การรอดผ่าน “วันแห่งพระยะโฮวา”
“วันแห่งพระยะโฮวานั้นเป็นวันใหญ่ยิ่ง และน่าเกรงขามนัก; ใครเล่าอาจทนได้?”—โยเอล 2:11.
1. ทำไม ‘วันอันน่าสะพรึงกลัวของพระยะโฮวา’ ควรเป็นโอกาสสำหรับความยินดี?
“น่าเกรงขาม”! โยเอลผู้พยากรณ์ของพระเจ้าพรรณนา “วันแห่งพระยะโฮวา” ที่ยิ่งใหญ่เอาไว้อย่างนั้น. อย่างไรก็ตาม พวกเราผู้รักพระยะโฮวาและได้อุทิศตัวแด่พระองค์โดยอาศัยเครื่องบูชาไถ่ของพระเยซูไม่จำเป็นต้องขวัญหนีดีฝ่อขณะที่วันของพระยะโฮวาคืบใกล้เข้ามา. วันนั้นจะเป็นวันอันน่าสะพรึงกลัวก็จริง แต่ก็เป็นวันแห่งความรอดครั้งใหญ่ วันแห่งการปลดปล่อยให้หลุดพ้นจากระบบชั่วที่ได้ก่อความทุกข์แก่มนุษยชาติมาเป็นเวลาหลายพันปี. โดยนึกภาพไปถึงวันนั้น โยเอลกระตุ้นไพร่พลของพระเจ้าให้ “ยินดีและชื่นบาน; เพราะพระยะโฮวาได้ทรงกระทำการใหญ่ยิ่งแล้ว” และท่านยังรับรองอีกด้วยว่า “จะเป็นเช่นนี้, คือทุกคนที่ออกพระนามพระยะโฮวาจะรอด.” ครั้นแล้ว โดยการจัดเตรียมแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้า “จะมีผู้หนีพ้นภัยได้ ตามที่พระยะโฮวาได้ตรัสไว้แล้ว, และในพวกคนที่เหลืออยู่นั้นก็จะมีผู้เหล่านั้นซึ่งพระยะโฮวาได้ทรงเรียกไว้แล้ว.”—โยเอล 2:11, 21, 22, 32.
2. ในความสำเร็จตามพระประสงค์ของพระเจ้า เกิดอะไรขึ้น (ก) ใน “วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (ข) เมื่อถึง “วันแห่งพระยะโฮวา”?
2 อนึ่ง ต้องไม่เข้าใจผิดว่าวันอันน่าสะพรึงกลัวของพระยะโฮวากับ “วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า” ตามในวิวรณ์ 1:10 นั้นเป็นวันเดียวกัน. วันขององค์พระผู้เป็นเจ้าครอบคลุมความสำเร็จทั้ง 16 นิมิตซึ่งมีพรรณนาไว้ในพระธรรมวิวรณ์บท 1 ถึง 22. วันขององค์พระผู้เป็นเจ้านี้ครอบคลุมเวลาแห่งความสำเร็จของเหตุการณ์ทั้งหมดที่พระเยซูทรงบอกไว้ล่วงหน้าเมื่อตอบคำถามของบรรดาสาวกที่ว่า “สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร และจะมีอะไรเป็นหมายสำคัญแห่งการประทับของพระองค์และช่วงอวสานของระบบ?” การประทับของพระเยซูทางภาคสวรรค์มีหมายสำคัญให้สังเกตได้บนแผ่นดินโลกโดย ‘สงคราม, การขาดแคลนอาหาร, ความเกลียดชัง, โรคระบาด, และการละเลยกฎหมาย’ ที่น่าตกใจ. ขณะที่โศกนาฏกรรมเหล่านี้ทวีขึ้น พระเยซูได้ทรงจัดให้มีการปลอบใจคนที่เกรงกลัวพระเจ้าโดยส่งสาวกของพระองค์ในสมัยปัจจุบันออกไปประกาศ “ข่าวดีแห่งราชอาณาจักร . . . ทั่วทั้งแผ่นดินโลกที่มีคนอาศัยอยู่ เพื่อให้คำพยานแก่ทุกชาติ.” ต่อจากนั้น “อวสาน” ของระบบปัจจุบัน วันอันน่าสะพรึงกลัวของพระยะโฮวา จะปะทุขึ้น ซึ่งก็จะเป็นจุดสุดยอดแห่งวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า. (มัดธาย 24:3-14, ล.ม.; ลูกา 21:11) นั่นจะเป็นวันของพระยะโฮวาเพื่อจะทรงสำเร็จโทษตามคำพิพากษาอย่างฉับไวต่อโลกอันชั่วช้าของซาตาน. “ท้องฟ้าและแผ่นดินโลกจะหวั่นไหว; แต่พระยะโฮวาจะเป็นที่พำนักแห่งพลไพร่ของพระองค์.”—โยเอล 3:16.
พระยะโฮวาทรงดำเนินการในสมัยของโนฮา
3. สภาพการณ์ในปัจจุบันคล้ายกันอย่างไรกับในสมัยโนฮา?
3 สภาพการณ์ของโลกปัจจุบันคล้ายคลึงกับใน “สมัยของโนฮา” เมื่อกว่า 4,000 ปีมาแล้ว. (ลูกา 17:26, 27) ที่เยเนซิศ 6:5 เราอ่านดังนี้: “พระยะโฮวาทรงเห็นมนุษย์กระทำความชั่วมากทวีขึ้นบนแผ่นดินและทรงเห็นว่าความคิดนึกในใจของเขาล้วนเป็นความชั่วเสมอไป.” ช่างเหมือนโลกปัจจุบันเสียจริง ๆ! ความชั่ว, ความโลภ, และสภาพสิ้นไร้ซึ่งความรัก มีอยู่ทั่วทุกหัวระแหง. บางครั้ง เราอาจคิดว่าความเสื่อมทรามของมนุษยชาติได้มาถึงจุดต่ำสุดแล้ว. แต่คำพยากรณ์ของอัครสาวกเปาโลเกี่ยวกับ “สมัยสุดท้าย” ก็ยังสำเร็จอยู่เรื่อย ๆ ที่ว่า “คนชั่วและเจ้าเล่ห์จะกำเริบชั่วร้ายมากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้อื่นหลงผิดและตนเองถูกทำให้หลงผิด.”—2 ติโมเธียว 3:1, 13, ล.ม.
4. การนมัสการเท็จก่อผลกระทบเช่นไรในยุคแรก ๆ?
4 ศาสนาสามารถช่วยบรรเทาทุกข์ให้มนุษยชาติได้ไหมในสมัยโนฮา? ตรงกันข้ามเลยทีเดียว ศาสนาที่ออกหากซึ่งมีอยู่ในตอนนั้นมีส่วนอย่างมากในการทำให้เกิดสภาพที่เป็นความหายนะ. บิดามารดาคู่แรกของเราได้ยอมจำนนต่อคำสอนเท็จของ “งูตัวแรกเดิมนั้น ผู้ถูกเรียกว่าพญามารและซาตาน.” ในชั่วอายุที่สองนับจากอาดามมา “มนุษย์ตั้งต้นที่จะนมัสการโดยออกพระนามพระยะโฮวา” อย่างที่ดูเหมือนว่าเป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้า. (วิวรณ์ 12:9, ล.ม.; เยเนซิศ 3:3-6; 4:26) ต่อมา ทูตสวรรค์ที่กบฏซึ่งละทิ้งความเลื่อมใสโดยเฉพาะต่อพระเจ้า ได้แปลงร่างลงมาเป็นมนุษย์เพื่อมีเพศสัมพันธ์แบบผิดธรรมชาติกับบุตรสาวของมนุษย์ผู้มีหน้าตาสะสวย. หญิงเหล่านี้ให้กำเนิดลูกผสมร่างยักษ์ที่เรียกกันว่าพวกเนฟิลิมซึ่งได้ข่มเหงและรังแกมวลมนุษย์. ภายใต้อิทธิพลเช่นนี้ของพวกผีปิศาจ “บรรดาเนื้อหนังทำชั่วอุลามกทั่วไปทั้งแผ่นดิน.”—เยเนซิศ 6:1-12.
5. โดยอ้างถึงเหตุการณ์ในสมัยโนฮา พระเยซูทรงให้คำกระตุ้นเตือนอะไรแก่เรา?
5 อย่างไรก็ตาม ครอบครัวหนึ่งรักษาความซื่อสัตย์มั่นคงต่อพระยะโฮวา. ด้วยเหตุนั้น พระเจ้า “ทรงคุ้มครองโนฮาผู้ประกาศความชอบธรรมให้ปลอดภัยพร้อมกับคนอื่นอีกเจ็ดคนเมื่อพระองค์ทรงบันดาลให้น้ำมาท่วมโลกแห่งคนที่ดูหมิ่นพระเจ้า.” (2 เปโตร 2:5, ล.ม.) น้ำท่วมโลกในครั้งนั้นเป็นภาพเล็งถึงวันอันน่าสะพรึงกลัวของพระยะโฮวา ซึ่งบ่งบอกว่าเป็นคราวอวสานของระบบนี้ที่พระเยซูทรงพยากรณ์ไว้ว่า “เกี่ยวด้วยวันนั้นและโมงนั้นไม่มีผู้ใดรู้ ถึงเทวทูตในสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้ รู้แต่พระบิดาองค์เดียว. ด้วยสมัยของโนฮาเป็นอย่างไร การประทับของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้น. เพราะผู้คนในสมัยก่อนน้ำท่วมเป็นเช่นไร คือกินและดื่ม ผู้ชายทำการสมรสและผู้หญิงถูกยกให้เป็นภรรยา จนถึงวันที่โนฮาเข้าในนาวา; และพวกเขาไม่แยแสจนกระทั่งน้ำมาท่วมและกวาดล้างเขาไปเสียสิ้นฉันใด การประทับของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นฉันนั้น.” (มัดธาย 24:36-39, ล.ม.) ในทุกวันนี้ เราอยู่ในสภาพการณ์คล้ายกัน พระเยซูจึงทรงกระตุ้นเตือนเราให้ ‘เอาใจใส่ตัวเอง เพื่อตื่นตัวอยู่เสมอ เฝ้าวิงวอนอยู่ตลอดเวลา เพื่อเราจะประสบผลสำเร็จในการหนีพ้นเหตุการณ์ทั้งปวงเหล่านี้ซึ่งถูกกำหนดไว้ว่าจะเกิดขึ้น.’—ลูกา 21:34-36, ล.ม.
การสำเร็จโทษของพระยะโฮวาต่อเมืองซะโดมและอะโมรา
6, 7. (ก) เหตุการณ์ในสมัยโลตเป็นภาพเล็งถึงอะไร? (ข) เรื่องนี้เป็นคำเตือนที่ชัดเจนอะไรสำหรับเรา?
6 หลายร้อยปีหลังน้ำท่วมโลก เมื่อลูกหลานของโนฮาทวีมากขึ้นบนแผ่นดินโลก อับราฮามผู้ซื่อสัตย์และโลตหลานชายท่านเป็นประจักษ์พยานถึงวันอันน่าสะพรึงกลัวอีกวันหนึ่งของพระยะโฮวา. โลตและครอบครัวท่านอาศัยในเมืองซะโดม. เช่นเดียวกับเมืองอะโมราที่อยู่ข้างเคียง เมืองนี้ท่วมท้นไปด้วยการประพฤติผิดศีลธรรมทางเพศอันน่าขยะแขยง. วัตถุนิยมเป็นเรื่องหลักอีกอย่างหนึ่งที่ชาวเมืองหมกมุ่น ซึ่งในที่สุดก็ก่อผลกระทบแม้กระทั่งต่อภรรยาของโลตเอง. พระยะโฮวาทรงบอกอับราฮามว่า “เสียงร้องของชาวเมืองซะโดมและเมืองอะโมรามาก, และเพราะการบาปผิดของเขารุนแรงนัก.” (เยเนซิศ 18:20) อับราฮามวิงวอนขอต่อพระยะโฮวาอย่าได้ทำลายสองเมืองนี้เพื่อเห็นแก่คนชอบธรรมที่อยู่ที่นั่น แต่พระยะโฮวาทรงประกาศว่าพระองค์ไม่สามารถหาคนชอบธรรมในเมืองนั้นได้แม้แต่แค่สิบคน. ทูตสวรรค์ที่พระเจ้าทรงส่งมาได้ช่วยโลตและลูกสาวสองคนให้หนีไปยังเมืองโซอาระที่อยู่ใกล้ ๆ.
7 เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น? ในการเทียบ “สมัยสุดท้าย” ที่เราอยู่นี้กับสมัยของโลต ลูกา 17:28-30 รายงานดังนี้: “ในสมัยของโลตก็เหมือนกัน เขาได้กินดื่ม, ซื้อขาย, หว่านปลูก, ก่อสร้าง แต่ในวันนั้นที่โลตออกไปจากเมืองซะโดม, ไฟและกำมะถันได้ตกจากฟ้ามาเผาผลาญเขาเสียทั้งสิ้น. ในวันที่บุตรมนุษย์จะมาปรากฏก็จะเป็นเหมือนอย่างนั้น.” ความหายนะที่เกิดกับซะโดมและอะโมราในวันอันน่าสะพรึงกลัวของพระยะโฮวาครั้งนั้นส่งคำเตือนที่ชัดเจนถึงพวกเราในเวลานี้ที่อยู่ในช่วงแห่งการประทับของพระเยซู. คนในยุคปัจจุบันก็เช่นกัน “กระทำผิดประเวณีอย่างมากล้น และมุ่งตามเนื้อหนังเพื่อใช้อย่างผิดธรรมดา.” (ยูดา 7, ล.ม.) นอกจากนั้น มาตรฐานศีลธรรมทางเพศที่เสื่อมทรามในยุคของเรานี้เป็นสาเหตุของ “โรคระบาด” มากมายที่พระเยซูทรงพยากรณ์ไว้ว่าจะเกิดขึ้นในสมัยนี้.—ลูกา 21:11.
ชาติยิศราเอลเกี่ยวเก็บ “ลมบ้าหมู”
8. ชาติยิศราเอลรักษาคำสัญญาไมตรีที่ทำกับพระยะโฮวาถึงขนาดไหน?
8 ต่อมา พระยะโฮวาทรงเลือกชาติยิศราเอลให้เป็น “ทรัพย์ประเสริฐ . . . ยิ่งกว่าชาติทั้งปวง . . . เป็นอาณาจักรแห่งปุโรหิต, และจะเป็นชนชาติอันบริสุทธิ์.” แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการที่พวกเขาจะต้อง ‘ฟังถ้อยคำของพระองค์จริง ๆ, และรักษาคำสัญญาไมตรีของพระองค์ไว้.’ (เอ็กโซโด 19:5, 6) พวกเขาดำเนินชีวิตสมกับสิทธิพิเศษอันยิ่งใหญ่นี้ไหม? ไม่เลยแม้แต่น้อย! จริงอยู่ บางคนที่ซื่อสัตย์ในชาติยิศราเอลรับใช้พระองค์อย่างภักดี เช่น โมเซ, ซามูเอล, ดาวิด, ยะโฮซาฟาด, ฮิศคียา, โยซียา, รวมทั้งเหล่าผู้พยากรณ์และผู้พยากรณ์หญิงที่จงรักภักดี. ทว่า ชาตินี้โดยรวมกลับไม่ซื่อสัตย์. ในที่สุด อาณาจักรก็แตกเป็นสองส่วน—ยิศราเอลและยูดา. โดยส่วนใหญ่แล้ว ทั้งสองชาติเข้าไปพัวพันในการนมัสการแบบนอกรีตและธรรมเนียมต่าง ๆ ของชาติรอบข้างซึ่งลบหลู่พระเจ้า.—ยะเอศเคล 23:49.
9. พระยะโฮวาทรงพิพากษาอย่างไรต่ออาณาจักรสิบตระกูลที่กบฏ?
9 พระยะโฮวาทรงพิพากษาเรื่องนี้อย่างไร? เช่นที่ทรงปฏิบัติอยู่เสมอมา พระองค์ประกาศคำเตือนออกไป ซึ่งก็สอดคล้องกับหลักการที่อาโมศแจ้งไว้ที่ว่า “พระยะโฮวาองค์บรมมหิศรจะไม่ทรงทำสิ่งใด เว้นแต่พระองค์ได้ทรงเปิดเผยเรื่องซึ่งพระองค์ถือเป็นความลับแก่ผู้รับใช้ของพระองค์คือพวกผู้พยากรณ์.” อาโมศเองประกาศวิบัติที่จะเกิดแก่อาณาจักรยิศราเอลที่อยู่ทางเหนือดังนี้: “วันแห่งพระยะโฮวาที่ปรารถนานั้นจะเป็นประการใดแก่เจ้าทั้งหลาย, เพราะวันแห่งพระยะโฮวานั้นจะมืดแลไม่สว่าง.” (อาโมศ 3:7, ล.ม.; 5:18) นอกจากนั้น โฮเซอาเพื่อนผู้พยากรณ์ของอาโมศประกาศดังนี้: “เขาหว่านลมลงไปแล้ว เขาจึงต้องเกี่ยวเก็บลมบ้าหมู.” (โฮเซอา 8:7) ในปี 740 ก่อนสากลศักราช พระยะโฮวาทรงใช้กองทัพอัสซีเรียให้ทำลายล้างอาณาจักรยิศราเอลที่อยู่ทางเหนือจนเริศร้างไปตลอดกาล.
พระยะโฮวาทรงคิดบัญชีกับอาณาจักรยูดาที่ออกหาก
10, 11. (ก) เพราะเหตุใดพระยะโฮวาไม่ทรงยอมให้อภัยแก่ยูดา? (ข) สิ่งน่ารังเกียจอะไรบ้างที่ทำให้ชาตินี้เสื่อมทราม?
10 พระยะโฮวาทรงส่งผู้พยากรณ์ของพระองค์ไปยังอาณาจักรยูดาที่อยู่ทางใต้ด้วย. ถึงกระนั้น กษัตริย์แห่งยูดาอย่างมะนาเซและเอโมนผู้สืบบัลลังก์ต่อจากเขาก็ยังคงทำชั่วในสายพระเนตรพระองค์ กระทำให้ ‘โลหิตของผู้ไม่มีผิดให้ตกเป็นอันมากและก้มกราบนมัสการรูปเคารพอันน่ารังเกียจ.’ แม้ว่าโยซียาราชโอรสของเอโมนประพฤติเป็นที่ชอบในสายพระเนตรพระยะโฮวา แต่กษัตริย์องค์อื่น ๆ ถัดจากนั้นรวมทั้งเหล่าประชาราษฎร์ก็กลับมาจมปลักในความชั่วอีก จน “พระยะโฮวาไม่ทรงยอมยกโทษเลย.”—2 กษัตริย์ 21:16-21; 24:3, 4.
11 พระยะโฮวาทรงประกาศผ่านทางผู้พยากรณ์ยิระมะยาว่า “การอัศจรรย์อย่างหนึ่งและการพิลึกพึงกลัวอย่างหนึ่งได้ต้องกระทำในประเทศนี้, พวกทำนายได้ทำนายมุสา, แลพวกปุโรหิตได้ครอบครองเพราะการประพฤติของพวกทำนายนั้น, แลไพร่พลของเราได้เห็นชอบด้วย, แลเมื่อจะถึงที่สุดปลาย, พวกเจ้าจะกระทำอย่างไรได้.” ชาติยูดาเสื่อมลงจนถึงขั้นมีความผิดฐานทำให้โลหิตตกอย่างร้ายกาจที่สุด และพลเมืองของชาตินี้ก็เสื่อมทรามลงด้วยการขโมย, การฆ่าคน, การทำผิดประเวณี, การสบถสาบานเป็นความเท็จ, การนมัสการพระอื่น, และการทำเรื่องที่น่ารังเกียจอื่น ๆ. พระวิหารของพระเจ้าได้กลายเป็น “โพรงสำหรับพวกโจรอาศัย.”—ยิระมะยา 2:34; 5:30, 31; 7:8-12.
12. พระยะโฮวาทรงดำเนินการอย่างไรเพื่อลงโทษยะรูซาเลมที่ไม่ซื่อสัตย์ภักดี?
12 พระยะโฮวาทรงประกาศดังนี้: “เราจะนำความร้ายมาแต่ฝ่ายเหนือ [แคลเดีย], แลความหักทำลายใหญ่.” (ยิระมะยา 4:6) ฉะนั้น พระองค์ทรงมอบหมายมหาอำนาจโลกบาบูโลนซึ่งในเวลานั้นเป็น “ค้อนสำหรับทั่วแผ่นดินโลก” เพื่อ ทุบทำลาย ยะรูซาเลม ที่ไม่ซื่อสัตย์ภักดี และพระวิหารของกรุงนี้. (ยิระมะยา 50:23) ในปี 607 ก.ส.ศ. หลังการปิดล้อมที่ทำให้เกิดความทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง กรุงนี้ก็แตกให้กับกองทัพอันเกรียงไกรของนะบูคัดเนซัร. “ขณะนั้นกษัตริย์เมืองบาบูโลนก็ฆ่าบุตรชายของ [กษัตริย์] ซิดคียาในตำบลริบลาตรงตาของซิดคียา, แลกษัตริย์เมืองบาบูโลนได้ฆ่าบรรดาพวกเจ้านายแห่งเมืองยะฮูดาด้วย. อีกประการหนึ่งนะบูคัศเนซัรได้กระทำให้ดวงตาของซิดคียาทั้งสองนั้นดับไป, แล้วผูกมัดซิดคียาไว้ด้วยโซ่, เพื่อจะเอาตัวไปให้ถึงเมืองบาบูโลน. แล้วพวกเคเซ็ดก็เผาผลาญวังกษัตริย์แลบ้านเรือนของไพร่พลเสียด้วยไฟ, แล้วทำลายกำแพงเมืองยะรูซาเลมให้พังลง. คราวนั้นนะบูซาระดารแม่ทัพได้กวาดเอาไพร่พลอันเหลืออยู่, คือคนที่เหลืออยู่ในเมือง, กับทั้งพวกคนที่อาศัยอยู่ในกองทัพท่าน, ทั้งไพร่พลอื่นทั้งปวงซึ่งเหลืออยู่นั้น, ได้เอาไปถึงเมืองบาบูโลน.”—ยิระมะยา 39:6-9.
13. ใครบ้างได้รับการช่วยให้รอดในวันของพระยะโฮวาในปี 607 ก.ส.ศ. และเพราะเหตุใด?
13 วันอันน่าสะพรึงกลัวจริง ๆ! กระนั้น มีบางคนที่เชื่อฟังพระยะโฮวาอยู่ในกลุ่มคนที่รอดจากการพิพากษาอันร้อนแรงนั้น. ในกลุ่มคนเหล่านี้มีชาวเรคาบซึ่งไม่ใช่ชาวยิศราเอลรวมอยู่ด้วย เพราะพวกเขาแสดงน้ำใจตรงกันข้ามกับชาวยูเดียโดยที่เป็นคนถ่อมและเชื่อฟัง. อีกสองคนที่รอดด้วยก็คือเอเบ็ดเมเล็กขันทีผู้ซื่อสัตย์ที่ได้ช่วยยิระมะยาพ้นจากความตายในที่ขังน้ำที่เต็มไปด้วยโคลน และบารุคอาลักษณ์ผู้ภักดีของยิระมะยา. (ยิระมะยา 35:18, 19; 38:7-13, ฉบับแปลใหม่; 39:15-18; 45:1-5) คนเหล่านี้นี่แหละที่พระยะโฮวาทรงประกาศต่อพวกเขาว่า “เรารู้ความคิดทั้งปวงที่เราได้คิดถึงพวกเจ้า . . . คือความคิดต่าง ๆ สำหรับความสุขไม่ใช่ว่าสำหรับความร้าย, เพื่อจะได้ให้พวกเจ้าได้ความหวังใจที่เบื้องปลาย.” คำสัญญานั้นสำเร็จเป็นจริงขนาดย่อม ๆ ในปี 539 ก.ส.ศ. เมื่อชาวยิวที่เกรงกลัวพระเจ้าได้รับการปล่อยโดยกษัตริย์ไซรัสผู้พิชิตบาบูโลน และคืนสู่ถิ่นเพื่อบูรณะกรุงยะรูซาเลมและพระวิหาร. ทุกวันนี้ คนที่ออกมาจากศาสนาแห่งบาบูโลนและได้รับการฟื้นฟูสู่การนมัสการที่บริสุทธิ์สะอาดของพระยะโฮวา ก็สามารถคอยท่าอนาคตอันรุ่งโรจน์ที่เปี่ยมด้วยสันติสุขชั่วนิรันดร์ในอุทยานที่พระยะโฮวาทรงฟื้นฟูขึ้นใหม่.—ยิระมะยา 29:11; บทเพลงสรรเสริญ 37:34; วิวรณ์ 18:2, 4.
“ความทุกข์ลำบากใหญ่” ในศตวรรษแรก
14. เพราะเหตุใดพระยะโฮวาทรงปฏิเสธชาติยิศราเอลเป็นการถาวร?
14 ทีนี้ให้เรามาพิจารณาสมัยศตวรรษแรกแห่งสากลศักราช. ถึงตอนนี้ ชาวยิวที่ได้รับการฟื้นฟูก็ได้กลับไปสู่สภาพออกหากอีก. พระยะโฮวาทรงส่งพระบุตรผู้ได้รับกำเนิดองค์เดียวมายังแผ่นดินโลกเพื่อเป็นผู้ถูกเจิมหรือมาซีฮาของพระองค์. ในช่วงปีสากลศักราช 29 ถึง 33 พระเยซูประกาศไปทั่วแผ่นดินยิศราเอลว่า “จงกลับใจเสียใหม่ เพราะราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์มาใกล้แล้ว.” (มัดธาย 4:17, ล.ม.) นอกจากนั้น พระองค์ทรงรวบรวมและฝึกอบรมเหล่าสาวกให้ร่วมกับพระองค์ในการประกาศข่าวดีแห่งราชอาณาจักร. พวกผู้ปกครองของชาวยิวมีปฏิกิริยาอย่างไร? พวกเขาสบประมาทพระเยซูและท้ายที่สุดก็ประกอบอาชญากรรมอันน่าชิงชังโดยตรึงพระองค์ให้สิ้นพระชนม์อย่างเจ็บปวดรวดร้าวบนหลักทรมาน. พระยะโฮวาทรงปฏิเสธฐานะของชาวยิวในการเป็นไพร่พลของพระองค์. บัดนี้ พระองค์ทรงปฏิเสธชาตินี้เป็นการถาวรไปแล้ว.
15. ชาวยิวที่กลับใจได้รับสิทธิพิเศษที่จะทำอะไรให้บรรลุผล?
15 ในวันเพนเตคอสเตปี ส.ศ. 33 พระเยซูผู้ถูกปลุกให้คืนพระชนม์ทรงเทพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพระวิญญาณนี้ก็ได้ทำให้เหล่าสาวกของพระองค์มีความสามารถพูดภาษาต่าง ๆ กับชาวยิวและคนที่เปลี่ยนมาถือศาสนายิวซึ่งได้เข้ามาชุมนุมกันอย่างรวดเร็ว. ในการกล่าวต่อฝูงชน อัครสาวกเปโตรประกาศว่า “พระเยซูนี้พระเจ้าได้ทรงบันดาลให้คืนพระชนม์แล้ว ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นพยานด้วยเหตุการณ์นี้. . . . เหตุฉะนั้นให้ชาติยิศราเอลทั้งปวงทราบแน่นอนว่า, พระเจ้าได้ทรงยกพระเยซูนี้ซึ่งท่านทั้งหลายได้ตรึงไว้ที่กางเขนตั้งขึ้นให้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและเป็นพระคริสต์.” ชาวยิวที่สุจริตใจมีปฏิกิริยาอย่างไร? “คนทั้งหลายได้ยินแล้วก็รู้สึกแปลบปลาบใจ,” กลับใจจากบาปของตน, และรับบัพติสมา. (กิจการ 2:32-41) การประกาศเรื่องราชอาณาจักรเร่งรุดไป และภายในชั่วเวลา 30 ปีงานนี้ก็ขยายไปถึง “มนุษย์ทุกคนที่อยู่ใต้ฟ้า.”—โกโลซาย 1:23.
16. พระยะโฮวาทรงเข้าแทรกแซงเหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างไรซึ่งนำไปสู่การสำเร็จโทษตามการพิพากษาของพระองค์ต่อยิศราเอลโดยกำเนิด?
16 บัดนี้ ถึงเวลากำหนดที่พระยะโฮวาจะสำเร็จโทษตามคำพิพากษาชาติที่พระองค์ทรงปฏิเสธ คือยิศราเอลโดยกำเนิด. หลายพันคนจากชาติต่าง ๆ ทั่วโลกที่รู้จักกันในเวลานั้นได้พากันเข้ามาสมทบกับประชาคมคริสเตียน และได้รับการเจิมด้วยพระวิญญาณเป็น “ยิศราเอลของพระเจ้า.” (ฆะลาเตีย 6:16) อย่างไรก็ตาม พวกยิวในเวลานั้นได้ตกเข้าสู่แนวทางแห่งความรุนแรงอันเนื่องมาจากความเกลียดชังและการแบ่งเป็นก๊กเป็นพวก. ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เปาโลเขียนในเรื่อง ‘การยอมอยู่ใต้อำนาจที่สูงกว่า’ พวกเขากบฏต่ออำนาจปกครองของโรมอย่างเปิดเผย. (โรม 13:1, ล.ม.) ดูเหมือนว่า พระยะโฮวาทรงเข้าแทรกแซงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น. ในปี ส.ศ. 66 กองพันแห่งโรมภายใต้การบัญชาการของนายพลกัลลุสก็เคลื่อนพลเข้าปิดล้อมกรุงยะรูซาเลม. พวกโรมันที่เข้าตีกรุงนี้ถึงกับขุดใต้กำแพงพระวิหารเพื่อบุกทะลวงเข้าไป. ตามบันทึกประวัติศาสตร์ของโยเซฟุส มีความทุกข์ลำบากอย่างแท้จริงตกอยู่กับทั้งกรุงและประชาชน.a แต่โดยทันทีทันใด ทหารที่โจมตีอยู่นั้นก็หนีไป. เหตุการณ์นี้ทำให้สาวกของพระเยซูสามารถ “หนีไปยังภูเขา” ตามที่ทรงแนะเตือนในคำพยากรณ์ของพระองค์ซึ่งบันทึกไว้ที่มัดธาย 24:15, 16.
17, 18. (ก) พระยะโฮวาทรงประสาทความยุติธรรมแก่พวกยิวโดยทางความทุกข์ลำบากครั้งใด? (ข) เนื้อหนังใดที่ “รอด” และนี่เป็นเงาของอะไร?
17 อย่างไรก็ตาม การสำเร็จโทษตามการพิพากษาของพระยะโฮวาอย่างครบถ้วนเมื่อถึงจุดสุดยอดแห่งความทุกข์ลำบากยังจะต้องเกิดขึ้น. ในปี ส.ศ. 70 กองพันแห่งโรมซึ่งคราวนี้อยู่ใต้การนำของนายพลทิทุสได้หวนคืนมาโจมตีอีก. ครั้งนี้การรบดำเนินไปจนเห็นผลแพ้ชนะ! พวกยิวซึ่งรบแม้กระทั่งในหมู่พวกเขาเองมาโดยตลอดไม่สามารถสู้พวกโรมันได้เลย. กรุงยะรูซาเลมและพระวิหารถูกทำลายราบเป็นหน้ากลอง. ชาวยิวมากกว่าหนึ่งล้านคนอดอยากจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกและตายไป ซากศพประมาณ 600,000 ศพถูกทิ้งออกนอกประตูเมือง. หลังจากที่กรุงแตก ชาวยิว 97,000 คนถูกคุมตัวไปเป็นเชลย หลายคนตายในเวลาต่อมาเมื่อถูกบังคับให้แสดงการต่อสู้จนตายไปข้างหนึ่ง. จริงทีเดียว เนื้อหนังพวกเดียวที่รอดในช่วงแห่งความทุกข์ลำบากดังกล่าวนี้ได้แก่เหล่าคริสเตียนที่เชื่อฟังผู้ได้หนีไปยังเขตภูเขาข้ามแม่น้ำยาระเดนไป.—มัดธาย 24:21, 22; ลูกา 21:20-22.
18 ฉะนั้น คำพยากรณ์ที่ยิ่งใหญ่ของพระเยซูเกี่ยวกับ “ช่วงอวสานของระบบ” ได้สำเร็จเป็นจริงครั้งแรกไปแล้ว โดยบรรลุจุดสุดยอดในวันที่พระยะโฮวาทรงประสาทความยุติธรรมแก่ชาติยิวที่กบฏในปี ส.ศ. 66-70. (มัดธาย 24:3-22) ทว่า นั่นเป็นเพียงเงาของ ‘วันใหญ่ยิ่งอันน่าสะพรึงกลัวของพระยะโฮวาที่กำลังจะมาถึง’ ความทุกข์ลำบากครั้งสุดท้ายที่กำลังจะโถมทับโลกทั้งสิ้น. (โยเอล 2:31) คุณอาจจะ “รอด” ได้โดยวิธีใด? บทความถัดไปจะให้คำตอบ.
[เชิงอรรถ]
a โยเซฟุสเล่าว่า พวกโรมันที่เข้าโจมตีได้ล้อมเมืองเอาไว้, ขุดใต้กำแพงบางส่วน, และกำลังจะจุดไฟเผาประตูพระวิหารของพระยะโฮวา. เหตุการณ์นี้ทำให้ชาวยิวเป็นอันมากที่ถูกกักอยู่ข้างในกลัวจนอกสั่นขวัญแขวน เพราะพวกเขาเห็นเค้าทะมึนแห่งความตายได้ชัดเจน.—สงครามชาวยิว เล่ม 2 บท 19.
คำถามสำหรับการทบทวน
▫ “วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า” สัมพันธ์อย่างไรกับ “วันแห่งพระยะโฮวา”?
▫ เมื่อทบทวนเกี่ยวกับสมัยโนฮา เราควรเอาใจใส่คำเตือนอะไร?
▫ ซะโดมและอะโมราให้บทเรียนอะไรที่มีพลัง?
▫ ใครได้รับการช่วยให้รอดจาก “ความทุกข์ลำบากใหญ่” ในศตวรรษแรก?
[รูปภาพหน้า 15]
พระยะโฮวาทรงจัดเตรียมการหนีรอดเอาไว้สำหรับครอบครัวโนฮาและโลต รวมทั้งในปี 607 ก.ส.ศ. และปี ส.ศ. 70 ด้วย