คัมภีร์ไบเบิล
คำจำกัดความ: พระคำของพระเจ้ายะโฮวาที่ได้รับการจารึกเพื่อมนุษยชาติ. พระองค์ทรงใช้เลขานุการที่เป็นมนุษย์ประมาณ 40 คนให้เป็นผู้จารึก ซึ่งกินเวลา 16 ศตวรรษจึงแล้วเสร็จ ถึงกระนั้น พระองค์ทรงเป็นผู้แนะแนวการจารึกด้วยพระองค์เอง โดยทางพระวิญญาณของพระองค์. ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นพระคำที่ได้รับการดลบันดาลจากพระเจ้า. แท้ที่จริง บทบันทึกส่วนใหญ่ประกอบด้วยถ้อยแถลงต่าง ๆ ของพระยะโฮวา และรายละเอียดเกี่ยวด้วยคำสั่งสอน และกิจปฏิบัติต่าง ๆ ของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า. จากบทบันทึกเหล่านี้ เราพบบรรดาข้อกำหนดเรียกร้องของพระเจ้าเพื่อเหล่าผู้รับใช้ของพระองค์ และสิ่งที่พระองค์จะทรงกระทำเพื่อจะให้พระประสงค์อันเลอเลิศของพระองค์ต่อแผ่นดินโลกบรรลุผลสำเร็จ. เพื่อช่วยเราให้มีความหยั่งรู้ค่าต่อสิ่งเหล่านี้มากยิ่งขึ้น พระยะโฮวาทรงเก็บรักษาบทบันทึกที่แสดงให้เห็นผลลัพธ์ เมื่อปัจเจกบุคคล และชาติต่าง ๆ เชื่อฟังพระเจ้าและปฏิบัติสอดคล้องกับพระประสงค์ของพระองค์ รวมทั้งชี้ให้เห็นผลบั้นปลายเมื่อพวกเขาดำเนินตามแนวทางของพวกเขาเอง. โดยทางบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่เชื่อถือได้เล่มนี้ พระยะโฮวาทรงทำให้เราคุ้นเคยกับวิธีการติดต่อที่พระองค์ทรงมีกับมนุษยชาติ รวมทั้งคุณลักษณะอันยอดเยี่ยมของพระองค์อีกด้วย.
เหตุผลต่าง ๆ ที่จะพิจารณาคัมภีร์ไบเบิล
คัมภีร์ไบเบิลเองกล่าวว่า มาจากพระเจ้า พระผู้สร้างแห่งมนุษยชาติ
2 ติโม. 3:16, 17 (ล.ม.): “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลบันดาลจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์เพื่อการสั่งสอน เพื่อการว่ากล่าว เพื่อจัดการเรื่องราวให้เรียบร้อย เพื่อตีสอนด้วยความชอบธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วน เตรียมพร้อมสำหรับการดีทุกอย่าง.”
วิ. 1:1: “วิวรณ์ของพระเยซูคริสต์ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงโปรดประทานแก่พระองค์ เพื่อชี้แจงแก่ทาสทั้งหลายของพระองค์ เนื่องด้วยเหตุการณ์เหล่านั้นซึ่งจะต้องอุบัติขึ้นในไม่ช้า.”
2 ซามูเอล 23:1, 2: “ถ้อยคำของดาวิดบุตรยิซัย . . . พระวิญญาณของพระยะโฮวาทรงตรัสแก่ข้าพเจ้า และพระดำรัสของพระองค์อยู่ที่ลิ้นของข้าพเจ้า.”
ยะซายา 22:15: “พระยะโฮวาเจ้าจอมพลโยธา ได้ตรัสดังนี้.”
เป็นที่คาดหมายได้ว่า เราจะหาพบข่าวสารของพระเจ้าที่มีไปยังมนุษย์ทุกชาติ ในทุกแห่งหนบนโลก. ได้มีการแปลคัมภีร์ไบเบิลครบเล่ม หรือที่เป็นบางส่วนในภาษาต่าง ๆ ราว 1,800 ภาษา. มีการจำหน่ายจ่ายแจกเป็นจำนวนพัน ๆ ล้านเล่ม. สารานุกรมเวิลด์บุก กล่าวว่า “คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่มีการอ่านมากที่สุดในประวัติศาสตร์. เป็นไปได้ที่ว่าเป็นหนังสือที่ส่งผลกระทบมากที่สุดเช่นกัน. เป็นหนังสือที่ได้รับการจ่ายแจกมากกว่าหนังสือเล่มอื่นใด. เป็นหนังสือที่ได้รับการแปลหลายครั้ง ในหลายภาษามากที่สุด ยิ่งกว่าหนังสือใด ๆ.”—(1984), เล่ม 2, หน้า 219.
คำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลอธิบายความหมายของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในโลก
ผู้นำของโลกหลายคนยอมรับว่า มนุษยชาติกำลังประสบกับความหายนะ. คัมภีร์ได้พยากรณ์เหตุการณ์เหล่านี้นานมาแล้ว; ทั้งยังได้บอกถึงความหมาย และผลบั้นปลายแห่งเหตุการณ์เหล่านี้. (2 ติโม. 3:1-5; ลูกา 21:25-31) พระคัมภีร์แจ้งให้ทราบอีกด้วยว่า เราจำต้องทำประการใดเพื่อจะรอดผ่านพินาศกรรมของโลกที่คืบใกล้เข้ามา พร้อมกับมีโอกาสที่จะมีชีวิตนิรันดร์ภายใต้สภาพการณ์ต่าง ๆ ที่ชอบธรรมบนแผ่นดินโลก.—ซะฟันยา 2:3; โยฮัน 17:3; เพลง. 37:10, 11, 29.
คัมภีร์ไบเบิลช่วยให้เราเข้าใจจุดมุ่งหมายของชีวิต
พระคัมภีร์ให้คำตอบสำหรับคำถามต่าง ๆ อาทิ ชีวิตมาจากไหน? (กิจ. 17:24-26) เหตุใดเราจึงอยู่ที่นี่? เพื่อจะอยู่เพียงไม่กี่ปี ได้สิ่งที่ชีวิตนี้จะให้มากที่สุดเท่าที่จะหาได้ และแล้วตายไป แค่นั้นหรือ?—เย. 1:27, 28; โรม 5:12; โยฮัน 17:3; เพลง. 37:11; เพลง. 40:8.
คัมภีร์ไบเบิลแสดงให้เห็นวิธีที่เราสามารถจะได้สิ่งเหล่านั้นทีเดียวแหละ ซึ่งบรรดาชนผู้รักความชอบธรรมปรารถนามากที่สุด
คัมภีร์ไบเบิลแจ้งให้เราทราบแหล่งแห่งมิตรภาพที่ดีงามท่ามกลางคนเหล่านั้นซึ่งรักกันและกันอย่างแท้จริง (โยฮัน 13:35), สิ่งค้ำประกันการที่ตัวเราและครอบครัวจะมีอาหารพอกิน (มัด. 6:31-33; สุภาษิต 19:15; เอเฟ. 4:28), วิธีที่เราอาจเป็นสุขได้ แม้จะถูกห้อมล้อมไปด้วยสภาพการณ์ต่าง ๆ ที่ยากลำบาก.—เพลง. 1:1, 2; 34:8; ลูกา 11:28; กิจ. 20:35.
คัมภีร์ไบเบิลยังชี้แจงให้ทราบว่า ราชอาณาจักรของพระเจ้า คือรัฐบาลของพระองค์จะขจัดระบบอันชั่วช้าในปัจจุบัน (ดานิ. 2:44), และภายใต้การปกครองนี้ มนุษยชาติจะชื่นชมกับสุขภาพที่สมบูรณ์พร้อม และชีวิตนิรันดร์.—วิ. 21:3, 4; เทียบยะซายา 33:24.
แน่นอน หนังสือที่อ้างว่ามาจากพระเจ้า ซึ่งให้คำอธิบายความหมายของสภาพการณ์ต่าง ๆ ในโลก รวมทั้งบอกถึงจุดมุ่งหมายของชีวิต และยังแสดงให้เห็นวิธีที่ปัญหาต่าง ๆ ของเราอาจได้รับการแก้ไข ย่อมคู่ควรแก่การพิจารณา.
หลักฐานแห่งการดลบันดาล
คัมภีร์ไบเบิลเป็นบทจารึกที่เต็มไปด้วยคำพยากรณ์หลายข้อที่ให้รายละเอียดของเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตซึ่งเป็นสิ่งเกินความสามารถของมนุษย์
2 เปโตร 1:20, 21 (ล.ม.): “ไม่มีคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ ที่เกิดจากการแปลความหมายตามอำเภอใจแต่อย่างใด. เพราะไม่มีคราวใดที่มีการนำคำพยากรณ์ออกมาตามน้ำใจของมนุษย์ แต่มนุษย์ได้กล่าวมาจากพระเจ้า ตามที่เขาได้รับการทรงนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์.”
▪ คำพยากรณ์: ยะซายา 44:24, 27, 28; 45:1-4: “พระยะโฮวา . . . ผู้ที่ได้กล่าวแก่มหาสมุทรว่า ‘จงแห้งเถอะ และเราจะระบายน้ำจากแม่น้ำทั้งหลายของเจ้าเสียให้แห้ง’; ผู้ที่ได้กล่าวถึงท่านโคเรศว่า ‘เจ้าเป็นผู้เลี้ยงแกะของเรา ผู้ที่ประกอบกิจตามน้ำใจของเราให้สำเร็จผล’; ผู้ที่จะได้กล่าวถึงกรุงยะรูซาเลมว่า ‘กรุงจะถูกกู้ขึ้น’ และกล่าวถึงวิหารว่า ‘รากของเจ้าจะถูกวางขึ้นใหม่.’ พระยะโฮวาได้ตรัสแก่โคเรศ ผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้ ผู้ที่เราได้ยึดมือขวาของท่านไว้เพื่อให้ท่านปราบประชาชาติลงไปต่อหน้าท่าน และเพื่อให้แก้เจียระบาดออกเสียจากเอวของกษัตริย์ทั้งหลาย; เพื่อจะได้เปิดประตูให้ท่านเข้าไป และประตูเหล่านั้นจะไม่ปิดเสียได้ คือตรัสดังต่อไปนี้: ‘เราจะเดินไปข้างหน้าเจ้า และจะทำที่ขรุขระให้ราบเรียบ และประตูทองเหลืองนั้นเราจะพังลงเป็นชิ้น ๆ และดานประตูที่ทำด้วยเหล็ก เราจะหักออกเป็นท่อน ๆ . . . . เพื่อเห็นแก่ยาโคบผู้รับใช้ของเรา และยิศราเอลผู้เลือกสรรของเรา เราได้ออกชื่อเรียกเจ้าแล้ว.’” (จารึกโดยยะซายา เสร็จสิ้นราวปี 732 ก.ส.ศ.)
▫ ความสำเร็จ: โคเรศ (ไซรัส) ยังไม่เกิด เมื่อคำพยากรณ์นี้ได้รับการจารึก. พวกยิศราเอลไม่ได้ถูกต้อนไปเป็นเชลยยังบาบูโลนกระทั่งปี 617-607 ก.ส.ศ., และกรุงยะรูซาเลมพร้อมด้วยพระวิหารก็ไม่ได้ถูกทำลายกระทั่งปี 607 ก.ส.ศ. คำพยากรณ์สำเร็จในข้อปลีกย่อยเริ่มต้นในปี 539 ก.ส.ศ. ไซรัสได้เปลี่ยนทิศทางน้ำไหลจากแม่น้ำยูเฟรทิสลงสู่ทะเลสาบที่ขุดเอาไว้ ประตูแม่น้ำทั้งหลายของบาบูโลนได้รับการเปิดทิ้งไว้โดยความประมาทระหว่างการเลี้ยงฉลองในกรุง และบาบูโลนจึงตกแก่พวกมิโด-เปอร์เซียภายใต้ไซรัส. หลังจากนั้น ไซรัสได้ปลดปล่อยพวกเชลยชาวยิว และส่งพวกเขากลับกรุงยะรูซาเลมพร้อมกับออกคำสั่งให้กอบกู้พระวิหารของพระยะโฮวาที่นั่น.—สารานุกรมอเมริกานา (1956), เล่มที่ 3, หน้า 9; แสงสว่างจากอดีตในกาลโบราณ (ภาษาอังกฤษ) (พรินซ์ตัน 1959), แจ็ก ไฟน์แกน หน้า 227-229; “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลบันดาลจากพระเจ้าและเป็นประโยชน์” (นิวยอร์ก 1983), หน้า 282, 284, 295.
▪ คำพยากรณ์: ยิระ. 49:17, 18: “‘และอะโดมจะต้องเป็นความเริดร้าง ทุกตัวคนที่จะเดินผ่านหน้าที่นั่นจะต้องอัศจรรย์ใจ และเขาจะทำเสียงสูดปากเพราะบรรดาความอันตรายที่จะเกิดที่นั่น. เหมือนอย่างความทำลายแห่งเมืองซะโดมและอะโมราแลเมืองทั้งหลายที่อยู่เคียงกันนั้น’ พระยะโฮวาได้ตรัส ‘จะไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่นั้น หรือลูกผู้ชายมนุษย์ใดจะอยู่ที่นั่นไม่ได้.’” (การบันทึกคำพยากรณ์ต่าง ๆ ของยิระมะยาเสร็จสิ้นลงในปี 580 ก.ส.ศ.)
▫ ความสำเร็จ: “พวกเขา [ชาวอะโดม] ถูกขับไล่ออกจากปาเลสไตน์ ในศตวรรษที่ 2 ก.ส.ศ. โดย ยูดัซ มักคาแบอุส และในปี 109 ก.ส.ศ. จอห์น ฮิร์คานุส ผู้นำของพวกมักคาเบียน ได้ขยายอาณาจักรยูดา โดยการรวมเอาดินแดนต่าง ๆ ส่วนตะวันตกของอะโดม. ในศตวรรษที่ 1 ส.ศ. การขยายอาณาเขตโดยโรมได้กวาดเอาร่องรอยทุกอย่างของการมีเอกราชของอะโดม . . . หลังจากที่ยะรูซาเลมถูกทำลายโดยพวกโรมันในปี 70 ส.ศ. . . . ชื่ออีดูมีอา [อะโดม] ก็อันตรธานไปจากประวัติศาสตร์.” (สารานุกรมนิวฟังก์และเวกนอลส์, 1952 เล่มที่ 11 หน้า 4114) จงสังเกตว่า คำพยากรณ์นี้มีความสำเร็จกระทั่งสมัยของเรา. ไม่มีทางที่จะโต้แย้งได้ว่า คำพยากรณ์นี้ได้รับการบันทึกหลัง เหตุการณ์ต่าง ๆ ได้บังเกิดขึ้น.
▪ คำพยากรณ์: ลูกา 19:41-44; 21:20, 21: “ครั้นพระองค์ [พระเยซูคริสต์] เสด็จมาใกล้เห็นเมือง [ยะรูซาเลม] แล้วก็กันแสงสงสารเมืองนั้นว่า . . . ‘ด้วยว่าเวลาจะมาถึงเจ้า เมื่อศัตรูของเจ้าจะตั้งค่ายรอบเจ้าและล้อมขังเจ้าไว้ทุกด้าน แล้วจะทำลายเจ้าลงให้ราบเหมือนพื้นดิน กับทั้งลูกทั้งหลายของเจ้าซึ่งอยู่ในเจ้า และเขาจะไม่ปล่อยให้ศิลาซ้อนทับกันไว้ภายในเจ้าเลย เพราะเจ้าไม่ได้รู้เวลาที่พระองค์เสด็จมาหาเจ้า.’” สองวันต่อมา พระองค์ทรงแนะเตือนเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “เมื่อท่านเห็นกองทัพมาตั้งล้อมรอบกรุงยะรูซาเลม เมื่อนั้นท่านจงรู้ว่าความพินาศของกรุงนั้นก็ใกล้เข้ามาแล้ว. เวลานั้นให้คนทั้งหลายที่อยู่ในแขวงยูดายหนีไปยังภูเขา และคนทั้งหลายที่อยู่ในกรุงให้ออกไป และคนที่อยู่บ้านนอกอย่าให้เข้ามาในกรุง.” (คำพยากรณ์ซึ่งตรัสโดยพระเยซูคริสต์ในปี 33 ส.ศ.)
▫ ความสำเร็จ: ยะรูซาเลมได้กบฏต่อโรม และในปี 66 ส.ศ. กองทัพโรมันภายใต้การนำของ เซสติอุส กัลลุส ก็เข้าโจมตีเมือง. แต่ทว่า ดังที่โยเซฟุส นักประวัติศาสตร์ชาวยิวรายงาน ผู้บัญชาการชาวโรมัน “ได้เรียกนายทหารของท่านกลับ เลิกล้มความหวัง แม้จะไม่ได้รับการโต้ตอบแต่อย่างใด และโดยปราศจากเหตุผลทุกอย่างได้ถอนทัพออกจากกรุง.” (โยเซฟุส, สงครามยิว, แพนกวิน คลาสสิกส์ 1969 หน้า 167) นี่เปิดโอกาสให้ชนคริสเตียนหนีออกจากเมือง และพวกเขาก็ได้หนีออกจริง โดยย้ายไปยังเพลลา เลยแม่น้ำยาระเด็นไป ดังบันทึกของ ยูเซบิอุส แพมพิลุสในหนังสือของเขาที่ชื่อ ประวัติศาสนา (ภาษาอังกฤษ) (แปลโดย ซี. เอฟ. ครูเซ, ลอนดอน 1894 หน้า 75) และแล้ว ใกล้จะถึงเทศกาลปัศคาแห่งปี 70 ส.ศ. นายพลไททุสได้เข้าล้อมเมือง ทำรั้วรอบเป็นระยะทางยาว 7.2 กม. ในเวลาเพียงสามวัน และหลังจากห้าเดือนกรุงก็แตก. “กรุงยะรูซาเลมถูกทำลายอย่างเป็นขั้นตอน และพระวิหารก็ถูกทิ้งไว้ให้เหลือเพียงซากหักปรักพัง. งานทางด้านโบราณคดีในทุกวันนี้ชี้ให้เห็นว่า อาคารบ้านเรือนของพวกยิวถูกทำลายทั่วทั้งดินแดนอย่างแท้จริง.”—คัมภีร์ไบเบิลและโบราณคดี (ภาษาอังกฤษ) (แกรนด์ ราพิดส์, มิชิแกน, 1962), เจ. เอ. ทอมป์สัน, หน้า 299.
คัมภีร์ไบเบิลบรรจุเรื่องที่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ซึ่งมนุษย์นักค้นคว้าเพิ่งจะค้นพบเมื่อไม่นานมานี้
ความเป็นมาของเอกภพ: เย. 1:1: “เมื่อเดิมพระเจ้าได้นฤมิตสร้างฟ้าและดิน.” ในปี 1978 นักดาราศาสตร์ โรเบิร์ต จัสโทรว์ เขียนไว้ว่า “บัดนี้ เราเห็นการที่หลักฐานทางดาราศาสตร์นำเราไปสู่ทัศนะของคัมภีร์ไบเบิลว่าด้วยความเป็นมาของโลก. ข้อปลีกย่อยต่างกัน แต่พื้นฐานที่สำคัญของบันทึกทางดาราศาสตร์ และของเยเนซิศนั้นเหมือนกัน: ลำดับขั้นตอนของเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่นำไปสู่การปรากฏของมนุษย์ ได้เริ่มต้นอย่างฉับพลัน และเฉียบไวตามเวลากำหนดที่แน่นอน ในชั่วแวบเดียวของแสงและพลังงาน.”—พระเจ้าและนักดาราศาสตร์ (ภาษาอังกฤษ) (นิวยอร์ก 1978), หน้า 14.
รูปทรงของดาวเคราะห์โลก: ยซา. 40:22: “คือองค์ที่ประทับเบื้องสูงบนขอบ [วงกลม, ล.ม.] จักรวาลแห่งพิภพ.” ในโบราณกาล ทัศนะโดยทั่วไปคือโลกแบน. จนกระทั่งกว่า 200 ปีหลังจากมีการจารึกข้อพระคัมภีร์นี้ นักปรัชญาชาวกรีกสำนักหนึ่งได้ให้เหตุผลว่าโลกน่าจะมีทรงกลม และประมาณอีก 300 ปีต่อมา นักดาราศาสตร์ชาวกรีกคนหนึ่งได้คำนวณรัศมีของโลกโดยประมาณ. แต่แนวความคิดที่ว่าโลกมีทรงกลมก็ไม่เป็นแนวคิดทั่วไปแม้ในสมัยนั้น. มากระทั่งศตวรรษที่ 20 นี้เองที่มนุษย์สามารถเดินทางโดยเครื่องบิน จากนั้นสู่อวกาศ และกระทั่งถึงดวงจันทร์ โดยวิธีนี้ มนุษย์จึงมองเห็น “ขอบจักรวาล” ได้ถนัดตา.
ชีวิตสัตว์: เลวี. 11:6: “และกระต่าย . . . บดเอื้องได้.” แม้คำกล่าวอ้างนี้ได้รับการโจมตีโดยนักวิจารณ์บางคนเป็นเวลานานก็ตาม แต่ในที่สุด ในศตวรรษที่ 18 คนอังกฤษชื่อ วิลเลียม คาวเปอร์ก็สังเกตเห็นกระต่ายทำการบดเอื้อง. วิธีการบดเอื้องที่แปลกแหวกแนวนี้ มีการพรรณนาไว้ในปี 1940 ในหนังสือชื่อ กิจการต่าง ๆ แห่งสมาคมสัตวศาสตร์แห่งลอนดอน, เล่มที่ 110 ภาค เอ, หน้า 159-163.
ข้อพระคัมภีร์ต่าง ๆ ลงรอยกันอย่างน่าทึ่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำนึงถึงข้อที่ว่า มีประมาณ 40 คนที่จารึกพระธรรมเล่มต่าง ๆ แห่งคัมภีร์ไบเบิล แม้จะมาจากพื้นเพชีวิตที่ต่างกัน เช่นเป็นกษัตริย์บ้าง, เป็นผู้พยากรณ์, เป็นคนเลี้ยงสัตว์, คนเก็บภาษี, และเป็นนายแพทย์. พวกเขาทำการจารึกครอบคลุมระยะเวลาทั้งสิ้น 1,610 ปี; จึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะทำการคบคิด. กระนั้นก็ดี บทจารึกต่าง ๆ ของพวกเขาสอดคล้องลงรอยกัน แม้กระทั่งในข้อปลีกย่อยที่เล็กน้อยที่สุด. เพื่อจะเกิดความหยั่งรู้ค่าต่อการที่ส่วนต่าง ๆ ของคัมภีร์ไบเบิลประสานกันอย่างต่อเนื่อง คุณจำต้องอ่าน และศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเป็นการส่วนตัว.
เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลง?
“ในบรรดาสำเนาของต้นฉบับเก่าแก่ที่รับรองบทจารึกหนึ่ง และจำนวนปีที่ได้ผ่านไประหว่างต้นฉบับ และสำเนาต้นฉบับเก่าแก่ที่รับรองบทจารึกนั้น คัมภีร์ไบเบิลนับว่าได้เปรียบกว่าวรรณคดีคลาสสิกอื่น ๆ [เช่นของโฮเมอร์, เพลโต, และอื่น ๆ] . . . . สำเนาต้นฉบับเก่าแก่ด้านวรรณคดีคลาสสิกมีน้อยมากแค่กำมือ เมื่อเทียบกับสำเนาต้นฉบับด้านคัมภีร์ไบเบิล. ไม่มีหนังสือเก่าแก่เล่มใดมีหลักฐานเท่าคัมภีร์ไบเบิล.”—คัมภีร์ไบเบิลจากตอนเริ่มต้น (นิวยอร์ก, 1929) พี. มาริโอน ซิมซ์ หน้า 74, 76.
รายงานที่พิมพ์ออกในปี 1971 แสดงให้เห็นว่า มีสำเนาของต้นฉบับที่คัดลอกด้วยมือที่มีคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูทั้งเล่ม หรือบางส่วนประมาณ 6,000 ฉบับ; ฉบับที่เก่าแก่ที่สุด มีอายุย้อนหลังไปสมัยศตวรรษที่สาม ก.ส.ศ. ส่วนคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก มีประมาณ 5,000 ฉบับในภาษากรีก ที่เก่าแก่ที่สุดมีอายุย้อนหลังไปถึงตอนต้น ๆ ของศตวรรษที่สอง ส.ศ. นอกเหนือจากนั้น มีฉบับสำเนาของต้นฉบับที่ได้รับการแปลเป็นภาษาอื่น ๆ อีกมาก.
ในคำนำหนังสือชุดเจ็ดเล่มเรื่อง เดอะ เชสเตอร์ บีที บิบลิคัล พาไพรี เซอร์เฟรดเดอริก แคนยอน เขียนว่า “ข้อสรุปประการแรก และที่สำคัญที่สุดจากการตรวจสอบพาไพรีเหล่านี้เป็นข้อที่น่าพอใจที่ว่า พาไพรีเหล่านั้นแสดงให้เห็นว่าข้อความแห่งพระคัมภีร์ที่มีอยู่นั้นถูกต้อง. ไม่มีความแตกต่างในขั้นพื้นฐานที่โดดเด่น ทั้งในพันธสัญญาเก่า หรือในพันธสัญญาใหม่. ไม่ปรากฏมีการลบออก หรือการเพิ่มข้อความ และไม่มีความแตกต่างซึ่งมีผลต่อข้อเท็จจริงที่สำคัญ ๆ หรือต่อหลักคำสอนต่าง ๆ. ความแตกต่างในข้อความมีผลกระทบเพียงแต่ในเรื่องเล็กน้อย เช่นลำดับคำ หรือคำเฉพาะเจาะจงที่มีการใช้ . . . แต่ความสำคัญขั้นพื้นฐานของพาไพรีเหล่านี้คือการที่พาไพรีเหล่านี้ยืนยันความถูกต้องแม่นยำของข้อความที่เรามีอยู่ โดยเป็นหลักฐานที่เก่าแก่กว่าที่มีอยู่ก่อนหน้านี้.”—(ลอนดอน 1933) หน้า 15.
เป็นความจริงที่ว่าคัมภีร์ฉบับแปลบางฉบับติดตามภาษาดั้งเดิมอย่างใกล้ชิดมากกว่าฉบับแปลอื่น ๆ. คัมภีร์ไบเบิลฉบับถอดความสมัยปัจจุบันได้ล่วงละเมิดซึ่งในบางครั้งเปลี่ยนความหมายเดิม. ผู้แปลบางคนแต่งเติมข้อความตามความเชื่อส่วนตัวของพวกเขา. กระนั้นก็ดี เราสามารถระบุจุดอ่อนเหล่านี้ได้ โดยทำการเปรียบเทียบดูฉบับแปลหลาย ๆ ฉบับ.
หากบางคนพูดว่า—
‘ฉันไม่เชื่อคัมภีร์ไบเบิล’
คุณอาจตอบว่า ‘แต่คุณเชื่อว่ามีพระเจ้า ใช่ไหมครับ (คะ)? . . . คุณจะบอกหน่อยได้ไหมว่า ส่วนไหนในคัมภีร์ไบเบิลที่คุณพบว่ายากที่จะยอมรับ?’
หรือคุณอาจพูดว่า ‘ผม (ดิฉัน) ขอถามว่า นี่เป็นความรู้สึกของคุณตลอดมาหรือเปล่า? . . . ผม (ดิฉัน) เคยได้ยินคนอื่น ๆ พูดเช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่พวกเขาไม่เคยศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอย่างละเอียดมาก่อน. แต่เนื่องจากคัมภีร์ไบเบิลกล่าวอย่างชัดเจนว่าเป็นข่าวสารที่มาจากพระเจ้า และที่ว่าพระองค์ทรงเสนอชีวิตถาวรแก่เราหากเราเชื่อและดำเนินชีวิตตามสิ่งที่มีกล่าวในคัมภีร์ไบเบิล คุณเห็นด้วยไหมว่า จะเป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่อย่างน้อยจะตรวจสอบเพื่อดูว่าสิ่งซึ่งคัมภีร์ไบเบิลอ้างถึงนั้นเป็นความจริงหรือไม่? (จงใช้เนื้อหาในหน้า 60-63.)’
‘คัมภีร์ไบเบิลขัดแย้งในตัวเอง’
คุณอาจตอบว่า ‘ผม (ดิฉัน) เคยได้ยินบางคนพูดเช่นนี้ แต่ไม่มีใครสามารถชี้ให้ผม (ดิฉัน) เห็นข้อที่ขัดแย้งกันจริง ๆ. และจากการอ่านคัมภีร์ไบเบิลเป็นส่วนตัวนั้น ผม (ดิฉัน) ยังไม่เคยพบข้อขัดแย้งใด ๆ. คุณจะชี้ให้ผม (ดิฉัน) ดูเป็นตัวอย่างสักข้อได้ไหมครับ (คะ)?’ จากนั้นอาจเสริมว่า ‘สิ่งที่ผม (ดิฉัน) ได้ พบคือว่าหลายคนหาคำตอบไม่พบสำหรับคำถามต่าง ๆ ที่คัมภีร์ไบเบิลทำให้พวกเขาคิด. ยกตัวอย่างเช่น คายินได้ภรรยาของตนมาจากที่ไหน? (จงใช้เนื้อหาในหน้า 301, 302.)’
‘มนุษย์เขียนคัมภีร์ไบเบิล’
คุณอาจตอบว่า ‘จริงอยู่. มีประมาณ 40 คนที่มีส่วนในการเขียน. แต่คัมภีร์ไบเบิลได้รับการดลใจ จากพระเจ้า.’ จากนั้นอาจเสริมว่า (1) ‘นั่นหมายความว่าอย่างไร? คือที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ชี้นำการเขียน เช่นเดียวกันกับที่นักธุรกิจให้เลขานุการโต้ตอบจดหมายให้ตน.’ (2) ‘เราไม่ควรรู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกที่จะได้รับข่าวสารจากบางคนที่อยู่นอกโลก. แม้แต่มนุษย์เองเคยส่งข่าวสาร และภาพถ่ายจากดวงจันทร์มาแล้ว. เขาทำได้อย่างไร? โดยอาศัยกฎต่าง ๆ ที่พระเจ้าทรงเป็นผู้ก่อตั้งนมนานมาแล้วนั่นเอง. (3) ‘แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า สิ่งที่บรรจุอยู่ในคัมภีร์ไบเบิลมาจากพระเจ้าจริง ๆ? พระคัมภีร์มีข่าวสารซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะมาจากแหล่งที่เป็นมนุษย์. ข่าวสารชนิดใดกัน? รายละเอียดเกี่ยวกับอนาคต; และรายละเอียดเหล่านั้นปรากฏว่าถูกต้องแม่นยำเสมอมา. (เพื่อเป็นตัวอย่าง ดูหน้า 60-62, และหน้า 234-239 ภายใต้หัวเรื่อง “ยุคสุดท้าย.”)
‘แต่ละคนก็มีการตีความหมายคัมภีร์ไบเบิลของตนเอง’
คุณอาจตอบว่า ‘และเป็นที่ประจักษ์ว่าการตีความหมายนั้นไม่ใช่ทุกอย่างถูกต้อง.’ จากนั้นอาจเสริมว่า (1) ‘การบิดเบือนข้อพระคัมภีร์ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวความคิดของเราเองอาจนำภัยอันตรายอันถาวรมาสู่ตัวเรา. (2 เป. 3:15, 16)’ (2) ‘สองสิ่งอาจช่วยเราให้เข้าใจคัมภีร์ไบเบิลได้อย่างถูกต้อง. ประการแรก จงพิจารณาบริบท (ข้อพระคัมภีร์ที่อยู่รอบ ๆ) ของแต่ละเรื่อง. จากนั้นจงเปรียบเทียบข้อหนึ่งกับข้อในที่อื่น ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลที่พูดถึงเรื่องเดียวกัน. โดยวิธีนี้ เรากำลังยอมให้พระคำของพระเจ้านำทางความคิดของเรา และการตีความหมายจึงไม่ใช่เป็นของเราเอง แต่เป็นของพระองค์. นั่นคือแนวการปฏิบัติในการเรียบเรียงสรรพหนังสือต่าง ๆ ของสมาคมหอสังเกตการณ์.’ (ดูหน้า 204, 205 ภายใต้หัวเรื่อง “พยานพระยะโฮวา.”)
‘ใช้การไม่ได้สำหรับสมัยของเรา’
คุณอาจตอบว่า ‘เราย่อมให้ความสนใจต่อสิ่งต่าง ๆ ที่ใช้การได้สำหรับสมัยของเรา ใช่ไหมครับ (คะ)?’ แล้วอาจเสริมว่า (1) ‘คุณเห็นด้วยไหมว่าการยุติสงคราม เป็นสิ่งหนึ่งที่ใช้การได้? . . . หากผู้คนเรียนที่จะอยู่ร่วมกันกับผู้คนจากชาติอื่น ๆ อย่างสันติ คุณเห็นด้วยไหมว่า นี่คงจะเป็นการเริ่มต้นที่ดี? . . . สิ่งนี้ทีเดียวแหละที่คัมภีร์ไบเบิลพยากรณ์เอาไว้. (ยซา. 2:2, 3) นี่เป็นกิจปฏิบัติท่ามกลางพยานพระยะโฮวาในทุกวันนี้ ผลสืบเนื่องมาจากการที่พวกเขาศึกษาคัมภีร์ไบเบิล.’ (2) ‘มีความจำเป็นมากกว่านี้—คือการขจัดมนุษย์ และประเทศต่าง ๆ ที่เป็นต้นเหตุของการสงครามต่าง ๆ. สิ่งนี้จะมีวันเกิดขึ้นไหม? มีแน่ และคัมภีร์ไบเบิลก็ได้อธิบายไว้ด้วยว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นอย่างไร. (ดานิ. 2:44; เพลง. 37:10, 11)’
หรือคุณอาจพูดว่า ‘ผม (ดิฉัน) หยั่งรู้ค่าความห่วงใยของคุณ. คงไม่เป็นการฉลาด หากเราจะใช้คู่มือที่ใช้การไม่ได้ จริงไหมครับ (คะ)? แล้วอาจเสริมว่า ‘หากว่ามีหนังสือเล่มหนึ่งที่ให้คำแนะนำที่ดีที่จะช่วยให้เรามีชีวิตครอบครัวที่เป็นสุข คุณเห็นด้วยไหมว่า หนังสือนั้นใช้การได้? . . . ทฤษฎี และกิจปฏิบัติต่าง ๆ อันเกี่ยวข้องกับชีวิตครอบครัวมีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง และผลลัพธ์ที่เราเห็นในทุกวันนี้ไม่ดีเอาเสียเลย. กระนั้นก็ดี คนเหล่านั้นที่รู้ และปฏิบัติตามสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าว มีชีวิตครอบครัวที่มั่นคงและเป็นสุข. (โกโล. 3:12-14, 18-21)
‘คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่ดี แต่คงไม่มีอะไรที่อาจเรียกได้ว่าเป็นความจริงล้วน ๆ’
คุณอาจตอบว่า ‘เป็นความจริงที่ว่า ดูเหมือนแต่ละคนก็มีความเห็นที่ต่างกัน. และแม้แต่เมื่อบางคนคิดว่าเขาคิดออกแล้วในบางเรื่อง เขาก็ยังพบว่ามีอย่างน้อยข้อเท็จจริงอีกข้อหนึ่งที่เขาลืมพิจารณา. แต่มีผู้หนึ่งที่ไม่มีความจำกัดเช่นนั้น. ผู้นั้นน่าจะเป็นใคร? . . . ถูกแล้ว พระผู้สร้างเอกภพนั่นเอง.’ แล้วอาจเสริมว่า (1) ‘ด้วยเหตุนี้ พระเยซูคริสต์จึงตรัสกับพระองค์ว่า “คำของพระองค์เป็นความจริง.” (โย. 17:17) ความจริงนั้นอยู่ในคัมภีร์ไบเบิล. (2 ติโม. 3:16, 17)’ (2) ‘พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้เราคลำหาในความเขลา; พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า พระประสงค์ของพระองค์ก็คือที่เราจะบรรลุถึงความรู้ถ่องแท้ในเรื่องความจริง. (1 ติโม. 2:2, 4) คัมภีร์ไบเบิลตอบคำถามต่าง ๆ อย่างละเอียด จุใจ เช่น . . . (เพื่อช่วยบางคน ก่อนอื่นคุณอาจต้องพิจารณาถึงหลักฐานข้อพิสูจน์ในเรื่องการที่พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่เสียก่อน. ดูหน้า 145-151 ใต้หัวข้อ “พระเจ้า.”)
‘คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือของคนผิวขาว’
คุณอาจตอบว่า ‘เป็นความจริงที่ว่าพวกเขาได้พิมพ์คัมภีร์ไบเบิลเป็นจำนวนมาก. แต่คัมภีร์ไบเบิลก็มิได้กล่าวว่าชาติหนึ่งดีกว่าอีกชาติหนึ่ง.’ แล้วอาจเสริมว่า (1) ’คัมภีร์ไบเบิลมาจากพระผู้สร้างของเรา และพระองค์ไม่ทรงเลือกหน้า. (กิจ. 10:34, 35)’ (2) ‘พระคำของพระเจ้าเปิดโอกาสให้ผู้คนจากทุกชาติ และเผ่าพันธุ์ที่จะมีชีวิตอันถาวรอยู่บนแผ่นดินโลกนี้ ภายใต้ราชอาณาจักรของพระองค์. (วิ. 7:9, 10, 17)’
หรือคุณอาจพูดว่า ‘ไม่ใช่เช่นนั้น! พระผู้สร้างมนุษย์ทรงเป็นผู้ที่ทำการเลือกมนุษย์ที่พระองค์จะทรงดลใจให้เขียนหนังสือทั้ง 66 เล่มของคัมภีร์ไบเบิล. และหากพระองค์ทรงเลือกคนที่มีสีผิวที่อ่อน นั่นก็เป็นพระธุระของพระองค์. แต่ข่าวสารแห่งคัมภีร์ไบเบิลหาใช่ว่ามีจำกัดเฉพาะสำหรับคนผิวขาว.’ แล้วอาจเสริมว่า (1) ‘ขอให้สังเกตสิ่งที่พระเยซูตรัส . . . (โย. 3:16) “ทุกคน” หมายรวมถึงผู้คนไม่ว่าเขาจะมีสีผิวอะไรก็ตาม. นอกจากนั้น ก่อนที่พระองค์จะเสด็จสู่สวรรค์ พระเยซูทรงตรัสสั่งเหล่าสาวกของพระองค์ว่า . . . (มัด. 28:19)’ (2) ‘น่าสนใจ กิจการ 13:1 (ฉบับแปลใหม่) พูดถึงชายคนหนึ่งที่ชื่อ นิเกอร์ ซึ่งมีความหมายว่า “ดำ.” เขาเป็นคนหนึ่งในบรรดาผู้พยากรณ์ และผู้สอนแห่งประชาคมที่เมืองอันติโอเกีย ในซีเรีย.’
‘ผม (ดิฉัน) เชื่อในคัมภีร์ฉบับ คิงส์ เจมส์ เท่านั้น’
คุณอาจตอบว่า ‘หากฉบับของคุณอยู่ใกล้มือ ผม (ดิฉัน) อยากจะเปิดให้คุณดูบางสิ่งที่ผม (ดิฉัน) พบว่าเป็นที่หนุนกำลังใจมาก.’
หรือคุณอาจพูดว่า ‘หลายคนใช้คัมภีร์ฉบับแปลนี้ และผม (ดิฉัน) เองก็มีเล่มหนึ่งอยู่ในห้องสมุดส่วนตัว.’
แล้วอาจเสริมว่า (1) ‘คุณทราบไหมครับ (คะ) ว่าภาษาแรกเดิมที่มีการใช้บันทึกคัมภีร์ไบเบิลคือ ฮีบรู, อาระเมอิก, และกรีก? . . . คุณอ่านภาษาเหล่านั้นได้ไหมครับ (คะ)? . . . เราจึงหยั่งรู้ค่าการที่คัมภีร์ไบเบิลได้รับการแปลเป็นภาษาของเรา.’ (2) ‘แผนภูมินี้ (“ตารางพระธรรมต่าง ๆ แห่งคัมภีร์ไบเบิล,” ในฉบับ ล.ม.) แสดงให้เห็นว่า เยเนซิศซึ่งเป็นพระธรรมเล่มแรกแห่งคัมภีร์ไบเบิล เขียนเสร็จสิ้น ในปี 1513 ก.ส.ศ. คุณทราบไหมว่า หลังจากเยเนซิศเขียนเสร็จ เวลาผ่านไปประมาณ 2,900 ปี ก่อนที่คัมภีร์ไบเบิลทั้งเล่มจะได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษ? และผ่านไปอีก 200 กว่าปีก่อนที่ฉบับแปล คิงส์ เจมส์ จะแล้วเสร็จ (1611 ส.ศ.).’ (3) ‘ภาษาอังกฤษได้เปลี่ยนแปลงไปมากตั้งแต่ศตวรรษที่ 17. เราได้เห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นในช่วงชีวิตของเราด้วย มิใช่หรือ? . . . ด้วยเหตุนี้เราจึงหยั่งรู้ค่าการที่คัมภีร์ฉบับแปลต่าง ๆ สมัยปัจจุบัน ทำการแปลสัจธรรมดั้งเดิมอย่างละเอียด ในภาษาที่เราใช้กันอยู่ในทุกวันนี้.’
‘คุณมีคัมภีร์ไบเบิลของคุณเอง’
จงดูใต้หัวเรื่อง “ฉบับแปลโลกใหม่.”