พระยะโฮวาจะไม่ละทิ้งผู้ที่ภักดีต่อพระองค์
(จากหนังสือประจำปี 2010 หน้า 149 วรรค 2 ถึงหน้า 153 วรรค 3)
พี่น้องแอลเบเนียได้ส่งข่าวให้พี่น้องภายนอกรู้ว่ามีสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่ก็ได้กล่าวถึงความตั้งใจของพวกเขาที่จะรักษาความภักดีด้วย. ในเวลาเดียวกัน สำนักงานใหญ่ในบรุกลินได้พยายามติดต่อกับพี่น้องในแอลเบเนียต่อไป และได้ขอจอห์น มาคส์ซึ่งเกิดทางตอนใต้ของแอลเบเนียแต่ตอนนั้นอยู่ที่สหรัฐให้พยายามขอวีซ่าเข้าแอลเบเนีย.
จากนั้นปีครึ่ง จอห์นได้วีซ่าเข้าแอลเบเนีย แม้ว่าเฮเลนภรรยาของเขาไม่ได้วีซ่า. จอห์นมาถึงเมืองดูรัสในเดือนกุมภาพันธ์ 1961 และเดินทางไปยังเมืองติรานา. ที่นั่นเขาได้พบเมลโปน้องสาวของเขาซึ่งสนใจความจริง. เธอช่วยจอห์นให้ติดต่อกับพี่น้องในวันรุ่งขึ้น.
จอห์นคุยกับพวกพี่น้องเป็นเวลานานและนำหนังสือที่ตนซ่อนไว้ในช่องลับของกระเป๋าเดินทางมาให้พวกเขา. พี่น้องตื่นเต้นมาก. มากกว่า 24 ปีแล้วที่พี่น้องนอกแอลเบเนียไม่สามารถมาเยี่ยมพวกเขาได้.
จอห์นนับได้ว่าในห้าเมืองมีพี่น้องอยู่ 60 คนและยังมีบางคนอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ. ในติรานา พี่น้องพยายามประชุมกันอย่างลับ ๆ สัปดาห์ละครั้งในวันอาทิตย์เพื่อทบทวนหนังสือต่าง ๆ ที่พวกเขาได้เก็บซ่อนไว้ตั้งแต่ปี 1938.
เนื่องจากแทบไม่ได้ติดต่อกับองค์การมาเป็นเวลานาน พี่น้องแอลเบเนียต้องตามให้ทันกับความเข้าใจที่มีการปรับเปลี่ยนในเรื่องความจริงและวิธีจัดระเบียบขององค์การในขณะนั้น. ยกตัวอย่าง ก่อนหน้านี้ทั้งพี่น้องชายและพี่น้องหญิงนำการประชุมได้ และแม้แต่พี่น้องหญิงก็นำอธิษฐานด้วยซ้ำ. จอห์นเขียนในเวลาต่อมาว่า “พี่น้องชายเป็นห่วงและไม่ค่อยแน่ใจว่าพี่น้องหญิงจะยอมรับการปรับเปลี่ยนนี้ พวกเขาจึงขอให้ผมอธิบายให้พี่น้องหญิงฟังเป็นส่วนตัว ซึ่งผมก็ได้ทำ. ผมรู้สึกยินดีที่เห็นว่าพี่น้องหญิงยอมรับการจัดเตรียมนั้น.”
ทั้ง ๆ ที่ยากจน ผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์เหล่านี้ได้สนับสนุนงานราชอาณาจักรอย่างกระตือรือร้น. ยกตัวอย่าง จอห์นจำได้ว่าพี่น้องชายสูงอายุสองคนจากจิโรกัสเตอร์ได้เก็บออม “จากเงินที่พวกเขามีอยู่น้อยนิดและสะสมไว้เพื่อจะบริจาคแก่สมาคม.” ทั้งสองได้เก็บรวบรวมเหรียญทองไว้ได้คนละมากกว่า 100 ดอลลาร์.
พี่น้องในติรานารู้สึกขอบคุณที่ได้รับหนังสือเล่มเล็กที่ชื่อการประกาศและการสอนอย่างมีสันติและมีเอกภาพ (ภาษาอังกฤษ) ซึ่งให้การชี้นำวิธีดำเนินงานในประชาคม แม้อยู่ภายใต้การสั่งห้าม. ครั้นแล้วในเดือนมีนาคม จอห์นได้จัดการประชุมอนุสรณ์ในติรานาที่บ้านของเลโอนีทา โปป มี 37 คนเข้าร่วม. เมื่อบรรยายจบ จอห์นขึ้นเรือกลับไปยังกรีซทันที.
หลังจากพี่น้องที่สำนักงานใหญ่ได้พิจารณารายงานของจอห์นเกี่ยวกับการเยี่ยมที่แอลเบเนีย พวกเขามอบหมายเลโอนีทา โปป, โซเตอร์ ปาปา และลูชี เชกา ให้ดูแลประชาคมติรานาและการงานในแอลเบเนีย. สพีโร รูโฮได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ดูแลหมวด. เขาต้องเยี่ยมประชาคมต่าง ๆ และพบกับพี่น้องทุกเย็น เพื่อบรรยายและพิจารณาหนังสือต่าง ๆ. องค์การได้พยายามทุกวิถีทางที่จะช่วยพี่น้องในแอลเบเนียให้เติบโตฝ่ายวิญญาณและทันกับความก้าวหน้าขององค์การ.
เนื่องจากมีการตรวจเช็คจดหมายอย่างเข้มงวด องค์การจึงไม่สามารถให้การชี้นำนี้ผ่านทางจดหมายได้. แทนที่จะทำเช่นนั้น จอห์นให้ข้อมูลแก่พี่น้องในแอลเบเนียทีละเล็กทีละน้อย โดยใช้รหัสที่ชี้ถึงหน้าต่าง ๆ ในหนังสือของเรา. ในไม่ช้า รายงานที่ส่งกลับมาแสดงให้เห็นว่าพี่น้องเข้าใจเรื่องราวอย่างถูกต้อง. พี่น้องสามคนในติรานาทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการประเทศ และสพีโรก็เยี่ยมประชาคมต่าง ๆ เป็นประจำ.
พี่น้องแอลเบเนียต้องหาวิธีที่แปลกใหม่เพื่อส่งรายงานการรับใช้มายังสำนักงานใหญ่. วิธีหนึ่งคือส่งไปรษณียบัตรถึงพี่น้องบางคนในต่างประเทศตามที่กำหนดไว้. จากนั้น พวกเขาใช้ปากกาที่มีหัวแหลมมากเขียนรายงานเป็นรหัสไว้ในช่องติดแสตมป์ก่อนที่จะติดแสตมป์ทับ. ยกตัวอย่าง พวกเขาจะเขียนเลขหน้าของหนังสือการประกาศและการสอนที่มีหัวเรื่องว่า “ผู้ประกาศ.” จากนั้น พวกเขาจะเขียนจำนวนผู้ประกาศที่ส่งรายงานในเดือนนั้น. เป็นเวลาหลายปีที่พี่น้องในต่างประเทศได้ใช้วิธีสื่อสารคล้าย ๆ กันนี้เพื่อติดต่อกับพี่น้องในแอลเบเนีย.
พบแกะที่โดดเดี่ยว
(จากหนังสือประจำปี 2010 หน้า 175 วรรค 2 ถึงหน้า 179 วรรค 5)
เมื่อมีการพิจารณาความก้าวหน้าของงานประกาศในแอลเบเนีย พี่น้องได้ถามว่า “มีพยานฯ ในเมืองวโลเรบ้างไหม?” บางคนรู้แค่ว่ามีหญิงสูงอายุคนหนึ่ง ซึ่งได้ยินว่าเป็นคนแก่ที่ขี้หลงขี้ลืม. จากนั้น มีหญิงคนหนึ่งมาที่สำนักงานและพูดว่า เธอกับครอบครัวเป็นอันจิลโลเร และบอกว่ามีคนชื่ออเรทีได้สอนความจริงแก่พวกเธอในวโลเร. ดังนั้น พี่น้องในติรานาจึงเดินทางไปวโลเรเพื่อไปหาอเรที.
อเรที พีนา หญิงสูงอายุตัวเล็ก ๆ ได้เชิญพวกเขาเข้าไปในบ้าน แต่เธอไม่พูดอะไรมาก. เมื่ออธิบายว่าพวกเขาเป็นพี่น้องฝ่ายวิญญาณของเธอ เธอไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เลย.
เมื่อผ่านไปสองสามนาที จู่ ๆ อเรทีก็ถามพวกเขาว่า “ฉันขอถามอะไรพวกคุณหน่อยได้ไหม?” แล้วเธอก็ถามพวกเขาไม่หยุดว่า “พวกคุณเชื่อเรื่องตรีเอกานุภาพไหม? พระเจ้ามีพระนามว่าอะไร? พวกคุณเชื่อเรื่องไฟนรกไหม? เกิดอะไรขึ้นเมื่อเราตายไป? แผ่นดินโลกจะเป็นอย่างไร? มีกี่คนจะไปสวรรค์?”
พี่น้องตอบคำถามทุกข้อทันที.
แล้วอเรทีก็ถามว่า “พวกคุณประกาศไหม?”
พี่น้องคนหนึ่งตอบว่า “ประกาศครับ.”
เธอถามกลับว่า “แล้วพวกคุณประกาศอย่างไร?”
พี่น้องตอบว่า “เราประกาศตามบ้าน.”
อเรทีร้องไห้โฮ ลุกขึ้นมากอดพี่น้องใหญ่.
เธอร้องออกมาว่า “ตอนนี้ฉันเชื่อแล้วว่าพวกคุณเป็นพี่น้องของฉัน! มีแต่ประชาชนของพระยะโฮวาเท่านั้นที่ประกาศตามบ้าน!”
โปรเตสแตนต์กลุ่มต่าง ๆ ในวโลเรได้ยินว่าอเรทีเป็นคนเคร่งศาสนาและชวนเธอไปร่วมสมทบกับเขา. เธออธิบายให้พี่น้องฟังว่า “แต่ฉันไม่อยากเกี่ยวข้องอะไรเลยกับบาบิโลนใหญ่! ดังนั้น ฉันจึงต้องมั่นใจว่า พวกคุณเป็นครอบครัวฝ่ายวิญญาณของฉันจริง ๆ!”
อเรทีรับบัพติสมาตั้งแต่ปี 1928 ตอนอายุ 18. เธอไปประกาศโดยเดินขึ้นลงภูเขาและถือพระคัมภีร์ไปด้วย. ทั้ง ๆ ที่อเรทีไม่ได้ติดต่อพี่น้องมานานหลายปี เธอยังคงประกาศอย่างซื่อสัตย์เพียงลำพัง.
อเรทีพูดทั้งน้ำตาว่า “พระยะโฮวาช่างดีเหลือเกิน พระองค์ไม่เคยลืมฉันเลย!”
ผู้คนคิดว่าอเรทีเสียสติ เพราะเธอไม่เลิกเชื่อพระเจ้าในช่วงที่แอลเบเนียอยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการที่เข็มงวด. แต่อเรทีไม่ได้เป็นคนแก่ที่ขี้หลงขี้ลืมเลย. ความคิดของเธอยังแจ่มชัดเสมอ!