การเจรจาตกลงอย่างมีเหตุผลในเรื่องค่าสินสอด
ทุกวันนี้เป็นเช่นเดียวกันกับสมัยพระคัมภีร์ วัฒนธรรมในบางแห่งกำหนดว่าผู้ชายจะเป็นฝ่ายให้ค่าสินสอดก่อนจะสมรสกับผู้หญิง. ยาโคบบอกลาบาน พ่อตาในอนาคตว่า “ฉันจะรับใช้การงานให้ท่านเจ็ดปีเพื่อได้ราเชลลูกสาวคนเล็กของท่าน.” (เยเนซิศ [ปฐมกาล] 29:18, ฉบับแปลใหม่) เนื่องด้วยยาโคบมีความรักต่อราเชล [ราเฮ็ล] ท่านได้เสนอค่าสูงมาก—เท่ากับค่าจ้างทำงานเจ็ดปี! ลาบานตกลงยอมรับข้อเสนอแต่กลับใช้เล่ห์หลอกยาโคบให้แต่งงานกับเลอา ลูกสาวคนโตของตนเสียก่อน. ในเวลาต่อมา ลาบานก็ยังคงปฏิบัติอย่างคดโกงต่อยาโคบอีก. (เยเนซิศ 31:41) การที่ลาบานมุ่งเน้นผลกำไรด้านวัตถุเป็นเหตุให้ลูกสาวไม่มีความนับถือเขา. ลูกสาวถามกันว่า “บิดานับเราเหมือนเป็นแขกเมืองมิใช่หรือ? เพราะบิดาได้ขายเรา, ทั้งได้กินเงินของเราหมดเสียแล้ว.”—เยเนซิศ 31:15.
น่าสลดใจ ในโลกสมัยนี้ที่เน้นด้านวัตถุนิยม พ่อแม่จำนวนมากอยู่ในประเภทเดียวกันกับลาบาน. และบางคนซ้ำแย่กว่านั้น. ตามรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งในแอฟริกา การแต่งงานบางรายได้เจรจาตกลงกัน “เพียงเห็นแก่ฝ่ายบิดาที่มักโลภต้องการตักตวงผลประโยชน์เท่านั้น.” ปัจจัยอีกอย่างหนึ่งได้แก่ความบีบคั้นทางเศรษฐกิจที่ล่อใจพ่อแม่บางคนให้แสดงทีท่าว่าลูกสาวของตนเป็นตัวเงินตัวทองพอจะช่วยบรรเทาวิกฤติเศรษฐกิจได้.a
พ่อแม่บางคนไม่อยากให้ลูกสาวแต่งงานเพราะเขารอผู้ที่ให้ค่าสินสอดมากที่สุด. ข้อนี้อาจก่อปัญหาร้ายแรง. ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ประจำแอฟริกาภาคตะวันออกคนหนึ่งเขียนอย่างนี้: “หนุ่มสาวเลือกแบบวิวาห์เหาะ คือหนีตามกันไปเพื่อหลบเลี่ยงค่าสินสอดที่แพงเกินตามที่ญาติฝ่ายผู้หญิงจะเรียกร้องเอาให้ได้.” การทำผิดศีลธรรมทางเพศเป็นปัญหาหนึ่งสืบเนื่องจากการเรียกค่าสินสอดสูงนัก. ยิ่งกว่านั้น ผู้ชายหนุ่ม ๆ บางคนขวนขวายหาค่าสินสอดซื้อภรรยามาได้ก็จริง แต่มีหนี้ท่วมตัว. นักสังคมสงเคราะห์คนหนึ่งในแอฟริกาใต้กระตุ้นเตือนว่า “พ่อแม่ควรเป็นคนมีเหตุผล. เขาไม่ควรเรียกร้องเอาเงินก้อนใหญ่. คู่สมรสที่เพิ่งแต่งงานมีความจำเป็นต้องหาเลี้ยงชีพ . . . ไฉนจึงมุ่งให้คนหนุ่มล้มละลาย?”
บิดามารดาคริสเตียนจะวางตัวเป็นแบบอย่างแสดงความมีเหตุผลโดยวิธีใดเมื่อเจรจาตกลงจ่ายค่าสินสอดหรือเมื่อรับค่าสินสอด? นี่เป็นเรื่องสำคัญ เพราะคัมภีร์ไบเบิลเรียกร้องดังนี้: “จงให้ความมีเหตุผลของท่านปรากฏแก่คนทั้งปวง.”—ฟิลิปปอย 4:5, ล.ม.
หลักการของคัมภีร์ไบเบิลที่มีเหตุผล
บิดามารดาคริสเตียนตัดสินใจที่จะเจรจาเรื่องค่าสินสอดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเป็นส่วนตัว. ถ้าเขาสมัครใจจะทำเช่นนั้น การเจรจาก็ควรประสานกับหลักการตามที่บอกในคัมภีร์ไบเบิล. พระคำของพระเจ้าบอกว่า “จงให้วิถีชีวิตของท่านพ้นจากการรักเงิน.” (เฮ็บราย 13:5, ล.ม.) หากไม่ปรากฏหลักการนี้เมื่อมีการเจรจากันก็คงเห็นได้ว่าบิดาที่เป็นคริสเตียนไม่ใช่แบบอย่างที่ดี. ผู้ชายที่มีหน้าที่รับผิดชอบในประชาคมคริสเตียนควร “มีเหตุผล” ไม่ “เป็นคนรักเงิน” หรือ “ละโมบผลกำไรโดยมิชอบ.” (1 ติโมเธียว 3:3, 8, ล.ม.) คริสเตียนที่มักโลภและโก่งค่าสินสอดและไม่สำนึกผิดอาจถึงกับถูกตัดสัมพันธ์จากประชาคม.—1 โกรินโธ 5:11, 13; 6:9, 10.
เนื่องจากปัญหาหลายอย่างมีสาเหตุมาจากความโลภ รัฐบาลบางประเทศจึงได้วางข้อกำหนดค่าสินสอดไม่เกินอัตราที่จำกัดไว้. ยกตัวอย่าง กฎหมายประเทศโตโก ในแถบตะวันตกของแอฟริกากำหนดไว้ว่าค่าสินสอด “อาจให้ในลักษณะสิ่งของอันเป็นผลิตภัณฑ์หรือเงินสดหรือทั้งสองอย่าง.” แถมผนวกกับข้อกำหนดไว้ว่า “ค่าสินสอดต้องไม่เกิน 10,000 F CFA (ประมาณ 900 บาท) อย่างเด็ดขาด.” คัมภีร์ไบเบิลย้ำเตือนครั้งแล้วครั้งเล่าให้คริสเตียนเป็นพลเมืองที่เคารพกฎหมาย. (ติโต 3:1) แม้รัฐบาลไม่บังคับใช้ข้อกำหนดดังกล่าว คริสเตียนแท้ก็ยินดีเชื่อฟัง. ด้วยเหตุนี้ เขาจะคงไว้ซึ่งสติรู้สึกผิดชอบที่ดีจำเพาะพระเจ้า และไม่เป็นเหตุให้คนอื่นสะดุด.—โรม 13:1, 5; 1 โกรินโธ 10:32, 33.
ใครพึงต้องรับผิดชอบการเจรจาตกลง?
ในวัฒนธรรมบางแห่ง วิธีเจรจาค่าสินสอดอาจขัดต่อหลักการสำคัญอีกอย่างหนึ่ง. ตามหลักการของคัมภีร์ไบเบิล บิดามีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องราวภายในครอบครัว. (1 โกรินโธ 11:3; โกโลซาย 3:18, 20) ดังนั้น ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในประชาคมจึงต้องเป็นผู้ชายซึ่ง “ปกครองลูกและครอบครัวของตนเองด้วยวิธีที่ดีงาม.”—1 ติโมเธียว 3:12, ล.ม.
อย่างไรก็ตาม อาจเป็นสิ่งธรรมดาในชุมชนเมื่อมีการเจรจาการสมรสรายใหญ่ก็จะปล่อยให้เป็นธุระของญาติฝ่ายบิดา. และบรรดาญาติก็จะเรียกร้องส่วนแบ่งค่าสินสอด. ทั้งนี้นับว่าเป็นการทดสอบสำหรับครอบครัวคริสเตียน. เพื่อเห็นแก่ธรรมเนียมประเพณี หัวหน้าครอบครัวบางคนยินยอมให้หมู่ญาติที่ไม่มีความเชื่อในพระเจ้าโก่งค่าสินสอด. บางครั้งการทำเช่นนี้ได้ชักพาเด็กสาวคริสเตียนไปแต่งงานกับคนไม่มีความเชื่อ. เรื่องทำนองนี้ขัดแย้งกับคำแนะนำที่ให้คริสเตียน “สมรสกับผู้ที่เชื่อถือองค์พระผู้เป็นเจ้า.” (1 โกรินโธ 7:39) ในเมื่อหัวหน้าครอบครัวยอมให้ญาติผู้ไม่มีความเชื่อเป็นฝ่ายตัดสินใจซึ่งปรากฏออกมาว่าเป็นความเสียหายต่อสวัสดิภาพฝ่ายวิญญาณของลูกของตนเช่นนั้น เขาจะไม่ได้รับการพิจารณาเป็นบุคคลที่ “ปกครองครอบครัวของตนเองอย่างดีงาม.”—1 ติโมเธียว 3:4, ล.ม..
จะว่าอย่างไรหากบิดาคริสเตียนไม่ได้มีส่วนเจรจาเรื่องการสมรสของลูกโดยตรง ดังกรณีของอับราฮามปฐมบรรพบุรุษผู้เกรงกลัวพระเจ้า? (เยเนซิศ 24:2-4) ถ้าได้มอบให้คนอื่นจัดการเรื่องนี้แทน บิดาที่เป็นคริสเตียนต้องทำให้แน่ใจว่าผู้เจรจาตกลงนั้นปฏิบัติตามคำแนะนำซึ่งประสานกับหลักการอันชอบด้วยเหตุผลของคัมภีร์ไบเบิล. ยิ่งกว่านั้น ก่อนเริ่มเจรจาเรื่องค่าสินสอด บิดามารดาคริสเตียนพึงไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างรอบคอบ และไม่ควรปล่อยตัวเองถูกชักนำจนลืมตัวให้คล้อยตามธรรมเนียมประเพณีหรือความต้องการที่ไม่ชอบด้วยเหตุผล.—สุภาษิต 22:3.
หลีกเลี่ยงอุปนิสัยที่ไม่เหมาะสมกับคริสเตียน
คัมภีร์ไบเบิลตำหนิการถือดี และ “การอวดอ้างปัจจัยการดำรงชีวิตของตน.” (1 โยฮัน 2:16, ล.ม.; สุภาษิต 21:4) กระนั้น บางคนซึ่งได้คบหากับประชาคมคริสเตียนอยู่แล้วก็ยังแสดงอุปนิสัยเช่นนี้เมื่อเจรจาตกลงเรื่องการสมรส. บางคนเอาอย่างธรรมเนียมโลก โดยการอวดค่าสินสอดจำนวนมหาศาลที่ตนจ่ายไปหรือได้รับไว้. อีกด้านหนึ่ง สาขาหนึ่งของสมาคมว็อชเทาเวอร์ในแอฟริการายงานดังนี้: “สามีบางคนไม่แสดงความนับถือเมื่อครอบครัวฝ่ายหญิงเรียกค่าสินสอดอย่างเป็นธรรม เขากลับถือเสียว่าเขาได้ซื้อภรรยาในราคาเทียบเท่า ‘แพะ’ หนึ่งตัว.”
คริสเตียนบางคนถูกความมักโลภครอบงำอยากได้ค่าสินสอดมาก ๆ และเป็นสาเหตุนำไปสู่ความเศร้าสลด. ยกตัวอย่าง จงพิจารณารายงานต่อไปนี้จากสำนักงานสาขาสมาคมว็อชเทาเวอร์อีกแห่งหนึ่ง: “กล่าวโดยทั่วไป ยากที่พี่น้องชายที่เป็นโสดจะได้แต่งงาน หรือพี่น้องหญิงจะหาคู่ครอง. ผลที่ตามมาคือจำนวนคนถูกตัดสัมพันธ์เพิ่มขึ้นเพราะการผิดศีลธรรมทางเพศ. พี่น้องชายจำนวนหนึ่งไปทำงานในเหมืองเพื่อหาทองหรือเพชรซึ่งเขาสามารถขายได้เงินพอเป็นค่าสินสอด. เขาอาจต้องใช้เวลาหนึ่งหรือสองปีหรือมากกว่านั้น และเป็นธรรมดาเขาย่อมอ่อนแอฝ่ายวิญญาณ ขณะที่เขาห่างเหินจากการคบหาสมาคมกับพี่น้องและประชาคม.”
เพื่อจะหลีกเลี่ยงผลอันน่าเศร้าดังกล่าว บิดามารดาคริสเตียนควรปฏิบัติตามตัวอย่างของบรรดาผู้อาวุโสในประชาคม. แม้อัครสาวกเปาโลไม่อยู่ในฐานะเป็นบิดา แต่ท่านมีเหตุผลเมื่อติดต่อเกี่ยวข้องกับเพื่อนร่วมความเชื่อ. ท่านระมัดระวังไม่วางภาระทางการเงินแก่คนหนึ่งคนใด. (กิจการ 20:33) แน่นอน บิดามารดาคริสเตียนพึงพิจารณาตัวอย่างของท่านซึ่งไม่เห็นแก่ได้เมื่อจะดำเนินการเจรจาค่าสินสอด. อันที่จริง เปาโลได้รับการดลใจจากพระเจ้าให้เขียนดังนี้: “ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย, ท่านจงประพฤติตามแบบข้าพเจ้า, และคอยดูคนทั้งหลายเหล่านั้นที่ประพฤติตามแบบเดียวกัน, เหมือนท่านทั้งหลายได้พวกเราเป็นตัวอย่าง.”—ฟิลิปปอย 3:17.
ตัวอย่างที่แสดงถึงความมีเหตุผล
ในเรื่องการเจรจาค่าสินสอด บิดามารดาคริสเตียนจำนวนไม่น้อยได้วางตัวอย่างที่ดีแสดงความมีเหตุผล. ขอพิจารณากรณีของโจเซฟกับเมผู้เป็นภรรยา ทั้งสองเป็นผู้เผยแพร่เต็มเวลา.b เขาอาศัยอยู่บนเกาะหนึ่งในหมู่เกาะโซโลมอน ที่นั่นการเจรจาค่าสินสอดบางครั้งมีปัญหา. ที่จะหลีกเลี่ยงความยุ่งยากในเรื่องนี้ โจเซฟกับเมจัดเตรียมการให้เฮเลนลูกสาวไปแต่งงานที่เกาะซึ่งอยู่ใกล้ ๆ. เขาจัดการแบบเดียวกันให้เอสเทอร์ลูกสาวอีกคนหนึ่ง. นอกจากนี้ โจเซฟได้ตกลงให้ปีเตอร์ลูกเขยจ่ายค่าสินสอดต่ำกว่าที่เขาพึงได้รับไว้ตามควรเสียด้วยซ้ำ. เมื่อถามเหตุผลที่เขาทำเช่นนั้น โจเซฟชี้แจงว่า “ผมไม่อยากให้ลูกเขยซึ่งเป็นไพโอเนียร์ต้องแบกภาระหนัก.”
พยานพระยะโฮวาจำนวนมากในแอฟริกาได้วางตัวอย่างที่ดีเช่นกันในเรื่องความมีเหตุผล. บางท้องที่ สมาชิกครอบครัวขยายโดยทั่วไปคาดหมายจะได้รับเงินก้อนใหญ่ล่วงหน้าก่อนการเจรจาตกลงค่าสินสอดตามความเป็นจริง. และเพื่อจะได้เจ้าสาว เจ้าบ่าวอาจถูกคาดหมายให้สัญญาว่าวันข้างหน้าตนจะเป็นคนจ่ายค่าสินสอดแทนน้องชายของคู่หมั้น.
ในทางกลับกัน ขอพิจารณาตัวอย่างของคอสซีกับมาราภรรยา. เมื่อไม่นานมานี้เบโบโกลูกสาวของเขาเพิ่งแต่งงานกับผู้ดูแลเดินทางของพยานพระยะโฮวา. ก่อนแต่งงาน ญาติพี่น้องสร้างความกดดันแก่พ่อแม่ฝ่ายผู้หญิงเพราะพวกเขาหวังจะได้ส่วนแบ่งจากค่าสินสอดจำนวนมาก. อย่างไรก็ดี สามีภรรยาคู่นี้ยืนหยัดและไม่ทำตามข้อเรียกร้องดังกล่าว. แล้วคนทั้งสองจึงเจรจาโดยตรงกับผู้ที่จะมาเป็นเขยของตน เขาเรียกค่าสินสอดเพียงเล็กน้อย แล้วภายหลังได้คืนค่าสินสอดครึ่งหนึ่งแก่คู่หมั้นเพื่อใช้จ่ายเตรียมงานวันสมรสของเขา.
อีกตัวอย่างในประเทศเดียวกันเกี่ยวเนื่องกับพยานฯ สาวชื่ออีโทงโก. ตอนแรกครอบครัวฝ่ายหญิงเรียกค่าสินสอดแต่พอควร. แต่ทางญาติ ๆ ต้องการให้เพิ่มค่าสินสอด. บรรยากาศตึงเครียดและดูเหมือนว่าทางญาติอาจได้ราคาสูงตามที่เรียกร้องเอา. ถึงแม้อีโทงโกมีนิสัยเหนียมอาย แต่เธอได้ยืนขึ้นและด้วยท่าทีแสดงความนับถือ เธอกล่าวว่าตัวเองตั้งใจจะแต่งงานกับคริสเตียนผู้มีความกระตือรือร้นชื่อซางเซ เป็นไปตามที่ได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว. ต่อจากนั้นเธอพูดอย่างกล้าหาญว่า “มบี เค” (หมายความว่า “เรื่องยุติแค่นี้”) แล้วก็นั่งลง. เธอได้รับการสนับสนุนจากมารดาคริสเตียนชื่อซัมเบโก. จากนั้นไม่มีการถกเถียงกันอีกต่อไป และทั้งคู่ได้แต่งงานกันตามการตระเตรียมแต่แรก.
ยังอีกมีหลายอย่างซึ่งบิดามารดาคริสเตียนผู้เปี่ยมด้วยความรักควรคำนึงถึงยิ่งกว่าค่าสินสอดที่ให้ประโยชน์เฉพาะตัว. สามีคนหนึ่งในแคเมอรูนชี้แจงดังนี้: “แม่ยายผมใช้ทุกโอกาสบอกผมว่าส่วนที่ผมประสงค์จะให้เป็นค่าสินสอดนั้น ผมควรนำไปใช้ในการจัดหาปัจจัยไว้ดูแลลูกสาวของเธอ.” อนึ่ง บิดามารดาที่มีความรักรู้สึกห่วงใยสวัสดิภาพฝ่ายวิญญาณสำหรับลูกของตน. อย่างเช่น ฟาไรกับรูโดซึ่งอยู่ที่ซิมบับเว และใช้เวลามากทำงานเผยแพร่ข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า. แม้ทำงานไม่รับค่าจ้าง แต่เขาได้ยกลูกสาวให้แต่งงานและรับค่าสินสอดเพียงเล็กน้อย ต่ำกว่าเกณฑ์ที่คนทั่วไปตั้งไว้. เขามีเหตุผลอะไร? เขาต้องการให้ลูกสาวได้ประโยชน์จากการสมรสกับชายซึ่งรักพระยะโฮวาจริง. เขาให้เหตุผลว่า “สิ่งที่เราถือว่าสำคัญกว่าคือสภาพฝ่ายวิญญาณของลูกสาวสองคนพร้อมทั้งลูกเขยของเรา.” น่าชื่นใจอะไรเช่นนี้! พ่อแม่ฝ่ายหญิงซึ่งรักและห่วงใยสวัสดิภาพฝ่ายวิญญาณและทางด้านวัตถุของลูก ๆ ของตนที่แต่งงานไปแล้วสมควรได้รับคำชมเชยอย่างยิ่ง.
ผลประโยชน์อันเนื่องมาจากความมีเหตุผล
โจเซฟและเมที่หมู่เกาะโซโลมอนมีพระพรเนื่องจากคนทั้งสองมีใจกว้างและรอบคอบเมื่อจัดการให้ลูกสาวแต่งงาน. ด้วยเหตุนี้ ลูกเขยของเขาจึงปลอดหนี้สิน. ยิ่งกว่านั้น ลูกสาวพร้อมทั้งสามียังสามารถทำงานรับใช้เต็มเวลานานหลายปีในการเผยแพร่ข่าวสารราชอาณาจักร. เมื่อมองย้อนหลัง โจเซฟเล่าว่า “ที่ผมและครอบครัวได้ตัดสินใจไปนั้นยังผลเป็นพระพรอุดมแก่พวกเรา. จริง บางครั้งมีความกดดันจากคนเหล่านั้นซึ่งไม่เข้าใจ ทว่าผมมีสติรู้สึกผิดชอบที่ดีและเกิดความอิ่มใจเมื่อผมเห็นลูก ๆ เอาการเอางานและเข้มแข็งอยู่ในงานรับใช้พระยะโฮวา. ลูก ๆ ก็สบายใจเช่นกัน ส่วนผมกับภรรยายิ่งสบายใจใหญ่เลย.”
ผลประโยชน์อีกอย่างคือความสัมพันธ์อันดีระหว่างญาติ ๆ ของทั้งสองฝ่าย. อย่างเช่นโซนไดและซิบูซีโซทำงานเป็นอาสาสมัครที่สาขาสมาคมว็อชเทาเวอร์ในซิมบับเว พร้อมด้วยภรรยาของพวกเขาซึ่งเป็นพี่น้องกัน. ดะเคไรพ่อตาทำงานเผยแพร่ข่าวดีเต็มเวลาและทำงานไม่รับค่าจ้าง. ระหว่างที่มีการเจรจาเรื่องค่าสินสอด เขาบอกว่ายินดีรับเท่าที่ฝ่ายชายจะให้ได้. ทั้งโซนไดและซิบูซีโซพูดว่า “เรารักพ่อตาของเราอย่างที่สุด และเราจะทำทุกอย่างเท่าที่เป็นไปได้เพื่อช่วยเหลือท่านหากเกิดความจำเป็นขึ้นมา.”
ใช่แล้ว การเป็นคนมีเหตุผลเมื่อเจรจาเรียกค่าสินสอดย่อมส่งเสริมความสุขในครอบครัว. เป็นต้นว่า คู่สมรสที่เพิ่งแต่งงานจะไม่มีหนี้สิน การปรับตัวเข้ากับชีวิตสมรสของคนทั้งสองก็จะง่ายขึ้น. ทั้งนี้ได้ช่วยคู่สมรสหนุ่มสาวหลายรายสามารถมุ่งแสวงพระพรต่าง ๆ ฝ่ายวิญญาณได้ อาทิ การทำกิจกรรมเต็มเวลาด้านการเผยแพร่และการทำให้คนเป็นสาวกซึ่งเป็นงานเร่งด่วน. ครั้นแล้ว นั่นส่งผลนำเกียรติยศมาสู่พระยะโฮวาพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความรักซึ่งทรงเป็นแหล่งที่มาของการสมรส.—มัดธาย 24:14; 28:19, 20.
[เชิงอรรถ]
a วัฒนธรรมในบางแห่ง สภาพการณ์เป็นในทางกลับกัน. ฝ่ายเขยคาดหมายจะได้สินสอดจากพ่อแม่ฝ่ายหญิง.
b ชื่อบุคคลในบทความนี้เป็นชื่อสมมุติ.
[กรอบหน้า 27]
พวกเขาคืนค่าสินสอด
ในชุมชนบางแห่ง ถ้าเรียกค่าสินสอดต่ำ เจ้าสาวและพ่อแม่ของเธอจะเป็นที่ดูถูกดูแคลน. ด้วยเหตุนี้ ความหยิ่งในศักดิ์ศรีและความต้องการจะอวดฐานะครอบครัวบางครั้งเป็นแรงกระตุ้นให้เรียกค่าสินสอดแพง. ครอบครัวหนึ่งที่เมืองลากอส ประเทศไนจีเรีย ได้ให้ข้อแตกต่างอันทำให้ชื่นใจ. เดเล ลูกเขยของเขาชี้แจงดังนี้:
“ครอบครัวทางภรรยาของผมทำให้ผมคลายกังวลด้านค่าใช้จ่ายหลายอย่างซึ่งมาพร้อมกับพิธีตามจารีตประเพณีเกี่ยวกับการให้ค่าสินสอด เป็นต้นว่า การซื้อชุดราคาแพงหลาย ๆ ชุดสำหรับผลัดเปลี่ยน. เมื่อพ่อแม่ผมยื่นค่าสินสอดให้พวกเขา ผู้พูดแทนฝ่ายหญิงได้ถามว่า ‘คุณต้องการรับเด็กสาวคนนี้เป็นภรรยาหรือรับเป็นลูก?’ ฝ่ายครอบครัวของผมตอบพร้อมกันว่า ‘เราต้องการรับเธอไปเป็นลูก.’ หลังจากนั้น เขาก็ได้คืนค่าสินสอดกลับมาให้เราในซองเดิม.
“กระทั่งทุกวันนี้ ผมยังไม่วายรู้สึกขอบคุณญาติฝ่ายผู้หญิงที่จัดเรื่องการแต่งงานของเรา. การจัดการเช่นนั้นทำให้ผมรู้สึกนับถือเขาเป็นอย่างมาก. ทัศนะที่ดีเยี่ยมฝ่ายวิญญาณของเขาทำให้ผมมองเขาเป็นญาติสนิท. แถมยังส่งผลกระทบใหญ่หลวงด้วยถึงทัศนะของผมที่มีต่อภรรยา. ผมเกิดความหยั่งรู้ค่าภรรยาอย่างล้ำลึก สืบเนื่องจากวิธีที่ครอบครัวของเธอได้ปฏิบัติต่อผม. เมื่อเรามีความคิดเห็นไม่ตรงกัน ผมไม่ปล่อยให้เป็นปัญหา. ทุกครั้งที่ผมระลึกว่าเธอมาจากครอบครัวนี้ ข้อขัดแย้งได้ลดน้อยลง.
“ครอบครัวของผมกับของเธอได้ผนึกกันเป็นมิตรภาพที่แน่นแฟ้น. แม้แต่เดี๋ยวนี้ ซึ่งเป็นเวลาสองปีหลังจากการแต่งงานของเรา พ่อของผมก็ยังคงส่งของขวัญและสิ่งบริโภคไปให้ทางครอบครัวภรรยาผมอยู่เสมอ.”