ชีวิตนิรันดร์บนแผ่นดินโลก—ความหวังที่ถูกฟื้นขึ้นมาใหม่
“โอ้ดานิเอล จงเก็บถ้อยคำเหล่านั้นไว้เป็นความลับ . . . จนกระทั่งถึงเวลาอวสาน. หลายคนจะไป ๆ มา ๆ และความรู้แท้จะมีอุดมบริบูรณ์.”—ดานิ. 12:4, ล.ม.
1, 2. จะมีการพิจารณาคำถามอะไรในบทความนี้?
หลายล้านคนในปัจจุบันเข้าใจอย่างชัดเจนโดยอาศัยพระคัมภีร์เป็นหลักในเรื่องความหวังที่จะมีชีวิตตลอดไปในอุทยานบนแผ่นดินโลก. (วิ. 7:9, 17) ในตอนเริ่มต้นประวัติศาสตร์มนุษย์ พระเจ้าทรงเปิดเผยว่ามนุษย์ถูกสร้างขึ้นให้มีชีวิตตลอดไป ไม่ใช่ให้อยู่แค่ไม่กี่ปีแล้วก็ตายไป.—เย. 1:26-28
2 การฟื้นฟูความสมบูรณ์ที่อาดามทำให้สูญเสียไปเป็นส่วนหนึ่งของความหวังที่ชาวอิสราเอลมี. พระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกอธิบายว่าพระเจ้าจะทำให้ชีวิตนิรันดร์ในอุทยานบนแผ่นดินโลกเป็นไปได้สำหรับมนุษย์โดยวิธีใด. เหตุใดจึงต้องฟื้นความหวังของมนุษย์ขึ้นมาใหม่? มีการเปิดเผยและประกาศเรื่องนี้แก่หลายล้านคนอย่างไร?
ความหวังถูกปิดซ่อน
3. เหตุใดจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ความหวังของมนุษย์เกี่ยวกับชีวิตนิรันดร์บนแผ่นดินโลกถูกปิดซ่อน?
3 พระเยซูทรงบอกล่วงหน้าว่าผู้พยากรณ์เท็จจะทำให้คำสอนของพระองค์เสื่อมเสีย และผู้คนส่วนมากจะถูกชักนำให้หลง. (มัด. 24:11) อัครสาวกเปโตรเตือนคริสเตียนว่า “จะเกิดมีผู้สอนเท็จท่ามกลางท่านทั้งหลายเช่นกัน.” (2 เป. 2:1) อัครสาวกเปาโลกล่าวถึง “ช่วงเวลาหนึ่งที่ [ผู้คน] จะไม่ยอมฟังคำสอนที่ก่อประโยชน์ แต่จะรวบรวมครูไว้มาก ๆ เพื่อให้สอนเรื่องที่พวกเขาชอบฟังตามที่พวกเขาต้องการ.” (2 ติโม. 4:3, 4) ซาตานมีส่วนในการชักนำผู้คนให้หลงและใช้ศาสนาคริสเตียนที่ออกหากเพื่อปิดซ่อนความจริงที่ทำให้อบอุ่นใจเกี่ยวกับพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับมนุษย์และแผ่นดินโลก.—อ่าน 2 โครินท์ 4:3, 4
4. พวกหัวหน้าศาสนาที่ออกหากไม่ยอมรับความหวังอะไรสำหรับมนุษย์?
4 พระคัมภีร์อธิบายว่าราชอาณาจักรของพระเจ้าเป็นรัฐบาลที่อยู่ในสวรรค์ซึ่งจะบดขยี้และทำให้การปกครองทั้งหมดที่มนุษย์ตั้งขึ้นสิ้นสุดลง. (ดานิ. 2:44) ระหว่างรัชสมัยพันปีของพระคริสต์ ซาตานจะถูกขังในขุมลึก, คนตายจะถูกปลุกให้เป็นขึ้นจากตาย, และมนุษยชาติจะได้รับการฟื้นฟูสู่ความสมบูรณ์บนแผ่นดินโลก. (วิ. 20:1-3, 6, 12; 21:1-4) อย่างไรก็ตาม พวกหัวหน้าศาสนาที่ออกหากแห่งคริสต์ศาสนจักรได้รับเอาคำสอนอื่น. ตัวอย่างเช่น ออริเกนแห่งอะเล็กซานเดรีย นักเขียนคริสตจักรในศตวรรษที่สาม ตำหนิคนที่มีความเชื่อว่ารัชสมัยพันปีจะทำให้เกิดพระพรขึ้นบนแผ่นดินโลก. สารานุกรมคาทอลิก (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า เอากุสตินแห่งฮิปโป (สากลศักราช 354-430) นักเทววิทยาคาทอลิก “เชื่อมั่นว่าไม่มีรัชสมัยพันปีในอนาคต.”a
5, 6. เหตุใดออริเกนและเอากุสตินจึงคัดค้านความเชื่อเรื่องรัชสมัยพันปี?
5 เหตุใดออริเกนและเอากุสตินจึงคัดค้านความเชื่อเรื่องรัชสมัยพันปี? ออริเกนเป็นลูกศิษย์ของเคลเมนต์แห่งอะเล็กซานเดรียซึ่งหยิบยืมความคิดที่ว่าคนเรามีส่วนที่เป็นอมตะจากคำสอนสืบปากของชาวกรีก. เวอร์เนอร์ เยกเกอร์ นักเทววิทยา ให้ข้อสังเกตว่าเนื่องจากออริเกนได้รับอิทธิพลอย่างมากจากแนวคิดของเพลโตที่ว่าคนเรามีส่วนที่เป็นอมตะ เขาได้ “เพิ่มชุดคำสอนที่ยืดยาวเกี่ยวกับชีวิตซึ่งเขาได้รับจากเพลโตเข้าไปในคำสอนคริสเตียน.” ฉะนั้น ออริเกนจึงสอนว่าพระพรที่เกี่ยวกับรัชสมัยพันปีนั้นไม่อาจเป็นพระพรที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินโลก แต่ต้องอยู่ในแดนวิญญาณ.
6 ก่อนจะเปลี่ยนมานับถือ “ศาสนาคริสเตียน” เมื่ออายุได้ 33 ปี เอากุสตินเคยเป็นนักคตินิยมเพลโตใหม่ คือเป็นผู้ยึดมั่นปรัชญาเพลโตแบบใหม่ซึ่งพัฒนาขึ้นมาโดยโพลตินุสในศตวรรษที่สาม. หลังจากที่เอากุสตินเปลี่ยนศาสนา ความคิดของเขาก็ยังคงเป็นแบบคตินิยมเพลโตใหม่. สารานุกรมบริแทนนิกาฉบับใหม่ (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า “จิตใจเขาเป็นเบ้าหลอมซึ่งศาสนาแห่งพันธสัญญาใหม่ถูกผสมเป็นเนื้อเดียวกันอย่างสมบูรณ์ยิ่งกับคำสอนของเพลโตในหลักปรัชญากรีก.” สารานุกรมคาทอลิกกล่าวว่า เอากุสตินอธิบายเรื่องรัชสมัยพันปีซึ่งมีการพรรณนาในวิวรณ์บท 20 ว่าเป็นเพียง “ภาพเปรียบเทียบ.” สารานุกรมนี้ยังกล่าวอีกด้วยว่า “นักเทววิทยาทางตะวันตกในรุ่นต่อ ๆ มา . . . รับเอาคำอธิบายนี้มาใช้ และความเชื่อเรื่องรัชสมัยพันปีในรูปแบบเดิมจึงไม่ได้รับการสนับสนุนอีกต่อไป.”
7. ความเชื่อเท็จอะไรที่บ่อนทำลายความหวังของมนุษย์เรื่องชีวิตนิรันดร์บนแผ่นดินโลก และเป็นเช่นนั้นโดยวิธีใด?
7 ความหวังของมนุษย์เรื่องชีวิตนิรันดร์บนแผ่นดินโลกถูกบ่อนทำลายโดยความคิดที่แพร่หลายในบาบิโลนโบราณและแพร่กระจายไปทั่วโลก คือความคิดที่ว่ามนุษย์มีส่วนที่เป็นอมตะซึ่งเพียงแต่อาศัยอยู่ในร่างกาย. เมื่อคริสต์ศาสนจักรรับเอาความคิดนี้ พวกนักเทววิทยาก็บิดเบือนข้อความในพระคัมภีร์ที่พรรณนาถึงความหวังทางสวรรค์ให้ดูเหมือนสอนว่าคนดีทุกคนไปสวรรค์. ตามทัศนะดังกล่าว คนเราถูกกำหนดให้มีชีวิตบนแผ่นดินโลกเพียงชั่วคราว เพื่อทดสอบว่าเขาสมควรจะมีชีวิตในสวรรค์หรือไม่. มีสิ่งที่คล้าย ๆ กันเกิดขึ้นกับความหวังดั้งเดิมของชาวยิวเกี่ยวกับชีวิตนิรันดร์บนแผ่นดินโลก. ขณะที่ชาวยิวค่อย ๆ รับเอาแนวคิดของชาวกรีกเรื่องมนุษย์มีส่วนที่เป็นอมตะมาแต่กำเนิด ความหวังดั้งเดิมเกี่ยวกับชีวิตบนแผ่นดินโลกก็จางหายไป. นี่นับว่าแตกต่างสักเพียงไรกับวิธีที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงมนุษย์เรา! พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นกายเนื้อหนัง ไม่ใช่กายวิญญาณ. พระยะโฮวาตรัสกับมนุษย์คนแรกว่า “เจ้าเป็นแต่ผงคลีดิน.” (เย. 3:19) แผ่นดินโลกเป็นบ้านถาวรของมนุษย์ ไม่ใช่สวรรค์.—อ่านบทเพลงสรรเสริญ 104:5; 115:16
ความจริงแวบขึ้นมาในความมืด
8. ผู้คงแก่เรียนบางคนในศตวรรษที่ 17 กล่าวไว้อย่างไรเกี่ยวกับความหวังของมนุษย์?
8 แม้ศาสนาส่วนใหญ่ที่อ้างว่าเป็นคริสเตียนไม่ยอมรับความหวังเรื่องชีวิตนิรันดร์บนแผ่นดินโลก แต่ซาตานไม่ประสบความสำเร็จเสมอไปในการปิดซ่อนความจริง. ตลอดทุกยุคทุกสมัย มีบางคนที่อ่านคัมภีร์ไบเบิลอย่างละเอียดมองเห็นความสว่างแห่งความจริงที่แวบขึ้นมาในบางครั้ง เมื่อพวกเขาเข้าใจบางแง่มุมเกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าจะฟื้นฟูมนุษยชาติสู่ความสมบูรณ์. (เพลง. 97:11; มัด. 7:13, 14; 13:37-39) พอถึงศตวรรษที่ 17 การแปลและการพิมพ์คัมภีร์ไบเบิลก็ทำให้พระคัมภีร์บริสุทธิ์มีแพร่หลายมากขึ้น. ในปี 1651 ผู้คงแก่เรียนคนหนึ่งเขียนว่า มนุษย์ “ได้ทำให้อุทยานและชีวิตนิรันดร์บนแผ่นดินโลกสูญเสียไป” เนื่องจากอาดามฉันใด “มนุษย์ทุกคนจะมีชีวิตบนแผ่นดินโลกอีก” ก็เนื่องจากพระคริสต์ฉันนั้น. (อ่าน 1 โครินท์ 15:21, 22) จอห์น มิลตัน (1608-1674) กวีที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในกลุ่มประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ เขียนหนังสือชื่ออุทยานที่สูญเสียไป และภาคต่อของหนังสือนี้ที่ชื่ออุทยานที่ได้กลับคืนมา. ในงานเขียนของเขา มิลตันกล่าวถึงรางวัลที่ผู้ซื่อสัตย์จะได้รับในอุทยานบนแผ่นดินโลก. แม้มิลตันอุทิศชีวิตส่วนใหญ่ของเขาเพื่อศึกษาคัมภีร์ไบเบิล แต่เขาตระหนักว่าคนเราจะไม่สามารถเข้าใจความจริงในพระคัมภีร์อย่างเต็มที่จนกว่าจะถึงการประทับของพระคริสต์เสียก่อน.
9, 10. (ก) ไอแซ็ก นิวตันเขียนไว้อย่างไรเกี่ยวกับความหวังของมนุษย์? (ข) เหตุใดนิวตันจึงคิดว่าการประทับของพระคริสต์ยังคงอยู่อีกไกลในอนาคต?
9 นักคณิตศาสตร์ที่มีชื่อเสียง เซอร์ไอแซ็ก นิวตัน (1642-1727) ก็สนใจคัมภีร์ไบเบิลอย่างมากด้วย. เขาเข้าใจว่าเหล่าผู้บริสุทธิ์จะถูกปลุกให้รับชีวิตทางสวรรค์และจะปกครองกับพระคริสต์แบบที่ไม่ประจักษ์แก่ตา. (วิ. 5:9, 10) สำหรับราษฎรของราชอาณาจักรนั้น เขาเขียนว่า “หลังจากวันแห่งการพิพากษา แผ่นดินโลกจะยังคงเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์เรื่อยไปและไม่ใช่แค่ 1,000 ปีเท่านั้น แต่ตลอดไป.”
10 นิวตันคิดว่าการประทับของพระคริสต์ยังต้องรออีกหลายศตวรรษ. สตีเฟน สโนเบเลน นักประวัติศาสตร์ กล่าวว่า “เหตุผลหนึ่งที่นิวตันเห็นว่าราชอาณาจักรของพระเจ้ายังคงอยู่อีกไกลในอนาคตนั้นก็เพราะเขาหดหู่สิ้นหวังที่เห็นการออกหากของผู้คนรอบตัวเขาซึ่งเชื่ออย่างงมงายในเรื่องตรีเอกานุภาพ.” ข่าวดียังคงถูกปิดคลุม. และนิวตันไม่เห็นว่ามีกลุ่มใดที่อ้างว่าเป็นคริสเตียนประกาศข่าวดีนี้. เขาเขียนว่า “คำพยากรณ์เหล่านี้ของดานิเอลและคำพยากรณ์ของโยฮัน [ซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือวิวรณ์] คงจะไม่เป็นที่เข้าใจกันจนกว่าจะถึงเวลาอวสาน.” นิวตันอธิบายว่า “ดานิเอลกล่าวไว้ว่า เมื่อถึงตอนนั้น ‘คนเป็นอันมากจะวิ่งไปวิ่งมา และความรู้จะทวีขึ้น.’ เพราะกิตติคุณต้องได้รับการประกาศไปทั่วทุกชาติก่อนความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่และอวสานของโลกจะมาถึง. ชนฝูงใหญ่ที่ถือใบปาล์ม ซึ่งผ่านความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่นี้ ไม่อาจจะมาจากทุกประเทศและไม่มีใครนับจำนวนได้ เว้นแต่ว่ามีการประกาศกิตติคุณก่อนอวสานจะมาถึง.”—ดานิ. 12:4, ฉบับ R73; มัด. 24:14; วิ. 7:9, 10
11. เหตุใดความหวังของมนุษย์จึงยังคงคลุมเครืออยู่สำหรับผู้คนส่วนใหญ่ในสมัยของมิลตันและนิวตัน?
11 ในสมัยของมิลตันและนิวตัน การแสดงความคิดเห็นที่ขัดกับหลักคำสอนอย่างเป็นทางการของคริสตจักรเป็นเรื่องอันตราย. ด้วยเหตุนั้น ข้อเขียนจำนวนมากของผู้คงแก่เรียนด้านคัมภีร์ไบเบิลจึงไม่ได้ถูกตีพิมพ์จนกระทั่งหลังจากพวกเขาสิ้นชีวิตไปแล้ว. การปฏิรูปของโปรเตสแตนต์ในศตวรรษที่ 16 ไม่ได้ช่วยแก้ไขคำสอนที่ว่ามนุษย์มีส่วนที่เป็นอมตะมาแต่กำเนิด และคริสตจักรหลัก ๆ ของฝ่ายโปรเตสแตนต์ก็ยังคงสอนตามแนวคิดของเอากุสตินที่ว่ารัชสมัยพันปีเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต ไม่ใช่ในอนาคต. มีความรู้เพิ่มขึ้นในเวลาอวสานไหม?
“ความรู้แท้จะมีอุดมบริบูรณ์”
12. ความรู้แท้มีอุดมบริบูรณ์เมื่อไร?
12 ดานิเอลบอกล่วงหน้าว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีมากเกิดขึ้นใน “เวลาอวสาน.” (อ่านดานิเอล 12:3, 4, 9, 10, ล.ม.)b พระเยซูก็พยากรณ์ถึงเวลาอวสานด้วยว่า “ในเวลานั้นผู้ชอบธรรมจะส่องแสงจ้าดุจดวงอาทิตย์.” (มัด. 13:43) ความรู้แท้มีอุดมบริบูรณ์ในเวลาอวสานอย่างไร? ขอให้พิจารณาเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์บางอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงหลายสิบปีก่อนปี 1914 ซึ่งเป็นปีที่เวลาอวสานเริ่มต้น.
13. ชาลส์ เทซ รัสเซลล์เขียนไว้อย่างไรหลังจากที่ได้ตรวจสอบเรื่องการฟื้นฟูความสมบูรณ์ของมนุษย์?
13 ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 คนที่จริงใจจำนวนหนึ่งได้ค้นคว้าหาความเข้าใจเกี่ยวกับ “แบบแผนถ้อยคำที่ก่อประโยชน์.” (2 ติโม. 1:13) คนหนึ่งในจำนวนนี้ก็คือชาลส์ เทซ รัสเซลล์. ในปี 1870 ท่านกับผู้แสวงหาความจริงคนอื่น ๆ บางคนได้ก่อตั้งชั้นเรียนเพื่อศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. ในปี 1872 พวกเขาได้ตรวจสอบเรื่องการฟื้นฟูความสมบูรณ์ของมนุษย์. ต่อมา รัสเซลล์ได้เขียนว่า “จนถึงตอนนั้น เรายังไม่เข้าใจชัดเจนว่ามีความแตกต่างอย่างมากระหว่างบำเหน็จของประชาคมคริสเตียนผู้ถูกเจิมที่กำลังถูกทดสอบอยู่ในตอนนี้กับบำเหน็จของมนุษย์ผู้ซื่อสัตย์โดยทั่วไป.” บำเหน็จของคนกลุ่มหลังจะได้แก่ “การฟื้นฟูความสมบูรณ์ของชีวิตมนุษย์ซึ่งอาดาม บรรพบุรุษและหัวหน้าครอบครัวมนุษย์ เคยมีในสวนเอเดน.” รัสเซลล์ยอมรับว่าท่านได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่น ๆ ในการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. คนเหล่านั้นคือใคร?
14. (ก) เฮนรี ดันน์เข้าใจกิจการ 3:21 อย่างไร? (ข) ตามคำอธิบายของดันน์ ใครจะมีชีวิตตลอดไปบนแผ่นดินโลก?
14 เฮนรี ดันน์เป็นคนหนึ่งที่มีส่วนช่วยรัสเซลล์. เขาเขียนเกี่ยวกับการ “ฟื้นฟูสิ่งสารพัดที่พระเจ้าตรัสไว้โดยทางพวกผู้พยากรณ์บริสุทธิ์ของพระองค์ในสมัยโบราณ.” (กิจ. 3:21) ดันน์รู้ว่าการฟื้นฟูนี้รวมถึงการช่วยมนุษย์ให้มีสภาพสมบูรณ์อีกครั้งหนึ่งบนแผ่นดินโลกระหว่างรัชสมัยพันปีของพระคริสต์. ดันน์ยังตรวจสอบคำถามที่ทำให้ผู้คนมากมายสงสัยด้วย ที่ว่า ใครจะมีชีวิตตลอดไปบนแผ่นดินโลก? เขาอธิบายว่า หลายล้านคนจะได้รับการปลุกให้เป็นขึ้นจากตาย, ได้เรียนรู้ความจริง, และมีโอกาสจะแสดงความเชื่อในพระคริสต์.
15. จอร์จ สตอรส์สังเกตเห็นอะไรในเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตาย?
15 ในปี 1870 จอร์จ สตอรส์ก็ลงความเห็นด้วยว่า คนชอบธรรมจะได้รับการปลุกให้เป็นขึ้นจากตายเพื่อจะมีโอกาสได้รับชีวิตนิรันดร์. เขายังสังเกตเห็นจากพระคัมภีร์ด้วยว่าคนที่ได้รับการปลุกให้เป็นขึ้นจากตายซึ่งไม่ได้ตอบรับโอกาสดังกล่าว “จะเสียชีวิต แม้ว่า ‘คนบาปนั้นอายุร้อยปี.’ ” (ยซา. 65:20, ล.ม.) สตอรส์อยู่ที่บรุกลิน นิวยอร์ก และเป็นบรรณาธิการวารสารฉบับหนึ่งที่ชื่อว่าผู้ตรวจสอบคัมภีร์ไบเบิล (ภาษาอังกฤษ).
16. อะไรทำให้นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลแตกต่างอย่างมากจากคริสต์ศาสนจักร?
16 รัสเซลล์สังเกตเห็นจากคัมภีร์ไบเบิลว่าถึงเวลาแล้วที่จะประกาศข่าวดีอย่างกว้างขวาง. ดังนั้น ในปี 1879 ท่านเริ่มตีพิมพ์วารสารหอสังเกตการณ์แห่งซีโอนและผู้ป่าวประกาศถึงการประทับของพระคริสต์ (ภาษาอังกฤษ) ซึ่งปัจจุบันใช้ชื่อว่าหอสังเกตการณ์ประกาศราชอาณาจักรของพระยะโฮวา. ก่อนหน้านั้น มีเพียงไม่กี่คนที่เข้าใจความจริงเกี่ยวกับความหวังของมนุษยชาติ แต่ถึงตอนนี้กลุ่มนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลในหลายประเทศกำลังได้รับและศึกษาหอสังเกตการณ์. ความเชื่อที่ว่ามีเพียงไม่กี่คนไปสวรรค์ ในขณะที่หลายล้านคนจะได้รับชีวิตมนุษย์สมบูรณ์บนแผ่นดินโลก ทำให้นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลแตกต่างอย่างมากจากนิกายส่วนใหญ่ของคริสต์ศาสนจักร.
17. ความรู้แท้มีอุดมบริบูรณ์อย่างไร?
17 “เวลาอวสาน” ที่บอกไว้ล่วงหน้านั้นเริ่มขึ้นในปี 1914. ความรู้แท้เกี่ยวกับความหวังของมนุษย์มีอุดมบริบูรณ์ไหม? (ดานิ. 12:4, ล.ม.) พอถึงปี 1913 คำเทศน์ของรัสเซลล์ได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ฉบับต่าง ๆ 2,000 ฉบับ และมีผู้อ่านทั้งหมด 15,000,000 คน. เมื่อถึงปลายปี 1914 มีมากกว่า 9,000,000 คนในสามทวีปได้ชม “ภาพยนตร์เรื่องการทรงสร้าง” ซึ่งมีทั้งการฉายภาพเคลื่อนไหวและภาพนิ่งที่อธิบายเรื่องรัชสมัยพันปีของพระคริสต์. จากปี 1918 จนถึงปี 1925 มีการเสนอคำบรรยายเรื่อง “หลายล้านคนที่มีชีวิตอยู่ในเวลานี้จะไม่ตายเลย” ซึ่งอธิบายความหวังเรื่องชีวิตนิรันดร์บนแผ่นดินโลก โดยผู้รับใช้ของพระยะโฮวาในภาษาต่าง ๆ กว่า 30 ภาษาทั่วโลก. ในปี 1934 พยานพระยะโฮวาตระหนักว่าคนที่มีความหวังจะมีชีวิตตลอดไปบนแผ่นดินโลกควรรับบัพติสมา. ความเข้าใจนี้ทำให้พวกเขามีใจแรงกล้าขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งในการประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักร. ปัจจุบัน ความหวังที่จะมีชีวิตตลอดไปบนแผ่นดินโลกทำให้หัวใจของหลายล้านคนเปี่ยมล้นด้วยความขอบคุณพระยะโฮวา.
“เสรีภาพอันรุ่งโรจน์” รออยู่ข้างหน้า!
18, 19. ยะซายา 65:21-25 บอกล่วงหน้าถึงคุณภาพชีวิตแบบใด?
18 ผู้พยากรณ์ยะซายาห์ได้รับการดลใจให้เขียนเกี่ยวกับชีวิตแบบที่ประชาชนของพระเจ้าจะได้ชื่นชมบนแผ่นดินโลก. (อ่านยะซายา 65:21-25) ดูเหมือนว่า ต้นไม้บางต้นในสมัยที่ยะซายาห์เขียนข้อความดังกล่าวเมื่อประมาณ 2,700 ปีที่แล้วยังคงยืนต้นอยู่มาจนถึงทุกวันนี้. คุณนึกภาพออกไหมว่าคุณเองมีชีวิตยืนยาวขนาดนั้นพร้อมกับมีพละกำลังและสุขภาพดี?
19 แทนที่ชีวิตจะเป็นเหมือนการเดินระยะสั้น ๆ จากเปลไปถึงหลุมศพ ชีวิตจะมีโอกาสที่ไม่รู้สิ้นสุดในการปลูก, สร้าง, และเรียนรู้. ขอให้นึกถึงมิตรภาพมากมายที่คุณจะสามารถสร้างขึ้นมา. สายสัมพันธ์ที่เปี่ยมด้วยความรักเช่นนั้นจะเพิ่มพูนเรื่อยไปไม่รู้สิ้นสุด. เมื่อถึงตอนนั้น “เหล่าบุตรของพระเจ้า” จะชื่นชมกับ “เสรีภาพอันรุ่งโรจน์” บนแผ่นดินโลกสักเพียงไร!—โรม 8:21
[เชิงอรรถ]
a เอากุสตินอ้างว่า การปกครองหนึ่งพันปีโดยราชอาณาจักรของพระเจ้าไม่ใช่เรื่องในอนาคต แต่ได้เริ่มขึ้นแล้วเมื่อมีการก่อตั้งคริสตจักร.
b ดานิ. 12:3, 4, 9, 10 (ล.ม.) “ผู้ที่มีความหยั่งเห็นเข้าใจจะส่องแสงเหมือนแสงสว่างแห่งท้องฟ้า; และผู้ที่นำหลายคนมาสู่ความชอบธรรม เหมือนดวงดาวจนถึงเวลาไม่กำหนด จนกระทั่งตลอดกาล. ‘และส่วนท่าน โอ้ดานิเอล จงเก็บถ้อยคำเหล่านั้นไว้เป็นความลับ และผนึกม้วนหนังสือไว้ จนกระทั่งถึงเวลาอวสาน. หลายคนจะไป ๆ มา ๆ และความรู้แท้จะมีอุดมบริบูรณ์.’ และท่านจึงกล่าวต่อไปว่า ‘ไปเถอะ ดานิเอล เพราะถ้อยคำเหล่านี้ถูกเก็บเป็นความลับและประทับตราไว้จนถึงเวลาอวสาน. หลายคนจะชำระตัวและทำให้ตนขาวสะอาดและจะถูกถลุง. และคนชั่วย่อมจะทำชั่วแน่ ๆ และไม่มีคนชั่วแม้สักคนจะเข้าใจ; แต่คนที่มีความหยั่งเห็นเข้าใจจะเข้าใจ.’ ”
คุณอธิบายได้ไหม?
• ความหวังของมนุษย์เกี่ยวกับชีวิตบนแผ่นดินโลกถูกปิดซ่อนอย่างไร?
• ผู้อ่านคัมภีร์ไบเบิลบางคนได้รับความเข้าใจอะไรในศตวรรษที่ 17?
• ความหวังแท้ของมนุษย์เริ่มชัดเจนขึ้นอย่างไรเมื่อใกล้ถึงปี 1914?
• ความรู้เกี่ยวกับความหวังบนแผ่นดินโลกมีอุดมบริบูรณ์อย่างไร?
[ภาพหน้า 13]
จอห์น มิลตัน ซึ่งเป็นกวี (ซ้าย) และ ไอแซ็ก นิวตัน นักคณิตศาสตร์ (ขวา) รู้ว่ามีความหวังเกี่ยวกับชีวิตนิรันดร์บนแผ่นดินโลก
[ภาพหน้า 15]
นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลในสมัยแรกสังเกตเห็นจากพระคัมภีร์ว่าถึงเวลาแล้วที่จะประกาศความหวังแท้ของมนุษย์ไปทั่วโลก