วิวัฒนาการ
คำจำกัดความ: วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตเป็นทฤษฎีที่ว่า สิ่งมีชีวิตสิ่งแรกพัฒนามาจากสสารที่ไม่มีชีวิต. ต่อจากนั้น ว่ากันว่า ขณะที่แพร่พันธุ์ มันได้เปลี่ยนไปเป็นสิ่งมีชีวิตหลายชนิดซึ่งในที่สุดก่อให้เกิดพืชและชีวิตสัตว์ทุกรูปแบบเท่าที่มีอยู่บนแผ่นดินโลก. กล่าวกันว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นปราศจากการแทรกแซงอันมหัศจรรย์ของพระผู้สร้าง. บางคนพยายามผสมผสานความเชื่อในพระเจ้าเข้ากับวิวัฒนาการ โดยกล่าวว่าพระเจ้าทรงสร้างโดยทางวิวัฒนาการ โดยที่พระองค์ทรงก่อให้เกิดรูปแบบชีวิตขั้นพื้นฐานขั้นแรก ๆ และต่อจากนั้น รูปแบบชีวิตที่สูงกว่ารวมทั้งมนุษย์เป็นผลผลิตของวิวัฒนาการ. ไม่ใช่คำสอนแห่งคัมภีร์ไบเบิล.
วิวัฒนาการเป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์จริง ๆ หรือ?
“วิธีการทางวิทยาศาสตร์” คือดังนี้: สังเกตสิ่งที่เกิดขึ้น; โดยอาศัยสิ่งที่ได้สังเกตเห็น ตั้งทฤษฎีเกี่ยวด้วยสิ่งที่อาจเป็นจริง; ทดสอบทฤษฎีนั้นโดยการเฝ้าสังเกตต่อไปและทำการทดลอง; และเฝ้าดูว่าการคาดหมายซึ่งอาศัยทฤษฎีนั้นเกิดขึ้นสมจริงหรือไม่. คนเหล่านั้นซึ่งเชื่อถือและสอนวิวัฒนาการทำตามขั้นตอนเหล่านี้ไหม?
โรเบิร์ต จัสโทร นักดาราศาสตร์ กล่าวว่า “สิ่งที่ทำให้พวกเขา [พวกนักวิทยาศาสตร์] ไม่สบอารมณ์ก็คือ ไม่มีคำตอบที่แน่ชัด เนื่องจากบรรดานักเคมีไม่เคยประสบผลสำเร็จในการทดลองสร้างสิ่งมีชีวิตจากสสารที่ไม่มีชีวิต เลียนแบบวิธีซึ่งเคยเกิดขึ้นในธรรมชาติ. บรรดานักวิทยาศาสตร์ไม่ทราบว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นอย่างไร.”—ภาพเลือนรางที่น่าลุ่มหลง: จิตใจในเอกภพ (ภาษาอังกฤษ, นิวยอร์ก 1981), หน้า 19.
นักวิวัฒนาการโลเรน ไอซ์เลย์ ยอมรับว่า “หลังจากตำหนินักเทววิทยาที่เขาเชื่อมั่นในเทพนิยายและการอัศจรรย์ วิทยาศาสตร์ก็พบว่าตัวเองก็อยู่ในฐานะที่ลำบากที่จะต้องสร้างเทพนิยายของตนเองขึ้น นั่นคือข้อสมมุติ ที่ว่า สิ่งซึ่งไม่อาจจะพิสูจน์ได้ในทุกวันนี้หลังจากเพียรพยายามเป็นเวลานานก็ได้เกิดขึ้นในสมัยดึกดำบรรพ์.”—การเดินทางอันกว้างไกล (ภาษาอังกฤษ, นิวยอร์ก 1957), หน้า 199.
ตามที่ปรากฏในหนังสือ นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ (ภาษาอังกฤษ): “จำนวนนักวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะที่เป็นนักวิวัฒนาการมีเพิ่มมากขึ้น . . . ที่โต้แย้งว่า ทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินนั้นไม่ได้เป็นทฤษฎีตามหลักวิทยาศาสตร์ที่แท้จริงเลย . . . นักวิจารณ์เหล่านี้หลายคนถือหนังสือรับรองเชาว์ปัญญาขั้นสูงสุด.”—วันที่ 25 มิถุนายน 1981 หน้า 828.
นักฟิสิกส์ เอช. เอส. ลิปสันกล่าวว่า “คำอธิบายอย่างเดียวที่ยอมรับได้ก็คือมีผู้สร้าง. ผมทราบว่าข้อนี้เป็นที่น่ารังเกียจสำหรับบรรดานักฟิสิกส์ เช่นเดียวกับที่มันน่ารังเกียจสำหรับผมด้วย แต่เราต้องไม่บอกปัดทฤษฎีที่เราไม่ชอบหากว่าหลักฐานการพิสูจน์ทดลองสนับสนุนทฤษฎีนั้น.” (ตัวเอนเป็นของเรา.)—นิตยสารฟิสิกส์ (ภาษาอังกฤษ) 1980 เล่ม 31 หน้า 138.
คนเหล่านั้นซึ่งสนับสนุนหลักวิวัฒนาการลงรอยกันไหม? ข้อเท็จจริงต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้คุณรู้สึกอย่างไรต่อสิ่งที่พวกเขาสอน?
คำนำในหนังสือต้นกำเนิดเผ่าพันธุ์ (ภาษาอังกฤษ, ลอนดอน 1956) ของดาร์วินฉบับครบรอบร้อยปีกล่าวว่า “ดังที่เราทราบ มีความแตกแยกด้านความคิดเห็นอย่างมากท่ามกลางบรรดานักชีววิทยา ไม่เพียงแต่ในเรื่องมูลเหตุของวิวัฒนาการเท่านั้น แต่แม้กระทั่งเกี่ยวด้วยขั้นตอนจริง ๆ. ความแตกแยกดังกล่าวมีอยู่เนื่องจากหลักฐานไม่เป็นที่น่าพอใจและไม่อาจเสนอข้อสรุปที่แน่นอน. จึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องและเหมาะสมที่จะให้ประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ได้รับทราบเกี่ยวด้วยความขัดแย้งต่าง ๆ ในเรื่องวิวัฒนาการ.”—โดยดับเบิลยู. อาร์. ทอมป์สัน ขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันควบคุมด้านชีววิทยาแห่งเครือจักรภพ เมืองออตตาวา แคนาดา.
“ศตวรรษหนึ่งได้ผ่านไปหลังจากการเสียชีวิตของดาร์วิน กระนั้น เรายังไม่มีการพิสูจน์ให้เห็นแม้แต่น้อยหรือมีแนวความคิดที่พอมีเหตุผลเกี่ยวกับวิวัฒนาการว่า ที่แท้แล้วเกิดขึ้นโดยวิธีใด—และในปีหลัง ๆ นี้จึงมีการถกเถียงกันอย่างมากมายเกี่ยวกับปัญหาข้อนี้ . . . สภาพการณ์เกือบเสมือนสงครามเปิดมีอยู่ท่ามกลางบรรดานักวิวัฒนาการ พร้อมกับมีลัทธิ [วิวัฒนาการ] ทุกแบบเถียงกันเพื่อเสนอข้อแก้ไขใหม่บางข้อ.”—ซี. บุกเกอร์ (นักเขียนของนิตยสารไทมส์ ลอนดอน) เดอะ สตาร์, (โจฮันเนสเบิร์ก), วันที่ 20 เมษายน 1982 หน้า 19.
วารสารทางวิทยาศาสตร์ชื่อการค้นพบ (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า “หลักวิวัฒนาการ . . . กำลังถูกโจมตีไม่เฉพาะแต่จากคริสเตียนที่เคร่งครัดในแบบแผนเดิมของศาสนาเท่านั้น แต่เป็นที่สงสัยของบรรดานักวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงดีอีกด้วย. ความคิดเห็นไม่ลงรอยกันกำลังมีมากขึ้นท่ามกลางนักบรรพชีวินวิทยา นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาฟอสซิล.”—ตุลาคม 1980 หน้า 88.
ฟอสซิลสนับสนุนทรรศนะเช่นไร?
ดาร์วินยอมรับว่า “หากสิ่งมีชีวิตมากมายหลายชนิด . . . เริ่มต้นในเวลาเดียวกัน ข้อเท็จจริงนี้จะทำให้ทฤษฎีวิวัฒนาการถึงจุดอวสาน.” (ต้นกำเนิดเผ่าพันธุ์, ภาษาอังกฤษ นิวยอร์ก 1902 ตอนสอง, หน้า 83) หลักฐานแสดงไหมว่า “ชีวิตมากมายหลายชนิด” เริ่มมีขึ้นในเวลาเดียวกัน หรือว่าค่อย ๆ วิวัฒนาการขึ้นอย่างที่หลักวิวัฒนาการยืนยัน?
มีการค้นพบฟอสซิลมากพอไหมที่จะให้ข้อสรุปที่น่าเชื่อถือได้?
นักวิทยาศาสตร์ชื่อ พอร์เทอร์ คีเออร์ แห่งสถาบันสมิทโซเนียนกล่าวว่า “มีฟอสซิลจำนวนร้อยล้านชิ้นตามพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ ทั่วโลกซึ่งล้วนแต่มีการเรียบเรียงชื่อ และระบุประเภทให้เห็นแน่ชัด.” (นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่, ภาษาอังกฤษ วันที่ 15 มกราคม 1981 หน้า 129) หนังสือเครื่องนำทางสู่ประวัติแผ่นดินโลก (ภาษาอังกฤษ) เสริมว่า “อาศัยฟอสซิล บัดนี้นักวิชาการว่าด้วยสิ่งมีชีวิตสมัยโบราณสามารถให้พวกเราเห็นภาพที่คมชัดยิ่งเกี่ยวด้วยชีวิตในยุคก่อน ๆ.”—(นิวยอร์ก 1956) ริชาร์ด คาร์ริงตัน ฉบับเม็นทอร์ หน้า 48.
แท้จริงแล้ว ฟอสซิลแสดงให้เห็นอะไร?
วารสารใบแจ้งข่าว ของพิพิธภัณฑ์ทางด้านประวัติธรรมชาติแห่งชิคาโกชี้แจงว่า “ทฤษฎี [วิวัฒนาการ] ของดาร์วิน มีความเกี่ยวพันที่ใกล้ชิดเสมอมากับหลักฐานที่ได้จากฟอสซิล และเป็นไปได้ว่าคนส่วนใหญ่ก็สันนิษฐานกันว่าฟอสซิลเป็นหลักฐานที่สำคัญยิ่งที่สนับสนุนการหาเหตุผลโดยทั่วไปซึ่งเห็นดีด้วยกับคำอธิบายต่าง ๆ ของดาร์วินในเรื่องความเป็นมาของชีวิต. น่าเสียดายที่ว่า ข้อนี้ไม่ได้เป็นความจริง . . . .หลักฐานทางธรณีวิทยาไม่ได้เผยให้เห็นห่วงโซ่ของวิวัฒนาการที่ก้าวหน้าอย่างช้า ๆ จากชีวิตอย่างหนึ่งไปสู่อีกอย่างหนึ่งที่ซับซ้อนกว่า ทั้งในตอนนั้นและกระทั่งในปัจจุบันนี้.”—มกราคม 1979 เล่มที่ 50 หมายเลข 1 หน้า 22, 23.
หนังสือการมองดูชีวิต (ภาษาอังกฤษ) แจ้งว่า “เริ่มจากชั้นล่างของยุคแคมเบรียนและต่อมาอีกประมาณ 10 ล้านปี โครงกระดูกของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังหลายรูปแบบได้ปรากฏตัวเป็นครั้งแรกอย่างน่าตื่นตาตื่นใจที่สุดเท่าที่มีประวัติบันทึกบนดาวเคราะห์ของเรา.”—(แคลิฟอร์เนีย 1981) ซัลวาดอร์ อี. ลูเรีย, สตีเฟน เจย์ กาวล์ด, แซม ซิงเงอร์, หน้า 649.
นักบรรพชีวินวิทยาชื่อ อัลเฟรด โรเมอร์ เขียนว่า “เบื้องล่างของชั้นนี้ [ยุคแคมเบรียน] มีตะกอนที่หนาทึบที่ซึ่งคาดกันว่าจะพบต้นตระกูลของสิ่งมีชีวิตยุคแคมเบรียนหลายรูปแบบ. แต่เราก็หาไม่พบ; ชั้นดินที่เก่าแก่เหล่านี้แทบจะว่างเปล่าปราศจากหลักฐานของสิ่งมีชีวิต และอาจกล่าวได้อย่างสมเหตุผลว่า ภาพโดยทั่วไปนั้นลงรอยกับความคิดที่ว่า มีการทรงสร้างพิเศษตอนต้น ๆ ของยุคแคมเบรียน.”—ประวัติธรรมชาติ (ภาษาอังกฤษ) ตุลาคม 1959 หน้า 467.
นักสัตววิทยาชื่อ แฮโรลด์ คอฟฟิน แจ้งว่า “หากหลักวิวัฒนาการที่ว่าสิ่งที่ไม่ซับซ้อนพัฒนาขึ้นสู่สิ่งที่สลับซับซ้อนที่สุดนั้นถูกต้อง เราก็น่าจะพบบรรพบุรุษของสิ่งต่าง ๆ ที่มีชีวิตยุคแคมเบรียนที่โตเต็มที่แล้ว แต่เราหาพวกมันไม่พบและบรรดานักวิทยาศาสตร์ยอมรับว่าโอกาสมีน้อยที่เราจะพบพวกมัน. โดยอาศัยข้อเท็จจริงเพียงอย่างเดียว และอาศัยสิ่งที่ค้นพบจริง ๆ ในโลกเผยว่าทฤษฎีเรื่องสิ่งมีชีวิตรูปแบบหลัก ๆ ได้ถูกสร้างอย่างกะทันหันนั้นเข้าร่องเข้ารอยมากที่สุด.”—เสรีภาพ (ภาษาอังกฤษ) กันยายน/ตุลาคม 1975 หน้า 12.
คาร์ล เซกัน ในหนังสือของเขาชื่อคอสมอส ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า: “หลักฐานของฟอสซิลอาจลงรอยกับความคิดในเรื่องนักออกแบบองค์ยิ่งใหญ่.”—(นิวยอร์ก 1980) หน้า 29.
เป็นไปได้ไหมที่ว่ากระบวนการวิวัฒนาการเกิดขึ้นสืบเนื่องจากการกลายพันธุ์ กล่าวคือการเปลี่ยนแปลงกะทันหันขนานใหญ่ในหน่วยพันธุกรรม?
ไซเยนส์ ไดเจสต์ แถลงว่า “นักแก้ไขเกี่ยวกับวิวัฒนาการเชื่อว่า การกลายพันธุ์ในยีนหลักที่เป็นตัวควบคุมอาจเป็นเครื่องเจาะอันทรงพลังทางพันธุกรรม ซึ่งทฤษฎีที่ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันต้องการ.” อย่างไรก็ตาม วารสารนี้ยังได้ยกคำแถลงของนักสัตววิทยาชาวอังกฤษชื่อ โคลิน แพทเทอร์สัน มากล่าวที่ว่า “การคาดคิดเอาเองเป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็ทำได้. เราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับยีนหลักที่เป็นตัวควบคุมเหล่านี้.” (กุมภาพันธ์ 1982 หน้า 92) พูดอีกนัยหนึ่ง ไม่มีหลักฐานเลยที่สนับสนุนทฤษฎีดังกล่าว.
สารานุกรมอเมริกานา ยอมรับว่า “ข้อเท็จจริงที่ว่าการกลายพันธุ์ส่วนใหญ่ส่งผลเสียต่อสิ่งที่มีชีวิตนั้นดูจะเข้ากันได้ยากกับทรรศนะที่ว่า การกลายพันธุ์เป็นแหล่งแห่งวัตถุดิบสำหรับหลักวิวัฒนาการ. อันที่จริง ภาพการกลายพันธุ์ในตำราชีววิทยานั้นเป็นปรากฏการณ์ที่ผิดปรกติและพิลึกพิลั่น และการกลายพันธุ์ดูเหมือนว่าจะเป็นกระบวนการทำลายล้างมากกว่าที่จะเป็นกระบวนการในเชิงก่อ.”—(1977) เล่ม 10 หน้า 742.
จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับภาพวาดของ “มนุษย์วานร” ในตำราเรียน, ในสารานุกรม, และตามพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ?
“เนื้อและเส้นผมของสิ่งที่สร้างขึ้นใหม่เหล่านี้เป็นไปตามจินตนาการ . . . สีผิว; สี, รูปแบบ, และการกระจายของเส้นผม; รูปแบบหน้าตา; รูปหน้า—เราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับลักษณะเหล่านี้ของมนุษย์ก่อนสมัยประวัติศาสตร์.”—ชีววิทยาว่าด้วยเผ่าพันธุ์ (นิวยอร์ก 1971) โดยเจมส์ ซี. คิง, หน้า 135, 151.
“ความคิดส่วนใหญ่ของจิตรกรอาศัยการมโนภาพมากกว่าอาศัยหลักฐาน. . . . จิตรกรต้องสร้างอะไรที่เป็นกึ่งลิงกึ่งคน; ยิ่งตัวประหลาดนี้ว่ากันว่าเก่าแก่แค่ไหน พวกเขาก็สร้างให้มันเหมือนลิงมากขึ้นแค่นั้น.”—ไซเยนส์ ไดเจสต์ เมษายน 1981 หน้า 41.
“เช่นเดียวกับที่เราค่อย ๆ เรียนรู้ว่า มนุษย์ดึกดำบรรพ์ไม่จำเป็นต้องเป็นคนป่าเถื่อน เราต้องเรียนรู้ที่จะตระหนักว่ามนุษย์ในตอนต้น ๆ สมัยยุคน้ำแข็งนั้นหาใช่เป็นสัตว์ที่ดุร้ายหรือเป็นกึ่งลิงหรือปัญญาอ่อนแต่อย่างใดไม่. ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นการโง่เขลาสุดจะพรรณนาที่จะพยายามสร้างมนุษย์เนอันเดอร์ทาล หรือแม้แต่มนุษย์ปักกิ่งขึ้นมา.” —มนุษย์, พระเจ้า และเวทมนตร์ (ภาษาอังกฤษ, นิวยอร์ก 1961) ไอวาร์ ลิสส์เนอร์ หน้า 304.
ตำราเรียนต่าง ๆ เสนอหลักวิวัฒนาการว่าเป็นข้อเท็จจริงมิใช่หรือ?
“นักวิทยาศาสตร์หลายคนยอมจำนนต่อการล่อใจที่จะเป็นคนถือทิฐิในความคิดของตน . . . ครั้งแล้วครั้งเล่า มีการเสนอปัญหาเกี่ยวด้วยการเริ่มต้นของสิ่งต่าง ๆ ที่มีชีวิตเสมือนหนึ่งเรื่องที่จัดการเรียบร้อยแล้ว. ไม่มีอะไรที่จะห่างจากความเป็นจริงมากกว่านี้ . . . แต่แนวโน้มที่จะถือทิฐิยังคงมีอยู่ และสิ่งนี้ไม่ส่งเสริมเป้าประสงค์ของวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด.”—เดอะ การ์เดียน ลอนดอน อังกฤษ, วันที่ 4 ธันวาคม 1980 หน้า 15.
แต่ว่ามีเหตุผลไหมที่จะเชื่อว่า ทุกสิ่งบนโลกนี้ถูกสร้างขึ้นภายในหกวัน?
มีกลุ่มศาสนาบางกลุ่มที่สอนว่า พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งในหกวันซึ่งเป็นวันที่มี 24 ชั่วโมง. แต่นี่หาใช่สิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวไว้ไม่.
เยเนซิศ 1:3-31 กล่าวถึงการที่พระเจ้าจัดเตรียมแผ่นดินโลกที่มีอยู่แล้วเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์. เยเนซิศบทนั้นยังกล่าวอีกว่า ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในหกวัน แต่หาได้กล่าวว่าเป็นวันที่มีระยะเวลา 24 ชั่วโมง. ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนเราจะพูดถึง “ในวันของคุณปู่” หมายถึงชั่วชีวิตของคุณปู่. เช่นเดียวกัน บ่อยครั้งคัมภีร์ไบเบิลใช้คำ “วัน” เพื่อพรรณนาระยะเวลาที่เนิ่นนานออกไป. (เทียบกับ 2 เปโตร 3:8.) ด้วยเหตุนี้ มีเหตุผลที่จะถือได้ว่า ‘วันต่าง ๆ’ ในเยเนซิศบทที่ 1 อาจยาวนานหลายพันปี.
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม โปรดดูหน้า 88 [ฉบับภาษาอังกฤษ].
หากบางคนพูดว่า—
‘ผม (ดิฉัน) เชื่อในหลักวิวัฒนาการ’
คุณอาจตอบว่า: ‘คุณเชื่อว่า พระเจ้ามีส่วนใด ๆ ในการสร้างไหม หรือคุณเชื่อว่า ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นชีวิตพัฒนาขึ้นโดยความบังเอิญทั้งสิ้น? (จากนั้นอาจดำเนินการสนทนาต่อโดยอาศัยสิ่งที่เขาพูด)’
หรือคุณอาจพูดว่า: ‘คงจะไม่เป็นสิ่งที่ตรงกับความเป็นจริงใช่ไหมที่จะบอกปัดบางสิ่งที่ได้รับการพิสูจน์อย่างเต็มที่แล้วว่าเป็นข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์? . . . ที่นี่ผม (ดิฉัน) มีข้อคิดเห็นที่น่าสนใจมากของนักวิทยาศาสตร์บางคนในเรื่องนี้. (ใช้ข้อความใต้หัวเรื่องย่อย “วิวัฒนาการเป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์จริง ๆ หรือ?” หรือ “คนเหล่านั้นซึ่งสนับสนุนหลักวิวัฒนาการลงรอยกันไหม? . . . ”)’
หรืออาจพูดอีกแบบหนึ่ง: ‘เมื่อมีหลักฐานแน่นหนาพิสูจน์บางสิ่ง เราทุกคนน่าจะเชื่อสิ่งนั้นมิใช่หรือ? . . . ผม (ดิฉัน) จำได้ว่า ในตำราเรียนของผม (ดิฉัน) มีการใช้ภาพต่าง ๆ ของฟอสซิลเพื่อสนับสนุนหลักวิวัฒนาการ. แต่ตั้งแต่นั้นมา ผม (ดิฉัน) ได้อ่านข้อคิดเห็นที่น่าสนใจมากโดยบรรดานักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับฟอสซิล. ข้อคิดเห็นบางข้อมีอยู่ที่นี่. (ใช้ข้อความใต้หัวเรื่องย่อย “ฟอสซิลสนับสนุนทรรศนะเช่นไร?”)’
ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม: ‘ถูกต้องไหมหากผม (ดิฉัน) จะสรุปว่าคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบเผชิญชีวิตอย่างที่เป็นอยู่อย่างแท้จริง? . . . ผม (ดิฉัน) ก็เช่นกัน.’ แล้วอาจเสริมว่า: ‘สมมุติว่า ผม (ดิฉัน) เดินอยู่ในชนบทแห่งหนึ่งและพบว่ามีไม้และหินถูกนำไปก่อเป็นบ้านหลังหนึ่ง คงเป็นเรื่องที่ชัดแจ้งว่าต้องมีใครสักคนที่ได้มาถึงก่อนผม (ดิฉัน) และได้สร้างบ้านนั้น จริงไหมครับ (คะ)? . . . กระนั้นก็ดี จะมีเหตุผลไหมที่ผม (ดิฉัน) จะสรุปว่าดอกไม้ที่งอกอยู่ข้าง ๆ บ้านนั้นเกิดขึ้นโดยบังเอิญ? หากผม (ดิฉัน) รู้สึกเช่นนั้น ผม (ดิฉัน) คงต้องเข้าไปดูใกล้ ๆ และสังเกตการออกแบบอันสลับซับซ้อน เพราะผม (ดิฉัน) ทราบว่ามีความจริงขั้นพื้นฐานคือว่าที่ไหนมีการออกแบบ ที่นั่นต้องมีผู้ออกแบบ. นี่เป็นสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลบอกเราที่เฮ็บราย 3:4.’
หรือคุณอาจตอบว่า (สำหรับผู้สูงอายุ): ‘แนวความคิดขั้นพื้นฐานข้อหนึ่งในหลักวิวัฒนาการคือ วิวัฒนาการทำให้มนุษย์ก้าวหน้า ถึงขั้นที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ ถูกไหมครับ (คะ)?’ แล้วอาจเสริมว่า: (1) ‘คุณเป็นคนหนึ่งที่มีชีวิตมานานพอสมควร. คุณยังจำได้ไหมครับ (คะ) ว่าสิ่งต่าง ๆ เป็นอย่างไรสมัยที่คุณยังเป็นเด็ก? มีอาชญากรรมมากเท่าสมัยนี้ไหมครับ (คะ)? . . . คุณต้องปิดประตูบ้านใส่กุญแจตลอดเวลาไหม? . . . คุณจะพูดได้ไหมว่าคนในสมัยก่อนแสดงความห่วงใยต่อเพื่อนบ้านและผู้สูงอายุมากกว่าคนในสมัยนี้? . . . ดังนั้น ขณะที่มีความก้าวหน้ามากทางเทคนิค ดูเหมือนว่ามนุษย์กำลังสูญเสียคุณลักษณะบางประการที่สำคัญที่สุด. เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?’ (2) ‘ผม (ดิฉัน) พบว่าความเป็นจริงเหล่านี้ของชีวิตที่เราทั้งคู่ได้สังเกตเห็นลงรอยกันกับสิ่งที่มีบันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิลที่โรม 5:12 . . . .ดังนั้น แท้ที่จริงมีแนวโน้มที่จะตกต่ำลงเรื่อย ๆ.’ (3) ‘แต่คัมภีร์ไบเบิลชี้แจงว่าสิ่งนี้จะเปลี่ยนแปลงอย่างไร. (ดานิ. 2:44; วิ. 21:3, 4)’
‘ผม (ดิฉัน) เชื่อว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์โดยทางวิวัฒนาการ’
คุณอาจตอบว่า: ‘ผม (ดิฉัน) เคยสนทนากับคนอื่น ๆ ที่คิดเหมือนคุณ. ถูกไหมครับ (คะ) ถ้าผม (ดิฉัน) จะสรุปว่า คุณเป็นคนหนึ่งที่มีความเชื่ออันแรงกล้าในพระเจ้า? . . . ดังนั้น ความเชื่อของคุณก็ต้องมาเป็นอันดับแรกในชีวิตของคุณ; คุณบากบั่นในการประเมินสิ่งอื่น ๆ โดยอาศัยความเชื่อนั้นเป็นเครื่องนำทาง จริงไหมครับ (คะ)? . . . นั่นเป็นวิธีที่ผม (ดิฉัน) มองดูเรื่องราวต่าง ๆ เช่นกัน.’ แล้วอาจเสริมว่า: (1) ‘ผม (ดิฉัน) ทราบว่า หากสิ่งที่ผม (ดิฉัน) เชื่อนั้นเป็นความจริงอย่างแท้จริงแล้วละก็ มันจะไม่ขัดกันกับข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว. ในเวลาเดียวกัน ผม (ดิฉัน) ทราบว่าคงเป็นความโง่เขลาหากผม (ดิฉัน) จะบอกปัดสิ่งที่พระคำของพระเจ้ากล่าวไว้ เนื่องจากพระเจ้าทรงทราบเกี่ยวกับสิ่งทรงสร้างต่าง ๆ ของพระองค์มากยิ่งกว่าพวกเราเป็นไหน ๆ. ผม (ดิฉัน) รู้สึกประทับใจกับสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิล พระคำที่มีขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้า กล่าวไว้ที่เยเนซิศ 1:21 (เน้น “ตามชนิดของมันทุกอย่าง”).’ (2) ‘แล้วในเยเนซิศ 2:7 เราเรียนว่าพระเจ้าได้สร้างมนุษย์ หาใช่จากสัตว์ที่มีอยู่ก่อน แต่จากผงคลีดิน.’ (3) ‘และในข้อ 21, 22 เราพบว่า ฮาวาถูกสร้าง ไม่ใช่จากสัตว์ตัวใด แต่อาศัยซี่โครงอันหนึ่งของอาดามเป็นชิ้นส่วนเบื้องต้น.’
หรือคุณอาจพูดว่า: ‘(หลังจากกล่าวสิ่งที่เห็นพ้องกันดังกล่าวมาแล้วข้างต้น . . . ) บางคนกล่าวว่า สิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงเรื่องอาดามนั้นเป็นเพียงเรื่องสมมุติ. แต่ถ้านั่นเป็นความจริง มันจะนำไปสู่ข้อสรุปอะไร?’ (1) ‘ขอให้สังเกตสิ่งที่มีกล่าวไว้ที่นี่ที่โรม 5:19: “ด้วยว่าเหมือนหนึ่งคนเป็นอันมากได้เป็นคนผิดเพราะคน ๆ เดียว [อาดาม] ที่มิได้เชื่อฟัง เช่นนั้นแหละคนเป็นอันมากได้เป็นคนชอบธรรมเพราะพระองค์ผู้เดียว [พระเยซูคริสต์] ที่ได้ทรงเชื่อฟังนั้น.” ทำนองเดียวกัน 1 โกรินโธ 15:22 (ล.ม.) กล่าวว่า: “ด้วยว่าคนทั้งปวงตายเพราะอาดามฉันใด คนทั้งปวงจะถูกทำให้มีชีวิตอีกเพราะพระคริสต์ฉันนั้น.” แต่หากว่า “คน ๆ เดียว” นั้นที่ชื่ออาดามไม่เคยมีจริง คน ๆ นั้นก็คงไม่ได้ทำบาป. หากเขามิได้ทำบาปและตกทอดมรดกของความบาปไปยังลูกหลานของเขา ก็ไม่มีความจำเป็นสำหรับพระคริสต์ที่จะพลีชีพของพระองค์เพื่อมนุษยชาติ. หากพระคริสต์มิได้พลีชีพของพระองค์เพื่อพวกเราจริง ๆ แล้ว ก็ไม่มีความหวังใด ๆ ในเรื่องชีวิตที่ยืนยาวกว่าช่วงชีวิตสั้น ๆ ของเราในปัจจุบัน. นั่นคงหมายความว่า แท้จริงแล้วไม่มีอะไรเหลืออยู่ในหลักคำสอนของคริสเตียน.’ (2) ‘ถึงกระนั้น หลักศีลธรรมที่สูงส่งที่สุดปรากฏให้เห็นในคำสอนของคริสเตียนซึ่งหาพบได้ทุกแห่งหน. เป็นไปได้ไหมที่ว่าคำสอนที่ดีที่สุดด้านความจริงและความสัตย์ซื่อจะมีจุดเริ่มต้นมาจากบางสิ่งที่มีพื้นฐานอยู่บนความเท็จ?’ (ดูหน้า 27-29 [ฉบับภาษาอังกฤษ] ภายใต้หัวเรื่อง “อาดามและฮาวา” ด้วย.)
‘แต่คนมีการศึกษาสูงเชื่อในหลักวิวัฒนาการ’
คุณอาจตอบว่า: ‘จริงอยู่ ถึงกระนั้นผม (ดิฉัน) เข้าใจว่า แม้แต่คนเหล่านั้นที่บอกว่าเชื่อในหลักวิวัฒนาการก็ไม่เห็นพ้องกันอย่างรุนแรงกับคนอื่น ๆ ซึ่งเชื่อในหลักการเดียวกัน. (ยกตัวอย่างจากเนื้อหาในหัวข้อย่อย “คนเหล่านั้นซึ่งสนับสนุนหลักวิวัฒนาการลงรอยกันไหม?”) ดังนั้น เราจำต้องตรวจสอบหลักฐานเป็นส่วนตัวเพื่อดูว่า เราควรเชื่อสิ่งไหน—วิวัฒนาการหรือมีผู้สร้าง.’
หรือคุณอาจพูดว่า: ‘นั่นเป็นความจริง. แต่ถึงกระนั้น ผม (ดิฉัน) มาทราบว่า มีคนมีการศึกษาสูงคนอื่น ๆ อีกที่ไม่เชื่อในหลักวิวัฒนาการ.’ แล้วอาจเสริมว่า: (1) ‘เหตุใดจึงมีความแตกต่าง? พวกเขาทุกคนคุ้นเคยกับหลักฐานอย่างเดียวกัน. เป็นไปได้ไหมที่ว่าเจตนารมณ์มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วยในเรื่องนี้? อาจเป็นได้.’ (2) ‘คุณจะตัดสินใจได้อย่างไรว่า จะเชื่อพวกไหน? ก็โดยการพิจารณาดูกลุ่มนั้นในฐานะเป็นหมู่คณะ (และไม่วิพากษ์วิจารณ์เป็นรายบุคคล) กลุ่มไหนที่คุณเชื่อว่าจะมีความสัตย์ซื่อมากกว่า—คนเหล่านั้นที่เชื่อว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์และด้วยเหตุนั้นจึงมีความรู้สึกว่าต้องให้การกับพระองค์ หรือคนเหล่านั้นซึ่งกล่าวว่าพวกเขาเป็นผลผลิตของความบังเอิญและด้วยเหตุนั้นจึงมีพันธะกับตัวเองเท่านั้น?’ (3) ‘ดังนั้นแล้ว เราต้องทำการตรวจสอบหลักฐานเป็นส่วนตัวเพื่อดูว่าการมีผู้สร้างหรือวิวัฒนาการ อย่างไหนให้คำตอบที่จุใจที่สุดแก่ชีวิต.’