พระยะโฮวาทรงเรียกร้องอะไรจากเราในปัจจุบัน?
“มีพระสุรเสียงออกมาจากเมฆนั้นว่า, ‘ท่านนี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านนี้มาก จงเชื่อฟังท่านเถิด.’”—มัดธาย 17:5.
1. พระบัญญัติสำเร็จตามจุดประสงค์เมื่อไร?
พระยะโฮวาทรงประทานพระบัญญัติพร้อมด้วยข้อเรียกร้องสำคัญ ๆ หลายประการแก่ชาติยิศราเอล. อัครสาวกเปาโลเขียนเกี่ยวกับข้อเรียกร้องสำคัญเหล่านี้ว่า “สิ่งเหล่านั้นเป็นข้อเรียกร้องตามกฎหมายเกี่ยวข้องกับเนื้อหนัง และบัญญัติไว้จนกระทั่งถึงเวลากำหนดเพื่อจัดการเรื่องราวให้เรียบร้อย.” (เฮ็บราย 9:10, ล.ม.) เมื่อพระบัญญัตินำชนที่เหลือแห่งชาวยิศราเอลให้ยอมรับพระเยซูในฐานะพระมาซีฮาหรือพระคริสต์แล้ว พระบัญญัตินี้ก็สำเร็จตามจุดประสงค์. ด้วยเหตุนี้ เปาโลจึงประกาศว่า “พระคริสต์นั้นเป็นผู้ที่จะทำให้พระบัญญัติสำเร็จ.”—โรม 10:4; ฆะลาเตีย 3:19-25; 4:4, 5.
2. ใครเคยอยู่ภายใต้พระบัญญัติ และพวกเขาพ้นพันธะที่มีต่อพระบัญญัติเมื่อไร?
2 ทั้งนี้หมายความว่าพระบัญญัติไม่มีผลผูกมัดเราในปัจจุบันนี้ไหม? ที่จริง มนุษยชาติส่วนใหญ่ไม่เคยอยู่ใต้พระบัญญัติ ดังที่ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญอธิบายว่า “[พระยะโฮวา] ทรงประกาศพระวจนะของพระองค์แก่พวกยาโคบ, และทรงประทานข้อกฎหมายและข้อบัญญัติของพระองค์แก่พวกยิศราเอล. พระองค์หาได้ทรงกระทำอย่างนั้นแก่ชนประเทศใด ๆ ไม่; ชาวประเทศเหล่านั้นมิได้รู้จักข้อบัญญัติของพระองค์.” (บทเพลงสรรเสริญ 147:19, 20) เมื่อพระเจ้าทรงตั้งสัญญาไมตรีใหม่โดยอาศัยเครื่องบูชาของพระเยซู แม้แต่ชาติยิศราเอลก็ไม่ได้อยู่ใต้พันธะที่จะเชื่อฟังพระบัญญัติอีกต่อไป. (ฆะลาเตีย 3:13; เอเฟโซ 2:15; โกโลซาย 2:13, 14, 16) ดังนั้น ถ้าพระบัญญัติไม่มีผลผูกมัดอีกต่อไป พระยะโฮวาทรงเรียกร้องอะไรจากคนที่ปรารถนาจะรับใช้พระองค์ในปัจจุบัน?
สิ่งที่พระยะโฮวาทรงเรียกร้อง
3, 4. (ก) โดยพื้นฐานแล้ว พระยะโฮวาทรงเรียกร้องอะไรจากเราในทุกวันนี้? (ข) เหตุใดเราควรดำเนินตามรอยพระบาทของพระเยซูอย่างใกล้ชิด?
3 ในระหว่างปีสุดท้ายแห่งการรับใช้ของพระเยซู อัครสาวกเปโตร, ยาโกโบ และโยฮันติดตามพระองค์ไปที่ภูเขาสูงแห่งหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นส่วนที่ยื่นออกจากภูเขาเฮระโมน. ที่นั่น พวกเขาได้เห็นนิมิตเชิงพยากรณ์ที่พระเยซูทรงปรากฏด้วยสง่าราศีอันรุ่งโรจน์และได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าเองประกาศว่า “นี่คือบุตรของเรา ผู้เป็นที่รัก ผู้ซึ่งเราโปรดปราน; จงฟังท่านเถิด.” (มัดธาย 17:1-5, ล.ม.) โดยพื้นฐานแล้ว นั่นคือสิ่งที่พระยะโฮวาทรงเรียกร้องจากเรา คือให้ฟังพระบุตรและติดตามแบบอย่างและคำสอนของพระบุตร. (มัดธาย 16:24) ด้วยเหตุนั้น อัครสาวกเปโตรจึงเขียนว่า “พระคริสต์ได้ทรงทนทุกข์ทรมานเพื่อท่านทั้งหลาย ทรงวางแบบอย่างไว้ให้ท่าน เพื่อท่านจะได้ดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์อย่างใกล้ชิด.”—1 เปโตร 2:21, ล.ม.
4 เหตุใดเราควรดำเนินตามรอยพระบาทของพระเยซูอย่างใกล้ชิด? เพราะโดยการเลียนแบบพระเยซู ก็เท่ากับเราเลียนแบบพระยะโฮวาพระเจ้า. พระเยซูทรงรู้จักสนิทสนมกับพระบิดา ทรงอยู่ร่วมกับพระบิดาในสวรรค์มาเป็นเวลานานก่อนเสด็จมายังแผ่นดินโลก นานเท่าไรไม่มีใครบอกได้. (สุภาษิต 8:22-31; โยฮัน 8:23; 17:5; โกโลซาย 1:15-17) ขณะอยู่บนแผ่นดินโลก พระเยซูทรงเป็นตัวแทนที่ภักดีของพระบิดาพระองค์. พระองค์ทรงอธิบายว่า “เราพูดสิ่งเหล่านี้ตามที่พระบิดาได้ทรงสอนเรา.” ที่จริง พระเยซูทรงเลียนแบบพระยะโฮวาอย่างใกล้ชิดมากจนพระองค์ตรัสได้ว่า “ผู้ที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดาด้วย.”—โยฮัน 8:28; 14:9, ล.ม.
5. คริสเตียนอยู่ใต้พระบัญญัติอะไร และพระบัญญัตินี้เริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อไร?
5 มีอะไรรวมอยู่ด้วยในการฟังพระเยซูและเลียนแบบพระองค์? นั่นหมายความถึงการอยู่ใต้พระบัญญัติไหม? เปาโลเขียนว่า “ตัวข้าพเจ้ามิได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ.” ในที่นี้ ท่านกำลังกล่าวถึง “พันธสัญญาเดิม” คือพันธสัญญาแห่งพระบัญญัติที่ทำกับชาติยิศราเอล. เปาโลยอมรับว่าท่านอยู่ “ใต้พระบัญญัติแห่งพระคริสต์.” (1 โกรินโธ 9:20, 21 ฉบับแปลใหม่; 2 โกรินโธ 3:14 ฉบับแปลใหม่) เมื่อพันธสัญญาเดิมสิ้นสุดลง “คำสัญญาใหม่” ก็เริ่มมีผลบังคับใช้พร้อมกับ “พระบัญญัติของพระคริสต์” ซึ่งผู้รับใช้ทุกคนของพระยะโฮวาในปัจจุบันมีพันธะที่จะเชื่อฟัง.—ลูกา 22:20; ฆะลาเตีย 6:2; เฮ็บราย 8:7-13.
6. อาจจะอธิบาย“พระบัญญัติของพระคริสต์” อย่างไร และเราเชื่อฟังพระบัญญัตินี้โดยวิธีใด?
6 พระยะโฮวามิได้ทรงจัดให้ “พระบัญญัติของพระคริสต์” เขียนไว้เป็นประมวลกฎหมายที่จัดไว้เป็นหมวดหมู่ เหมือนกับที่ทรงทำอย่างนั้นกับสัญญาไมตรีเดิมแห่งพระบัญญัติ. กฎหมายใหม่สำหรับสาวกของพระคริสต์นี้ไม่ได้อยู่ในรูปรายการยาวเหยียดของข้อพึงปฏิบัติและข้อห้ามปฏิบัติ. อย่างไรก็ตาม พระยะโฮวาทรงพิทักษ์รักษาพระธรรมสี่เล่มซึ่งครอบคลุมเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตและคำสั่งสอนของพระบุตรของพระองค์ไว้ในพระคำของพระองค์. นอกจากนั้น พระเจ้าทรงดลใจเหล่าสาวกรุ่นแรกบางคนของพระเยซูให้เขียนคำสั่งสอนเกี่ยวกับความประพฤติส่วนตัว, เรื่องเกี่ยวกับประชาคม, การปฏิบัติตัวภายในครอบครัว และเรื่องอื่น ๆ. (1 โกรินโธ 6:18; 14:26-35; เอเฟโซ 5:21-33; เฮ็บราย 10:24, 25) เมื่อเราดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับตัวอย่างและคำสอนของพระเยซูคริสต์และเอาใจใส่คำแนะนำของผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลในศตวรรษแรกที่ได้รับการดลใจ เราก็กำลังเชื่อฟัง “พระบัญญัติของพระคริสต์.” พระยะโฮวาทรงเรียกร้องผู้รับใช้ของพระองค์ในปัจจุบันให้ทำเช่นนี้.
ความสำคัญของความรัก
7. พระเยซูทรงเน้นอย่างไรถึงสาระสำคัญแห่งพระบัญญัติของพระองค์ในระหว่างการฉลองปัศคาครั้งสุดท้ายกับเหล่าอัครสาวก?
7 ในขณะที่ความรักเป็นส่วนสำคัญภายใต้พระบัญญัติ แต่ความรักเป็นแก่นหรือสาระสำคัญของพระบัญญัติของพระคริสต์เลยทีเดียว. ข้อเท็จจริงนี้พระเยซูทรงเน้นเมื่อพบกับเหล่าอัครสาวกเพื่อฉลองปัศคาในปีสากลศักราช 33. ตามที่อัครสาวกโยฮันสรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้น คำตรัสที่ออกมาจากใจของพระเยซูกล่าวพาดพิงถึงความรัก 28 ครั้ง. เรื่องนี้เน้นให้เหล่าอัครสาวกเห็นถึงสาระสำคัญหรือเจตนารมณ์ของพระบัญญัติของพระองค์. น่าสนใจ โยฮันเริ่มรายงานเหตุการณ์ในคืนสำคัญนี้โดยกล่าวว่า “เพราะก่อนเทศกาลปัศคาพระองค์ทรงทราบว่ายามนั้นมาถึงแล้วที่พระองค์จะออกจากโลกนี้ไปหาพระบิดา พระเยซูได้ทรงรักพวกของพระองค์ซึ่งอยู่ในโลกนี้ และทรงรักเขาจนถึงที่สุด.”—โยฮัน 13:1, ล.ม.
8. (ก) อะไรแสดงว่ามีการโต้เถียงกันโดยตลอดในท่ามกลางเหล่าอัครสาวก? (ข) พระเยซูทรงสอนบทเรียนเกี่ยวกับความถ่อมแก่เหล่าอัครสาวกอย่างไร?
8 พระเยซูทรงรักเหล่าสาวก แม้ว่าความพยายามของพระองค์ที่จะช่วยพวกเขาให้เอาชนะความมักใหญ่ใฝ่สูงอยากมีอำนาจและตำแหน่งดูเหมือนว่าไม่เคยประสบผลสำเร็จ. หลายเดือนก่อนที่พวกเขาจะมาถึงกรุงยะรูซาเลม “เขาได้เถียงกันว่า คนไหนจะเป็นใหญ่.” และตอนที่พวกเขากำลังจะเข้าไปในกรุงนั้นเพื่อร่วมฉลองปัศคา การโต้เถียงเรื่องตำแหน่งก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง. (มาระโก 9:33-37; 10:35-45) ข้อที่ว่าเรื่องนี้เป็นปัญหามาโดยตลอดนั้นเห็นได้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่เหล่าอัครสาวกขึ้นไปที่ห้องชั้นบนเพื่อร่วมปัศคาครั้งสุดท้ายของพวกเขา. ในตอนนั้น ไม่มีใครฉวยโอกาสที่จะทำตามธรรมเนียมในการรับรองแขกด้วยการล้างเท้าผู้อื่น. เพื่อสอนบทเรียนเรื่องความถ่อม พระเยซูเองทรงล้างเท้าพวกเขา.—โยฮัน 13:2-15; 1 ติโมเธียว 5:9, 10.
9. พระเยซูทรงจัดการอย่างไรกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากปัศคาครั้งสุดท้าย?
9 แม้ว่าทรงสอนบทเรียนนั้นแล้ว หลังจากการฉลองปัศคาจบลงและพระเยซูทรงตั้งอนุสรณ์ระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ที่ใกล้จะถึง ขอให้สังเกตว่าเกิดอะไรขึ้นอีกครั้ง. บันทึกในกิตติคุณของลูกากล่าวว่า “มีการเถียงกันในพวกเขาว่าใครจะนับว่าเป็นใหญ่.” แทนที่จะพิโรธเหล่าอัครสาวกและดุด่าพวกเขา พระเยซูทรงแนะนำพวกเขาอย่างกรุณาในเรื่องความจำเป็นที่จะต้องต่างจากพวกผู้ปกครองของโลกที่กระหายอำนาจ. (ลูกา 22:24-27) จากนั้น พระองค์ทรงประทานสิ่งที่อาจเรียกได้ว่าเป็นฐานรากแห่งพระบัญญัติของพระคริสต์ โดยตรัสว่า “เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย, คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน. เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วฉันใด, เจ้าจงรักซึ่งกันและกันด้วยฉันนั้น.”—โยฮัน 13:34.
10. พระเยซูทรงประทานพระบัญชาอะไรแก่เหล่าสาวกของพระองค์ และพระบัญชานั้นรวมถึงอะไรด้วย?
10 ต่อมาในคืนนั้นเอง พระเยซูทรงชี้ให้เห็นว่าความรักแบบพระคริสต์นั้นควรแสดงออกถึงขนาดไหน. พระองค์ตรัสว่า “นี่แหละเป็นบัญญัติของเรา, คือให้ท่านทั้งหลายรักกันและกันเหมือนเราได้รักท่าน. ความรักใหญ่กว่านี้ไม่มี, คือว่าซึ่งผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตัวเพื่อมิตรสหายของตน.” (โยฮัน 15:12, 13) พระเยซูตรัสไหมว่าเหล่าสาวกควรเต็มใจจะตายเพื่อเห็นแก่เพื่อนร่วมความเชื่อหากสถานการณ์บังคับให้มีความจำเป็นเช่นนั้น? โยฮันซึ่งเป็นประจักษ์พยานผู้หนึ่งเข้าใจเช่นนั้น เพราะในเวลาต่อมาท่านเขียนว่า “เช่นนี้แหละเรารู้จักความรัก, คือว่าเพราะพระองค์ [พระเยซูคริสต์] ได้ทรงยอมวางชีวิตของพระองค์ลงเพื่อเราทั้งหลาย และเราทั้งหลายควรจะวางชีวิตของเราลงเพื่อพวกพี่น้อง.”—1 โยฮัน 3:16.
11. (ก) เราจะทำให้สำเร็จตามพระบัญญัติของพระคริสต์ได้อย่างไร? (ข) พระเยซูทรงวางตัวอย่างอะไรไว้?
11 ดังนั้น เราไม่ได้ทำให้พระบัญญัติของพระคริสต์สำเร็จโดยเพียงแต่สอนคนอื่นเกี่ยวกับพระองค์. เราต้องดำเนินชีวิตและประพฤติแบบเดียวกับพระเยซูด้วย. จริงอยู่ พระเยซูทรงใช้ถ้อยคำที่ไพเราะและเลือกสรรอย่างดีในคำเทศนาของพระองค์. แต่พระองค์ทรงสอนโดยอาศัยตัวอย่างด้วย. แม้ว่าพระเยซูทรงเคยเป็นกายวิญญาณที่มีอำนาจมากในสวรรค์ พระองค์ทรงฉวยโอกาสที่จะรับใช้เพื่อผลประโยชน์ของพระบิดาบนแผ่นดินโลกและแสดงให้เราเห็นวิธีที่เราควรดำเนินชีวิต. พระองค์ทรงถ่อมใจ กรุณา และคำนึงถึงผู้อื่น ช่วยเหลือคนที่มีภาระหนักและถูกกดขี่. (มัดธาย 11:28-30; 20:28; ฟิลิปปอย 2:5-8; 1 โยฮัน 3:8) และพระเยซูทรงกระตุ้นเหล่าสาวกให้รักกันและกัน เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงรักพวกเขา.
12. เหตุใดจึงกล่าวได้ว่าพระบัญญัติของพระคริสต์ไม่ลดทอนความจำเป็นที่จะรักพระยะโฮวา?
12 ความรักต่อพระยะโฮวาซึ่งเป็นบัญญัติข้อต้นข้อใหญ่ในพระบัญญัติอยู่ในตำแหน่งใดในพระบัญญัติของพระคริสต์? (มัดธาย 22:37, 38; ฆะลาเตีย 6:2) อันดับที่สองไหม? ไม่ใช่แน่นอน! ความรักต่อพระยะโฮวาและต่อเพื่อนคริสเตียนของเรานั้นเชื่อมโยงกันอย่างที่แยกไม่ออก. คนเราไม่อาจรักพระยะโฮวาได้อย่างแท้จริงหากเขาไม่รักพี่น้องของตนด้วย เพราะอัครสาวกโยฮันชี้ว่า “ถ้าผู้ใดว่า, ‘ข้าพเจ้ารักพระเจ้า’ และใจยังเกลียดชังพี่น้องของตัว ผู้นั้นเป็นคนพูดมุสา เพราะว่าผู้ที่ไม่รักพี่น้องของตนที่แลเห็นแล้ว, จะรักพระเจ้าที่ยังไม่ได้แลเห็นอย่างไรได้?”—1 โยฮัน 4:20; เทียบกับ 1 โยฮัน 3:17, 18.
13. ความเชื่อฟังของเหล่าสาวกต่อพระบัญชาใหม่ของพระเยซูก่อให้เกิดผลกระทบเช่นไร?
13 เมื่อพระเยซูทรงประทานบัญญัติใหม่แก่เหล่าสาวก ซึ่งให้รักกันและกันเหมือนที่พระองค์ทรงรักพวกเขา พระองค์ทรงพรรณนาถึงผลของการแสดงความรักเช่นนั้น. พระองค์ตรัสว่า “คนทั้งปวงจะรู้ได้ว่าเจ้าเป็นเหล่าสาวกของเราก็เพราะว่าเจ้าทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน.” (โยฮัน 13:35) ตามที่เทอร์ทูลเลียนซึ่งมีชีวิตในช่วงหนึ่งร้อยกว่าปีหลังการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูได้กล่าวไว้ ความรักฉันพี่น้องของคริสเตียนในสมัยแรกนั้นก่อผลกระทบอย่างนั้นเลยทีเดียว. เทอร์ทูลเลียนอ้างถึงคำพูดของหลายคนที่ไม่ใช่คริสเตียนซึ่งกล่าวถึงเหล่าสาวกของพระคริสต์ว่า ‘ดูเถอะว่าพวกเขารักกันขนาดไหนและพร้อมจะตายแทนกันเสียด้วยซ้ำ.’ เราอาจถามตัวเองว่า ‘ฉันแสดงความรักอย่างนั้นต่อเพื่อนคริสเตียนซึ่งนั่นพิสูจน์ว่าฉันเป็นสาวกคนหนึ่งของพระเยซูไหม?’
วิธีที่เราพิสูจน์ความรักของเรา
14, 15. อะไรที่อาจทำให้ยากจะปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระคริสต์ แต่อะไรจะช่วยเราให้ทำเช่นนั้นได้?
14 เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาจะแสดงความรักแบบพระคริสต์. แต่คุณรู้สึกว่ายากที่จะรักเพื่อนคริสเตียนที่มีนิสัยเห็นแก่ตัวไหม? อย่างที่เราได้เห็นแล้ว แม้แต่อัครสาวกก็ยังโต้เถียงกันและพยายามส่งเสริมผลประโยชน์ของตนเอง. (มัดธาย 20:20-24) ชาวฆะลาเตียก็ทะเลาะเบาะแว้งกันเองด้วย. หลังจากชี้ว่าความรักต่อเพื่อนบ้านทำให้พระบัญญัติสำเร็จ เปาโลเตือนพวกเขาว่า “แต่ถ้าท่านทั้งหลายกัดกันและกินเนื้อกัน, จงระวังให้ดี, เกรงว่าจะทำให้กันและกันย่อยยับไป.” หลังจากเปรียบเทียบการของเนื้อหนังกับผลแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า เปาโลเตือนสติอีกว่า “อย่าให้เราถือตัวกัน, ยั่วโทสะกัน, และอิจฉากันเลย.” จากนั้นท่านอัครสาวกกล่าวกระตุ้นว่า “จงช่วยแบกภาระ (ร่วมทุกข์ร่วมสุข) ซึ่งกันและกันเถิด, ดังนั้นจึงเป็นที่ให้พระบัญญัติของพระคริสต์สำเร็จ.”—ฆะลาเตีย 5:14–6:2.
15 โดยการเรียกร้องให้เชื่อฟังพระบัญญัติของพระคริสต์ พระยะโฮวาทรงเรียกร้องจากเรามากเกินไปไหม? แม้ว่าอาจยากที่จะแสดงความกรุณาต่อคนที่ดูเหมือนจะพูดเหน็บให้เราเจ็บใจและทำให้เจ็บช้ำในความรู้สึก แต่เรามีพันธะที่จะ ‘เลียนแบบพระเจ้า ให้สมกับเป็นบุตรที่รัก และดำเนินชีวิตในความรักต่อ ๆ ไป.’ (เอเฟโซ 5:1, 2, ฉบับแปลใหม่) เราจำเป็นต้องพิจารณาดูแบบอย่างของพระเจ้าเสมอไป ซึ่งพระองค์ “ได้ทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะเมื่อเราทั้งหลายยังเป็นคนบาป พระคริสต์ได้ทรงยอมตายแทนเรา.” (โรม 5:8) โดยการริเริ่มช่วยเหลือผู้อื่น รวมทั้งคนที่เคยปฏิบัติไม่ดีต่อเราด้วย เราก็จะอิ่มใจยินดีโดยที่รู้อยู่ว่าเรากำลังเลียนแบบพระเจ้าและปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระคริสต์.
16. เราพิสูจน์ถึงความรักของเราต่อพระเจ้าและพระคริสต์อย่างไร?
16 เราควรจำไว้ว่าเราพิสูจน์ความรักของเราด้วยการกระทำ ไม่ใช่เพียงคำพูด. แม้แต่พระเยซูเองครั้งหนึ่งก็ยังทรงรู้สึกว่าแง่หนึ่งแห่งพระทัยประสงค์ของพระเจ้านั้นยากที่จะยอมรับ เนื่องด้วยปัจจัยทั้งหมดที่เกี่ยวข้องอยู่ด้วย. พระเยซูทรงอธิษฐานว่า “พระบิดาเจ้าข้า, ถ้าพระองค์พอพระทัย, ขอให้จอกนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพเจ้า.” แต่พระองค์ตรัสต่อไปทันทีว่า “แต่ขออย่าให้เป็นไปตามใจข้าพเจ้า, ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์เถิด.” (ลูกา 22:42) แม้ประสบความยากลำบากสารพัด พระเยซูทรงทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า. (เฮ็บราย 5:7, 8) การเชื่อฟังเป็นข้อพิสูจน์อย่างหนึ่งถึงความรักของเราและแสดงว่าเรายอมรับว่าแนวทางของพระเจ้านั้นดีเยี่ยมที่สุด. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “นี่แหละเป็นความรักพระเจ้า, คือว่าให้เราทั้งหลายประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์.” (1 โยฮัน 5:3) และพระเยซูตรัสแก่เหล่าอัครสาวกว่า “ถ้าเจ้าทั้งหลายรักเรา เจ้าก็จะปฏิบัติตามบัญญัติของเรา.”—โยฮัน 14:15, ล.ม.
17. พระเยซูทรงมีพระบัญชาอะไรเป็นพิเศษแก่เหล่าสาวก และเราทราบได้อย่างไรว่าพระบัญชาข้อนี้ใช้กับเราในทุกวันนี้ด้วย?
17 นอกจากทรงมีพระบัญชาแก่เหล่าสาวกให้รักกันและกันแล้ว มีพระบัญชาอะไรอีกเป็นพิเศษที่พระคริสต์ทรงประทานแก่พวกเขา? พระองค์ทรงมีพระบัญชาให้พวกเขาทำงานประกาศสั่งสอนที่พระองค์ได้ฝึกอบรมพวกเขาไว้แล้ว. เปโตรกล่าวว่า “พระองค์ได้ทรงสั่งเราทั้งหลายให้ประกาศแก่ผู้คนและให้กล่าวคำพยานโดยละเอียด.” (กิจการ 10:42, ล.ม.) พระเยซูทรงมีพระบัญชาเกี่ยวด้วยเรื่องนี้โดยเฉพาะว่า “เหตุฉะนั้น จงไปและทำให้ชนจากทุกชาติเป็นสาวก ให้เขารับบัพติสมาในนามแห่งพระบิดาและพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้.” (มัดธาย 28:19, 20; กิจการ 1:8) พระเยซูทรงเผยไว้ด้วยว่าพระบัญชานี้จะใช้กับเหล่าสาวกใน “เวลาอวสาน” นี้ด้วย เพราะพระองค์ตรัสว่า “ข่าวดีแห่งราชอาณาจักรนี้จะได้รับการประกาศทั่วทั้งแผ่นดินโลกที่มีคนอาศัยอยู่ เพื่อให้คำพยานแก่ทุกชาติ; และครั้นแล้วอวสานจะมาถึง.” (ดานิเอล 12:4, ล.ม.; มัดธาย 24:14, ล.ม.) แน่ทีเดียว พระเจ้าทรงมีพระทัยประสงค์ให้เราประกาศ. กระนั้น บางคนอาจคิดว่าการที่พระเจ้าทรงเรียกร้องให้เราทำงานนี้เป็นการเรียกร้องจากเรามากเกินไป. แต่เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ไหม?
เหตุที่พระบัญชานี้อาจดูเหมือนว่ายาก
18. เราควรจำอะไรเอาไว้เมื่อเราทนทุกข์เนื่องด้วยการทำสิ่งที่พระยะโฮวาทรงเรียกร้องจากเรา?
18 ดังที่เราได้เห็นแล้ว พระยะโฮวาได้ทรงเรียกร้องให้ไพร่พลทำตามข้อเรียกร้องหลายประการตลอดมาในประวัติศาสตร์. และเช่นเดียวกับที่ข้อเรียกร้องจากพวกเขานั้นมีหลากหลาย ลักษณะของการทดลองที่พวกเขาประสบก็มีหลายแบบด้วย. พระบุตรที่รักของพระเจ้าทรงประสบกับการทดลองที่ยากที่สุด ท้ายที่สุดทรงถูกประหารอย่างโหดเหี้ยมที่สุดเนื่องด้วยการทำสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกร้อง. แต่เมื่อเราทนทุกข์เพราะทำสิ่งที่พระยะโฮวาทรงเรียกร้องจากเรา เราพึงระลึกไว้เสมอว่าพระองค์ไม่ใช่ต้นเหตุแห่งการทดลองที่เราประสบ. (โยฮัน 15:18-20; ยาโกโบ 1:13-15) การกบฏของซาตานชักนำให้เกิดบาป, ความทุกข์ยาก และความตาย และมันเป็นผู้ที่ได้สร้างสถานการณ์ต่าง ๆ ขึ้นซึ่งบ่อยครั้งทำให้เป็นเรื่องยากมากที่จะทำในสิ่งที่พระยะโฮวาทรงเรียกร้องจากผู้รับใช้ของพระองค์.—โยบ 1:6-19; 2:1-8.
19. เหตุใดจึงเป็นสิทธิพิเศษที่จะทำสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงเรียกร้องจากเราโดยทางพระบุตร?
19 โดยทางพระบุตรของพระองค์ พระยะโฮวาได้ทรงมีพระบัญชาให้ผู้รับใช้ของพระองค์ทำการประกาศไปทั่วแผ่นดินโลกในช่วงอวสานนี้ว่า ทางแก้อย่างเดียวสำหรับความทุกข์ยากที่มนุษย์ประสบคือการปกครองแห่งราชอาณาจักร. รัฐบาลของพระเจ้าจะขจัดปัญหาทุกอย่างบนแผ่นดินโลก ไม่ว่าจะเป็นสงคราม, อาชญากรรม, ความยากจน, ความชรา, ความเจ็บป่วย และความตาย. ราชอาณาจักรยังจะนำมาซึ่งอุทยานบนแผ่นดินโลกที่รุ่งโรจน์ ซึ่งคนตายจะได้รับการปลุกให้เป็นขึ้นจากตายและอยู่ที่นั่น. (มัดธาย 6:9, 10; ลูกา 23:43; กิจการ 24:15; วิวรณ์ 21:3, 4) ช่างเป็นสิทธิพิเศษจริง ๆ ที่จะประกาศข่าวดีในเรื่องเหล่านี้! ดังนั้น เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่พระยะโฮวาทรงเรียกร้องจากเรานั้นไม่เป็นปัญหา. เราเผชิญการต่อต้าน แต่ซาตานพญามารและโลกของมันต่างหากที่เป็นต้นเหตุ.
20. เราจะเผชิญการท้าทายใด ๆ จากพญามารได้อย่างไร?
20 เราจะเผชิญกับข้อท้าทายจากซาตานอย่างประสบความสำเร็จได้อย่างไร? โดยการระลึกถึงถ้อยคำต่อไปนี้ไว้เสมอ: “ศิษย์ของเราเอ๋ย, จงมีปัญญาขึ้น, และกระทำให้ใจของเรามีความยินดี; เพื่อเราจะมีคำตอบคนที่ตำหนิเราได้.” (สุภาษิต 27:11) พระเยซูทรงทำให้พระยะโฮวามีคำตอบสำหรับการเยาะเย้ยของซาตาน โดยทรงทิ้งชีวิตในสวรรค์ที่มั่นคงเพื่อลงมาทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกนี้. (ยะซายา 53:12; เฮ็บราย 10:7) ในฐานะมนุษย์ พระเยซูทรงอดทนการทดลองทุกอย่าง แม้กระทั่งความตายบนหลักทรมาน. ถ้าเราติดตามพระองค์ให้พระองค์เป็นแบบอย่างของเรา เราเองก็จะสามารถอดทนความทุกข์ยากต่าง ๆ และทำในสิ่งที่พระยะโฮวาทรงเรียกร้องจากเรา.—เฮ็บราย 12:1-3.
21. คุณรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับความรักที่พระยะโฮวาและพระบุตรทรงแสดงออกมา?
21 พระเจ้าและพระบุตรได้ทรงแสดงความรักต่อเรามากสักเพียงไร! เนื่องด้วยเครื่องบูชาของพระเยซู มนุษยชาติที่เชื่อฟังจึงได้มีความหวังที่จะมีชีวิตตลอดไปในอุทยาน. ดังนั้น อย่าให้เรายอมให้สิ่งใดมาทำให้ความหวังของเราเลือนรางไป. แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ขอให้ตัวเราเองจำไว้เสมอถึงสิ่งที่พระเยซูทรงทำให้เป็นไปได้ ดังที่เปาโลระลึกเสมอเช่นนั้นและกล่าวไว้ว่า “พระบุตรของพระเจ้า . . . ทรงรักข้าพเจ้า, และได้ประทานพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า.” (ฆะลาเตีย 2:20) และขอให้เราแสดงความขอบพระคุณจากหัวใจต่อพระยะโฮวาพระเจ้าของเราผู้เปี่ยมด้วยความรัก ผู้ไม่เคยเรียกร้องจากเรามากเกินไป.
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ พระยะโฮวาทรงเรียกร้องอะไรจากเราในทุกวันนี้?
▫ ในระหว่างคืนสุดท้ายกับเหล่าอัครสาวก พระคริสต์ทรงเน้นอย่างไรถึงความสำคัญของความรัก?
▫ เราจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าเรารักพระเจ้า?
▫ เหตุใดจึงเป็นสิทธิพิเศษที่จะทำสิ่งที่พระยะโฮวาทรงเรียกร้องจากเรา?
[รูปภาพหน้า 23]
พระเยซูทรงสอนบทเรียนอะไรด้วยการล้างเท้าเหล่าอัครสาวก?
[รูปภาพหน้า 25]
แม้เผชิญการต่อต้าน การแบ่งปันข่าวดีเป็นสิทธิพิเศษที่น่ายินดี