การสืบตำแหน่งอัครสาวก
คำจำกัดความ: คำสอนที่ว่าอัครสาวกสิบสองคนมีผู้สืบตำแหน่งซึ่งมีการสืบทอดอำนาจให้พวกเขาโดยการแต่งตั้งจากพระเจ้า. ในคริสต์จักรโรมันคาทอลิก กล่าวกันว่าพวกบิชอปในฐานะเป็นกลุ่มคือผู้สืบตำแหน่งของพวกอัครสาวก และอ้างว่าสันตะปาปาเป็นผู้สืบตำแหน่งของเปโตร. มีการยืนยันว่าสันตะปาปาแห่งกรุงโรมเข้าครองตำแหน่งทันทีหลังจากนั้น และดำเนินกิจต่าง ๆ ของเปโตร ผู้ซึ่งกล่าวกันว่าพระคริสต์ได้ตรัสให้มีอำนาจสูงสุดเหนือคริสต์จักรทั้งปวง. นี่ไม่ใช่คำสอนในพระคัมภีร์.
เปโตรคือ “ศิลา” ซึ่งคริสต์จักรถูกสร้างขึ้นบนนั้นไหม?
มัด. 16:18, เจรูซาเลม ไบเบิล: “เราว่าแก่ท่านว่า ท่านคือเปโตร และบนศิลานี้เราจะตั้งคริสต์จักรของเราไว้. และประตูแห่งความตายจะมีชัยชนะต่อคริสต์จักรนี้ก็หามิได้.” (ขอให้สังเกตในบริบท [ข้อ 13, 20] ที่ว่าคำอธิบายนี้มุ่งอยู่ที่การพิสูจน์ว่าพระเยซู เป็นใคร.
อัครสาวกเปโตรและเปาโลเข้าใจว่าผู้ใดคือ “ศิลา,” หรือ “หินหัวมุม” นั้น
กิจ. 4:8-11, เจรูซาเลม ไบเบิล: “เปโตร ซึ่งเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้แถลงแก่พวกเขาว่า ‘ท่านผู้ครอบครองพลเมืองและผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งหลาย! . . . โดยพระนามของพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ พระองค์นั้นซึ่งท่านได้ตรึงเสียแล้ว ผู้ซึ่งพระเจ้าได้ทรงโปรดให้คืนพระชนม์ โดยพระนามของพระองค์นี้และไม่ใช่โดยผู้ใดอื่นที่ชายผู้นี้สามารถหายขาดได้เป็นปกติ ยืนอยู่ต่อหน้าท่านทั้งหลายในวันนี้. พระองค์นี้แหละเป็นศิลาซึ่งท่านทั้งหลายผู้เป็นช่างก่อได้ปฏิเสธ แต่พระองค์ก็ทรงเป็นหินหัวมุมนั้น.”
1 เป. 2:4-8, เจรูซาเลม ไบเบิล: “ท่านทั้งหลายจงมาใกล้พระองค์ [พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า] เพื่อว่าท่านทั้งหลายเองก็เช่นกัน . . . อาจเป็นดุจหินอันมีชีวิตอยู่กำลังก่อขึ้นเป็นราชสำนักฝ่ายวิญญาณ. ดังที่พระคัมภีร์กล่าวว่า: นี่แน่ะ! เราวางศิลาอันมีค่ายิ่งซึ่งเราได้เลือกแล้วก้อนหนึ่งไว้ในซีโอนและมนุษย์ผู้มอบความไว้วางใจในศิลานั้นจะไม่ผิดหวัง. นั่นหมายความว่า สำหรับท่านซึ่งเป็นผู้เชื่อถือ ศิลานี้เป็นสิ่งประเสริฐ แต่สำหรับคนที่ไม่เชื่อถือ ศิลาที่ผู้ก่อได้ปฏิเสธนั้นได้กลายเป็นหัวมุม และเป็นก้อนหินที่ทำให้สะดุด และเป็นศิลาที่ทำให้มนุษย์ล้มลง.”
เอเฟ. 2:20, เจรูซาเลม ไบเบิล: “ท่านทั้งหลายเป็นส่วนของอาคารซึ่งมีพวกอัครสาวกและผู้พยากรณ์เป็นราก และพระเยซูคริสต์เป็นศิลาหัวมุม.”
ออกัสติน (ผู้ซึ่งถูกคริสต์จักรคาทอลิกมองว่าเป็นนักบุญคนหนึ่ง) เชื่ออะไร?
“ในช่วงเวลาเดียวกับที่ข้าพเจ้าเป็นนักบวชนี้เอง ข้าพเจ้าก็ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นตอบโต้จดหมายของโดนาตุส . . . ณ ท่อนหนึ่งในหนังสือนี้ ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงอัครสาวกเปโตรว่า: ‘คริสต์จักรได้ถูกตั้งขึ้นบนท่านเหมือนกับบนศิลา.’ . . . แต่ข้าพเจ้าทราบว่าบ่อยครั้งอย่างยิ่งในเวลาต่อมา ข้าพเจ้าได้อธิบายข้อที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัส: ‘ท่านคือเปโตร และบนศิลานี้เราจะตั้งคริสต์จักรของเราไว้’ นั้นว่า ข้อนั้นควรเข้าใจว่าสร้างบนพระองค์ผู้ซึ่งเปโตรได้ยอมรับ โดยกล่าวว่า: ‘พระองค์คือพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่’ และดังนั้น เปโตรซึ่งถูกเรียกตามศิลานั้น จึงหมายถึงบุคคลแห่งคริสต์จักรซึ่งถูกตั้งขึ้นบนศิลานี้ และได้รับ ‘กุญแจแห่งราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์.’ เนื่องจากมีการตรัสแก่ท่านว่า “ท่านคือเปโตร” ไม่ใช่ “ท่านคือศิลา.” แต่ ‘ศิลานั้นคือพระคริสต์’ ในการยอมรับพระองค์ ซึ่งคริสต์จักรทั้งปวงยอมรับ ซีโมนถูกเรียกว่าเปโตร.”—ผู้เขียนคริสเตียนตั้งแต่ศตวรรษที่สองถึงหก—ออกัสติน, การเพิกถอน (วอชิงตัน, ดี.ซี.; 1968), แปลโดย แมรี ไอ. โบแกน, เล่ม 1 หน้า 90.
อัครสาวกคนอื่น ๆ มองดูเปโตรว่ามีอำนาจสูงสุดในพวกเขาไหม?
ลูกา 22:24-26, เจรูซาเลม ไบเบิล: “เกิดการถกเถียงกันระหว่างพวกเขา [อัครสาวก] ในเรื่องใครจะถูกนับว่าใหญ่ที่สุด แต่พระองค์ตรัสแก่พวกเขาว่า ‘ในพวกคนนอกรีตนั้นกษัตริย์เป็นผู้ใช้อำนาจเหนือเขา และคนเหล่านั้นซึ่งมีอำนาจเหนือพวกเขานั้นถูกเรียกว่าท่านผู้มีพระคุณ. สิ่งนี้ต้องไม่เกิดขึ้นกับพวกท่าน.’” (ถ้าเปโตรคือ “ศิลา” นั้น จะมีปัญหาไหมว่าใครในพวกเขา “ควรจะถูกนับว่าใหญ่ที่สุด”?)
เนื่องจากพระเยซูคริสต์ ประมุขของประชาคม ทรงพระชนม์อยู่ พระองค์จำเป็นต้องมีผู้สืบตำแหน่งไหม?
เฮ็บ. 7:23-25, เจรูซาเลม ไบเบิล: “ครั้งนั้นเคยมีปุโรหิตอื่นอีกหลายคน [ในยิศราเอล] เนื่องจากความตายทำให้การดำรงตำแหน่งของเขาสิ้นสุดลง แต่พระองค์นี้ [พระเยซูคริสต์] เนื่องจากพระองค์ทรงดำรงตลอดกาล ตำแหน่งปุโรหิตของพระองค์ไม่มีวันสิ้นไป. ฉะนั้น อำนาจช่วยให้รอดของพระองค์จึงแน่นอนที่สุด เนื่องด้วยพระองค์ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์เพื่อช่วยทูลขอเพื่อทุกคนซึ่งเข้ามาหาพระเจ้าโดยทางพระองค์.”
โรม 6:9, เจรูซาเลม ไบเบิล: “ดังที่เราทั้งหลายทราบ พระคริสต์ที่ได้รับการปลุกขึ้นจากตายนั้นจะไม่ตายอีกเลย.”
เอเฟ. 5:23, เจรูซาเลม ไบเบิล: “พระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสต์จักร.”
อะไรคือ “ลูกกุญแจ” ที่เปโตรได้รับฝากไว้?
มัด. 16:19, เจรูซาเลม ไบเบิล: “เราจะมอบลูกกุญแจแห่งราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์แก่ท่าน สิ่งใดก็ตามที่ท่านผูกมัดบนแผ่นดินโลกจะถือว่าถูกผูกมัดในสวรรค์ สิ่งใดก็ตามที่ท่านปล่อยไว้บนแผ่นดินโลกจะถือว่าถูกปล่อยไว้ในสวรรค์ด้วย.”
ในพระธรรมวิวรณ์ พระเยซูทรงกล่าวถึงลูกกุญแจโดยนัยซึ่งพระองค์เองทรงใช้เพื่อเปิดให้มีสิทธิพิเศษและโอกาสแก่มนุษย์
วิ. 3:7, 8, เจรูซาเลม ไบเบิล: “นี่คือข่าวสารจากพระองค์ผู้บริสุทธิ์และสัตย์ซื่อผู้ทรงมีลูกกุญแจของดาวิด เพื่อว่าเมื่อพระองค์ทรงเปิดจะไม่มีผู้ใดอาจปิดได้ และเมื่อพระองค์ทรงปิดจะไม่มีผู้ใดอาจเปิดได้: เราได้เปิดประตูตรงหน้าเจ้าซึ่งไม่มีใครสามารถจะปิดได้.”
เปโตรใช้ “ลูกกุญแจ” ที่ฝากไว้แก่ท่านนั้นเพื่อเปิดโอกาส (แก่ชาวยิว, ชาวซะมาเรีย, ชาวต่างชาติ) ให้ได้รับพระวิญญาณของพระเจ้าเพื่อพวกเขาจะได้เข้าสู่ราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์
กิจ. 2:14-39, เจรูซาเลม ไบเบิล: “เปโตรจึงยืนขึ้นพร้อมกับอัครสาวกสิบเอ็ดคนและแถลงแก่พวกเขาด้วยเสียงดังว่า: ‘ท่านชาวยูดาย, และท่านทั้งหลายผู้อาศัยอยู่ในกรุงยะรูซาเลม . . . พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูนี้ซึ่งท่านทั้งหลายได้ตรึงไว้นั้นขึ้นเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและเป็นพระคริสต์.’ เมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาทั้งหลายก็รู้สึกแปลบปลาบในใจและกล่าวกับเปโตรและเหล่าอัครสาวกว่า ‘พี่น้องเอ๋ย เราจะต้องทำอย่างไรเล่า?’ เปโตรตอบพวกเขาว่า ‘ท่านทั้งหลายต้องกลับใจเสียใหม่ และท่านต้องรับบัพติสมาในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์ทุกคนเพื่อบาปของท่านทั้งหลายจะได้รับการให้อภัย และท่านทั้งหลายจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นของประทาน. คำสัญญาซึ่งได้กระทำไว้นั้นเป็นคำสัญญาสำหรับท่านทั้งหลายกับลูกหลานของท่านด้วย และสำหรับคนเหล่านั้นซึ่งอยู่ห่างไกล คือสำหรับทุกคนซึ่งพระเจ้าของเราจะทรงเรียกมาเฝ้าพระองค์.’”
กิจ. 8:14-17, เจรูซาเลม ไบเบิล: “เมื่อเหล่าอัครสาวกในกรุงยะรูซาเลมได้ยินว่าชาวซะมาเรียได้รับเอาพระคำของพระเจ้า เขาจึงส่งเปโตรกับโยฮันไปหา และท่านทั้งสองได้ไปที่นั่นและอธิษฐานเพื่อชาวซะมาเรียจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังไม่ได้ลงมาสถิตกับผู้ใดในพวกเขาเลย: พวกเขาเพียงแต่ได้รับบัพติสมาในพระนามแห่งพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น. ฉะนั้นเปโตรกับโยฮันจึงได้วางมือบนพวกเขา เขาจึงได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์.” (ข้อ 20 บ่งชี้ว่าเปโตรเป็นผู้ซึ่งนำหน้าในโอกาสนี้.)
กิจ. 10:24-48, เจรูซาเลม ไบเบิล: “พวกเขาถึงเมืองกายซาไรอาในวันต่อมา และโกระเนเลียว [คนต่างชาติที่ไม่ได้รับสุหนัต] กำลังคอยพวกเขา . . . เปโตรจึงกล่าวแก่พวกเขา . . . ขณะที่เปโตรกล่าวคำเหล่านั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้ลงมาสถิตกับผู้ฟังทั้งปวงนั้น.”
ฝ่ายสวรรค์ได้รอเปโตรไหมเพื่อจะทำการตัดสินใจ แล้วจึงทำตามการนำของท่าน?
กิจ. 2:4, 14, เจรูซาเลม ไบเบิล: “เขาทั้งหลายก็เต็มไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเริ่มพูดภาษาต่างประเทศดังที่พระวิญญาณได้ทรงประทานของประทานแห่งการพูดให้เขา. . . . ครั้นแล้ว [หลังจากที่พระคริสต์ ประมุขแห่งประชาคม ได้ทรงกระตุ้นพวกเขาโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์] เปโตรได้ยืนขึ้นพร้อมกับอัครสาวกสิบเอ็ดคนและได้แถลงแก่คนทั้งหลาย.” (ดูข้อ 33.)
กิจ. 10:19, 20, เจรูซาเลม ไบเบิล: “พระวิญญาณต้องบอกแก่ท่าน [เปโตร] ว่า ‘มีบางคนมาหาท่าน. จงรีบลงมาและอย่าลังเลที่จะกลับไปพร้อมกับเขา [ไปบ้านของโกระเนเลียวคนต่างชาติ] ด้วยเราเองได้บอกเขาให้มา.”
เทียบ มัด. 18:18, 19.
เปโตรเป็นผู้ตัดสินไหมว่าใครคู่ควรจะเข้าสู่ราชอาณาจักร?
2 ติโม. 4:1, เจรูซาเลม ไบเบิล: “พระเยซูคริสต์ . . . จะทรงเป็นผู้พิพากษาทั้งคนเป็นและคนตาย.”
2 ติโม. 4:8, เจรูซาเลม ไบเบิล: “ตั้งแต่นี้จะมีมงกุฎแห่งความชอบธรรมเก็บไว้สำหรับข้าพเจ้า ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้า [พระเยซูคริสต์] ผู้พิพากษาองค์ชอบธรรม จะทรงประทานแก่ข้าพเจ้าในวันนั้น และมิใช่แก่ข้าพเจ้าเพียงผู้เดียว แต่แก่คนทั้งปวงที่ได้เฝ้ารอคอยการเสด็จปรากฏของพระองค์.”
เปโตรเคยอยู่ในโรมหรือ?
มีการกล่าวถึงโรมเก้าข้อในพระคัมภีร์ ไม่มีข้อไหนที่กล่าวว่าเปโตรอยู่ที่นั่น. 1 เปโตร 5:13 แสดงว่าเปโตรอยู่ในบาบูโลน. นี้เป็นการอ้างถึงโรมในแบบที่ซ่อนเร้นไหม? การที่ท่านอยู่ที่บาบูโลนเป็นเรื่องสอดคล้องกับงานมอบหมายของท่านที่จะประกาศสั่งสอนแก่ชาวยิว (ดังมีบ่งชี้ไว้ที่ฆะลาเตีย 2:9) เนื่องจากมีประชากรชาวยิวจำนวนมากในบาบูโลน. สารานุกรม จูไดกา (ยะรูซาเลม 1971, เล่ม 15 คอลัมน์ 755, ภาษาอังกฤษ) เมื่ออธิบายถึงการผลิตหนังสือทัลมุดของบาบูโลน มีกล่าวถึง “สถาบันลือชื่อแห่งบาบูโลน” ของลัทธิยูดาในระหว่างสากลศักราช.
เคยมีการแกะรอยพบผู้สืบตำแหน่งที่ไม่ขาดช่วงไหมนับตั้งแต่เปโตรจนถึงสันตะปาปาในปัจจุบัน?
จอห์น แมกเคนซี แห่งนิกายเยสุอิต ตอนเป็นศาสตราจารย์อยู่ที่โนเตรดาม เขียนไว้ว่า: “ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์อยู่เลยสำหรับลูกโซ่ทั้งหมดของการสืบอำนาจของคริสต์จักร.”—คริสต์จักรโรมันคาทอลิก (นิวยอร์ก 1969) หน้า 4, ภาษาอังกฤษ.
สารานุกรม นิวคาทอลิก (ภาษาอังกฤษ) ยอมรับว่า: “ . . . การขาดแคลนเอกสาร ทิ้งสิ่งที่คลุมเครือไว้มากมายเกี่ยวกับการพัฒนาตำแหน่งของคณะบิชอปตอนต้น ๆ . . . ”—(1967), เล่ม 1, หน้า 696.
ข้ออ้างที่ว่าได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้าไม่มีความหมายอะไรหากคนที่อ้างเช่นนั้นไม่เชื่อฟังพระเจ้าและพระคริสต์
มัด. 7:21-23, เจรูซาเลม ไบเบิล: “ไม่ใช่ผู้ที่กล่าวแก่เราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ เป็นผู้ซึ่งจะเข้าในราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์ แต่ผู้ที่กระทำตามพระทัยประสงค์พระบิดาของเราผู้อยู่ในสวรรค์. เมื่อวันนั้นมาถึงจะมีหลายคนกล่าวแก่เราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า ข้าพเจ้าได้พยากรณ์ในพระนามของพระองค์ ขับผีออกด้วยพระนามของพระองค์ กระทำการอัศจรรย์หลายอย่างในพระนามของพระองค์มิใช่หรือ?’ เมื่อนั้นเราจะกล่าวแก่เขาว่า เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย! จงไปให้พ้นจากเรา เจ้าทั้งหลายผู้เป็นคนชั่ว!”
ดูที่ยิระมะยา 7:9-15 ด้วย.
ผู้ที่อ้างว่าสืบตำแหน่งอัครสาวกได้ยึดมั่นอยู่กับคำสอนและกิจปฏิบัติของพระเยซูคริสต์และเหล่าอัครสาวกของพระองค์ไหม?
พจนานุกรมคาทอลิก (ภาษาอังกฤษ) แถลงว่า: “คริสต์จักรโรมันคือผู้สืบตำแหน่งอัครสาวก เพราะหลักคำสอนของคริสต์จักรคือข้อเชื่อซึ่งเคยได้เปิดเผยแก่เหล่าอัครสาวก ซึ่งเป็นหลักข้อเชื่อที่คริสต์จักรนี้ป้องกันไว้และทำการชี้แจง โดยไม่มีการเพิ่มเติมหรือตัดทอน.” (ลอนดอน, 1957, ดับเบิลยู. อี. แอดดิส และ ที. อาร์โนลด์, หน้า 176) ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ลงรอยกับเรื่องนี้ไหม?
เอกลักษณ์ของพระเจ้า
“ตรีเอกานุภาพคือคำที่ใช้เพื่อแสดงความหมายหลักคำสอนสำคัญของศาสนาคริสเตียน.”—สารานุกรมคาทอลิก (1912), ภาษาอังกฤษ, เล่ม 15, หน้า 47.
“ทั้งคำตรีเอกานุภาพและหลักคำสอนอันชัดแจ้งเช่นนั้นไม่มีปรากฏในพระคัมภีร์ใหม่ . . . หลักคำสอนนี้ค่อย ๆ พัฒนาขึ้นตลอดหลายศตวรรษและผ่านการโต้แย้งมากมาย.”—สารานุกรมนิวบริแทนนิกา (1976), ไมโครพีเดีย, เล่ม 10, หน้า 126.
“มีการยอมรับของพวกผู้ชำนาญการอธิบายและนักเทววิทยาเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล รวมทั้งพวกโรมันคาทอลิกที่เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ ว่าคนเราไม่ควรพูดถึงเรื่องตรีเอกานุภาพในพระคัมภีร์ใหม่โดยปราศจากการจำกัดความหมายที่ชัดเจนจริง ๆ. นอกจากนั้น ยังมีการยอมรับในทำนองเดียวกันของพวกนักประวัติศาสตร์เกี่ยวกับหลักคำสอนด้านศาสนาและนักเทววิทยาด้านการจัดระบบ ว่าเมื่อคนเราพูดถึงตรีเอกานุภาพที่ไม่มีการจำกัดความหมายให้แน่ชัด คนนั้นไม่ได้อยู่ในสมัยคริสเตียนรุ่นแรก ๆ แต่อยู่ในช่วงราว ๆ ยี่สิบห้าปีสุดท้ายแห่งศตวรรษที่ 4.”—สารานุกรมนิวคาทอลิก (1967), เล่ม 14, หน้า 295.
การถือพรหมจรรย์ของนักเทศน์นักบวช
สันตะปาปาพอลที่หก ในราชโองการซะเคอร์โดทาลิส แซลิบาทุส (พรหมจรรย์ของบาทหลวง, 1967) รับรองว่าการถือพรหมจรรย์เป็นข้อเรียกร้องสำหรับนักเทศน์นักบวช แต่ก็ยอมรับว่า “พระคัมภีร์ใหม่ซึ่งรักษาคำสอนของพระคริสต์และเหล่าอัครสาวกไว้ . . . ไม่ได้เรียกร้องอย่างเปิดเผยให้ผู้รับใช้ของพระเจ้าถือพรหมจรรย์ . . . พระเยซูเองก็ไม่ได้ทำให้เรื่องนี้เป็นเงื่อนไขในการเลือกอัครสาวกสิบสองคนของพระองค์ และพวกอัครสาวกก็ไม่ได้ทำให้เรื่องนี้เป็นเงื่อนไขสำหรับเลือกคนเหล่านั้นที่ดูแลชุมชนคริสเตียนสมัยแรก ๆ.”—ราชโองการสันตะปาปา 1958-1981 (เมืองฟอลส์เชิร์ช รัฐเวอร์จิเนีย; 1981), ภาษาอังกฤษ, หน้า 204.
1 โก. 9:5, นิว อเมริกัน ไบเบิล: “ข้าพเจ้าไม่มีสิทธิ์จะสมรสกับสตรีผู้มีความเชื่อเหมือนอัครสาวกอื่น ๆ และพี่น้องทั้งหลายขององค์พระผู้เป็นเจ้าและเกฟาหรือ?” (“เกฟา” เป็นชื่อในภาษาอาระเมอิกของเปโตร; ดูโยฮัน 1:42. ดูมาระโก. 1:29-31 ด้วย ซึ่งมีการอ้างถึงแม่ยายของซีโมน คือเปโตร.”)
1 ติโม. 3:2, ดูเอย์: ดังนั้น บิชอปควรเป็นสามีของหญิงคนเดียว [“สมรสเพียงครั้งเดียว,” นิว อเมริกัน ไบเบิล ].”
ก่อนยุคคริสเตียน ศาสนาพุทธเรียกร้องให้นักบวชและสงฆ์เป็นพรหมจรรย์. (ประวัติศาสตร์เรื่องพรหมจรรย์แห่งนักบวชในคริสต์จักร, ลอนดอน, 1932, พิมพ์ครั้งที่สี่, แก้ไขปรับปรุง, เฮนรี ซี. ลีอา, หน้า 6) แม้ในยุคก่อนหน้านั้น พวกนักบวชชั้นสูงของชาวบาบูโลนก็ถูกเรียกร้องให้ถือปฏิบัติพรหมจรรย์ ตามหนังสือสองบาบูโลน โดย เอ. ฮิสลอพ.—(นิวยอร์ก, 1943), ภาษาอังกฤษ, หน้า 219.
1 ติโม. 4:1-3, เจรูซาเลม ไบเบิล: “พระวิญญาณได้ตรัสไว้ชัดแจ้งว่าในสมัยสุดท้ายจะมีบางคนซึ่งจะละทิ้งความเชื่อและเลือกฟังวิญญาณที่ล่อลวงและคำสอนที่มาจากผีปิศาจ; . . . พวกเขาจะบอกว่าการสมรสเป็นสิ่งต้องห้าม.”
ต่างหากจากโลก
สันตะปาปาปอลที่หก ในคราวปราศรัยที่สหประชาชาติเมื่อปี 1965 กล่าวว่า “ผู้คนในโลกหันเข้าหาสหประชาชาติในฐานะเป็นความหวังสุดท้ายในเรื่องความกลมกลืนและสันติภาพ; เราจึงถือโอกาสนี้มอบคำสรรเสริญและความหวังของพวกเขาและของเราด้วยแก่สหประชาชาติ.”—การเยี่ยมของสันตะปาปา (นิวยอร์ก, 1965), รายงานพิเศษจากนิตยสารไทม์-ไลฟ์, หน้า 26.
โย. 15:19, เจรูซาเลม ไบเบิล: “[พระเยซูคริสต์ว่า:] ถ้าท่านเป็นของโลก โลกก็จะรักท่านซึ่งเป็นของ ๆ โลก แต่เนื่องจากท่านไม่ได้เป็นของโลก เพราะเราได้เลือกท่านออกจากโลก ฉะนั้นโลกจึงชังท่าน.”
ยโก. 4:4, เจรูซาเลม ไบเบิล: “ท่านไม่เข้าใจหรือว่าการเป็นมิตรกับโลกก็คือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า?”
การพึ่งอาวุธสงคราม
นักประวัติศาสตร์ชาวคาทอลิก อี. ไอ. วัตกิน เขียนว่า “ถึงแม้การยอมรับก่อความปวดร้าวใจก็ตาม เพื่อผลประโยชน์ของการสั่งสอนเท็จหรือความจงรักภักดีที่ไม่ซื่อตรง เราไม่อาจปฏิเสธหรือละเลยข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่ว่าพวกบิชอปได้สนับสนุนอย่างแข็งขันต่อการสงครามทุกอย่างที่รัฐบาลแห่งประเทศของเขาได้ทำไป. ที่จริง ข้าพเจ้าไม่รู้จักเลยสักกรณีเดียวที่คณะปกครองสงฆ์แห่งชาติได้ประณามสงครามใด ๆ ว่าไม่ยุติธรรม . . . ไม่ว่าทฤษฎีของทางการจะเป็นเช่นไร ในภาคปฏิบัติแล้ว ‘ประเทศฉันเป็นฝ่ายถูกเสมอ’ ได้มีการปฏิบัติตามหลักนี้ในช่วงสงครามโดยพวกบิชอปของคาทอลิก.”—ศีลธรรมกับขีปนาวุธ (ลอนดอน, 1959), ภาษาอังกฤษ, เรียบเรียงโดยชาลส์ เอส. ทอมป์สัน, หน้า 57, 58.
มัด. 26:52, เจรูซาเลม ไบเบิล: “พระเยซูจึงตรัสว่า ‘จงเอาดาบใส่ฝักเสีย ด้วยผู้ที่ชักดาบจะตายด้วยดาบ.’”
1 โย. 3:10-12, เจรูซาเลม ไบเบิล: “ด้วยวิธีนี้เราจึงแยกแยะลูกของพระเจ้าออกจากลูกของพญามาร: คนใด ๆ . . . ที่ไม่รักพี่น้องของตนก็ไม่ใช่ลูกของพระเจ้า . . . เราต้องรักซึ่งกันและกัน. อย่าเป็นเหมือนคายิน ซึ่งเป็นของตัวชั่วร้ายนั้นและได้ฆ่าน้องชายของตนเสีย.”
โดยคำนึงถึงสิ่งที่ได้พิจารณามานี้ คนเหล่านั้นซึ่งอ้างว่าเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งอัครสาวก ได้สอนและปฏิบัติตามสิ่งที่พระเยซูกับเหล่าสาวกของพระองค์ได้สอนไหม?