“การพิพากษาโดยการสอบสวน”—หลักคำสอนที่อาศัยคัมภีร์ไบเบิลหรือ?
วันที่ 22 ตุลาคม 1844 เป็นวันแห่งความคาดหวังอันยิ่งใหญ่สำหรับประชาชนราว 50,000 คนในแถบชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐ. วิลเลียม มิลเลอร์ ผู้นำศาสนาของเขากล่าวไว้ว่า พระเยซูคริสต์จะทรงเสด็จกลับมาในวันนั้นแหละ. พวกมิลเลอร์ ตามที่เรียกกัน ต่างรอคอยในที่ประชุมของตนจนค่ำ. แล้วก็ถึงรุ่งอรุณของวันใหม่ แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ไม่ได้เสด็จมา. ไม่เป็นไปตามที่คาด พวกเขาจึงกลับบ้านและหลังจากนั้นก็จำวันนี้ไว้ว่าเป็น “ความผิดหวังครั้งใหญ่.”
กระนั้น ในไม่ช้าความผิดหวังก็เปิดทางให้กับความหวัง. สาวรุ่นคนหนึ่งชื่อเอลเลน ฮาร์มัน ทำให้พวกมิลเลอร์กลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่งมั่นใจว่า พระเจ้าได้ทรงเผยให้เธอเห็นในนิมิตว่า การคำนวณเวลาของพวกเขาถูกต้อง. เธอเชื่อว่าเหตุการณ์สำคัญประการหนึ่งได้เกิดขึ้นในวันนั้น นั่นคือในเวลานั้นพระคริสต์ได้เสด็จเข้าสู่ “ที่บริสุทธิ์ที่สุดของสถานศักดิ์สิทธิ์ในสวรรค์.”
อีกสิบกว่าปีต่อมา เจมส์ ไวต์ นักเทศน์นิกายแอดเวนติสต์ (ซึ่งได้สมรสกับเอลเลน ฮาร์มัน) ได้คิดวลีขึ้นมาเพื่อพรรณนาลักษณะงานของพระคริสต์นับแต่เดือนตุลาคม 1844. ในหนังสือ รีวิว แอนด์ เฮรัลด์ ฉบับ 29 มกราคม 1857 ไวต์กล่าวว่าพระเยซูได้ทรงเริ่ม “การพิพากษาโดยการสอบสวน.” และเรื่องนี้ยังคงเป็นความเชื่อหลักท่ามกลางราวเจ็ดล้านคนซึ่งเรียกตนเองว่า เซเวนท์เดย์ แอดเวนติสต์.
อย่างไรก็ตาม ผู้คงแก่เรียนที่ได้รับความนับถือบางคนในคริสตจักรเซเวนท์เดย์ แอดเวนติสต์ (เอสดีเอ) ข้องใจว่า “การพิพากษาโดยการสอบสวน” เป็นหลักคำสอนที่อาศัยคัมภีร์ไบเบิลหรือไม่. ทำไมพวกเขาจึงได้พิจารณาเรื่องนี้ใหม่? ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งในพวกเซเวนท์เดย์ แอดเวนติสต์ คำถามนี้คงส่งผลกระทบคุณ. แต่ก่อนอื่น อะไรคือ “การพิพากษาโดยการสอบสวน”?
การพิพากษานั้นคืออะไร?
ข้อพระคัมภีร์หลักที่มีการอ้างถึงเพื่อสนับสนุนหลักคำสอนนี้คือ ดานิเอล 8:14. ข้อนี้อ่านว่า “ท่านได้ตอบข้าพเจ้าว่า นานถึงสองพันสามร้อยวัน แล้วสถานศักดิ์สิทธิ์นั้นจะถูกชำระให้สะอาด.” (ฉบับแปลคิง เจมส์) เนื่องด้วยวลี “แล้วสถานศักดิ์สิทธิ์ นั้นจะถูกชำระให้สะอาด” ชาวแอดเวนติสต์จำนวนมากจึงเชื่อมโยงข้อนี้เข้ากับเลวีติโกบท 16. บทนั้นพรรณนาถึงการชำระสถานศักดิ์สิทธิ์โดยมหาปุโรหิตชาวยิวในวันแห่งการไถ่โทษ. นอกจากนี้ พวกเขายังเชื่อมโยงถ้อยคำของดานิเอลกับเฮ็บรายบท 9 ซึ่งพรรณนาถึงพระเยซูว่าเป็นมหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่กว่าซึ่งอยู่ในสวรรค์. ผู้คงแก่เรียนคนหนึ่งของเอสดีเอกล่าวว่า การชักเหตุผลเช่นนี้อาศัยวิธีการ “ตรวจสอบข้อความ.” มีผู้หนึ่งพบว่า “บางคำเช่น สถานศักดิ์สิทธิ์ ในดานิเอล 8:14, มีคำเดียวกันนี้ในเลวี. บท 16, และในเฮ็บ. บท 7, 8, 9” และจึงลงความเห็นว่า “ข้อคัมภีร์เหล่านั้นพูดถึงเรื่องเดียวกัน.”
พวกแอดเวนติสต์ชักเหตุผลอย่างนี้: พวกปุโรหิตยิศราเอลโบราณทำงานรับใช้ประจำวันในส่วนของพระวิหารซึ่งเรียกว่า ที่บริสุทธิ์ ซึ่งยังผลด้วยการอภัยบาปต่าง ๆ. ในวันไถ่โทษ มหาปุโรหิตซึ่งทำงานรับใช้ประจำปีในที่บริสุทธิ์ที่สุด (ห้องชั้นในสุดของพระวิหาร) ซึ่งยังผลด้วยการลบล้างบาป. พวกเขาลงความเห็นว่า งานรับใช้ของพระคริสต์ในฐานะปุโรหิตในสวรรค์ประกอบด้วยสองขั้นตอน. ขั้นตอนแรกเริ่มด้วยการที่พระองค์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ในศตวรรษแรก ซึ่งสิ้นสุดลงในปี 1844 และยังผลด้วยการอภัยบาป. ขั้นตอนที่สอง หรือ “ขั้นตอนการพิพากษา” เริ่มต้นในวันที่ 22 ตุลาคม 1844 ซึ่งยังคงดำเนินต่อไป และจะยังผลด้วยการลบล้างบาป. เรื่องนี้สำเร็จอย่างไร?
นับตั้งแต่ปี 1844 กล่าวกันว่าพระเยซูกำลังทรงตรวจสอบบันทึกเรื่องราวชีวิตของทุกคนที่ประกาศว่าเป็นผู้เชื่อถือ (ของผู้ที่ตายแล้วก่อน ครั้นแล้วก็ของผู้ที่มีชีวิตอยู่) เพื่อจะตัดสินว่าเขาเหมาะสมกับชีวิตนิรันดร์หรือไม่. การตรวจสอบนี้คือ “การพิพากษาโดยการสอบสวน.” หลังจากผู้คนถูกพิพากษาตามนั้น ความบาปของผู้ที่ผ่านการทดสอบนี้ก็ถูกลบออกจากสมุดบันทึก. แต่ตามที่เอลเลน ไวต์ อธิบาย ผู้ที่ไม่ผ่านการทดสอบจะ ‘ถูกลบชื่อออกจากหนังสือแห่งชีวิต.’ ฉะนั้น “บั้นปลายของทุกคนจะได้รับการตัดสินว่าจะได้รับชีวิตหรือไม่ก็ความตาย.” ณ เวลานั้น สถานศักดิ์สิทธิ์ในสวรรค์ได้รับการชำระให้สะอาดและดานิเอล 8:14 จึงสำเร็จเป็นจริง. นั่นแหละคือสิ่งที่พวกเซเวนท์เดย์ แอดเวนติสต์สอน. แต่สิ่งพิมพ์ของเอสดีเอชื่อ แอดเวนติสต์ รีวิว ยอมรับว่า “ไม่พบคำ การพิพากษาโดยการสอบสวน ในคัมภีร์ไบเบิล.”
ความเกี่ยวโยงทางภาษาที่ขาดไป
คำสอนนี้ทำให้พวกแอดเวนติสต์บางคนลำบากใจ. ผู้สังเกตการณ์คนหนึ่งกล่าวว่า “ประวัติศาสตร์เผยให้เห็นว่าผู้นำที่ภักดีในหมู่สมาชิกของเรารู้สึกลำบากใจขณะที่เขาใคร่ครวญคำสอนตามประเพณีของเราในเรื่องการพิพากษาโดยการสอบสวน.” เขากล่าวอีกว่า เมื่อไม่กี่ปีมานี้ความลำบากใจเปลี่ยนเป็นความสงสัยในขณะที่พวกผู้คงแก่เรียนเริ่ม “สงสัยข้อสนับสนุนหลายข้ออันเกี่ยวกับคำอธิบายตามปกติเกี่ยวกับหลักคำสอนเรื่องการชำระสถานศักดิ์สิทธิ์.” ตอนนี้ให้เรามาตรวจสอบข้อสนับสนุนเหล่านั้นสักสองข้อ.
ข้อสนับสนุนที่หนึ่ง: มีความเกี่ยวโยงระหว่างดานิเอลบท 8 กับเลวีติโกบท 16. ข้อสันนิษฐานนี้อ่อนเนื่องด้วยสองปัญหาใหญ่คือ ภาษาและบริบท. ปัญหาแรก ขอพิจารณาในเรื่องภาษา. พวกแอดเวนติสต์เชื่อว่า ‘สถานศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกชำระให้สะอาด’ ในดานิเอลบท 8 นั้นคือ สิ่งที่ ‘วิหารที่ถูกชำระให้สะอาด’ ในเลวีติโกบท 16 เป็นภาพเล็งถึง. แนวเทียบนี้ดูเหมือนเป็นที่ยอมรับจนกระทั่งผู้แปลได้มารู้ว่าคำ “ถูกชำระให้สะอาด” ในฉบับแปลคิง เจมส์ เป็นการแปลผิดในเรื่องรูปกริยาภาษาฮีบรู ทซาดัค (ซึ่งหมายความว่า “เป็นผู้ชอบธรรม”) ที่ใช้ในดานิเอล 8:14. แอนโทนี เอ. โฮเคมา ศาสตราจารย์ด้านเทววิทยาให้ข้อสังเกตว่า “น่าเสียดายที่คำนี้ได้มีการแปลว่า ถูกชำระให้สะอาด เนื่องด้วยคำกริยาภาษาฮีบรูที่โดยทั่วไปได้รับการแปลว่าถูกชำระให้สะอาด [ทาเฮียร์] นั้นไม่มีการใช้ในข้อนี้เลย.”a คำนี้มีการใช้ในเลวีติโกบท 16 ซึ่งฉบับแปลคิง เจมส์ แปลรูปต่าง ๆ ของคำ ทาเฮียร์ ว่า “ชำระ” และ “ทำให้สะอาด.” (เลวีติโก 16:19, 30) ฉะนั้น ดร. โฮเคมา ลงความเห็นอย่างถูกต้องดังนี้: “หากดานิเอลเจตนาจะกล่าวถึงชนิดของการชำระซึ่งมีการทำกันในวันแห่งการไถ่โทษละก็ ท่านคงได้ใช้คำ ทาเฮียร์ แทนคำ ทซาดัค.” กระนั้น คำทซาดัค ไม่มีในเลวีติโก และไม่พบคำ ทาเฮียร์ ในดานิเอล. ความเกี่ยวโยงด้านภาษาขาดไป.
บริบทเผยให้เห็นอะไร?
ทีนี้มาพิจารณาบริบท. พวกแอดเวนติสต์เชื่อว่าดานิเอล 8:14 เป็น “ข้อที่แยกต่างหาก” ไม่มีความเกี่ยวพันใด ๆ กับข้อที่อยู่ก่อน. แต่คุณรู้สึกเช่นนั้นไหมเมื่อคุณอ่านดานิเอล 8:9-14 (ล.ม.) ในกรอบที่อยู่ในบทความนี้ซึ่งมีชื่อ “ดานิเอล 8:14 กับบริบท”? ข้อ 9 ระบุตัวผู้รุกรานผู้หนึ่ง เขาเล็กอันหนึ่ง. ข้อ 10-12 เผยว่าผู้รุกรานนี้จะโจมตีสถานศักดิ์สิทธิ์. ข้อ 13 ถามว่า ‘การรุกรานนี้จะนานแค่ไหน?’ และข้อ 14 ตอบว่า “จนกระทั่งสองพันสามร้อยเวลาเย็นและเวลาเช้า; และสถานบริสุทธิ์จะถูกนำเข้าสู่สภาพอันถูกต้องอย่างแน่นอน.” เห็นชัดว่าข้อ 13 ยกคำถามขึ้นมาซึ่งมีคำตอบในข้อ 14. เดสมอนด์ ฟอร์ด นักเทววิทยากล่าวว่า “การจะแยกดานิเอล 8:14 ออกต่างหากจากเสียงร้อง [“นานแค่ไหน?” ในข้อ 13] นี้ ย่อมเป็นการตีความที่ไร้ข้อสนับสนุน.”b
เพราะเหตุใดคริสตจักรแอดเวนติสต์จึงแยกข้อ 14 ต่างหากจากบริบท? ก็เพื่อหลีกเลี่ยงผลสรุปที่ทำให้ลำบากใจ. บริบทถือว่าความเป็นมลทินของสถานศักดิ์สิทธิ์ดังที่กล่าวในข้อ 14 นั้นเนื่องจากการกระทำของเขาอันเล็ก. แต่หลักคำสอนเรื่อง “การพิพากษาโดยการสอบสวน” กลับถือว่าความเป็นมลทินของสถานศักดิ์สิทธิ์นั้นเนื่องมาจากการกระทำของพระคริสต์. มีกล่าวถึงพระองค์ว่าทรงโยกย้ายบาปของผู้เชื่อถือไปยังสถานศักดิ์สิทธิ์ในสวรรค์. ถ้าเช่นนั้น เกิดอะไรขึ้นถ้าคริสตจักรแอดเวนติสต์ยอมรับทั้งหลักคำสอนนี้และบริบทด้วย? ดร. เรย์มอนด์ เอฟ. ค็อตต์เรลล์ ชาวเซเวนท์เดย์ แอดเวนติสต์และอดีตผู้ช่วยบรรณาธิการของ เอสดีเอ ไบเบิล คอมเมนทารี เขียนว่า “เพื่อแสร้งทำเป็นเชื่อว่า การตีความของเอสดีเอนั้นอาศัยการพิจารณาบริบทของดานิเอล 8:14 แล้วด้วยวิธีนี้จึงจะระบุว่าเขาอันเล็กนั้นคือพระคริสต์.” ดร. ค็อตต์เรลล์ยอมรับอย่างจริงใจว่า “เราไม่อาจทำให้บริบทเข้ากันได้กับการตีความของแอดเวนติสต์.” ฉะนั้น เพื่อจะยึดมั่นกับ “การพิพากษาโดยการสอบสวน” คริสตจักรแอดเวนติสต์จึงต้องเลือกเอาว่า จะยอมรับหลักคำสอนหรือยอมรับบริบทของดานิเอล 8:14. น่าเสียดาย คริสตจักรนี้ยอมรับหลักคำสอนและปฏิเสธบริบท. ดร. ค็อตต์เรลล์กล่าวว่า ไม่แปลกที่พวกนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลซึ่งทรงความรู้ต่างตำหนิคริสตจักรแอดเวนติสต์เนื่องจาก การตีความ พระคัมภีร์” ในข้อความที่ไม่อาจ “ยกมาจาก พระคัมภีร์”!
ในปี 1967 ดร. ค็อตต์เรลล์เตรียมบทเรียนเกี่ยวกับพระธรรมดานิเอลสำหรับโรงเรียนวันซะบาโต ซึ่งถูกส่งไปยังคริสตจักรเอสดีเอทั่วโลก. มีการสอนว่า ดานิเอล 8:14 เกี่ยวข้องกับบริบทจริงและ ‘การชำระ’ นั้นไม่พาดพิงถึงพวกผู้เชื่อถือ. ที่สำคัญคือ บทเรียนนี้ไม่มีการพูดถึงคำกล่าวเกี่ยวกับ “การพิพากษาโดยการสอบสวน” เลยไม่ว่าที่ใด.
คำตอบที่น่าทึ่งบางประการ
สมาชิกคริสตจักรแอดเวนติสต์สำนึกมากแค่ไหนว่า ข้อสนับสนุนนี้อ่อนเกินไปที่จะสนับสนุนหลักคำสอนเรื่อง “การพิพากษาโดยการสอบสวน”? ดร. ค็อตต์เรลล์ได้ถามนักเทววิทยาชั้นแนวหน้า 27 คนของพวกแอดเวนติสต์ว่า ‘คุณจะสามารถให้เหตุผลอะไรได้บ้างในด้านภาษาหรือไม่ก็บริบทสำหรับความเกี่ยวโยงระหว่างดานิเอลบท 8 กับเลวีติโกบท 16?’ คำตอบของพวกเขานะหรือ?
“ทั้งยี่สิบเจ็ดคนยืนยันว่า ไม่มีเหตุผลใด ๆ อยู่เลยไม่ว่าด้านภาษาหรือบริบทสำหรับการใช้ดานิเอล 8:14 กับสิ่งที่วันแห่งการไถ่โทษเป็นภาพเล็งถึงและการพิพากษาโดยการสอบสวน.” เขาถามนักเทววิทยาเหล่านั้นว่า ‘คุณมีเหตุผลอื่นอีกไหมสำหรับความเกี่ยวโยงสองสิ่งนี้?’ ผู้คงแก่เรียนส่วนใหญ่ของแอดเวนติสต์กล่าวว่า พวกเขาไม่มีเหตุผลอย่างอื่น ห้าคนตอบว่าเขาเชื่อมโยงอย่างนี้ก็เพราะเอลเลน ไวต์ได้ทำไว้ และสองคนบอกว่าเขาพิสูจน์หลักคำสอนนี้โดยอาศัยการแปลที่มี “โชคช่วยโดยบังเอิญ.” นักเทววิทยาฟอร์ดกล่าวว่า “การลงความเห็นที่เสนอโดยคำแถลงทางวิชาการที่ดีที่สุดของเรานั้นที่แท้แล้วยืนยันว่าคำสอนตามประเพณีของเราอันเกี่ยวกับดานิ. 8:14 นั้นไม่อาจปกป้องได้.”
มีข้อสนับสนุนจากพระธรรมเฮ็บรายไหม?
ข้อสนับสนุนที่สอง: มีความเกี่ยวโยงระหว่างดานิเอล 8:14 กับเฮ็บรายบท 9. นักเทววิทยาฟอร์ดกล่าวว่า “ผลงานทั้งหมดของเราในตอนต้นใช้ประโยชน์จากเฮ็บ. บท 9 อย่างมากเมื่ออธิบายดานิเอล 8:14.” ความเกี่ยวโยงนี้เริ่มขึ้นภายหลัง “ความผิดหวังครั้งใหญ่” ในปี 1844. เมื่อค้นหาคำชี้แนะ ไฮราม เอดสัน พวกมิลเลอร์คนหนึ่งได้ปล่อยให้คัมภีร์ไบเบิลของเขาหล่นลงบนโต๊ะเพื่อให้เปิดออก. ผลเป็นอย่างไร? คัมภีร์ไบเบิลเปิดที่เฮ็บรายบท 8 และ 9. ฟอร์ดกล่าวว่า “อะไรจะเหมาะสมและใช้เป็นเครื่องหมายได้มากไปกว่านั้นในเรื่องข้ออ้างของพวกแอดเวนติสต์ที่ว่า บทเหล่านี้มีกุญแจไขความหมายของปี 1844 และดานิ. 8:14!”
ดร. ฟอร์ดกล่าวเพิ่มเติมในหนังสือของเขาชื่อดานิเอล 8:14, วันแห่งการไถ่โทษ, และการพิพากษาโดยการสอบสวน ว่า “ข้ออ้างนั้นสำคัญยิ่งสำหรับพวกเซเวนท์เดย์ แอดเวนติสต์ เฉพาะแต่ในเฮ็บ. บท 9 เท่านั้น . . . ที่สามารถพบคำอธิบายที่ละเอียดเกี่ยวกับความหมายสำคัญของ . . . หลักคำสอนเรื่องสถานศักดิ์สิทธิ์อันสำคัญยิ่งสำหรับเรา.” ใช่ เฮ็บรายบท 9 เป็นบทนั้นแหละ ใน “พันธสัญญาใหม่” ที่อธิบายความหมายเชิงพยากรณ์ของเลวีติโกบท 16. แต่พวกแอดเวนติสต์ยังกล่าวอีกด้วยว่า ดานิเอล 8:14 เป็นข้อนั้นแหละ ใน “พันธสัญญาเดิม” ที่อธิบายความหมายของเลวีติโกบท 16. หากคำกล่าวทั้งสองเป็นความจริง ก็ต้องมีความเกี่ยวโยงระหว่างเฮ็บรายบท 9 กับดานิเอลบท 8 ด้วย.
เดสมอนด์ ฟอร์ด ให้ข้อสังเกตว่า “เห็นได้ชัดถึงบางสิ่งทันทีขณะที่อ่านเฮ็บ. บท 9. ไม่มีการพาดพิงอย่างเห็นชัดถึงพระธรรมดานิเอล และไม่มีพาดพิงถึงดานิ. 8:14 อย่างแน่นอน. . . . บทนั้นทั้งบทเป็นการใช้เลวี. บท 16.” เขากล่าวว่า “คำสอนของเราในเรื่องสถานศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจพบได้ในพระธรรมเล่มเดียวของพันธสัญญาใหม่ซึ่งอธิบายความหมายสำคัญของงานรับใช้ในสถานศักดิ์สิทธิ์. เรื่องนี้เคยเป็นที่ยอมรับโดยนักเขียนผู้มีชื่อเสียงชาวแอดเวนติสต์ทั่วโลก.” เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้อสนับสนุนที่สองก็อ่อนเกินไปที่จะสนับสนุนหลักคำสอนที่มีปัญหานี้.
แต่ข้อสรุปนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่. ดร. ค็อตต์เรลล์กล่าวว่า หลายปีมาแล้ว “ผู้คงแก่เรียนของคริสตจักรนี้รู้ดีเกี่ยวกับปัญหาการที่พบในการอธิบายการตีความตามประเพณีนิยมของเราเกี่ยวกับดานิเอล 8:14 และเฮ็บราย 9.” ราว 80 ปีมาแล้ว อี. เจ. แวกกอเนอร์ ชาวเซเวนท์เดย์ แอดเวนติสต์ผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งเขียนว่า “คำสอนของแอดเวนติสต์เกี่ยวกับสถานศักดิ์สิทธิ์ พร้อมกับ ‘การพิพากษาโดยการสอบสวน’ . . . เท่ากับปฏิเสธการไถ่โทษ.” (คอนเฟสชัน ออฟ เฟท) ปัญหานี้มีการเสนอต่อที่ประชุมใหญ่ของผู้นำคริสตจักรเอสดีเอเมื่อ 30 กว่าปีมาแล้ว.
ปัญหาและความจนตรอก
ที่ประชุมใหญ่นั้นได้ตั้ง “คณะกรรมการแก้ไขปัญหาในพระธรรมดานิเอล” ขึ้นคณะหนึ่ง. คณะกรรมการนี้จะเตรียมรายงานเกี่ยวกับวิธีแก้ไขข้อยุ่งยากซึ่งรวมจุดอยู่ที่ดานิเอล 8:14. สมาชิก 14 คนในคณะกรรมการนี้ได้ศึกษาปัญหานี้เป็นเวลาห้าปี แต่ก็ไม่ได้เสนอทางแก้อย่างเป็นเอกฉันท์. ในปี 1980 ค็อตต์เรลล์ สมาชิกคณะกรรมการกล่าวว่า สมาชิกส่วนใหญ่ในคณะกรรมการนี้คิดว่าการตีความของแอดเวนติสต์เกี่ยวกับดานิเอล 8:14 อาจได้รับการ “พิสูจน์อย่างน่าพอใจ” โดย “ข้อสมมุติ” ชุดหนึ่งและ “ควรจะลืม” ปัญหาเหล่านั้นเสีย. เขากล่าวอีกว่า “ขอจำไว้ว่าชื่อของคณะกรรมการนี้คือ คณะกรรมการแก้ไขปัญหาในพระธรรมดานิเอล และกรรมการส่วนใหญ่แนะให้เราลืมปัญหาเหล่านั้นเสียและไม่ต้องพูดอะไรเกี่ยวกับปัญหาเหล่านั้น.” นั่นก็คงเท่ากับ “การยอมรับว่าเราไม่มีคำตอบ.” ดังนั้น กรรมการส่วนน้อยจึงไม่ยอมสนับสนุนความคิดเห็นของส่วนใหญ่ และจึงไม่มีรายงานเป็นทางการ. ปัญหาหลักคำสอนนั้นยังคงไม่ได้รับการแก้ไข.
เมื่อให้ความเห็นเกี่ยวกับสภาพจนตรอกนี้ ดร. ค็อตต์เรลล์กล่าวดังนี้: “ประเด็นขัดแย้งเกี่ยวกับดานิเอล 8:14 ยังอยู่ เพราะจนบัดนี้เราก็ไม่เต็มใจจะเผชิญข้อเท็จจริงที่ว่า มีปัญหาอย่างแท้จริงในเรื่องการตีความ. ประเด็นนั้นจะไม่หนีไปไหนตราบที่เรายังเสแสร้งอยู่เสมอว่าไม่มีปัญหา ตราบที่เรา ทั้งเป็นรายบุคคลและเป็นกลุ่ม ยังยืนกรานยึดตามความคิดเห็นเดิมของเราโดยไม่รับรู้สิ่งอื่น.”—วารสารสเปกตรัม จัดพิมพ์โดยสมาคมเพื่อการอภิปรายของแอดเวนติสต์.
ดร. ค็อตต์เรลล์ กระตุ้นเตือนพวกแอดเวนติสต์ให้ “ตรวจสอบใหม่ด้วยความรอบคอบเกี่ยวกับข้อสมมุติขั้นพื้นฐานและหลักการอธิบายซึ่งเราอาศัยในการตีความข้อคัมภีร์ซึ่งจะขาดไปเสียไม่ได้นี้—สำหรับพวกแอดเวนติสต์.” เราจะสนับสนุนพวกแอดเวนติสต์ให้ตรวจสอบหลักคำสอนเรื่อง “การพิพากษาโดยการสอบสวน” เพื่อจะเห็นว่า ข้อสนับสนุนในเรื่องนี้อาศัยคัมภีร์ไบเบิลอย่างแน่นหนาหรือว่าตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ง่อนแง่นของประเพณี.c ด้วยความสุขุม อัครสาวกเปาโลกระตุ้นเตือนว่า “จงรู้แน่ในทุกสิ่ง; สิ่งที่ดีนั้นจงยึดไว้ให้มั่น.” —1 เธซะโลนิเก 5:21, ล.ม.
[เชิงอรรถ]
a หนังสือ การศึกษาคำศัพท์ในพันธสัญญาเดิมของวิลสัน (ภาษาอังกฤษ) นิยามคำ ทซาดัค ว่า “ทำให้ชอบธรรม, เป็นที่ถูกต้องสมควร” และนิยามคำ ทาเฮียร์ ว่า “เป็นที่ชัดแจ้ง, กระจ่างแจ้ง, และสว่างไสว; บริสุทธิ์, สะอาด, ปราศจากราคี; สะอาดจากมลพิษหรือมลทินทั้งปวง.”
b ดร. ฟอร์ดเป็นศาสตราจารย์ด้านศาสนาที่ แปซิฟิก ยูเนียน คอลเลจ ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับการอุปถัมภ์โดยคริสตจักร. ในปี 1980 พวกผู้นำของเอสดีเอให้เขาลางานหกเดือนเพื่อศึกษาหลักคำสอนนั้น แต่พวกนั้นกลับปฏิเสธงานค้นคว้าของเขา. เขาจึงได้ลงพิมพ์เรื่องนั้นในหนังสือ ดานิเอล 8:14, วันแห่งการไถ่โทษ, และการพิพากษาโดยการสอบสวน.
c สำหรับคำอธิบายที่สมเหตุผลเกี่ยวกับดานิเอลบท 8 โปรดดูหน้า 188-219 ในหนังสือ “Your Will Be Done on Earth” จัดพิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ แห่งนิวยอร์ก.
[กรอบภาพหน้า 27]
ดานิเอล 8:14 กับบริบท
ดานิเอล 8:9 “และจากเขาหนึ่งในเขาเหล่านั้นได้มีอีกเขาหนึ่ง ออกมา ซึ่งเป็นเขาอันเล็ก และมันใหญ่ขึ้น ๆ มาก ไปทางทิศใต้และทางตะวันออกและทางสิ่งประดับ. 10 และมันใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ ถึงกองทัพแห่งฟ้าสวรรค์ จนทำให้กองทัพบางส่วนและดาวบางดวงตกสู่แผ่นดินโลก และมันได้เหยียบย่ำสิ่งเหล่านั้น. 11 และมันวางท่าใหญ่โตแม้กระทั่งต่อเจ้าแห่งกองทัพ และเครื่องบูชาเนืองนิจถูกเอาไปจากท่าน และที่ตั้งแห่งสถานศักดิ์สิทธิ์ ของท่านก็ถูกเหวี่ยงลง. 12 และกองทัพกองหนึ่งทีเดียวค่อย ๆ ถูกมอบไว้ พร้อมกับเครื่องบูชาเนืองนิจนั้น เนื่องด้วยการล่วงละเมิด; และมันเหวี่ยงความจริงลงยังแผ่นดินโลกอยู่ร่ำไป และมันได้กระทำและได้ประสบความสำเร็จ.
“13 และข้าพเจ้าได้ยินผู้บริสุทธิ์ท่านหนึ่งพูด และผู้บริสุทธิ์อีกท่านหนึ่งได้พูดแก่ผู้นั้นซึ่งพูดอยู่ดังนี้: ‘นิมิตอันเกี่ยวกับเครื่องบูชาเนืองนิจและการล่วงละเมิดอันทำให้เกิดความร้างเปล่านั้นจะนานแค่ไหน เพื่อทำให้ทั้งสถานบริสุทธิ์และสิ่งต่าง ๆ แห่งกองทัพถูกเหยียบย่ำ?’ 14 ท่านจึงพูดแก่ข้าพเจ้าว่า ‘จนกระทั่ง สองพันสามร้อยเวลาเย็นและเวลาเช้า; และสถานบริสุทธิ์จะถูกนำเข้าสู่สภาพอันถูกต้องอย่างแน่นอน.’”—พระคัมภีร์บริสุทธิ์ฉบับแปลโลกใหม่.