จงรู้จักพระยะโฮวา—พระเจ้าที่เป็นบุคคล
เมื่อเทียบแนวคิดของฮินดูเรื่องพระเจ้ากับแนวคิดของระบบศาสนาอื่นแล้ว ดร. รัฐกฤษนันแห่งอินเดียให้ข้อสังเกตว่า “พระเจ้าของชาวฮีบรูอยู่ในรูปแบบที่ต่างออกไป. พระองค์ทรงเป็นบุคคลและดำเนินงานอยู่ในประวัติศาสตร์และใฝ่พระทัยในการเปลี่ยนแปลงและความเป็นไปได้ของโลกที่กำลังพัฒนานี้. พระองค์เป็นผู้ซึ่งติดต่อกับเรา.”
พระนามภาษาฮีบรูของพระเจ้าแห่งคัมภีร์ไบเบิลคือ יהוה, โดยทั่วไปแปลว่า “ยะโฮวา.” พระองค์ทรงเหนือกว่าพระเจ้าองค์อื่นทั้งสิ้น. เราทราบอะไรเกี่ยวกับพระองค์? พระองค์ทรงปฏิบัติอย่างไรกับมนุษย์ในสมัยคัมภีร์ไบเบิล?
พระยะโฮวากับโมเซ “หน้าต่อหน้า”
ความสนิทสนมแบบ “หน้าต่อหน้า” มีอยู่ระหว่างพระยะโฮวากับโมเซผู้รับใช้ของพระองค์ ถึงแม้โมเซไม่สามารถมองเห็นพระเจ้าได้จริง ๆ. (พระบัญญัติ 34:10, ฉบับแปลใหม่; เอ็กโซโด 33:20) ในวัยหนุ่ม โมเซมีใจรักชนยิศราเอลซึ่งตอนนั้นเป็นทาสอยู่ในอียิปต์. ท่านหันหลังให้กับชีวิตฐานะสมาชิกแห่งราชสำนักของฟาโรห์โดย “เลือกการร่วมทุกข์กับชนชาติของพระเจ้า.” (เฮ็บราย 11:25, ฉบับแปลใหม่) ผลก็คือ พระยะโฮวาประทานสิทธิพิเศษที่เด่นหลายอย่างให้กับโมเซ.
ฐานะเป็นสมาชิกในราชสำนักของฟาโรห์ “โมเซจึงได้เรียนรู้ชำนาญในวิชาการทุกอย่างของชาวอายฆุปโต.” (กิจการ 7:22) แต่เพื่อจะนำชาติยิศราเอล ท่านต้องปลูกฝังคุณลักษณะของความถ่อมใจ, ความอดทน, และความอ่อนน้อมด้วย. ท่านได้ทำเช่นนี้ระหว่าง 40 ปีที่เป็นผู้เลี้ยงแกะอยู่ในเมืองมิดยาน. (เอ็กโซโด 2:15-22; อาฤธโม 12:3) ถึงแม้ไม่ประจักษ์แก่ตาอยู่ก็ตาม พระยะโฮวาทรงเปิดเผยพระองค์เองและพระประสงค์ของพระองค์แก่โมเซ และโดยทางทูตสวรรค์พระเจ้าทรงมอบบัญญัติสิบประการให้ท่าน. (เอ็กโซโด 3:1-10; 19:3–20:20; กิจการ 7:53; เฮ็บราย 11:27) คัมภีร์ไบเบิลบอกเราว่า “พระยะโฮวาตรัสสนทนากับโมเซหน้าต่อหน้า, เหมือนมิตรสหายสนทนากัน.” (เอ็กโซโด 33:11) ที่จริง พระยะโฮวาเองตรัสว่า “เราจะสนทนากับเขาปากต่อปาก.” ช่างเป็นสัมพันธภาพอันสนิทสนมที่ล้ำค่าเสียจริง ๆ ที่โมเซมีกับพระเจ้าของท่านที่ไม่ประจักษ์แก่ตา ทว่าเป็นบุคคล!—อาฤธโม 12:8.
นอกจากประวัติตอนต้น ๆ ของชาติยิศราเอล โมเซได้บันทึกประมวลกฎหมายพร้อมกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายนั้น. ท่านยังได้รับมอบสิทธิพิเศษอันล้ำค่าอีกอย่างหนึ่งด้วย นั่นคือการบันทึกพระธรรมเยเนซิศ. ตอนหลัง ๆ ของพระธรรมนั้นเป็นประวัติที่ทราบกันอย่างถ่องแท้ภายในครอบครัวของท่านเอง และฉะนั้นจึงค่อนข้างง่ายในการบันทึก. แต่โมเซได้รับรายละเอียดเกี่ยวกับประวัติแรกสุดของมนุษย์จากที่ไหน? อาจเป็นได้ที่โมเซมีเอกสารโบราณที่เป็นลายลักษณ์อักษร, ซึ่งบรรพบุรุษของท่านเก็บรักษาไว้ เพื่อใช้เป็นแหล่งอ้างอิงโดยตรง. อีกด้านหนึ่ง ท่านอาจได้รับรายละเอียดต่าง ๆ โดยการถ่ายทอดด้วยวาจาหรือการเปิดเผยโดยตรงจากพระยะโฮวา. บุคคลผู้มีความเลื่อมใสในทุกยุคได้ยอมรับมานานเรื่องสัมพันธภาพอันสนิทสนมซึ่งโมเซมีกับพระเจ้าของท่านในเรื่องนี้.
พระยะโฮวา—พระเจ้าที่เอลียารู้จักฐานะบุคคล
ผู้พยากรณ์เอลียารู้จักพระยะโฮวาในฐานะพระเจ้าที่เป็นบุคคลด้วย. เอลียามีใจแรงกล้าต่อการนมัสการบริสุทธิ์และได้รับใช้พระยะโฮวาทั้ง ๆ ที่เป็นเป้าของความเกลียดชังและการต่อต้านอย่างรุนแรงจากผู้นมัสการบาละ พระที่เป็นประมุขในบรรดาเทพเจ้าของชาวคะนาอัน.—1 กษัตริย์ 18:17-40.
อาฮาบกษัตริย์แห่งยิศราเอลกับอีซาเบลมเหสีหาทางจะสังหารเอลียา. ด้วยกลัวว่าจะถูกฆ่า เอลียาจึงหนีไปยังบะเอละซาบา ทางตะวันตกของทะเลตาย. ที่นั่นท่านระหกระเหินในถิ่นทุรกันดารแล้วอธิษฐานขอให้ตัวตายเสีย. (1 กษัตริย์ 19:1-4) พระยะโฮวาได้ละทิ้งเอลียาแล้วหรือ? พระองค์ไม่ใฝ่พระทัยในผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์อีกต่อไปไหม? เอลียาอาจคิดเช่นนั้น ทว่าท่านช่างผิดพลาดไปสักเพียงไร! ต่อมา พระยะโฮวาตรัสแก่ท่านเสียงเบา ๆ และถามว่า “เอลียาเอ๋ย เจ้าทำอะไรอยู่ที่นี่?” หลังจากการแสดงให้เห็นอย่างน่าตื่นเต้นเร้าใจเกี่ยวกับอำนาจที่เหนือธรรมชาติแล้ว “มีเสียงตรัสแก่ท่าน [อีก] ว่า ‘เอลียาเอ๋ย, เจ้าทำอะไรอยู่ที่นี่?’” พระยะโฮวาทรงสำแดงความใฝ่พระทัยเป็นส่วนตัวในเอลียาเพื่อที่จะสนับสนุนผู้รับใช้ที่ไว้ใจได้ของพระองค์. พระเจ้าทรงมีงานให้ท่านทำอีก และเอลียาตอบรับการเรียกนั้นอย่างกระตือรือร้น! เอลียาปฏิบัติงานมอบหมายของท่านให้บรรลุผลสำเร็จอย่างซื่อสัตย์ ทำให้พระนามของพระยะโฮวา พระเจ้าของท่านฐานะบุคคลนั้นเป็นที่นับถืออันบริสุทธิ์.—1 กษัตริย์ 19:9-18.
หลังจากทรงปฏิเสธชาติยิศราเอลแล้ว พระยะโฮวามิได้ตรัสกับผู้รับใช้ของพระองค์บนแผ่นดินโลกเป็นส่วนตัวอีกต่อไป. นี่มิได้หมายความว่า ความใฝ่พระทัยในพวกเขาเป็นส่วนตัวนั้นลดน้อยลง. โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ยังคงชี้นำและชูกำลังพวกเขาในการรับใช้พระองค์. ขอยกตัวอย่าง อัครสาวกเปาโลซึ่งแต่ก่อนรู้จักกันว่าเซาโล.
พระวิญญาณบริสุทธิ์ชี้นำเปาโล
เซาโลมาจากเมืองตาระโซ เมืองสำคัญของมณฑลกิลิเกีย. บิดามารดาของท่านเป็นชาวฮีบรู แต่ท่านเป็นพลเมืองโรมันโดยกำเนิด. อย่างไรก็ดี การอบรมเลี้ยงดูที่เซาโลได้รับนั้นเป็นไปตามข้อบัญญัติที่เคร่งครัดของพวกฟาริซาย. ภายหลัง ในยะรูซาเลมท่านมีโอกาสได้เล่าเรียน “กับท่านอาจารย์ฆามาลิเอล” ครูสอนพระบัญญัติผู้มีชื่อเสียง.—กิจการ 22:3, 26-28.
เนื่องด้วยเซาโลมีใจแรงกล้าอย่างผิด ๆ ในประเพณีของชาวยิวนั้น ท่านจึงมีส่วนร่วมในแผนการที่มุ่งร้ายต่อเหล่าสาวกของพระเยซูคริสต์. ท่านถึงกับเห็นชอบในการฆ่าซะเตฟาโน คริสเตียนคนแรกที่พลีชีพเพื่อศาสนา. (กิจการ 7:58-60; 8:1, 3) ภายหลังท่านได้ยอมรับว่า ถึงแม้เมื่อก่อนท่านเป็นคนหลู่เกียรติยศพระเจ้าและเป็นคนข่มเหงและเป็นคนอวดดีก็ตาม “[ท่าน] ได้รับพระกรุณา, เพราะว่าที่ [ท่าน] ได้กระทำอย่างนั้นก็กระทำไปโดยความเขลาเพราะความไม่เชื่อ.”—1 ติโมเธียว 1:13.
เซาโลได้รับการกระตุ้นจากความปรารถนาอย่างจริงใจที่จะรับใช้พระเจ้า. หลังจากเซาโลหันกลับจากแนวทางที่ผิดของเขาขณะเดินทางไปยังเมืองดาเมเซ็กแล้ว พระยะโฮวาทรงใช้ท่านในวิธีพิเศษ. อะนาเนีย สาวกคริสเตียนรุ่นแรกได้รับการชี้นำโดยพระคริสต์ผู้คืนพระชนม์ให้ไปช่วยท่าน. หลังจากนั้น เปาโล (ชื่อโรมันซึ่งเซาโลเป็นที่รู้จักเมื่อมาเป็นคริสเตียน) ได้รับการทรงนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระยะโฮวาเพื่อทำงานรับใช้ระยะยาวและสำเร็จผลตลอดทั่วภูมิภาคต่าง ๆ ของยุโรปและเอเชียน้อย.—กิจการ 13:2-5; 16:9, 10.
จะสามารถระบุการชี้นำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างเดียวกันนั้นในทุกวันนี้ได้ไหม? ได้ สามารถระบุได้.
อเทวนิยมไม่ได้ขัดขวางความใฝ่พระทัยของพระยะโฮวาเป็นส่วนตัว
โจเซฟ เอฟ. รัทเทอร์ฟอร์ดเป็นนายกคนที่สองของสมาคมว็อชเทาเวอร์. ท่านได้รับบัพติสมาในปี 1906 ฐานะนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิล—ชื่อที่เรียกพยานพระยะโฮวาในสมัยนั้น—และได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายของสมาคมในปีต่อมา และเป็นนายกของสมาคมในเดือนมกราคม 1917. กระนั้น ครั้งหนึ่งทนายความหนุ่มคนนี้เป็นนักอเทวนิยม. ท่านมาเป็นคริสเตียนผู้รับใช้ของพระยะโฮวาที่ได้รับแรงจูงใจเช่นนั้นได้อย่างไร?
ในเดือนกรกฎาคม 1913 รัทเทอร์ฟอร์ดได้ทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุมใหญ่ของสมาคมนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลนานาชาติที่จัดขึ้นในเมืองสปริงฟิลด์, รัฐแมสซาชูเซตส์, สหรัฐอเมริกา. นักข่าวจากเดอะ โฮมสเทด หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นได้สัมภาษณ์รัทเทอร์ฟอร์ด และเรื่องนั้นได้ถูกพิมพ์ลงในจุลสารที่ทำเพื่อเป็นอนุสรณ์เกี่ยวกับการประชุมครั้งนั้น.
รัทเทอร์ฟอร์ดชี้แจงว่าในคราวที่ท่านวางแผนจะแต่งงานนั้น ท่านอยู่ในนิกายแบพติสต์ แต่ผู้ที่จะมาเป็นภรรยาอยู่ในนิกายเพรสไบทีเรียน. เมื่อนักเทศน์ของรัทเทอร์ฟอร์ดบอกว่า “ผู้ที่จะเป็นภรรยาท่านจะไปอยู่ในไฟนรกเพราะไม่ได้จุ่มตัว และท่านจะตรงไปยังสวรรค์เพราะจุ่มตัวแล้ว จิตใจที่ชอบเหตุผลของท่านเกิดความสะอิดสะเอียน และท่านกลายเป็นนักอเทวนิยมไป.”
รัทเทอร์ฟอร์ดใช้เวลาหลายปีในการค้นคว้าอย่างถี่ถ้วนเพื่อจะสร้างความเชื่อขึ้นใหม่ในพระเจ้าที่เป็นบุคคล. ท่านกล่าวว่า ท่านได้หาเหตุผลโดยอาศัยสมมุติฐานที่ว่า “ความคิดเห็นที่ไม่มีเหตุผลสำหรับจิตใจก็ไม่ควรยอมรับว่าเป็นที่น่าพอใจโดยใช้ความรู้สึกเป็นเกณฑ์.” รัทเทอร์ฟอร์ดอธิบายว่า คริสเตียน “ต้องแน่ใจว่าพระคัมภีร์ที่เขาเชื่อนั้นเป็นความจริง” ทั้งเสริมอีกว่า “เขาต้องรู้ว่าตนตั้งอยู่บนพื้นฐานอะไร.”—โปรดดู 2 ติโมเธียว 3:16, 17.
ถูกแล้ว เป็นไปได้แม้แต่ในทุกวันนี้ที่นักอเทวนิยมหรือนักอไญยนิยมจะค้นดูพระคัมภีร์ สร้างความเชื่อขึ้นและพัฒนาสัมพันธภาพเฉพาะตัวอันแน่นแฟ้นกับพระยะโฮวาพระเจ้า. หลังจากศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอย่างถี่ถ้วนพร้อมด้วยสิ่งพิมพ์ของสมาคมว็อชเทาเวอร์ คือหนังสือความรู้ซึ่งนำไปสู่ชีวิตนิรันดร์ เป็นเครื่องช่วยแล้ว ชายหนุ่มคนหนึ่งได้ยอมรับว่า “ตอนที่เริ่มการศึกษานี้ ผมไม่เชื่อในพระเจ้า แต่ตอนนี้ผมพบว่าความรู้จากคัมภีร์ไบเบิลได้เปลี่ยนความคิดของผมอย่างสิ้นเชิง. ผมเริ่มรู้จักพระยะโฮวาและไว้วางใจในพระองค์.”
“คนโฉดเขลา” กับพระเจ้า
ดร. เจมส์ เฮสติงส์ กล่าวไว้ในพจนานุกรมเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล (ภาษาอังกฤษ) ว่า “ผู้เขียนพระคริสตธรรมเดิม [พระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู] คนใด ๆ ไม่เคยนึกที่จะต้องพิสูจน์หรือโต้แย้งเรื่องความเป็นอยู่ของพระเจ้า. ไม่เป็นไปตามแนวโน้มของโลกโบราณโดยทั่วไปที่จะปฏิเสธความเป็นอยู่ของพระเจ้า หรือใช้การอ้างเหตุผลเพื่อพิสูจน์เรื่องนั้น. ความเชื่อนั้นเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับจิตใจมนุษย์และเป็นเรื่องปกติสำหรับคนทั้งปวง.” แน่นอน นี่มิได้หมายความว่าคนทั้งปวงในตอนนั้นเป็นผู้ยำเกรงพระเจ้า. เปล่าเลย. บทเพลงสรรเสริญ 14:1 และ 53:1 ทั้งสองข้อกล่าวถึง “คนโฉดเขลา” หรือตามที่ฉบับแปลคิง เจมส์ กล่าวว่า “คนโง่” ผู้ซึ่งกล่าวในใจของตนว่า “พระเจ้า [“พระยะโฮวา,” ล.ม.] ไม่มี.”
คนโง่นี้ซึ่งปฏิเสธความเป็นอยู่ของพระเจ้าเป็นบุคคลชนิดใด? เขามิได้โง่เขลาทางปัญญา. แทนที่เป็นเช่นนั้น คำฮีบรูนาวาลʹ ชี้ถึงความบกพร่องทางศีลธรรม. ตามความเห็นที่เขียนไว้ในบทสวดที่คล้ายกัน (ภาษาอังกฤษ) ศาสตราจารย์ เอส. อาร์. ไดรเวอร์กล่าวว่าความบกพร่องนั้น “ไม่ใช่การอ่อนในการหาเหตุผล, แต่เป็นการไม่มีความรู้สึกด้านศีลธรรมและด้านศาสนา, ขาดสติหรือความเข้าใจอย่างสิ้นเชิง.”
ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญพรรณนาต่อไปถึงความเสื่อมด้านศีลธรรมที่เป็นผลมาจากเจตคติเช่นนั้นโดยกล่าวว่า “เขาทั้งหลายประพฤติชั่วช้าลามก, กระทำการน่าเกลียด; หามีคนใดที่ประพฤติดีไม่.” (บทเพลงสรรเสริญ 14:1) ดร. เฮสติงส์สรุปว่า “เนื่องด้วยแง่คิดที่ว่าพระเจ้าไม่มีในโลกและไม่ต้องรับโทษ มนุษย์จึงกลายเป็นคนเสื่อมทรามและทำสิ่งน่ารังเกียจ.” พวกเขารับเอาหลักที่ไม่เลื่อมใสพระเจ้าอย่างเปิดเผยและไม่สนใจไยดีพระเจ้าฐานะเป็นบุคคล ผู้ซึ่งเขาไม่ประสงค์จะให้การนั้น. แต่ความคิดดังกล่าวเป็นความโง่และโฉดเขลาในทุกวันนี้เช่นเดียวกับที่เป็นเช่นนั้นเมื่อผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญเขียนถ้อยคำนั้นกว่า 3,000 ปีมาแล้ว.
คำเตือนจากพระเจ้าของเราซึ่งเป็นบุคคล
ขอให้เรากลับไปยังคำถามที่ยกขึ้นมาในบทความแรก. ทำไมผู้คนมากมายจริง ๆ ไม่สามารถทำให้เรื่องที่ว่าพระเจ้าเป็นบุคคลนั้นเข้ากันได้กับความทุกข์ที่แผ่ไปทั่วโลกในทุกวันนี้?
คัมภีร์ไบเบิลมีข่าวสารเป็นลายลักษณ์อักษรจากมนุษย์ซึ่ง “ได้กล่าวมาจากพระเจ้า ตามที่เขาได้รับการทรงนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์.” (2 เปโตร 1:21, ล.ม.) พระคัมภีร์เท่านั้นเผยให้เราเห็นพระยะโฮวา พระเจ้าฐานะเป็นบุคคล. พระคัมภีร์ยังเตือนเราด้วยถึงบุคคลที่ชั่วร้าย, ไม่ประจักษ์แก่ตามนุษย์, ซึ่งมีอำนาจในการชี้นำและควบคุมความคิดของมนุษย์ คือซาตานพญามาร. ตามเหตุผลแล้ว ถ้าเราไม่มีความเชื่อในพระเจ้าฐานะบุคคล เราจะเชื่อว่ามีพญามารหรือซาตานที่เป็นบุคคลด้วยได้อย่างไร?
ภายใต้การดลใจ อัครสาวกโยฮันเขียนว่า “ผู้ถูกเรียกว่าพญามารและซาตาน . . . ชักนำแผ่นดินโลกทั้งสิ้นที่มีคนอาศัยอยู่ให้หลง.” (วิวรณ์ 12:9, ล.ม.) ภายหลังโยฮันกล่าวว่า “เรารู้ว่าเราบังเกิดจากพระเจ้า แต่โลกทั้งสิ้นตกอยู่ใต้อำนาจผู้ชั่วร้ายนั้น.” (1 โยฮัน 5:19, ล.ม.) ถ้อยคำเหล่านี้แสดงให้เห็นคำตรัสของพระเยซูซึ่งโยฮันเองได้บันทึกไว้ในกิตติคุณของท่านที่ว่า “ผู้ครองโลกจะมา. และผู้นั้นไม่มีอำนาจอะไรเหนือเรา.”—โยฮัน 14:30, ล.ม.
คำสอนตามหลักพระคัมภีร์เรื่องนี้ห่างไกลสักเพียงไรจากสิ่งที่ผู้คนในปัจจุบันเชื่อกัน! หนังสือพิมพ์ คาทอลิก เฮรัลด์ บอกว่า “การพูดถึงพญามารเป็นเรื่องล้าสมัยชัด ๆ ในทุกวันนี้. ยุคที่ช่างสงสัยและเป็นยุควิทยาศาสตร์ซึ่งเรามีชีวิตอยู่นี้ได้ปลดเกษียณซาตานออกไปแล้ว.” กระนั้น พระเยซูตรัสอย่างหนักแน่นแก่คนเหล่านั้นซึ่งมุ่งหมายจะสังหารพระองค์ว่า “ท่านทั้งหลายมาจากมารซึ่งเป็นพ่อของท่าน, และท่านใคร่จะทำตามความปรารถนาของพ่อของท่าน.”—โยฮัน 8:44.
คำอธิบายในคัมภีร์ไบเบิลเรื่องอำนาจของซาตานมีเหตุผล. พระคัมภีร์ทำให้กระจ่างแจ้งว่า ทำไมโลกจึงถูกรังควานด้วยความเกลียดชัง, สงคราม, และความรุนแรงแบบไร้สติ ดังที่แสดงให้เห็น ณ เมืองดันเบลน (ที่กล่าวถึงในหน้า 3 และ 4) ทั้ง ๆ ที่ผู้คนส่วนใหญ่ปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ด้วยสันติสุขและความปรองดองกัน. นอกจากนี้ ซาตาน ใช่ ว่า เป็น ศัตรู ผู้เดียวซึ่งเราต้องต่อสู้ด้วย. คัมภีร์ไบเบิลให้คำเตือนอีกเกี่ยวกับพวกมารหรือผีปิศาจ—บุคคลวิญญาณที่ชั่วช้าซึ่งเข้ารวมพลังกับซาตานนานมาแล้วเพื่อชักนำมนุษยชาติให้หลง และทำร้ายพวกเขา. (ยูดา 6) พระเยซูคริสต์เผชิญกับอำนาจของวิญญาณเหล่านี้หลายครั้ง และพระองค์สามารถเอาชนะพวกมันได้.—มัดธาย 12:22-24; ลูกา 9:37-43.
พระยะโฮวา พระเจ้าเที่ยงแท้ทรงมุ่งหมายจะชำระแผ่นดินโลกนี้ให้ปราศจากความชั่วและในที่สุดกำจัดกิจการงานของทั้งซาตานและผีปิศาจของมัน. โดยอาศัยความรู้ของเราเกี่ยวกับพระยะโฮวา เราสามารถมีความเชื่อที่มั่นคงและวางใจในคำสัญญาของพระองค์. พระองค์ตรัสว่า “ไม่มีพระเจ้าเกิดขึ้นก่อนเรา, และภายหลังเราก็จะไม่มีดุจกัน. เรา, คือตัวเราเอง, เป็นพระยะโฮวา, และนอกจากเราไม่มีผู้ช่วยให้รอด.” พระยะโฮวาทรงเป็นพระเจ้าฐานะบุคคลอย่างแท้จริงสำหรับทุกคนที่รู้จัก, นมัสการ, และรับใช้พระองค์. เราสามารถหมายพึ่งพระองค์และพระองค์ผู้เดียวเท่านั้นเพื่อความรอดของเรา.—ยะซายา 43:10, 11.
[รูปภาพหน้า 7]
ภาพแกะสลักในศตวรรษที่ 18 ซึ่งแสดงให้เห็นโมเซกำลังเขียนเยเนซิศ 1:1 ภายใต้การดลใจ
[ที่มาของภาพ]
From The Holy Bible by J. Baskett, Oxford
[รูปภาพหน้า 8]
พระเยซูคริสต์ทรงพิชิตพวกผีปิศาจหลายครั้ง