จงยกมืออันภักดีในคำอธิษฐาน
“ข้าพเจ้าปรารถนาให้ชายทั้งหลายอธิษฐานในที่ประชุมทุกแห่ง, ด้วยยกมืออันบริสุทธิ์ [“ภักดี,” ล.ม.], ปราศจากโทโสและการเถียงกัน.”—1 ติโมเธียว 2:8.
1, 2. (ก) จะใช้ 1 ติโมเธียว 2:8 กับคำอธิษฐานที่เกี่ยวข้องกับไพร่พลของพระยะโฮวาอย่างไร? (ข) เราจะพิจารณาเรื่องอะไรในบทความนี้?
พระยะโฮวาทรงคาดหมายไพร่พลของพระองค์ให้ภักดีต่อพระองค์และภักดีต่อกันและกัน. อัครสาวกเปาโลเชื่อมโยงความภักดีเข้ากับคำอธิษฐานเมื่อท่านเขียนดังนี้: “ข้าพเจ้าปรารถนาให้ชายทั้งหลายอธิษฐานในที่ประชุมทุกแห่ง, ด้วยยกมืออันบริสุทธิ์ [“ภักดี,” ล.ม.], ปราศจากโทโสและการเถียงกัน.” (1 ติโมเธียว 2:8) ดูเหมือนว่า เปาโลกำลังกล่าวถึงคำอธิษฐานอย่างเปิดเผย “ในที่ประชุมทุกแห่ง” ซึ่งคริสเตียนพบปะกัน. ใครที่จะเป็นตัวแทนไพร่พลพระเจ้าในการนำอธิษฐาน ณ การประชุมประจำประชาคม? เฉพาะชายที่บริสุทธิ์, ชอบธรรม, และนอบน้อมซึ่งปฏิบัติอย่างรอบคอบในหน้าที่ทั้งสิ้นตามหลักพระคัมภีร์ที่มีต่อพระเจ้าเท่านั้น. (ท่านผู้ประกาศ 12:13, 14) พวกเขาต้องสะอาดทางฝ่ายวิญญาณและศีลธรรมและไม่มีข้อสงสัยว่าเขาได้อุทิศตัวแด่พระยะโฮวาพระเจ้า.
2 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ปกครองในประชาคมควร ‘ยกมืออันภักดีในคำอธิษฐาน.’ คำอธิษฐานที่ออกมาจากใจของพวกเขาซึ่งผ่านทางพระเยซูคริสต์แสดงถึงความภักดีต่อพระเจ้าและช่วยเขาให้หลีกเลี่ยงการทุ่มเถียงกันและการระเบิดโทโส. ที่จริง ชายคนใดที่มีสิทธิพิเศษเป็นตัวแทนประชาคมคริสเตียนในการนำอธิษฐาน ณ การประชุมควรปราศจากความขึ้งโกรธ, ความคิดมุ่งร้าย, และความไม่ภักดีต่อพระยะโฮวาและองค์การของพระองค์. (ยาโกโบ 1:19, 20) มีแนวปฏิบัติอะไรอีกบ้างตามหลักคัมภีร์ไบเบิลสำหรับคนที่มีสิทธิพิเศษเป็นตัวแทนคนอื่น ๆ ในการนำอธิษฐาน ณ การประชุม? และหลักการพระคัมภีร์ข้อใดบ้างที่เราควรใช้ในคำอธิษฐานเป็นส่วนตัวและคำอธิษฐานกับครอบครัว?
จงเตรียมคำอธิษฐานเอาไว้ก่อน
3, 4. (ก) เหตุใดจึงเป็นประโยชน์ที่เตรียมความคิดเอาไว้ก่อนเมื่อจะนำอธิษฐานในที่ประชุม? (ข) พระคัมภีร์แสดงให้เห็นเช่นไรในเรื่องความยาวของคำอธิษฐาน?
3 หากเราได้รับเชิญให้นำอธิษฐานในที่ประชุม เรามักจะเตรียมคำอธิษฐานเอาไว้ก่อนอย่างน้อยที่สุดก็บางส่วน. การทำเช่นนี้จะทำให้เราสามารถกล่าวครอบคลุมเรื่องสำคัญ ๆ ที่เหมาะสมโดยไม่อธิษฐานยืดยาววกวน. แน่ละ คำอธิษฐานส่วนตัวของเราก็สามารถกล่าวออกเสียงได้. คำอธิษฐานส่วนตัวอาจยาวเท่าใดก็ได้. พระเยซูทรงใช้เวลาตลอดคืนอธิษฐานก่อนพระองค์จะเลือกอัครสาวก 12 คน. อย่างไรก็ตาม เมื่อพระองค์ทรงตั้งการประชุมอนุสรณ์ระลึกถึงการวายพระชนม์ของพระองค์ จะเห็นได้ว่าคำอธิษฐานของพระองค์ก่อนส่งขนมปังและเหล้าองุ่นนั้นค่อนข้างสั้น. (มาระโก 14:22-24; ลูกา 6:12-16) และเราทราบว่าแม้แต่คำอธิษฐานสั้น ๆ ของพระเยซูก็เป็นที่ยอมรับอย่างครบถ้วนจากพระเจ้า.
4 สมมุติว่าเรามีสิทธิพิเศษนำในการอธิษฐานกับครอบครัวก่อนรับประทานอาหาร. คำอธิษฐานเช่นนี้อาจค่อนข้างสั้น—แต่ไม่ว่าจะกล่าวถึงอะไรก็ควรรวมคำแสดงความขอบพระคุณสำหรับอาหาร. หากเรานำอธิษฐานเปิดหรือปิดการประชุม เราไม่จำเป็นต้องอธิษฐานยาว ๆ โดยกล่าวครอบคลุมหลาย ๆ จุด. พระเยซูทรงติเตียนพวกอาลักษณ์ที่ “แสร้งอธิษฐานเสียยืดยาว.” (ลูกา 20:46, 47) ผู้เลื่อมใสพระเจ้าไม่ควรทำเช่นนั้น. แต่บางครั้ง การอธิษฐานซึ่งค่อนข้างยาวในการประชุมอาจเหมาะสม. ตัวอย่างเช่น ผู้ปกครองที่ได้รับเชิญให้อธิษฐานปิดในการประชุมใหญ่ควรได้คิดถึงคำอธิษฐานนั้นล่วงหน้าและอาจอยากกล่าวถึงหลายจุด. กระนั้น คำอธิษฐานดังกล่าวก็ไม่ควรยาวจนเกินไป.
จงเข้าเฝ้าพระเจ้าด้วยความเคารพนบนอบ
5. (ก) เราควรจำอะไรไว้เสมอเมื่ออธิษฐาน ณ การประชุม? (ข) เหตุใดจึงอธิษฐานอย่างสง่าผ่าเผยและแสดงความนับถือ?
5 เมื่ออธิษฐาน ณ การประชุม เราควรจำไว้เสมอว่าเรามิได้กล่าวต่อมนุษย์. แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ผิดบาปซึ่งกำลังวิงวอนขอต่อพระยะโฮวา พระผู้เป็นเจ้าองค์บรมมหิศร. (บทเพลงสรรเสริญ 8:3-5, 9; 73:28) ดังนั้น เราควรแสดงความเกรงกลัวด้วยความเคารพนบนอบว่าจะทำให้พระองค์ไม่ทรงพอพระทัยในสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เรากล่าวรวมทั้งวิธีที่เรากล่าวด้วย. (สุภาษิต 1:7) ดาวิด ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญร้องออกมาเป็นเพลงดังนี้: “ส่วนข้าพเจ้าเองโดยพระกรุณาอันบริบูรณ์ของพระองค์ จะเข้าในพระวิหารของพระองค์. ข้าพเจ้าจะนมัสการตรงพระวิหารอันบริสุทธิ์ของพระองค์ด้วยใจเกรงกลัว.” (บทเพลงสรรเสริญ 5:7) หากเรามีเจตคติเช่นนั้น เราจะแสดงตัวอย่างไรเมื่อได้รับเชิญให้นำอธิษฐาน ณ การประชุมของพยานพระยะโฮวา? เอาละ หากเรามีโอกาสกล่าวต่อกษัตริย์ที่เป็นมนุษย์ เราก็ย่อมกล่าวอย่างที่แสดงความนับถือและอย่างสง่าผ่าเผย. คำอธิษฐานของเราก็น่าจะแสดงความนับถือและสง่าผ่าเผยยิ่งกว่านั้นเสียอีกมิใช่หรือเนื่องจากเรากำลังอธิษฐานถึงพระยะโฮวา “พระมหากษัตริย์แห่งนิรันดร์กาล”? (วิวรณ์ 15:3, ล.ม.) ดังนั้น เมื่ออธิษฐานเราควรเลี่ยงการใช้คำพูดอย่างเช่น “อรุณสวัสดิ์ พระยะโฮวา,” “พวกเราขอส่งความรักถึงพระองค์,” หรือ “ขอกล่าวสวัสดีเพียงเท่านี้.” พระคัมภีร์แสดงให้เห็นว่า พระเยซูคริสต์ พระบุตรผู้ได้รับกำเนิดองค์เดียวของพระเจ้าไม่เคยตรัสกับพระบิดาฝ่ายสวรรค์ของพระองค์ในลักษณะนั้น.
6. เราควรจำอะไรเอาไว้เสมอเมื่อ “เข้าไปถึงราชบัลลังก์แห่งพระกรุณาอันไม่พึงได้รับ”?
6 เปาโลกล่าวดังนี้: “ให้เราทั้งหลายเข้าไปถึงราชบัลลังก์แห่งพระกรุณาอันไม่พึงได้รับและพูดอย่างสะดวกใจ.” (เฮ็บราย 4:16, ล.ม.) เราสามารถเข้าไปถึงพระยะโฮวาพร้อมด้วยการ “พูดอย่างสะดวกใจ” แม้ว่าเราอยู่ในสภาพผิดบาป เนื่องด้วยความเชื่อที่เรามีในเครื่องบูชาไถ่ของพระเยซูคริสต์. (กิจการ 10:42, 43; 20:20, 21) ถึงกระนั้น การ “พูดอย่างสะดวกใจ” ไม่ได้หมายความว่าเราควรสนทนาอย่างเป็นกันเองกับพระเจ้า; และก็ไม่ได้หมายความว่าเราควรกล่าวในเรื่องที่ไม่เป็นการแสดงความนับถือต่อพระองค์. เพื่อคำอธิษฐานที่เรากล่าวในที่ประชุมจะเป็นที่พอพระทัยพระยะโฮวา คำอธิษฐานนั้นต้องกราบทูลด้วยความนับถือที่เหมาะสมและอย่างสง่าผ่าเผย และคงไม่เหมาะที่จะใช้เป็นโอกาสในการประกาศอะไรบางอย่าง, ให้คำแนะนำบางคน, หรือว่ากล่าวแก้ไขผู้ฟัง.
จงอธิษฐานด้วยใจถ่อม
7. ซะโลโมสำแดงความถ่อมใจอย่างไรเมื่ออธิษฐานในคราวการอุทิศพระวิหารของพระยะโฮวา?
7 ไม่ว่าเราจะอธิษฐาน ณ การประชุมหรือเป็นส่วนตัว หลักการพระคัมภีร์ที่สำคัญซึ่งต้องจำไว้เสมอคือ เราควรแสดงเจตคติที่ถ่อมใจในคำอธิษฐานของเรา. (2 โครนิกา 7:13, 14) กษัตริย์ซะโลโมแสดงความถ่อมใจในคำอธิษฐานของท่านต่อหน้าปวงชนในคราวการอุทิศพระวิหารของพระยะโฮวาในกรุงยะรูซาเลม. ซะโลโมเพิ่งเสร็จสิ้นการสร้างสิ่งก่อสร้างที่ยอดเยี่ยมที่สุดหลังหนึ่งเท่าที่เคยสร้างกันบนแผ่นดินโลก. กระนั้น ท่านอธิษฐานอย่างถ่อมใจดังนี้: “พระเจ้าจะทรงประทับที่แผ่นดินโลกหรือ ดูเถิด ฟ้าสวรรค์และฟ้าสวรรค์อันสูงที่สุดยังรับพระองค์อยู่ไม่ได้ พระนิเวศซึ่งข้าพระองค์ได้สร้างขึ้น จะรับพระองค์ไม่ได้ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด.”—1 กษัตริย์ 8:27, ฉบับแปลใหม่.
8. มีวิธีใดบ้างที่จะแสดงความถ่อมใจในการนำอธิษฐาน ณ การประชุม?
8 เช่นเดียวกับซะโลโม เราควรถ่อมใจเมื่อเป็นตัวแทนคนอื่น ๆ นำอธิษฐานในที่ประชุม. แม้ว่าเราควรหลีกเลี่ยงการแสร้งกล่าวให้ดูเคร่งศาสนา แต่ความถ่อมก็อาจแสดงออกมาทางน้ำเสียงของเรา. คำอธิษฐานด้วยใจถ่อมไม่ใช่การใช้ถ้อยคำเลิศหรูหรือเร้าอารมณ์. คำอธิษฐานที่แสดงความถ่อมดึงความสนใจไปยังผู้ที่เราอธิษฐานถึง ไม่ใช่ผู้กล่าวคำอธิษฐาน. (มัดธาย 6:5) ความถ่อมยังเห็นได้ด้วยจากสิ่งที่เรากล่าวในคำอธิษฐาน. หากเราอธิษฐานด้วยใจถ่อม เราจะไม่พูดราวกับว่าเรากำลังเรียกร้องให้พระเจ้าทำบางสิ่งบางอย่างตามวิธีของเรา. แทนที่จะทำอย่างนั้น เราจะวิงวอนขอพระยะโฮวาให้ทรงกระทำในแบบที่สอดคล้องกับพระทัยประสงค์อันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์. ท่านผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญเป็นตัวอย่างในเรื่องเจตคติที่ถูกต้องเมื่อท่านวิงวอนดังนี้: “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดเถิด ข้าแต่พระเจ้า ขอประทานความสำเร็จแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด.”—บทเพลงสรรเสริญ 118:25, [สดุดี] ฉบับแปลใหม่; ลูกา 18:9-14.
จงอธิษฐานจากใจ
9. พระเยซูทรงให้คำแนะนำที่ดีอะไรซึ่งจะพบได้ที่มัดธาย 6:7 และจะใช้คำแนะนำนี้ได้อย่างไร?
9 เพื่อคำอธิษฐานของเราในที่ประชุมหรือเป็นส่วนตัวจะเป็นที่พอพระทัยพระยะโฮวา คำอธิษฐานนั้นต้องออกมาจากใจ. ฉะนั้น เราจะไม่เพียงแค่ใช้คำพูดซ้ำ ๆ ทุกครั้งที่อธิษฐานโดยไม่ได้คิดถึงสิ่งที่เรากำลังกล่าว. ในคำเทศน์บนภูเขา พระเยซูทรงให้คำแนะนำดังนี้: “เมื่อท่านอธิษฐาน, อย่ากล่าวคำซ้ำให้มากเหมือนคนต่างประเทศ เพราะเขา [เข้าใจผิด] คิดว่าพูดมากหลายคำพระจึงจะโปรดฟัง.” หรือถ้าจะพูดอีกอย่างหนึ่ง พระเยซูตรัสดังนี้: “อย่าพูดเพ้อเจ้อ; อย่ากล่าวคำซ้ำซากที่ไร้ความหมาย.”—มัดธาย 6:7; เชิงอรรถฉบับแปลโลกใหม่.
10. เหตุใดจึงเหมาะสมที่จะอธิษฐานเรื่องเดิมมากกว่าหนึ่งครั้ง?
10 แน่ละ เราอาจจำเป็นต้องอธิษฐานเรื่องเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า. นั่นไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เพราะพระเยซูทรงกระตุ้นเตือนดังนี้: “จงขอต่อ ๆ ไป แล้วท่านทั้งหลายจะได้รับ; จงหาต่อ ๆ ไป แล้วท่านจะพบ; จงเคาะต่อ ๆ ไป แล้วจะเปิดให้แก่ท่าน.” (มัดธาย 7:7, ล.ม.) อาจมีความจำเป็นต้องมีหอประชุมราชอาณาจักรอีกแห่งหนึ่งเนื่องจากพระยะโฮวาทรงบันดาลให้งานประกาศในท้องถิ่นก้าวหน้าไปอย่างดี. (ยะซายา 60:22) คงนับว่าเหมาะที่จะกล่าวถึงความจำเป็นนี้อยู่เรื่อย ๆ เมื่ออธิษฐานเป็นส่วนตัวหรือเมื่ออธิษฐานในที่ประชุมของไพร่พลพระยะโฮวา. การทำเช่นนี้ย่อมมิได้หมายความว่าเรากำลัง “กล่าวคำซ้ำซากที่ไร้ความหมาย.”
อย่าลืมขอบพระคุณและกล่าวสรรเสริญ
11. จะใช้ฟิลิปปอย 4:6, 7 กับคำอธิษฐานเป็นส่วนตัวและคำอธิษฐานในที่ประชุมอย่างไร?
11 หลายคนอธิษฐานเฉพาะเมื่อจะขอบางสิ่ง แต่ความรักที่เรามีต่อพระยะโฮวาพระเจ้าควรกระตุ้นเราให้ถวายคำขอบพระคุณและคำสรรเสริญแด่พระองค์ทั้งในคำอธิษฐานเป็นส่วนตัวและในที่ประชุม. เปาโลเขียนดังนี้: “อย่ากระวนกระวายด้วยสิ่งใด แต่ในทุกสิ่งจงทูลขอต่อพระเจ้าโดยการอธิษฐานและการวิงวอนพร้อมด้วยการขอบพระคุณ; แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าที่เหนือกว่าความคิดทุกอย่างจะป้องกันรักษาหัวใจและความสามารถในการคิดของท่านไว้โดยพระคริสต์เยซู.” (ฟิลิปปอย 4:6, 7, ล.ม.) ใช่ นอกจากการวิงวอนและการทูลขอในเรื่องต่าง ๆ แล้ว เราควรแสดงความขอบพระคุณต่อพระยะโฮวาสำหรับพระพรทางฝ่ายวิญญาณและด้านวัตถุ. (สุภาษิต 10:22) ท่านผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญร้องออกมาเป็นเพลงดังนี้: “จงถวายการขอบพระคุณเป็นเครื่องบูชาของท่านแด่พระเจ้า และทำตามคำปฏิญาณของท่านแด่พระผู้ใหญ่ยิ่งสูงสุด.” (บทเพลงสรรเสริญ 50:14, ล.ม.) และท่วงทำนองอันไพเราะของคำอธิษฐานของดาวิดมีถ้อยคำอันจับใจดังต่อไปนี้อยู่ด้วย: “ข้าพเจ้าจะร้องเพลงถวายสรรเสริญพระนามของพระเจ้า, และจะยกย่องพระองค์โดยขอบพระเดชพระคุณ.” (บทเพลงสรรเสริญ 69:30) เราควรทำอย่างเดียวกันในคำอธิษฐาน ณ การประชุมและเป็นส่วนตัวมิใช่หรือ?
12. บทเพลงสรรเสริญ 100:4, 5 กำลังสำเร็จเป็นจริงอยู่ในเวลานี้อย่างไร และดังนั้นเราสามารถขอบพระคุณและสรรเสริญพระเจ้าสำหรับอะไร?
12 ท่านผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญร้องเพลงเกี่ยวด้วยพระเจ้าดังนี้: “จงพากันเข้าประตูของพระองค์โดยสนองพระเดชพระคุณ, จงเข้าในบริเวณของพระองค์โดยร้องเพลงสรรเสริญ: จงขอบพระเดชพระคุณและสรรเสริญพระนามของพระองค์. เพราะพระยะโฮวาประกอบไปด้วยพระเมตตา; พระกรุณาคุณของพระองค์ยั่งยืนถาวรเป็นนิตย์, และความสัตย์ซื่อของพระองค์ถาวรตลอดทุก ๆ ชั่วอายุคน.” (บทเพลงสรรเสริญ 100:4, 5) ปัจจุบัน ประชาชนแห่งชาติทั้งปวงกำลังเข้ามาที่ลานพระวิหารของพระยะโฮวา และเราสามารถถวายคำสรรเสริญและคำขอบพระคุณแด่พระองค์ในเรื่องนี้. คุณแสดงความขอบพระคุณต่อพระเจ้าสำหรับหอประชุมราชอาณาจักรประจำท้องถิ่นและแสดงความหยั่งรู้ค่าโดยการร่วมชุมนุมกันที่นั่นเป็นประจำกับผู้ที่รักพระองค์ไหม? ขณะอยู่ที่นั่น คุณร้องเพลงสรรเสริญและขอบพระคุณอย่างเบิกบานด้วยเสียงอันดังแด่พระบิดาฝ่ายสวรรค์ของเราผู้เปี่ยมด้วยความรักไหม?
อย่าอายที่จะอธิษฐาน
13. ตัวอย่างอะไรในพระคัมภีร์ที่แสดงว่าเราควรอ้อนวอนขอต่อพระยะโฮวาแม้เราอาจรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรเนื่องด้วยความผิด?
13 แม้เราอาจรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรเนื่องด้วยความผิด เราควรหมายพึ่งพระเจ้าด้วยการวิงวอนอย่างจริงจัง. เมื่อชาวยิวทำบาปโดยรับหญิงต่างชาติมาเป็นภรรยา เอษราคุกเข่าลง ยื่นมือที่ภักดีของท่านออกกว้างต่อพระเจ้า และอธิษฐานด้วยใจถ่อมดังนี้: “โอ้พระเจ้าข้า, ข้าพเจ้ามีความละอายขวยเขินจนไม่อาจลืมตาถึงพระองค์พระเจ้าของข้าพเจ้าได้; ด้วยว่าความชั่วของพวกข้าพเจ้าได้มากขึ้นจนท่วมศีรษะ, และความหลงผิดของพวกข้าพเจ้าได้มากขึ้นเทียมฟ้า. ตั้งแต่กาลครั้งปู่ย่าตายายของพวกข้าพเจ้าตลอดมาจนถึงทุกวันนี้. . . . และเมื่อพวกข้าพเจ้าได้รับโทษเพราะเหตุความชั่ว, และการหลงผิดมากมายดังนี้แล้ว, และเมื่อพระองค์ได้ทรงลงพระราชอาชญาแต่น้อยไม่เท่าเทียมกับความผิดของพวกข้าพเจ้า, และได้ทรงโปรดให้พวกข้าพเจ้ารอดพ้นดังนี้นั้น; ถ้าหากพวกข้าพเจ้ายังซ้ำล่วงพระบัญญัติของพระองค์, โดยยอมปะปนแต่งงานรับเป็นผัวเมียกัน, เข้าส่วนกันกับคนที่เคยประพฤติชั่วลามกต่าง ๆ นั้น? ก็มิเป็นการสมควรที่พระองค์จะทรงเคืองพระทัย, จนพระองค์จะทรงล้างผลาญพวกข้าพเจ้าเสียไม่ให้มีเหลือเลยหรือ? โอ้พระยะโฮวา, พระเจ้าแห่งพวกยิศราเอล, พระองค์เป็นผู้ชอบธรรม: และถึงพวกข้าพเจ้าได้รอดพ้นเหลืออยู่บ้างทุกวันนี้: ดูเถิด, พวกข้าพเจ้าและความหลงผิดทั้งปวงของพวกข้าพเจ้านั้นอยู่ตรงพระพักตร์ของพระองค์: เหตุฉะนั้นพวกข้าพเจ้าจะแก้ตัวในการหลงผิดนี้ต่อพระพักตร์พระองค์ไม่ได้เลย.”—เอษรา 9:1-15; พระบัญญัติ 7:3, 4.
14. ดังมีตัวอย่างในสมัยของเอษรา จำเป็นต้องมีอะไรเพื่อจะได้รับการให้อภัยจากพระเจ้า?
14 เพื่อจะได้รับการให้อภัยจากพระเจ้า ต้องมีการสารภาพต่อพระองค์ควบคู่ไปกับการสำนึกผิดและ “ผลสมกับใจซึ่งกลับเสียใหม่.” (ลูกา 3:8; โยบ 42:1-6; ยะซายา 66:2) ในสมัยของเอษรา มีการพยายามแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดควบคู่ไปกับเจตคติที่แสดงถึงการกลับใจ โดยการไล่ภรรยาชาวต่างชาติไปเสีย. (เอษรา 10:44; เทียบกับ 2 โกรินโธ 7:8-13.) หากเราแสวงหาการให้อภัยจากพระเจ้าสำหรับการทำผิดร้ายแรง ก็ให้เราสารภาพในคำอธิษฐานที่แสดงความถ่อมและทำให้เกิดผลที่สมกับการกลับใจ. น้ำใจที่แสดงถึงการกลับใจและความปรารถนาที่จะแก้ไขสิ่งที่ผิดจะกระตุ้นเราให้แสวงหาความช่วยเหลือทางฝ่ายวิญญาณจากคริสเตียนผู้ปกครองอีกด้วย.—ยาโกโบ 5:13-15.
จงรับเอาการปลอบโยนด้วยการอธิษฐาน
15. ประสบการณ์ของนางฮันนาแสดงอย่างไรว่าเราสามารถได้รับการปลอบโยนด้วยการอธิษฐาน?
15 เมื่อเราปวดร้าวใจเนื่องด้วยเหตุผลบางประการ เราสามารถพบการปลอบโยนด้วยการอธิษฐาน. (บทเพลงสรรเสริญ 51:17; สุภาษิต 15:13) นางฮันนาผู้ภักดีทำเช่นนั้น. เธอมีชีวิตอยู่ในสมัยที่การมีครอบครัวขนาดใหญ่เป็นเรื่องธรรมดาในชาติยิศราเอล แต่เธอไม่มีบุตรแม้แต่คนเดียว. เอ็ลคานาสามีของเธอมีบุตรชายหญิงหลายคนกับภรรยาอีกคนหนึ่ง คือพะนีนา ซึ่งได้เย้ยหยันฮันนาด้วยเรื่องที่เธอเป็นหมันนั้น. ฮันนาอธิษฐานอย่างจริงจังและสัญญาว่าถ้าเธอได้รับพระพรมีบุตรชาย ‘เธอจะขอถวายบุตรนั้นไว้เฉพาะพระยะโฮวาตลอดชีวิต.’ ครั้นได้รับการปลอบโยนโดยคำอธิษฐานของเธอและโดยคำพูดของมหาปุโรหิตเอลี ฮันนาก็ “มิได้เศร้าโศกต่อไปอีก.” เธอให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งซึ่งเธอตั้งชื่อว่าซามูเอล. ต่อมา เธอก็ถวายเขาให้รับใช้ ณ พระวิหารของพระยะโฮวา. (1 ซามูเอล 1:9-28) ด้วยความสำนึกขอบคุณในพระเมตตาของพระเจ้าที่เธอได้รับ เธอทูลอธิษฐานขอบพระคุณ ยกย่องพระยะโฮวาในฐานะองค์ใหญ่ยิ่งที่ไม่มีผู้ใดเทียม. (1 ซามูเอล 2:1-10) เช่นเดียวกับนางฮันนา เราก็สามารถได้รับการปลอบโยนด้วยการอธิษฐาน โดยมั่นใจว่าพระเจ้าทรงตอบคำร้องขอทุกอย่างที่สอดคล้องกับพระทัยประสงค์ของพระองค์. เมื่อเราเผยสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเราต่อพระองค์ ก็ให้เรา “มิได้เศร้าโศกต่อไปอีก” เพราะพระองค์จะทรงขจัดภาระของเราออกไปหรือจะทรงช่วยเราให้ทนรับภาระนั้นได้.—บทเพลงสรรเสริญ 55:22.
16. ดังเห็นได้จากกรณีของยาโคบ เหตุใดเราควรอธิษฐานเมื่อเรามีความกลัวหรือกระวนกระวาย?
16 หากสถานการณ์ก่อให้เกิดความกลัว, ความปวดร้าวใจ, หรือความกระวนกระวายใจ ขอเราอย่าลืมหันไปหมายพึ่งพระเจ้าเพื่อจะได้รับการปลอบโยนด้วยการอธิษฐาน. (บทเพลงสรรเสริญ 55:1-4) ยาโคบวิตกกลัวเมื่อกำลังจะเผชิญหน้ากับเอซาว พี่ชายผู้มีเรื่องหมางใจกัน. แต่กระนั้น ยาโคบอธิษฐานดังนี้: “โอ้พระเจ้าของอับราฮามผู้เป็นปู่ของข้าพเจ้า, และพระเจ้าของยิศฮาคบิดาข้าพเจ้า, โอ้พระยะโฮวาผู้ตรัสสั่งข้าพเจ้าไว้ว่า, ‘จงกลับไปยังเมืองญาติพี่น้องของเจ้า, และเราจะกระทำการดีแก่เจ้านั้น.’ ข้าพเจ้าไม่สมควรจะรับความกรุณา และความซื่อสัตย์ที่พระองค์ทรงโปรดประทานแก่ข้าพเจ้าผู้เป็นทาสแต่เพียงเล็กน้อยที่สุด; ด้วยว่าข้าพเจ้าได้ข้ามแม่น้ำยาระเด็นนี้เมื่อมีแต่ไม้เท้า, และบัดนี้ข้าพเจ้ามีผู้คนเป็นสองพวก. ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากมือเอซาวพี่ชายข้าพเจ้า: เพราะข้าพเจ้ากลัวเอซาวจะมาตีข้าพเจ้า, ทั้งมารดากับลูกด้วย. พระองค์ก็ได้ตรัสไว้แล้วว่า, ‘เราจะกระทำการดีแก่เจ้าเป็นแท้และกระทำให้พงศ์พันธุ์ของเจ้าทวีมากขึ้นดุจเม็ดทรายในทะเลที่จะนับไม่ถ้วน.’” (เยเนซิศ 32:9-12) เอซาวมิได้โจมตียาโคบและคนของท่าน. ฉะนั้น ในครั้งนั้นพระยะโฮวาทรง “กระทำการดี” ต่อยาโคบจริง ๆ.
17. สอดคล้องกับบทเพลงสรรเสริญ 119:52 คำอธิษฐานอาจนำการปลอบโยนมาให้เราอย่างไรเมื่อเราประสบการทดลองอย่างหนัก?
17 ในขณะที่เราทูลวิงวอน เราอาจได้รับการปลอบโยนโดยระลึกขึ้นมาได้ถึงสิ่งต่าง ๆ ที่มีกล่าวในพระคำของพระเจ้า. ในบทเพลงสรรเสริญบทที่ยาวที่สุดซึ่งเป็นคำอธิษฐานที่แต่งเป็นเนื้อเพลงอันงดงามสำหรับร้องคลอเสียงดนตรี อาจเป็นฮิศคียาเมื่อครั้งยังเป็นเจ้าชายที่ได้ร้องว่า “ข้าพเจ้าระลึกถึงการตัดสินความของพระองค์ตั้งแต่เวลาไม่มีกำหนด โอพระยะโฮวา และข้าพเจ้าได้รับการปลอบโยนสำหรับข้าพเจ้าเอง.” (บทเพลงสรรเสริญ 119:52, ล.ม.) ด้วยคำอธิษฐานที่แสดงความถ่อมใจเมื่อเราถูกทดสอบอย่างหนัก เราอาจระลึกถึงหลักการหรือกฎหมายของคัมภีร์ไบเบิลที่สามารถช่วยเราให้ติดตามแนวทางซึ่งมีผลเป็นการให้คำรับรองที่ปลอบโยนว่าเรากำลังทำให้พระบิดาของเราผู้อยู่ในสวรรค์ทรงพอพระทัย.
ผู้ภักดีหมั่นอธิษฐานอยู่เสมอ
18. เหตุใดจึงกล่าวได้ว่า ‘ทุกคนที่มีใจเลื่อมใสจะทูลอธิษฐานถึงพระเจ้า’?
18 ทุกคนที่ภักดีต่อพระยะโฮวาพระเจ้าจะ “หมั่นอธิษฐานอยู่เสมอ.” (โรม 12:12) ในบทเพลงสรรเสริญบท 32 ซึ่งเป็นไปได้ว่าแต่งหลังจากดาวิดทำผิดกับนางบัธเซบะ ท่านพรรณนาถึงความทรมานใจแสนสาหัสของการไม่ได้แสวงหาการให้อภัย และพรรณนาถึงความโล่งใจเมื่อได้กลับใจและสารภาพผิดต่อพระเจ้า. จากนั้นดาวิดร้องออกมาเป็นเพลงดังนี้: “เพราะเหตุฉะนั้น [เนื่องจากการให้อภัยของพระยะโฮวามีให้แก่ผู้ที่กลับใจอย่างแท้จริงทุกคน] ให้ทุกคนที่มีใจเลื่อมใสทูลอ้อนวอนในเวลาที่ทรงโปรดให้ประสบพระองค์.”—บทเพลงสรรเสริญ 32:6.
19. เหตุใดเราควรยกมืออันภักดีของเราในคำอธิษฐาน?
19 หากเราทะนุถนอมความสัมพันธ์ของเรากับพระยะโฮวาพระเจ้า เราจะอธิษฐานขอพระเมตตาจากพระองค์โดยอาศัยเครื่องบูชาไถ่ของพระเยซู. ด้วยความเชื่อ เราสามารถเข้าไปถึงราชบัลลังก์แห่งพระกรุณาอันไม่พึงได้รับด้วยการพูดอย่างสะดวกใจเพื่อจะได้รับความเมตตาและการช่วยเหลือที่เหมาะกับเวลา. (เฮ็บราย 4:16) แต่มีเหตุผลมากมายที่จะอธิษฐาน! ดังนั้น ให้เรา “อธิษฐานอย่างไม่ละลด” อธิษฐานบ่อย ๆ ด้วยคำสรรเสริญและความสำนึกขอบคุณซึ่งออกมาจากใจถึงพระเจ้า. (1 เธซะโลนิเก 5:17) จงให้เรายกมืออันภักดีของเราในคำอธิษฐานทั้งกลางวันและกลางคืน.
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ เป็นประโยชน์เช่นไรที่จะเตรียมความคิดไว้ก่อนเมื่อจะนำอธิษฐาน ณ การประชุม?
▫ เหตุใดเราควรอธิษฐานอย่างสง่าผ่าเผยและแสดงความนับถือ?
▫ เราควรแสดงน้ำใจเช่นไรเมื่ออธิษฐาน?
▫ เมื่ออธิษฐาน เหตุใดเราควรนึกถึงการขอบพระคุณและคำสรรเสริญเสมอ?
▫ คัมภีร์ไบเบิลแสดงอย่างไรว่าเราสามารถได้รับการปลอบโยนด้วยการอธิษฐาน?
[รูปภาพหน้า 17]
กษัตริย์ซะโลโมแสดงความถ่อมใจในคำอธิษฐานของท่านต่อหน้าปวงชนในคราวการอุทิศพระวิหารของพระยะโฮวา
[รูปภาพหน้า 18]
เช่นเดียวกับนางฮันนา คุณสามารถได้รับการปลอบโยนด้วยการอธิษฐาน