การนมัสการบาละ—การต่อสู้เพื่อชนะใจชาวยิศราเอล
การต่อสู้เพื่อชนะใจชาวยิศราเอลยืดเยื้ออยู่นานเกือบหนึ่งพันปี. ความกลัวเนื่องด้วยการถือโชคลางและพิธีกรรมเกี่ยวกับเพศของฝ่ายหนึ่งต่อสู้กับความเชื่อและความภักดีของอีกฝ่ายหนึ่ง. การต่อสู้ถึงเป็นถึงตายครั้งนี้มีขึ้นระหว่างการนมัสการบาละกับการนมัสการพระยะโฮวา.
ชาติยิศราเอลจะยึดมั่นด้วยความซื่อสัตย์กับพระเจ้าเที่ยงแท้ผู้ทรงนำพวกเขาออกจากอียิปต์ไหม? (เอ็กโซโด 20:2, 3) หรือว่าพวกเขาจะทรยศไปเข้ากับบาละ พระที่ชาวคะนาอันนิยมชมชอบ ผู้ซึ่งสัญญาจะทำให้แผ่นดินอุดมสมบูรณ์?
การต่อสู้ฝ่ายวิญญาณซึ่งมีขึ้นเมื่อหลายพันปีมาแล้วนั้นมีความสำคัญต่อเรา. เพราะเหตุใด? อัครสาวกเปาโลเขียนไว้ว่า “เหตุการณ์เหล่านี้ . . . ได้บันทึกไว้เพื่อเตือนสติพวกเราผู้ซึ่งกำลังอยู่ในกาลสิ้นสุดแห่งระบบต่าง ๆ.” (1 โกรินโธ 10:11, ล.ม.) คำเตือนอันสำคัญจากความขัดแย้งครั้งนี้ในประวัติศาสตร์จะยิ่งมีความหมายมากขึ้นหากเราเข้าใจว่าบาละเป็นใครและการนมัสการบาละเกี่ยวข้องกับอะไร.
บาละเป็นใคร?
ชาวยิศราเอลมาเกี่ยวข้องกับบาละเมื่อพวกเขามาถึงคะนาอันประมาณปี 1473 ก.ส.ศ. พวกเขาได้พบว่าชาวคะนาอันบูชาพระมากมายซึ่งคล้ายกับพระทั้งหลายของอียิปต์ แม้พระเหล่านั้นมีชื่อและลักษณะเฉพาะบางอย่างแตกต่างกันไป. แต่คัมภีร์ไบเบิลเลือกให้บาละเป็นพระองค์สำคัญของชาวคะนาอัน และการค้นพบทางโบราณคดีก็ยืนยันฐานะสำคัญของพระองค์นี้. (วินิจฉัย 2:11) ถึงแม้บาละไม่ใช่พระองค์สูงสุดของปวงพระของชาวคะนาอัน แต่พระองค์นี้ก็เป็นพระที่มีความสำคัญที่สุดต่อพวกเขา. พวกเขาเชื่อว่าพระองค์นี้มีอำนาจเหนือฝน, ลม, และเมฆ อีกทั้งเชื่อว่าพระองค์นี้เท่านั้นอาจช่วยผู้คน—รวมทั้งสัตว์และพืชผลของพวกเขา—ให้รอดพ้นจากการไม่เกิดดอกออกผลหรือแม้แต่จากความตาย. ถ้าไม่มีการคุ้มครองจากบาละ มอตซึ่งเป็นพระแห่งการแก้แค้นของชาวคะนาอันก็จะก่อภัยพิบัติต่าง ๆ แก่พวกเขาเป็นแน่.
การนมัสการบาละมีการปลุกเร้าด้วยกิจปฏิบัติทางเพศ. แม้แต่วัตถุทางศาสนาที่เกี่ยวข้องกับบาละ เช่น หลักศักดิ์สิทธิ์และเสาศักดิ์สิทธิ์ ต่างก็มีความหมายเกี่ยวกับเพศ. ปรากฏชัดว่าหลักศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นศิลาหรือก้อนหินที่ถูกตัดให้เป็นรูปสัญลักษณ์เพศชายนั้นใช้หมายถึงพระบาละ ฝ่ายบุรุษในการร่วมเพศ. ส่วนเสาศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นวัตถุทำด้วยไม้หรือต้นไม้ซึ่งหมายถึงอะเชราห์ สหายของบาละและเป็นฝ่ายสตรี.—1 กษัตริย์ 18:19.
โสเภณีประจำวิหารและการบูชายัญเด็กก็เป็นลักษณะเด่นอย่างอื่นอีกในการนมัสการบาละ. (1 กษัตริย์ 14:23, 24; 2 โครนิกา 28:2, 3) หนังสือคัมภีร์ไบเบิลและโบราณคดี (ภาษาอังกฤษ) มีกล่าวว่า “ในวิหารต่าง ๆ ของชาวคะนาอันมีโสเภณีทั้งชายและหญิง (บุรุษและสตรี ‘ศักดิ์สิทธิ์’) และมีการปฏิบัติกิจทางเพศแบบเลยเถิดทุกชนิด. [ชาวคะนาอัน] เชื่อกันว่าพิธีกรรมเหล่านี้เป็นเหตุให้พืชผลและปศุสัตว์อุดมสมบูรณ์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง.” ไม่ว่าในกรณีใด นั่นก็เป็นกิจปฏิบัติที่มีการเห็นชอบทางศาสนา แม้ว่าการผิดศีลธรรมเช่นนั้นโน้มน้าวราคะตัณหาของเหล่าผู้นมัสการอย่างไม่ต้องสงสัย. ถ้าอย่างนั้น บาละชักจูงใจชาวยิศราเอลอย่างไร?
เหตุใดจึงมีแรงดึงดูดใจมากอย่างนั้น?
บางทีชาวยิศราเอลหลายคนคงชอบปฏิบัติศาสนาที่เรียกร้องจากเขาเล็กน้อยมากกว่า. ในการนมัสการบาละ พวกเขาไม่ต้องปฏิบัติตามพระบัญญัติ เช่น วันซะบาโตและข้อจำกัดทางศีลธรรมหลายประการ. (เลวีติโก 18:2-30; พระบัญญัติ 5:1-3) อาจเป็นได้ว่าความเจริญทางวัตถุของชาวคะนาอันทำให้คนอื่น ๆ เชื่อมั่นว่าจำเป็นต้องสนองความต้องการของบาละ.
แท่นบูชาต่าง ๆ ของชาวคะนาอันซึ่งเป็นที่รู้จักว่าเป็นที่สูงและตั้งอยู่ในป่าละเมาะบนเนินเขาต่าง ๆ นั้นคงต้องได้วางรูปแบบภูมิหลังอันน่าดึงดูดใจไว้ให้พิธีกรรมเพื่อการเจริญพันธุ์ซึ่งมีการปฏิบัติกันที่นั่น. ไม่นาน ชาวยิศราเอลก็ไม่อิ่มใจพอใจกับการไปร่วมยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวคะนาอันบ่อย ๆ พวกเขากระทั่งสร้างสถานที่เช่นนั้นของตนเองขึ้นมา. “เขาได้สร้างที่นมัสการในที่สูง, และรูปเคารพ, และรูปเคารพสลักด้วยไม้บนยอดภูเขาทุกยอด, และใต้ต้นไม้สดทุกต้น.”—1 กษัตริย์ 14:23; โฮเซอา 4:13.
แต่ที่สำคัญที่สุดคือ การนมัสการบาละเร้าราคะตัณหา. (ฆะลาเตีย 5:19-21) กิจปฏิบัติเกี่ยวกับเพศนั้นเกินเลยความปรารถนาจะให้พืชผลและปศุสัตว์อุดมสมบูรณ์. เรื่องเพศได้รับการยกย่อง. เรื่องนี้มีหลักฐานเห็นชัดจากรูปสลักจำนวนมากที่ถูกขุดพบ ซึ่งมีลักษณะทางเพศที่เลยเถิด ให้ภาพที่เร้าราคะ. งานเลี้ยง, การเต้นรำ, และดนตรี ต่างเร้าอารมณ์ให้พร้อมสำหรับการประพฤติที่หลงระเริงตามอำเภอใจ.
เราพอจะนึกภาพฉากเหตุการณ์อันเป็นแบบฉบับในตอนต้นฤดูใบไม้ร่วงนั้นออก. ในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติที่ดึงดูดใจ, เมื่ออิ่มหมีพีมันด้วยงานเลี้ยงและถูกปลุกเร้าด้วยเหล้าองุ่น, เหล่าผู้นมัสการต่างเต้นรำกัน. การเต้นรำเพื่อการเจริญพันธุ์ของพวกเขานั้นก็เพื่อปลุกบาละขึ้นจากการอยู่นิ่งเฉยในฤดูร้อนเพื่อแผ่นดินจะได้รับพรด้วยฝน. พวกเขาเต้นไปรอบ ๆ หลักรูปลึงค์และเสาศักดิ์สิทธิ์. การเคลื่อนไหวของพวกเขา โดยเฉพาะของพวกโสเภณีประจำวิหาร เป็นแบบเร้ากามารมณ์และราคะตัณหา. ดนตรีและผู้ฟังกระตุ้นพวกเขา. และดูเหมือนว่าพอถึงจุดสุดยอดของการเต้นรำพวกนักเต้นก็ไปยังห้องต่าง ๆ ในวิหารของบาละเพื่อมีความสัมพันธ์ที่ผิดศีลธรรม.—อาฤธโม 25:1, 2; เทียบกับเอ็กโซโด 32:6, 17-19; อาโมศ 2:8.
พวกเขาดำเนินตามที่เห็น ไม่ใช่ตามความเชื่อ
ขณะที่รูปแบบการนมัสการซึ่งเน้นเรื่องกามารมณ์เช่นนั้นดึงดูดใจหลายคน ความกลัวก็กระตุ้นชาวยิศราเอลให้เข้าหาการนมัสการบาละเช่นกัน. เมื่อชาวยิศราเอลสูญเสียความเชื่อในพระยะโฮวา ความกลัวคนตาย, กลัวอนาคต, และความหลงใหลเรื่องลึกลับได้ชักนำพวกเขาเข้าสู่การปฏิบัติลัทธิภูติผีปิศาจ ซึ่งต่อจากนั้นก็ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมที่เสื่อมทรามถึงขีดสุด. สารานุกรม ดิ อินเตอร์แนชันแนล สแตนดาร์ด ไบเบิล พรรณนาวิธีที่ชาวคะนาอันยกย่องวิญญาณผู้ตายว่าเป็นส่วนแห่งการนมัสการบรรพบุรุษ โดยกล่าวดังนี้: “งานเลี้ยงต่าง ๆ . . . มีการฉลองกันในอุโมงค์ฝังศพของตระกูลหรือที่เนินดินเหนือหลุมฝังศพโดยมีพิธีการเมาเหล้าและกิจปฏิบัติทางเพศ (อาจเป็นได้ว่าเกี่ยวข้องกับการมีเพศสัมพันธ์กับญาติใกล้ชิด) ซึ่งคิดกันว่าผู้ตายมีส่วนร่วมด้วย.” การเข้าไปมีส่วนในกิจปฏิบัติอันเสื่อมทรามที่เกี่ยวกับภูติผีปิศาจนั้นทำให้ชาวยิศราเอลออกห่างไปเรื่อย ๆ จากพระยะโฮวา พระเจ้าของพวกเขา.—พระบัญญัติ 18:9-12.
นอกจากนั้น รูปเคารพกับพิธีกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอยู่ด้วยก็ดึงดูดใจชาวยิศราเอลเหล่านั้นซึ่งชอบดำเนินตามที่ตาเห็นแทนที่จะดำเนินตามความเชื่อ. (2 โกรินโธ 5:7) แม้แต่หลังจากเห็นการอัศจรรย์อันน่าตื่นตาตื่นใจต่าง ๆ โดยพระหัตถ์ที่ไม่ปรากฏแก่ตาของพระยะโฮวาแล้วก็ตาม ชาวยิศราเอลหลายคนซึ่งได้ออกมาจากอียิปต์ก็รู้สึกว่าจำเป็นต้องมีสิ่งเตือนใจที่เห็นได้อันเกี่ยวกับพระองค์. (เอ็กโซโด 32:1-4) ดูเหมือนเหล่าลูกหลานบางคนของพวกเขาอยากนมัสการอะไรสักอย่างที่เห็นได้ เช่น รูปพระบาละ.—1 กษัตริย์ 12:25-30.
ใครชนะ?
การต่อสู้เพื่อชนะใจชาวยิศราเอลยืดเยื้อมานานหลายศตวรรษ ตั้งแต่สมัยที่พวกเขาเดินทางถึงที่ราบโมอาบไม่นานก่อนเข้าสู่แผ่นดินที่ทรงสัญญาไว้จนถึงสมัยที่พวกเขาถูกกวาดต้อนไปบาบูโลน. ดูเหมือนว่าต่างฝ่ายต่างผลัดกันได้เปรียบ. บางครั้งชาวยิศราเอลส่วนใหญ่คงความภักดีต่อพระยะโฮวา แต่พวกเขาก็หันไปเข้ากับบาละบ่อย ๆ. สาเหตุสำคัญของเรื่องนี้ก็คือการที่พวกเขาคบหากับชนชาตินอกรีตที่อยู่ล้อมรอบ.
หลังจากแพ้สงคราม ชาวคะนาอันจึงต่อสู้ด้วยวิธีการที่แยบยลกว่า. พวกเขาอยู่บริเวณข้างเคียงชาวยิศราเอลและสนับสนุนผู้ที่พิชิตพวกเขาให้รับเอาพระต่าง ๆ ของดินแดนนั้นไว้เป็นของตน. ผู้วินิจฉัยที่กล้าหาญอย่างฆิดโอนและซามูเอลต้านทานแนวโน้มนี้. ซามูเอลกระตุ้นเตือนผู้คนว่า “ให้ละทิ้งพระต่างประเทศ. . . . จงตั้งใจแสวงหาและปฏิบัติพระยะโฮวาองค์เดียว.” ชาวยิศราเอลเอาใจใส่ฟังคำกระตุ้นเตือนของซามูเอลอยู่ระยะหนึ่ง และพวกเขา “จึงได้ละทิ้งพระบะอาลีมกับรูปอัศธาโรธ, ปฏิบัติพระยะโฮวาแต่องค์เดียว.”—1 ซามูเอล 7:3, 4; วินิจฉัย 6:25-27.
หลังจากรัชกาลของซาอูลและดาวิด ซะโลโมได้เริ่มถวายเครื่องบูชาแก่พระต่างประเทศในช่วงบั้นปลายชีวิตท่าน. (1 กษัตริย์ 11:4-8) กษัตริย์องค์อื่น ๆ ของยิศราเอลและยูดาต่างก็ทำเหมือนกันและยอมอยู่ในอำนาจบาละ. กระนั้นก็ตาม เหล่าผู้พยากรณ์และกษัตริย์ที่ซื่อสัตย์ เช่น เอลียา, อะลีซา, และโยซียา ต่างก็นำหน้าในการต่อสู้กับการนมัสการบาละ. (2 โครนิกา 34:1-5) นอกจากนั้น ตลอดประวัติศาสตร์ของชาวยิศราเอลช่วงนี้ มีหลายคนที่ยังคงซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวา. แม้แต่ในสมัยของอาฮาบกับอีซาเบล เมื่อการนมัสการบาละเจริญถึงขีดสุด ก็มีเจ็ดพันคนที่ไม่ยอม ‘คุกเข่าของตนแก่บาละ.’—1 กษัตริย์ 19:18.
ในที่สุด หลังจากชาวยิวกลับจากการเป็นเชลยในบาบูโลนแล้วก็ไม่มีการกล่าวถึงการนมัสการบาละอีก. เหมือนคนเหล่านั้นที่มีกล่าวถึงในเอษรา 6:21 (ฉบับแปลใหม่) ทุกคน “แยกตัวออกจากการมลทินของบรรดาประชาชาติแห่งแผ่นดินนั้นเพื่อจะนมัสการพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล.”
คำเตือนจากการนมัสการบาละ
แม้การนมัสการบาละสาบสูญไปนานแล้ว แต่ศาสนาของชาวคะนาอันเหล่านั้นกับสังคมทุกวันนี้ก็มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือการยกย่องเรื่องเพศ. สิ่งล่อใจให้ทำผิดศีลธรรมดูเหมือนอยู่ในอากาศที่เราหายใจอยู่นี่แหละ. (เอเฟโซ 2:2) เปาโลเตือนว่า “เราต่อสู้อำนาจที่ไม่ประจักษ์แก่ตาซึ่งควบคุมโลกอันมืดมนนี้ และตัวแทนซึ่งเป็นวิญญาณจากกองบัญชาการใหญ่ของผีปิศาจเลยทีเดียว.”—เอเฟโซ 6:12, ฟิลลิปส์.
“อำนาจที่ไม่ประจักษ์แก่ตา” ของซาตานส่งเสริมการผิดศีลธรรมทางเพศเพื่อทำให้ผู้คนตกเป็นทาสฝ่ายวิญญาณ. (โยฮัน 8:34) ในสังคมที่ปล่อยตามใจของสมัยนี้ การปล่อยตัวตามกามตัณหาใช่ว่าทำกันเป็นพิธีกรรมเพื่อการเจริญพันธุ์ แต่ทำกันอย่างที่จะหาความพอใจส่วนตัวหรือเพื่อทำตามอำเภอใจ. และการโฆษณาชวนเชื่อก็เป็นแบบหว่านล้อมจูงใจ. โดยทางการบันเทิง, ดนตรี, และการโฆษณา ข่าวสารเรื่องเพศแทรกซึมไปทั่วจิตสำนึกของผู้คน. ผู้รับใช้ของพระเจ้าก็ไม่ถูกคุ้มกันจากการโจมตีนี้. แท้จริงแล้ว ผู้ที่ถูกตัดสัมพันธ์จากประชาคมคริสเตียนนั้นส่วนใหญ่ก็คือผู้ที่ยอมทำตามกิจปฏิบัติเหล่านั้น. เฉพาะแต่โดยการปฏิเสธสิ่งชักจูงที่ผิดศีลธรรมเหล่านั้นอยู่เรื่อยไปเท่านั้นที่คริสเตียนจะรักษาความบริสุทธิ์สะอาดไว้ได้.—โรม 12:9.
พยานฯ หนุ่มสาวคือผู้ที่ตกอยู่ในอันตรายโดยเฉพาะ เนื่องจากหลายสิ่งที่พวกเขาอาจคิดว่าน่าดึงดูดใจนั้นถูกเสนอในแบบที่มีแรงโน้มน้าวทางเพศ. ที่ร้ายขึ้นไปอีกก็คือ พวกเขาจำต้องต้านทานแรงชักจูงจากหนุ่มสาวคนอื่น ๆ ที่กระตุ้นเขาให้ทำตาม. (เทียบกับสุภาษิต 1:10-15.) ตัวอย่างเช่น มีหลายคนที่ตกเข้าสู่ความยุ่งยากเมื่อร่วมการชุมนุมสังสรรค์ขนาดใหญ่. เช่นเดียวกับการนมัสการบาละในสมัยโบราณ ดนตรี, การเต้นรำ, และแรงดึงดูดทางเพศประกอบกันเป็นส่วนผสมที่ทำให้มัวเมา.—2 ติโมเธียว 2:22.
ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญถามว่า “หนุ่ม ๆ จะรักษาทางของตนให้บริสุทธิ์ได้อย่างไร.” ท่านตอบว่า “โดยระแวดระวังตามพระวจนะของ [พระยะโฮวา].” (บทเพลงสรรเสริญ [สดุดี] 119:9, ฉบับแปลใหม่) พระบัญญัติของพระเจ้าสั่งชาวยิศราเอลให้หลีกเลี่ยงการคบหาสนิทกับชาวคะนาอันฉันใด คัมภีร์ไบเบิลก็เตือนเราให้รู้ถึงอันตรายจากการคบหาแบบที่ไม่ฉลาดฉันนั้น. (1 โกรินโธ 15:32, 33) เยาวชนคริสเตียนคนหนึ่งแสดงว่าตนอาวุโสเมื่อเขาบอกปฏิเสธสิ่งที่อาจดูน่าดึงดูดใจทางเพศแต่เป็นสิ่งที่เขารู้ว่าจะก่อผลเสียหายทางศีลธรรม. เช่นเดียวกับเอลียาผู้ซื่อสัตย์ เราไม่อาจยอมให้กระแสความคิดอันเป็นที่นิยมกันมาตัดสินใจแทนเรา.—1 กษัตริย์ 18:21; เทียบกับมัดธาย 7:13, 14.
คำเตือนอีกประการหนึ่งเกี่ยวข้องกับการสูญเสียความเชื่อ ซึ่งเป็น “บาปที่เข้าติดพันเราโดยง่าย.” (เฮ็บราย 12:1, ล.ม.) ดูเหมือนว่าชาวยิศราเอลหลายคนยังคงเชื่อในพระยะโฮวา แต่พวกเขาหมายพึ่งบาละในฐานะเป็นพระซึ่งจะปกป้องพืชผลของเขาและจัดหาสิ่งจำเป็นประจำวันให้เขา. พวกเขาอาจคิดว่าพระวิหารของพระยะโฮวาในกรุงยะรูซาเลมอยู่ไกลเกินไปและการถือรักษาพระบัญญัติของพระองค์ใช้ไม่ได้ผลจริง. การนมัสการบาละไม่เรียกร้องอะไรและสะดวกสบาย—พวกเขาอาจถวายเครื่องบูชาเผาแก่บาละบนดาดฟ้าบ้านของตนก็ได้ด้วยซ้ำ. (ยิระมะยา 32:29) อาจเป็นได้ว่า พวกเขาค่อย ๆ ถลำเข้าสู้การนมัสการบาละโดยแค่มีส่วนร่วมในพิธีกรรมบางอย่างหรือแม้แต่โดยถวายเครื่องบูชาแก่บาละในพระนามพระยะโฮวา.
เราอาจสูญเสียความเชื่อแล้วค่อย ๆ เอาตัวออกห่างจากพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ได้อย่างไร? (เฮ็บราย 3:12) เราอาจค่อย ๆ สูญเสียความหยั่งรู้ค่าที่เราเคยมีต่อการประชุมต่าง ๆ รวมทั้งการประชุมใหญ่. เจตคติเช่นนั้นแสดงถึงการขาดความเชื่อมั่นในการจัดเตรียมของพระยะโฮวาในด้าน “อาหาร [ฝ่ายวิญญาณ] . . . ตามเวลาที่สมควร.” (มัดธาย 24:45-47, ล.ม.) เมื่ออ่อนแอลงเช่นนั้น เราอาจคลายการ “ยึดมั่นในพระวาทะแห่งชีวิต” หรือแม้แต่เผยให้เห็นหัวใจที่แบ่งแยก บางที อาจยอมจำนนต่อกิจกรรมที่นิยมวัตถุหรือผิดศีลธรรม.—ฟิลิปปอย 2:16, ฉบับแปลใหม่; เทียบกับบทเพลงสรรเสริญ 119:113.
การยึดมั่นกับความซื่อสัตย์มั่นคงของเรา
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทุกวันนี้กำลังมีการต่อสู้เพื่อชนะใจ. เราจะยังคงภักดีต่อพระยะโฮวาไหมหรือเขวไปเนื่องด้วยการดำเนินชีวิตที่ผิดศีลธรรมของโลกนี้? น่าเศร้าที่คริสเตียนบางคนในสมัยนี้ถูกกระตุ้นให้ทำการน่าละอายเหมือนชาวยิศราเอลที่ถูกดึงดูดใจไปหากิจปฏิบัติอันน่าสะอิดสะเอียนของชาวคะนาอัน.—เทียบกับสุภาษิต 7:7, 21-23.
ความพ่ายแพ้ฝ่ายวิญญาณเช่นนั้นอาจหลีกเลี่ยงได้หากเรา “ยืนหยัดมั่นคงต่อ ๆ ไปประหนึ่งเห็นพระองค์ผู้ไม่ปรากฏแก่ตา” เหมือนอย่างโมเซ. (เฮ็บราย 11:27, ล.ม.) จริงทีเดียว เราจำต้อง “ทำการต่อสู้อย่างทรหดเพื่อความเชื่อ.” (ยูดา 3, ล.ม.) แต่โดยการธำรงความภักดีต่อพระเจ้าของเราและต่อหลักการของพระองค์ เราย่อมสามารถคอยท่าเวลาที่การนมัสการเท็จจะสูญสิ้นไปตลอดกาล. ดังที่การนมัสการพระยะโฮวามีชัยเหนือการนมัสการบาละ เราจึงมั่นใจได้ว่าอีกไม่ช้า “แผ่นดินโลกจะเต็มไปด้วยความรู้ฝ่ายพระยะโฮวาดุจน้ำท่วมเต็มมหาสมุทร.”—ยะซายา 11:9.
[ที่มาของหน้า 28]
Musée du Louvre, Paris
[รูปภาพหน้า 31]
ซากหักพังของหลักศักดิ์สิทธิ์ในเกเซอร์ซึ่งเคยใช้ในการนมัสการบาละ