มีใจแรงกล้าแม้จะสูงอายุ
(จากหนังสือประจำปี 2011 หน้า 61 วรรค 1-2; หน้า 67 วรรค 1; และหน้า 135 วรรค 2 ถึงหน้า 136 วรรค 1)
“ผมมีคำถามบางข้อ.” ที่เกาะไซปรัส มีพี่น้องหญิงไพโอเนียร์สูงอายุคนหนึ่งเขียนว่า “ตอนเช้าวันพุธหนึ่ง ดิฉันรู้สึกไม่สบายจริง ๆ แต่แทนที่จะอยู่บ้าน ดิฉันรู้สึกว่าอยากไปประกาศตามถนนเหลือเกิน. ดิฉันจึงอธิษฐานขอพระยะโฮวาให้ส่งใครสักคนที่มีเวลามานั่งคุยกับดิฉันบนม้านั่ง เพื่อจะเริ่มการศึกษาพระคัมภีร์ได้. ไม่นานก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งจากเนปาลเดินมา. ดิฉันถือวารสารอยู่ และก่อนที่จะมีโอกาสพูดกับเขาด้วยซ้ำ เขาถามดิฉันว่าวารสารนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร. เมื่อดิฉันบอกว่าเป็นเรื่องที่มาจากคัมภีร์ไบเบิล เขาพูดว่า ‘คุณป้าครับ ผมมีเวลา ขอนั่งคุยกับคุณป้าหน่อยได้ไหมครับ? ผมมีคำถามบางข้อเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลที่อยากถามคุณป้า.’
“ดิฉันตกลงทันที เพราะเพิ่งทูลขอพระยะโฮวาในเรื่องนี้อยู่พอดี! แล้วชายคนนั้นก็พูดว่า ‘คำถามข้อแรกของผมคือ คัมภีร์ไบเบิลสอนอะไรจริงๆ?’ ดิฉันตะลึงจนพูดไม่ออก! ดิฉันเอาหนังสือคัมภีร์ไบเบิลสอนอะไรจริงๆ? ออกมาจากกระเป๋าให้เขาดู. เขามองหนังสือ แล้วก็มองหน้าดิฉัน และถามว่า ‘ชื่อหนังสือนี้เป็นคำถามที่ผมเพิ่งถามคุณป้าอยู่พอดี ใช่ไหมครับ?’ ดังนั้น ดิฉันเริ่มการศึกษาพระคัมภีร์บนม้านั่งในสวนสาธารณะทันที! ตอนนี้เขาศึกษาพระคัมภีร์เป็นประจำและเข้าร่วมการประชุมอย่างสม่ำเสมอ และบอกว่าอยากสมัครเข้าโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้า. ดิฉันเห็นคุณค่าจริง ๆ ในการพึ่งอาศัยกำลังและการชี้นำอย่างเต็มที่จากพระยะโฮวาขณะทำงานรับใช้ แม้บางครั้งจะรู้สึกเหนื่อย.”
คนอายุร้อยกว่าปี! เอลินวัย 110 ปีเป็นผู้ประกาศอายุมากที่สุดในสวีเดน อายุเท่ากับยะโฮซูอะ. (ยโฮ. 24:29) เธออาศัยอยู่ในบ้านพักคนชราและฉวยทุกโอกาสที่จะพูดกับผู้มาเยี่ยมและทุกคนที่เธอพบที่นั่น. เธอได้เสนอหนังสือหลายเล่ม. เมื่อผู้ปกครองคนหนึ่งกับลูกสาวไปประกาศตามบ้านในบริเวณนั้น ได้พบหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งบอกว่า เอลินได้ประกาศให้เธอฟังและให้หนังสือเธอเล่มหนึ่ง แล้วมีการสนทนากันเป็นอย่างดี. [เอลินได้เสียชีวิตขณะที่มีการเตรียมหนังสือประจำปีเล่มนี้.]
คอรา เลเค ใช้เวทมนตร์และสมุนไพรรักษาคนป่วย. แต่เมื่อเขาเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิล เขาพยายามมากที่จะหลุดพ้นจากวิญญาณที่เคยช่วยเขาในการใช้เวทมนตร์. เช่นเดียวกับซออะเร คอราตั้งใจจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับผีปิศาจ และโดยความช่วยเหลือจากพระยะโฮวา เขาทำได้. ต่อมา เขาเป็นไพโอเนียร์ประจำ แล้วก็เป็นไพโอเนียร์พิเศษ. แม้อยู่ในวัยชรา ขาไม่มีแรง พี่น้องผู้ภักดีคนนี้ก็ยังบอกข่าวดีกับเพื่อนบ้านอยู่ต่อไป.
คอราไปยังบริเวณที่เขาชอบประกาศโดยวิธีใด? พี่น้องพาเขาไปที่นั่นโดยรถเข็นล้อเดียว พาหนะซึ่งใช้การได้ดีที่สุดที่หาได้ในตอนนั้น. ต่อมา พี่น้องชายคนหนึ่งซึ่งทำงานที่สาขา มีความคิดริเริ่มทำเก้าอี้ล้อให้เขาโดยใช้โครงเหล็กของเก้าอี้ธรรมดา, ล้อรถจักรยาน, และผ้าใบสำหรับทำที่นั่ง. พาหนะแบบใหม่ทำให้คอราไปไหนมาไหนเองได้มากขึ้น เขาจึงใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่! แน่นอน ผู้สูงอายุแบบนี้เป็นตัวอย่างที่เป็นแรงบันดาลใจ และต้องทำให้พระยะโฮวามีพระทัยยินดีจริง ๆ!—สุภา. 27:11
เจ้าไม่รู้ว่าการนี้จะสำเร็จที่ไหน (ผู้ป. 11:6)
(จากหนังสือประจำปี 2011 หน้า 96 วรรค 1-2; และหน้า 113 วรรค 2 ถึงหน้า 114 วรรค 3 [สำหรับเดือนกันยายน 2011])
ต่อมา เกลนน์ ฟินเลย์ไพโอเนียร์หนุ่มชาวออสเตรเลียอีกคนหนึ่งได้เข้ามาทำงานต่อจากจิมกับไลออนเนล และประกาศตามลำพังนาน 18 เดือนในเมืองเคเรมา. เกลนน์เล่าว่า “มันเป็นช่วงทดสอบตัวผม และบางครั้งผมสงสัยว่างานที่ผมทำนั้นประสบผลสำเร็จใด ๆ หรือไม่. แต่แล้วมีประสบการณ์หนึ่งที่ทำให้ผมถ่อมลงและได้เปลี่ยนทัศนะของผม.
“นักศึกษารายหนึ่งของผมชื่อเฮโวโค เขาเป็นคนสูงอายุมีอาชีพทำขนมปังในหมู่บ้าน. เขาไม่รู้หนังสือเลย และหลังจากศึกษามาหลายเดือนแล้ว เขาจำความจริงพื้นฐานได้แค่ไม่กี่อย่าง. ผมชักสงสัยว่าจะสอนเขาต่อไปดีไหม. แต่แล้วเช้าวันหนึ่งขณะที่ผมเดินไปถึงบ้านเขา ผมได้ยินเสียงพูดจึงหยุดฟัง. เฮโวโคกำลังอธิษฐานถึงพระยะโฮวาด้วยเสียงดัง ขอบพระคุณพระองค์อย่างจริงจังที่ทรงสอนเขาให้รู้ความจริงเกี่ยวกับพระนามและราชอาณาจักรของพระองค์. การอธิษฐานจากใจจริงของเขาสะกิดใจผมว่าพระยะโฮวาทรงเพ่งมองที่หัวใจ ไม่ใช่ความเฉลียวฉลาด. พระองค์ทรงรู้จักคนที่รักพระองค์เป็นอย่างดี.”−โย. 6:44
การหว่านเมล็ดแห่งราชอาณาจักรบังเกิดผล
พอถึงช่วงต้นทศวรรษ 1970 มีพยานฯ กลุ่มเล็ก ๆ มาอยู่ที่เมืองเมาต์ฮาเกน ห่างจากเมืองกอโรคาไปทางตะวันตกประมาณ 130 กิโลเมตร. เมืองนี้มีชื่อเสียงเนื่องจากมีตลาดนัดใหญ่ทุกสัปดาห์ ซึ่งชาวบ้านนับพัน ๆ คนที่อยู่ห่างออกไปหลายกิโลเมตรชอบมาเที่ยวซื้อข้าวของกัน. โดโรที ไรต์ ไพโอเนียร์ผู้ไม่หวั่นกลัวพูดว่า “พวกเราจ่ายแจกสรรพหนังสือออกไปหลายร้อยเล่มที่ตลาดแห่งนี้.” เมื่อพวกเขากลับไปหมู่บ้าน ก็ได้นำข่าวราชอาณาจักรไปด้วยทำให้คนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลเช่นนั้นได้ยินข่าวสาร ซึ่งตอนนั้นผู้ประกาศยังไปไม่ถึง.
ต่อมา ลูกชายของโดโรทีคือจิม ไรต์พร้อมกับเคอร์รี เคย์-สมิท เพื่อนไพโอเนียร์ของเขาได้รับมอบหมายให้ไปที่เมืองบันส์ ซึ่งเป็นเขตที่มีการปลูกชา กาแฟในหุบเขาวาจีอันสวยงามทางตะวันออกของเมาต์ฮาเกน. ที่นั่น ไพโอเนียร์เผชิญการต่อต้านอย่างรุนแรงจากพวกโบสถ์ ซึ่งยุเด็ก ๆ ให้ปาก้อนหินใส่ และขับไล่พวกเขาออกจากหมู่บ้าน. เมื่อเคอร์รีย้ายไปเขตมอบหมายอื่น จิมจึงเป็นไพโอเนียร์คนเดียวที่เมืองบันส์. เขาเล่าว่า “ตอนกลางคืนผมมักจะนอนไม่หลับอยู่ในกระท่อมหญ้าหลังเล็ก ทูลอธิษฐานว่า ‘พระยะโฮวา พระองค์ให้ผมมาอยู่ที่นี่เพื่ออะไร?’ กว่าผมจะได้คำตอบ เวลาก็ผ่านไปหลายปี.
จิมเล่าต่อว่า “ปี 2007 ผมเดินทางจากออสเตรเลียไปเมืองบันส์เพื่อเข้าร่วมการประชุมภาค. ใกล้กระท่อมหญ้าหลังเก่าที่ผมเคยอยู่ มีหอประชุมหลังใหม่สวยงามซึ่งสามารถขยายให้เป็นที่ประชุมใหญ่ซึ่งจุ 1,000 ที่นั่ง. ขณะที่ผมเดินเข้าไปในบริเวณนั้น พี่น้องชายคนหนึ่งวิ่งมาจับตัวผมแล้วซบหน้าร้องไห้บนไหล่ผม. เมื่อหยุดร้องไห้ พอล ไท พี่น้องชายคนนี้ก็ได้ชี้แจงว่าผมเคยนำการศึกษาพระคัมภีร์กับพ่อของเขาเมื่อ 36 ปีก่อน. ต่อมา พอลได้อ่านหนังสือเล่มที่พ่อเขาศึกษาและได้ตอบรับความจริง. เขาบอกผมว่าเขาเป็นผู้ปกครอง.
จิมเล่าว่า “ผมถูกสัมภาษณ์ที่การประชุมภาค ผมเล่าถึงการข่มเหงที่เราประสบในสมัยแรก ๆ ที่เมืองบันส์. แทบทุกคนที่ร่วมประชุมร้องไห้. หลังการประชุม พี่น้องหลายคนได้เข้ามากอดและขอโทษผมด้วยน้ำตา. ตอนที่เป็นเด็ก พวกเขาได้ไล่ผมออกจากหมู่บ้าน ทั้งยังขว้างปาก้อนหินใส่ผมและตะโกนด่า. ยิ่งกว่านั้น มันจี ซัมการ์ ซึ่งเวลานี้เป็นผู้ปกครอง ในอดีตเขาเป็นนักเทศน์นิกายลูเทอรันที่เคยยุพวกเด็ก ๆ ให้ก่อเรื่องดังกล่าว! การประชุมภาคครั้งนั้นเป็นโอกาสอันยอดเยี่ยมที่ได้กลับมาอยู่ร่วมกันอีก!”