบอบของพระเจ้าเพื่อขายผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพหรือความงาม, วิตามิน, บริการโทรคมนาคม, วัสดุก่อสร้าง, บริการท่องเที่ยว, โปรแกรมและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์, และอื่น ๆ. แต่การประชุมประจำประชาคมไม่ใช่โอกาสสำหรับขายหรือส่งเสริมผลิตภัณฑ์หรือบริการทางการค้า. เราสามารถสังเกตเข้าใจหลักการที่แฝงอยู่ถ้าเราจำไว้เสมอว่า พระเยซูทรง “ไล่คนเหล่านั้นพร้อมด้วยแกะและวัวออกไปจากพระวิหาร และพระองค์ทรงเทเงินของคนรับแลกเงินและคว่ำโต๊ะของเขาเสีย. และพระองค์ตรัสแก่คนขายนกพิราบว่า ‘จงเอาสิ่งเหล่านี้ไปให้พ้น! จงเลิกทำให้ราชนิเวศแห่งพระบิดาของเราเป็นร้านค้า!’”—โยฮัน 2:15, 16, ล.ม.
จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับการลงทุน?
7. เหตุใดจึงต้องมีการสังเกตเข้าใจและความระมัดระวังเมื่อคิดถึงการลงทุน?
7 ทั้งการสังเกตเข้าใจและการคิดอย่างรอบคอบนับว่าจำเป็นเมื่อพิจารณาเกี่ยวกับการลงทุนในธุรกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง. สมมุติมีบางคนต้องการยืมเงินและให้สัญญาทำนองนี้: “ผมรับประกันว่าคุณจะทำเงินได้แน่.” “ไม่มีอะไรที่คุณจะเสีย. การลงทุนนี้ทำกำไรแน่นอน.” พึงระวังเมื่อมีใครให้คำรับรองอย่างนี้. ไม่ว่าเขาคิดไม่ตรงกับความจริงหรือเขาไม่ซื่อตรงก็ควรระวัง เพราะการลงทุนเป็นเรื่องที่ไม่ใคร่จะมีความแน่นอน. ที่จริง ปรากฏว่าได้เคยมีบางคนที่พูดจานุ่มนวลและปราศจากความละอายต่อบาปมาหลอกลวงสมาชิกของประชาคม. นี่ทำให้เรานึกถึง “คนดูหมิ่นพระเจ้า” ซึ่งได้เล็ดลอดเข้ามาในประชาคมสมัยศตวรรษแรกและ “พลิกแพลงเอาพระกรุณาอันไม่พึงได้รับของพระเจ้าของเราไปใช้เป็นข้อแก้ตัวสำหรับความประพฤติอันหละหลวม.” คนพวกนี้เป็นเหมือนหินโสโครกใต้น้ำซึ่งมีคมที่อาจบาดเอานักประดาน้ำจนถึงแก่ชีวิตได้. (ยูดา 4, 12, ล.ม.) จริงอยู่ แรงจูงใจของผู้หลอกลวงแตกต่างกันไป แต่พวกเขาต่างก็หาเหยื่อจากสมาชิกของประชาคม.
8. มีอะไรเกิดขึ้นกับธุรกิจบางอย่างที่ดูเหมือนจะให้ผลกำไร?
8 แม้แต่คริสเตียนบางคนที่มีเจตนาบริสุทธิ์ก็ได้มีส่วนในการแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจที่ดูเหมือนจะให้ผลกำไร แต่แล้วก็พบว่าพวกเขาและคนที่ตามอย่างพวกเขาต้องสูญเงินที่ตนลงทุน. ผลคือ คริสเตียนบางคนสูญเสียสิทธิพิเศษต่าง ๆ ในประชาคม. เมื่อธุรกิจรวยเร็วปรากฏว่ากลายเป็นแผนหลอกลวง คนเดียวที่ได้ผลกำไรคือผู้หลอกลวงซึ่งก็มักจะหายเข้ากลีบเมฆไปโดยพลัน. การสังเกตเข้าใจสามารถช่วยคนเราให้หลีกเลี่ยงสถานการณ์เช่นนั้นได้อย่างไร?
9. ทำไมจำเป็นต้องมีการสังเกตเข้าใจเพื่อประเมินคำกล่าวอ้างในเรื่องการลงทุนต่าง ๆ?
9 การสังเกตเข้าใจหมายถึงการสามารถเข้าใจสิ่งที่คลุมเครือ. ความสามารถในการสังเกตเข้าใจเช่นนี้จำเป็นเพื่อประเมินคำกล่าวอ้างเกี่ยวกับการลงทุนต่าง ๆ. คริสเตียนวางใจกันและกัน และบางคนอาจหาเหตุผลว่า พี่น้องชายหญิงฝ่ายวิญญาณของตนคงไม่ไปยุ่งกับธุรกิจที่อาจทำให้ทรัพย์สินของเพื่อนร่วมความเชื่อเสียหาย. แต่ข้อเท็จจริงที่ว่านักธุรกิจเป็นคริสเตียนไม่ได้รับประกันว่าเขามีความสามารถเยี่ยมในด้านธุรกิจ หรือกิจการของเขาจะประสบความสำเร็จ.
10. เหตุใดคริสเตียนบางคนเสาะหาเงินกู้มาทำธุรกิจจากเพื่อนร่วมความเชื่อ และอาจเกิดอะไรกับการลงทุนเช่นนั้น?
10 คริสเตียนบางคนเสาะหาเงินกู้จากเพื่อนร่วมความเชื่อเนื่องจากบริษัทให้กู้ยืมที่มีชื่อเสียงไม่มีทางปล่อยเงินกู้สำหรับกิจการของเขาที่มีความเสี่ยงสูง. หลายคนถูกลวงให้หลงเชื่อว่า เพียงแต่ลงเงินของตนไว้ พวกเขาก็จะสามารถทำเงินได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องทำงานมากหรืออาจไม่ต้องทำเลย. บางคนถูกล่อใจให้ลงทุนเพราะความตื่นเต้นที่พ่วงอยู่กับการลงทุนนั้น แต่ในที่สุดก็ต้องสูญเงินที่สู้อดออมมาชั่วชีวิตของตน! คริสเตียนคนหนึ่งลงทุนเป็นเงินก้อนใหญ่ โดยคาดหมายว่าจะได้รับผลตอบแทนในอัตราร้อยละ 25 ภายในระยะเวลาเพียงสองสัปดาห์. เขาสูญเงินทั้งหมดนั้นเมื่อบริษัทที่เขาร่วมลงทุนนั้นประกาศตัวล้มละลาย. กิจการอีกรายหนึ่ง นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์คนหนึ่งได้กู้ยืมเงินก้อนใหญ่จากหลายคนในประชาคม. เขาให้สัญญาว่าจะคืนผลกำไรให้อย่างงามอย่างที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่เขาล้มละลายและทำให้เงินที่ยืมมานั้นสูญไปสิ้น.
เมื่อธุรกิจล้มเหลว
11. เปาโลให้คำแนะนำอะไรในเรื่องความโลภและการรักเงิน?
11 ความล้มเหลวในทางธุรกิจได้สร้างความผิดหวังและกระทั่งการสูญเสียสภาพฝ่ายวิญญาณในชีวิตของคริสเตียนบางคนซึ่งเข้าไปพัวพันกับธุรกิจที่ไม่มั่นคง. ความปวดร้าวใจและความขมขื่นเป็นผลจากการไม่ได้ใช้การสังเกตเข้าใจเป็นเครื่องปกป้อง. ความโลภเป็นบ่วงแร้วที่ได้ดักจับคนเป็นจำนวนมาก. เปาโลเขียนดังนี้: “ความโลภ, อย่าให้เอ่ยชื่อท่ามกลางท่านเลย, จะได้สมกับท่านที่เป็นสิทธชน.” (เอเฟโซ 5:3) และท่านเตือนว่า “คนเหล่านั้นที่ตั้งใจจะเป็นคนมั่งมีก็ตกเข้าสู่การล่อใจและบ่วงแร้ว และความปรารถนาที่ไร้สาระ และที่ก่อความเสียหายมากมายซึ่งทำให้คนตกเข้าสู่ความพินาศและความหายนะ. เพราะความรักเงินเป็นรากแห่งสิ่งที่ก่อความเสียหายทุกชนิด และโดยการแสวงหาความรักแบบนี้บางคนถูกนำให้หลงจากความเชื่อและได้ทิ่มแทงตัวเองทั่วทั้งตัวด้วยความเจ็บปวดมากหลาย.”—1 ติโมเธียว 6:9, 10, ล.ม.
12. หากคริสเตียนทำธุรกิจด้วยกัน พวกเขาควรจำอะไรไว้เป็นพิเศษ?
12 หากคริสเตียนพัฒนาการรักเงิน เขาย่อมทำให้ตัวเองเสียหายอย่างมากทางฝ่ายวิญญาณ. พวกฟาริซายเป็นคนรักเงิน และนี่ก็เป็นลักษณะนิสัยของหลายคนในสมัยสุดท้ายนี้. (ลูกา 16:14; 2 ติโมเธียว 3:1, 2) ในทางตรงข้าม การดำเนินชีวิตของคริสเตียนควรเป็นแบบที่ “พ้นจากการรักเงิน.” (เฮ็บราย 13:5) แน่นอน คริสเตียนสามารถทำธุรกิจระหว่างกันและกันหรือเริ่มกิจการร่วมกันได้. อย่างไรก็ตาม หากเขาทำเช่นนั้น การพูดคุยกันและการเจรจาต่อรองควรแยกต่างหากจากเรื่องที่เกี่ยวกับประชาคม. และจำไว้ว่า แม้แต่ในหมู่พี่น้องฝ่ายวิญญาณด้วยกัน ให้ทำสัญญาทางธุรกิจเป็นลายลักษณ์อักษรเสมอ. บทความที่เป็นประโยชน์ในเรื่องนี้ได้แก่ “จงทำเป็นลายลักษณ์อักษร!” ซึ่งตีพิมพ์ในตื่นเถิด! 8 กุมภาพันธ์ 1983 หน้า 13-15 (ภาษาอังกฤษ).
13. คุณจะใช้สุภาษิต 22:7 กับการทำธุรกิจอย่างไร?
13 สุภาษิต 22:7 บอกเราดังนี้: “คนมักยืมก็เป็นบ่าวทาสแก่ผู้ให้ยืมนั้น.” โดยทั่วไปแล้ว ไม่ฉลาดที่เราจะทำให้ตัวเองหรือพี่น้องของเราอยู่ในฐานะบ่าวเช่นนั้น. เมื่อใครขอยืมเงินจากเราเพื่อเอาไปลงทุนในธุรกิจหนึ่ง ควรพิจารณาความสามารถของเขาในการจ่ายคืนเงินจำนวนนั้น. เขามีชื่อเสียงไหมว่าน่าเชื่อถือและไว้ใจได้? แน่นอน เราควรตระหนักว่าการให้กู้ยืมเช่นนั้นอาจหมายถึงการสูญเงินก้อนนั้น เพราะธุรกิจมากมายล้มเหลว. หนังสือสัญญาเองก็ไม่ได้รับประกันว่ากิจการนั้นจะประสบผลสำเร็จ. และไม่สุขุมแน่ ๆ ที่ใคร ๆ จะเสี่ยงให้กู้ยืมเงินเพื่อทำกิจการหนึ่งเป็นเงินก้อนโตจนทำให้ตนเดือดร้อนเมื่อสูญเงิน.
14. ทำไมเราจำต้องแสดงการสังเกตเข้าใจหากเราได้ให้เพื่อนคริสเตียนยืมเงินไป แล้วธุรกิจของเขาล้มเหลว?
14 เราจำต้องแสดงการสังเกตเข้าใจหากเราได้ให้คริสเตียนคนหนึ่งยืมเงินด้วยจุดประสงค์ทางธุรกิจแล้วต้องสูญเงินนั้นไป แม้ว่าไม่ได้มีการกระทำอย่างไม่ซื่อสัตย์เข้ามาเกี่ยวข้อง. ถ้าการที่ธุรกิจล้มเหลวไม่ใช่ความผิดของเพื่อนร่วมความเชื่อที่ยืมเงินไป เราจะพูดได้ไหมว่าเราเป็นฝ่ายที่ถูกโกง? ไม่ได้ เพราะเราเต็มใจให้กู้ยืม, บางทีเราอาจได้เรียกเก็บดอกเบี้ยจากเงินกู้นั้น, และไม่ได้มีการกระทำอย่างไม่ซื่อสัตย์เกิดขึ้น. เนื่องจากไม่มีเรื่องของความไม่ซื่อสัตย์ เราไม่มีเหตุที่อาจจะดำเนินการทางกฎหมายต่อผู้กู้ยืม. จะเป็นประโยชน์อะไรที่จะฟ้องร้องเพื่อนคริสเตียนผู้ซื่อสัตย์ซึ่งจำต้องยื่นขอเป็นบุคคลล้มละลายเพราะธุรกิจซึ่งมีความมุ่งหมายที่ดีนั้นล้มเหลว?—1 โกรินโธ 6:1.
15. ปัจจัยอะไรบ้างที่จำต้องพิจารณาหากมีการประกาศตัวล้มละลาย?
15 คนที่ประสบความล้มเหลวทางธุรกิจบางครั้งจำต้องพึ่งการบรรเทาปัญหาโดยประกาศตัวล้มละลาย. เนื่องจากคริสเตียนไม่เพิกเฉยต่อภาระที่ต้องชดใช้หนี้ แม้แต่หลังหลุดพ้นจากพันธะตามกฎหมายในเรื่องหนี้สินแล้ว บางคนรู้สึกถึงพันธะที่ต้องพยายามใช้หนี้ที่ถูกยกเลิกไปแล้วนั้นหากผู้ให้ยืมยอมรับการชำระคืน. แต่จะว่าอย่างไรหากผู้ขอกู้ทำเงินของพี่น้องสูญไป แล้วก็ยังใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย? หรือจะว่าอย่างไรหากผู้ขอกู้ยืมมีเงินมากพอจะจ่ายคืนจำนวนเงินที่เขาขอยืมไป แต่เพิกเฉยพันธะทางศีลธรรมที่เขามีต่อพี่น้องของเขาทางด้านการเงิน? ถ้าอย่างนั้น คุณสมบัติของผู้ขอยืมเงินนั้นในการทำหน้าที่รับผิดชอบในประชาคมคงเป็นที่น่าสงสัย.—1 ติโมเธียว 3:3, 8; ดูหอสังเกตการณ์ ฉบับ 15 กันยายน 1994 หน้า 30, 31.
จะว่าอย่างไรหากมีการฉ้อโกง?
16. อาจดำเนินตามขั้นตอนอะไรบ้างหากดูเหมือนว่าเราได้ตกเป็นเหยื่อของการฉ้อโกงทางธุรกิจ?
16 การสังเกตเข้าใจช่วยเราให้ตระหนักว่า การลงทุนไม่ก่อให้เกิดผลกำไรเสมอไป. กระนั้น จะว่าอย่างไรหากเกิดการฉ้อโกง? การฉ้อโกงคือ “การจงใจใช้การหลอกลวง, เล่ห์เพทุบาย, หรือการบิดเบือนความจริง โดยประสงค์จะชักนำให้อีกคนหนึ่งต้องเสียการครอบครองสิ่งมีค่าของตนหรือทำให้เขาเสียสิทธิตามกฎหมาย.” พระเยซูคริสต์ทรงวางขั้นตอนเอาไว้ซึ่งอาจทำตามได้เมื่อใครคิดว่าเขาถูกเพื่อนผู้นมัสการฉ้อโกง. ตามมัดธาย 18:15-17 พระเยซูตรัสดังนี้: “หากว่าพี่น้องของท่านผู้หนึ่งทำผิดต่อท่าน. จงไปแจ้งความผิดนั้นแก่เขาสองต่อสองเท่านั้น. ถ้าเขาฟังท่าน ก็จะคืนดีเป็นพี่น้องกันอีก. แต่ถ้าเขาไม่ฟังท่าน. จงนำคนหนึ่งหรือสองคนไปด้วย. ให้เป็นพยานสองสามปาก เพื่อทุกคำจะเป็นหลักฐานได้. ถ้าเขาไม่ฟังคนเหล่านั้น. จงไปแจ้งความต่อคริสตจักร. ถ้าเขายังไม่ฟังคริสตจักรอีกก็ให้ถือเสียว่าเขาเป็นเหมือนคนต่างประเทศหรือคนเก็บภาษี.” อุทาหรณ์ที่พระเยซูทรงให้ถัดจากนั้นแสดงว่า พระองค์ทรงคิดถึงบาปที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทางการเงิน รวมทั้งการฉ้อโกงด้วย.—มัดธาย 18:23-35.
17, 18. หากมีใครที่บอกว่าตัวเองเป็นคริสเตียนโกงเรา การสังเกตเข้าใจสามารถปกป้องเราอย่างไร?
17 แน่นอน คงไม่มีพื้นฐานตามหลักพระคัมภีร์ที่จะดำเนินขั้นตอนที่วางไว้ในมัดธาย 18:15-17 ถ้าไม่มีหลักฐานหรือเบาะแสว่ามีการฉ้อโกง. กระนั้น จะว่าอย่างไรถ้าคนที่บอกว่าตัวเองเป็นคริสเตียนโกงเราจริง ๆ? การสังเกตเข้าใจสามารถป้องกันเราไว้จากการดำเนินการที่อาจทำให้ชื่อเสียงของประชาคมเสื่อมเสีย. เปาโลแนะนำเพื่อนคริสเตียนให้ยอมเป็นฝ่ายเสียหายและแม้แต่ยอมถูกโกงแทนที่จะเป็นความกันในศาลกับพี่น้อง.—1 โกรินโธ 6:7.
18 พี่น้องชายหญิงที่แท้จริงของเราไม่ “เต็มไปด้วยอุบายและใจร้าย” เหมือนคนทำเล่ห์กลที่ชื่อบาระเยซู. (กิจการ 13:6-12) ดังนั้นให้เราใช้การสังเกตเข้าใจในกรณีที่สูญเงินไปในการทำธุรกิจที่มีเพื่อนร่วมความเชื่อเกี่ยวข้องอยู่ด้วย. ถ้าเรากำลังใคร่ครวญถึงการดำเนินคดีตามกฎหมาย เราน่าจะคิดถึงผลที่อาจกระทบเราเป็นส่วนตัว, ผลต่ออีกฝ่ายหนึ่ง, ผลที่อาจมีต่อประชาคม, และต่อคนภายนอก. การพยายามเพื่อจะได้รับการชดใช้อาจทำให้เราเสียเวลา, พลัง, และทรัพยากรอื่น ๆ มากทีเดียว. การทำเช่นนี้อาจยังผลทำให้พวกทนายและคนที่อยู่ในวิชาชีพที่เกี่ยวข้องร่ำรวยไปเท่านั้น. น่าเศร้า คริสเตียนบางคนยอมเสียสิทธิพิเศษตามระบอบของพระเจ้าเพราะหมกมุ่นมากเกินไปในเรื่องเหล่านี้. การที่เราเขวไปเช่นนี้คงทำให้ซาตานยินดีเป็นแน่ แต่เราต้องการทำให้พระทัยของพระยะโฮวามีความยินดี. (สุภาษิต 27:11) ในอีกทางหนึ่ง การยอมรับความสูญเสียอาจป้องกันเราไว้จากความปวดร้าวใจและประหยัดเวลาทั้งของเราเองและของเหล่าผู้ปกครองไปได้มาก. นั่นจะช่วยรักษาความสงบสุขของประชาคม และจะช่วยเราแสวงหาราชอาณาจักรเป็นอันดับแรกต่อ ๆ ไป.
การสังเกตเข้าใจและการตัดสินใจ
19. การสังเกตเข้าใจฝ่ายวิญญาณและคำอธิษฐานสามารถช่วยเราเช่นไรเมื่อเรากำลังทำการตัดสินใจในเรื่องที่บีบคั้นจิตใจ?
19 การตัดสินใจเรื่องการเงินหรือธุรกิจอาจทำให้เกิดความเครียดได้มากทีเดียว. แต่การสังเกตเข้าใจฝ่ายวิญญาณสามารถช่วยเราชั่งน้ำหนักปัจจัยต่าง ๆ และตัดสินใจได้อย่างสุขุม. นอกจากนั้น การไว้วางใจอย่างแท้จริงในพระยะโฮวาสามารถทำให้เรามี “สันติสุขแห่งพระเจ้า.” (ฟิลิปปอย 4:6, 7) สันติสุขนี้เป็นความสงบและร่มรื่นใจซึ่งเป็นผลจากการมีสัมพันธภาพใกล้ชิดเป็นส่วนตัวกับพระยะโฮวา. แน่นอน สันติสุขเช่นนั้นสามารถช่วยเรารักษาความสมดุลของเราเมื่อเผชิญการตัดสินใจในเรื่องยาก ๆ.
20. เราควรตั้งใจแน่วแน่จะทำเช่นไรในเรื่องที่เกี่ยวกับธุรกิจและประชาคม?
20 ขอให้เราตั้งใจไว้อย่าให้เรื่องขัดแย้งทางธุรกิจทำให้สันติสุขของเราหรือของประชาคมขาดสะบั้นลง. เราต้องจำไว้ว่า ประชาคมคริสเตียนดำเนินการเพื่อช่วยเราทางฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่เพื่อเป็นศูนย์กลางสำหรับการทำการค้า. เรื่องธุรกิจควรแยกไว้ต่างหากจากกิจกรรมของประชาคมเสมอ. เราจำต้องใช้การสังเกตเข้าใจและความระมัดระวังเมื่อเริ่มทำธุรกิจ. และให้เราคงไว้ซึ่งทัศนะที่สมดุลอยู่เสมอในเรื่องเช่นนี้ โดยที่พยายามให้ผลประโยชน์ของราชอาณาจักรมาเป็นอันดับแรก. หากธุรกิจที่มีเพื่อนผู้นมัสการร่วมอยู่ด้วยล้มเหลว ขอให้เราพยายามทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง.
21. เราสามารถใช้การสังเกตเข้าใจและกระทำสอดคล้องกับฟิลิปปอย 1:9-11 ได้โดยวิธีใด?
21 แทนที่จะห่วงกังวลมากเกินไปเกี่ยวกับเรื่องการเงินและสิ่งอื่น ๆ ที่สำคัญน้อยกว่า ขอให้เราทุกคนน้อมใจของเราเพื่อการสังเกตเข้าใจ, อธิษฐานขอการทรงนำจากพระเจ้า, และรักษาผลประโยชน์ของราชอาณาจักรไว้เป็นอันดับแรกเสมอ. สอดคล้องกับคำอธิษฐานของเปาโล ‘ขอให้ความรักของเราอุดมยิ่ง ๆ ขึ้นพร้อมด้วยความรู้ถ่องแท้และการสังเกตเข้าใจเต็มที่ เพื่อว่าเราจะรู้แน่ว่าสิ่งไหนสำคัญกว่า และไม่ทำให้คนอื่นสะดุด’ หรือทำให้ตัวเองสะดุด. บัดนี้ ขณะที่พระคริสต์ผู้เป็นกษัตริย์ทรงประทับบนราชบัลลังก์ในสวรรค์ ขอให้เราแสดงการสังเกตเข้าใจฝ่ายวิญญาณในทุกแง่มุมของชีวิต. และ ‘ขอให้เราเปี่ยมด้วยผลแห่งความชอบธรรม ซึ่งมีขึ้นโดยทางพระเยซูคริสต์ เพื่อสง่าราศีและคำสรรเสริญแด่พระเจ้าของเรา’ พระยะโฮวา พระผู้เป็นเจ้าองค์บรมมหิศร.—ฟิลิปปอย 1:9-11, ล.ม.
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ การสังเกตเข้าใจคืออะไร?
▫ เหตุใดจึงจำต้องแสดงการสังเกตเข้าใจเป็นพิเศษในเรื่องการทำธุรกิจท่ามกลางคริสเตียน?
▫ การสังเกตเข้าใจสามารถช่วยเราอย่างไรหากเรารู้สึกว่าเพื่อนร่วมความเชื่อได้โกงเรา?
▫ การสังเกตเข้าใจควรมีบทบาทอะไรในการตัดสินใจ?
[รูปภาพหน้า 18]
การสังเกตเข้าใจจะช่วยเราให้ใช้คำแนะนำของพระเยซูเพื่อแสวงหาราชอาณาจักร เป็นอันดับแรกเสมอ
[รูปภาพหน้า 20]
ในการทำธุรกิจจงทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรเสมอ