คุณจะไปช่วยที่แคว้นมาซิโดเนียได้ไหม?
ผมพบงานสำคัญจริง ๆ ที่บ้านเกิด
(จากหนังสือประจำปี 2010 หน้า 163-164)
อาด์ยัน ตูตรา
เกิด 1969 บัพติสมา 1992
ประวัติโดยย่อ เขาเรียนความจริงในอิตาลีและหลังจากนั้นได้กลับมายังแอลเบเนีย. เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกของคณะกรรมการสาขาแอลเบเนีย.
ในปี 1991 ตอนที่อายุ 21 ปี ผมได้ออกจากแอลเบเนียพร้อมกับผู้ลี้ภัยหลายพันคน. พวกเราได้จี้เรือลำหนึ่งที่กำลังจะไปอิตาลี. ประเทศแอลเบเนียยากจนข้นแค้น ผมจึงตื่นเต้นมากที่หนีออกไปได้. ผมคิดว่านี่คือฝันที่กลายเป็นจริง.
เมื่ออยู่ในบรินดิซี อิตาลี ได้สองวัน ผมแอบออกจากค่ายผู้ลี้ภัยเพื่อหางานทำ. ชายคนหนึ่งได้ให้สำเนาข่าวสารในคัมภีร์ไบเบิลแผ่นเล็ก ๆ แก่ผมในภาษาแอลเบเนียและเชิญผมให้เข้าร่วมการประชุมในบ่ายวันนั้น. ผมคิดทันทีว่า ‘ก็ดีสิ บางทีอาจมีคนให้งานฉันทำก็ได้!’
ผมไม่ได้คาดหมายว่าจะมีการต้อนรับอย่างเป็นมิตรเช่นนี้. เมื่อจบการประชุมที่หอประชุมราชอาณาจักร ทุกคนเข้ามาหาผมอย่างเป็นมิตรและแสดงความรัก. ครอบครัวหนึ่งเชิญผมไปรับประทานอาหารเย็น. พวกเขาแสดงความกรุณาและให้เกียรติผมมากทั้ง ๆ ที่ผมเป็นผู้ลี้ภัยชาวแอลเบเนียที่ผิดกฎหมายและแต่งตัวไม่เรียบร้อย!
ณ การประชุมถัดไป วีโต มาสโตรโรซา ชวนผมให้ศึกษาพระคัมภีร์กับเขา. ผมตกลงและไม่ช้าก็เห็นว่านี่เป็นความจริง. ในเดือนสิงหาคม 1992 ผมรับบัพติสมาในอิตาลี.
ในที่สุด เอกสารการอยู่อาศัยในอิตาลีของผมก็เรียบร้อย. ผมได้งานที่ดีและสามารถส่งเงินให้ครอบครัวในแอลเบเนียได้. อย่างไรก็ดี ผมเริ่มคิดว่า ‘ตอนนี้งานของพยานพระยะโฮวาในแอลเบเนียไม่ถูกสั่งห้ามแล้วและต้องการผู้ประกาศอย่างยิ่ง. ฉันควรจะกลับไปรับใช้ที่นั่นไหม? แต่ครอบครัวของฉันจะคิดอย่างไร? พวกเขาต้องอาศัยเงินที่ฉันส่งให้. ผู้คนจะพูดอย่างไร?’
แล้วผมก็ได้รับโทรศัพท์จากสำนักงานสาขาที่ติรานา เขาถามผมว่าจะไปที่นั่นและสอนภาษาแอลเบเนียแก่ไพโอเนียร์พิเศษชาวอิตาลีที่กำลังจะย้ายไปในเดือนพฤศจิกายนได้ไหม. ตัวอย่างของพวกเขาทำให้ผมคิดหนัก. พวกเขากำลังจะไปเขตงานที่ผมจากมา. พวกเขาไม่รู้จักภาษาแอลเบเนียแต่กระตือรือร้นที่จะไป. ส่วนผมรู้จักวัฒนธรรมและภาษาแอลเบเนีย. ผมกำลังทำอะไรอยู่ในอิตาลี?
ผมตัดสินใจลงเรือไปพร้อมไพโอเนียร์พิเศษเหล่านั้น. ผมเริ่มรับใช้ที่เบเธลเล็ก ๆ ทันที. ผมสอนภาษาแอลเบเนียในตอนเช้าและทำงานแปลในตอนบ่าย. ตอนแรก ครอบครัวของผมไม่ชอบ. แต่เมื่อพวกเขาเข้าใจเหตุผลที่ผมย้ายกลับมาแอลเบเนีย พวกเขาก็เริ่มฟังข่าวดี. ไม่ช้าพ่อแม่ผม พี่สาวสองคน และพี่ชายคนหนึ่งได้รับบัพติสมา.
ผมเสียใจไหมที่เลิกทำงานหาเงินในอิตาลี? ไม่เลย! ผมได้พบงานที่สำคัญจริง ๆ ในแอลเบเนีย. ตามที่ผมคิด งานที่มีความสำคัญอย่างแท้จริงและทำให้มีความยินดีตลอดไปคือการรับใช้พระยะโฮวาด้วยทุกสิ่งที่คุณมี!
การรับใช้อย่างชื่นชมยินดีในที่ที่ขาดแคลนผู้ประกาศ
(จากหนังสือประจำปี 2010 หน้า 238-239)
การย้ายไปยังประเทศที่ขาดแคลนผู้ประกาศเป็นการตัดสินใจที่สำคัญมาก. แต่การที่จะอยู่ในต่างประเทศปีแล้วปีเล่าต้องใช้ความพยายามและการเสียสละอย่างมาก. พี่น้องชายและหญิงส่วนใหญ่ได้เอาชนะข้อท้าทายเหล่านี้ด้วยความอดทนอย่างยิ่งแต่ก็ชื่นชมยินดี.
ยกตัวอย่าง อาเทอร์ และโรเบอร์ตา กอนซาเลซกับแดลตันลูกชายสามขวบได้มาจากสหรัฐเพื่อรับใช้ที่ประเทศเบลิซในปี 1989. โรเบอร์ตายอมรับว่า “การทิ้งงานที่มั่นคง รายได้ดี แล้วย้ายไปอยู่ในประเทศที่คนมากมายไม่มีงานทำ เป็นการท้าทายจริง ๆ.”
อาเทอร์เสริมว่า “ใช่แล้ว เราต้อง วางใจในพระยะโฮวา. เมื่อผมอ่านคัมภีร์ไบเบิลเรื่องอับราฮาม ผมรู้สึกทึ่งที่ท่านทิ้งบ้าน ญาติพี่น้องและทุกสิ่งทุกอย่างที่คุ้นเคย. แต่พระยะโฮวาทรงดูแลท่านเป็นอย่างดี. ข้อท้าทายอย่างหนึ่งก็คือต้องฝึกให้ชินกับภาษาเบลิซครีโอล. แต่เราไว้วางใจในพระยะโฮวา และพระองค์ทรงดูแลเรา.”
แฟรงก์และอลิซ คาร์โดซาได้มาจากแคลิฟอร์เนียในปี 1991 เพื่อเป็นไพโอเนียร์ที่เบลิซ. แฟรงก์เล่าว่า “การอ่านหนังสือกิจการทำให้ผมต้องการที่จะเป็นมิชชันนารี. แต่เพราะเรามีลูกสี่คน ผมรู้ว่าเราไปโรงเรียนกิเลียดไม่ได้. ดังนั้นเมื่อลูกสาวคนสุดท้องของเราสำเร็จการศึกษา เราเห็นโอกาสที่จะย้ายไปยังประเทศอื่น. เมื่อเราอ่านเรื่องเบลิซในหอสังเกตการณ์ เราก็ตัดสินใจจะย้ายไปที่นั้น.”
อลิซบอกว่า “ฉันคิดว่าจะลองดูสักสามปี แต่ตอนนี้เราอยู่ที่นี่มา 18 ปีแล้ว และฉันรักที่นี่!”
แฟรงก์เล่าเสริมว่า “เรารักผู้คน และชอบทำงาน ดังนั้นที่เราจะสนิทกับคนที่รักพระยะโฮวาจึงไม่ยาก. เรามีการศึกษาหลายรายจนเราศึกษาไม่ไหว และเมื่อเราเห็นคนที่เราศึกษาก้าวหน้า นั่นเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของเรา. ถ้าจะเอาเงินทั้งหมดในโลกมาให้เรา เราก็จะไม่ยอมทิ้งสิทธิพิเศษนี้.”
คาร์ลและมาร์ทา ไซมอนส์ได้ย้ายจากเทกซัสไปประเทศเบลิซในปี 1988. มาร์ทาเล่าว่า “ตอนที่เราย้ายไป ลูกของเราสองคนอายุสิบและแปดขวบ. ที่เบลิซเราไปกับพี่น้องในประชาคมประกาศตามหมู่บ้านต่าง ๆ ในป่าทั้งวัน เราทั้งครอบครัวยังได้ร่วมในการก่อสร้างหอประชุมหมวดด้วย และระหว่างการประชุมใหญ่ ๆ พี่น้องมักจะมาพักบ้านของเราเต็มไปหมด. เราขอบคุณพระยะโฮวาที่ลูก ๆ ของเราได้คบหากับไพโอเนียร์พิเศษและมิชชันนารีเพราะเราได้อยู่ที่นี่. มีบางครั้งเรารู้สึกอยากจะขึ้นเครื่องบินแล้วจากไปเลย เพราะตอนนั้นไม่มีไฟฟ้า แบตเตอรี่ น้ำประปา และโทรศัพท์ใช้. ถ้าจะให้เราตัดสินใจอีกครั้ง เราก็คงทำเหมือนเดิม. ชีวิตของเรามีความหมายมากขึ้นเพราะได้รับใช้ในที่ ๆ ขาดแคลนผู้ประกาศ.”