พระยะโฮวาจะไม่ทรงละทิ้งประชาชนของพระองค์
ติดต่อกับ “แม่” อีกครั้ง
(จากหนังสือประจำปี 2011 หน้า 215 ว. 1-2)
ถึงแม้ม่านเหล็กปิดลงอย่างแน่นหนาก็ตาม นั่นก็ไม่อาจปิดบังแสงแห่งความจริงในคัมภีร์ไบเบิลได้เลย. เป็นเวลาหลายปีพวกพี่น้องต้องประทังชีวิตอยู่ด้วยสรรพหนังสือของปีก่อน ๆ. อย่างไรก็ดี ระหว่างที่ถูกเนรเทศอยู่ในไซบีเรีย พยานฯ ชาวเอสโตเนียสามารถพบปะกับพี่น้องจากภูมิภาคอื่นของสหภาพโซเวียต. เมื่อกลับไปอยู่เอสโตเนีย พวกเขาก็ยังคงติดต่อกับพี่น้องในสหภาพโซเวียตอย่างกล้าหาญต่อไปและได้รับอาหารฝ่ายวิญญาณใหม่ ๆ เป็นครั้งคราว. ตัวอย่างเช่น เริ่มต้นในปี 1956 พวกเขาได้ติดต่อกับอิวาน ดะเซียบโกและคนอื่น ๆ จากยูเครนและสามารถได้รับหนังสือจากพวกเขา. แต่การติดต่อเช่นนั้นมีไม่บ่อยนัก และสรรพหนังสือก็มีจำนวนจำกัด. จำเป็นต้องมีอะไรมากกว่านั้น และไม่ช้าพระยะโฮวาก็ทรงอวยพรความพยายามอย่างกล้าหาญของพี่น้อง.
ภายใต้การชี้นำของคณะกรรมการปกครอง สาขาฟินแลนด์ได้วางแผนจะช่วยพี่น้องในเอสโตเนียมากขึ้น. วิลโฮ เอลอรันตา ซึ่งเคยเป็นไพโอเนียร์ในเอสโตเนียในทศวรรษ 1930 ได้รับมอบหมายให้ติดต่อกับพวกเขา. ในช่วงต้นทศวรรษ 1960 เมื่อเดินทางไปเอสโตเนียครั้งแรก เขาติดต่อกับแฟนนี ไฮตาลาได้. หลังจากนั้น พี่น้องฟินแลนด์หลายคนซึ่งทำทีเป็นนักท่องเที่ยว ได้ทำหน้าที่เป็นคนส่งหนังสือและช่วยรักษาช่องทางในการติดต่อสื่อสารให้มีอยู่สม่ำเสมอ. ในที่สุด พี่น้องในเอสโตเนียได้ติดต่อกับ “แม่” อันเป็นชื่อที่พี่น้องเรียกองค์การของพระยะโฮวา. พวกเขาสามารถส่งรายงานการประกาศและจดหมายและได้รับสรรพหนังสือในรูปไมโครฟิล์ม. แต่เนื่องจากการติดต่อดังกล่าวต้องเก็บเป็นความลับและต้องทำด้วยความสุขุมรอบคอบที่สุด การติดต่อจึงจำกัดอยู่แค่ปีละสองสามครั้ง.
การเยี่ยมที่หนุนใจในสวนสาธารณะ
(จากหนังสือประจำปี 2011 หน้า 221 ว. 3–หน้า 222 ว. 5)
คณะกรรมการปกครองได้จัดให้สมาชิกคนหนึ่ง คือลอยด์ แบร์รี พร้อมกับวิฟ มอริตซ์จากสาขาฟินแลนด์ไปพบอะดอล์ฟ โคซีซึ่งคอยดูแลงานในเอสโตเนีย. พวกเขาพบกันที่สวนสาธารณะในเมืองเลนินกราด (ปัจจุบันคือเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก).
บราเดอร์มอริตซ์เล่าถึงการพบกันอย่างลับ ๆ ของพวกเขาว่า “ทีแรก บราเดอร์โคซีไม่ค่อยอยากคุย เอาหนังสือพิมพ์บังหน้าเหมือนกับว่ากำลังอ่านอยู่. แต่ขณะที่สนทนากันต่อไป อะดอล์ฟก็เอาหนังสือพิมพ์ลงแล้วเริ่มพูด.”
บราเดอร์แบร์รีเล่าว่า “เขาปฏิเสธเมื่อเราเชิญไปรับประทานอาหารด้วยกันและบอกว่าคุยเรื่องที่จำเป็นก็พอแล้ว.”
เมื่อบราเดอร์โคซีแสดงความเป็นห่วงเรื่องการข่มเหงอย่างหนักรวมทั้งการสั่งห้ามพยานฯ ในสหภาพโซเวียต บราเดอร์มอริตซ์และบราเดอร์แบร์รีได้ให้ข้อคิดที่หนุนใจหลายอย่าง. ทั้งสองชี้ว่า “ในประเทศอื่นเราก็มีการทดสอบด้วย. การทดสอบเหล่านั้นดูเหมือนง่ายกว่า แต่กลับเป็นอันตรายมากกว่า! เรามีการล่อใจหลายอย่างที่คุณไม่มี และในประเทศทางตะวันตกที่งานไม่ได้ถูกสั่งห้าม มีคนที่ออกจากความจริงมากกว่าที่นี่.”
การเยี่ยมครั้งนั้นเหมาะกับเวลาจริง ๆ และทำให้บราเดอร์โคซีเข้มแข็งขึ้นทางฝ่ายวิญญาณ. เขาเพิ่งจะมารู้ทีหลังว่าได้พูดคุยกับสมาชิกคณะกรรมการปกครอง และเขายินดีถ่ายทอดการหนุนใจที่ได้รับจากองค์การของพระยะโฮวาให้กับทุกคนที่รักษาความซื่อสัตย์จงรักภักดีภายใต้การกดขี่แบบทรราช.
บราเดอร์แบร์รีได้เขียนหลังจากนั้นว่า “เรารู้สึกเห็นอกเห็นใจพี่น้องในสหภาพโซเวียต. เรายินดีอย่างยิ่งที่ได้พบบราเดอร์โคซี หลังจากนั้นเราจากกันด้วยความประทับใจ เมื่อเขาจับมือและกอดเราด้วยความรัก.”
ถูกข่มเหงเนื่องจากประกาศความจริง (ลูกา 21:12, 13) [สำหรับเดือนพฤศจิกายน]
(จากหนังสือประจำปี 2011 หน้า 153 ว. 1)
ฝ่ายปกครองในท้องถิ่นได้สัญญาว่าทุกศาสนาที่สูญเสียอาคารและที่ดินไปจะได้ที่ดินในเมืองโคคะโป ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองราเบาล์ประมาณ 24 กิโลเมตร. อย่างไรก็ดี ขณะที่ศาสนาอื่นได้ที่ดิน พวกพยานฯ กลับไม่ได้. ครั้นแล้ว ราวเจ็ดปีหลังภูเขาไฟระเบิด พี่น้องคนหนึ่งจากแอฟริกาได้ทำงานให้กรมผังเมือง. เมื่อสังเกตว่ามีการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมต่อพยานฯ โดยทันทีเขาหาได้ที่ดินทำเลเหมาะผืนหนึ่งในโคคะโป แล้วช่วยพี่น้องในการยื่นคำร้องเพื่อจะได้ที่ดินผืนนั้นซึ่งก็ได้รับการอนุมัติ. ทีมอาสาสมัครก่อสร้างได้ช่วยสร้างหอประชุมและบ้านพักมิชชันนารี. ที่จริง ความไม่เป็นธรรมในตอนแรกปรากฏว่าเป็นพระพรจริง ๆ. เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร? ที่ดินซึ่งมอบให้คริสตจักรต่าง ๆ ก่อนหน้านั้นอยู่บนเนินเขาที่ชัน. แต่ที่ดินที่พี่น้องได้นั้นอยู่ใจกลางเมืองซึ่งเป็นทำเลที่ดีที่สุด.
(จากหนังสือประจำปี 2011 หน้า 179 ว. 1-2)
กลางทศวรรษ 1930 เป็นช่วงเวลาที่วุ่นวาย. เนื่องด้วยความกดดันจากนาซีเยอรมนีและคริสตจักรคาทอลิก หนังสือเล่มเล็กผู้ปกครองที่ชอบธรรมถูกยึดในเดือนมกราคม 1935.
ในปีเดียวกันนั้น รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยได้ปิดสมาคมว็อชเทาเวอร์ในเอสโตเนีย ริบสรรพหนังสือ และอายัดทรัพย์สิน. ถึงแม้ได้ซ่อนสรรพหนังสือส่วนใหญ่ไว้แล้วก็ตาม มีสิ่งพิมพ์ประมาณ 76,000 ชิ้นถูกริบไป. แต่เรื่องนี้ไม่ได้ทำให้งานหยุดชะงัก. พี่น้องประหลาดใจและยินดีมาก เมื่อเขาเห็นจุลสารสองเล่มที่ถูกยึดไปลงในหนังสือพิมพ์แนวหน้าสองฉบับซึ่งมีจำนวนพิมพ์รวมกันทั้งหมด 100,000 ฉบับ. แม้จะสูญเสียสรรพหนังสือไปก็ตาม แต่ก็ทำให้ผู้คนรู้จักพระนามของพระยะโฮวามากกว่าที่พี่น้องจะแจกจ่ายจุลสารเอง.
ออกไปยังเขตงานใหม่โดยที่รัฐออกค่าใช้จ่าย!
(จากหนังสือประจำปี 2011 หน้า 203 ว. 2 ถึงจบหน้า 204)
หลายปีก่อนหน้านั้น วิลเลียม เดย์ได้กล่าวว่าหากสหภาพโซเวียตยึดครองประเทศแถบทะเลบอลติก พวกพี่น้องจะมีเขตประกาศใหม่ที่กว้างใหญ่. คำพูดนี้ในที่สุดก็เป็นจริง! รัฐบาลโซเวียตได้เนรเทศพยานพระยะโฮวาไปที่ไซบีเรียและสถานที่ห่างไกลอื่น ๆ จึงเป็นการช่วยให้งานประกาศของพวกเขาขยายออกไป. ถึงแม้พระยะโฮวาทรงยอมให้พยานฯ ของพระองค์ถูกทดสอบ หลายคนที่ไม่เคยได้ยินพระนามของพระเจ้าด้วยซ้ำจึงมีโอกาสเรียนรู้ความจริง.
ตัวอย่างเช่น เลมบิต เทรลล์ถูกจับเนื่องจากถูกกล่าวหาว่าต่อต้านรัฐบาล. เขาได้ยินความจริงเมื่อปี 1948 ในวิธีที่แปลกในห้องขังที่เมืองตาร์ตู. นายร้อยชาวรัสเซียคนหนึ่งที่ถูกกักตัวด้วย เล่าให้ฟังเกี่ยวกับพยานฯ ที่เขาได้พบในอีกห้องขังหนึ่ง. นายร้อยคนนี้ได้สรุปให้เขาฟังสั้น ๆ เกี่ยวกับคำสอนของพยานฯ. เขาอธิบายว่ารัฐบาลของพระเจ้าเป็นวิธีแก้ปัญหาอย่างเดียวเท่านั้นและบอกว่าในไม่ช้าพระเจ้าจะเริ่มปกครองแผ่นดินโลก. เรื่องนี้เร้าความสนใจของเลมบิต.
ในที่สุดเลมบิตถูกส่งไปค่ายคุมขังในเมืองวอร์กูตา อยู่ทางเหนือของไซบีเรียที่ห่างไกล ใกล้กับมหาสมุทรอาร์กติก. ที่นั่นเขาบังเอิญได้ยินพยานฯ กลุ่มหนึ่งคุยกันเรื่องคัมภีร์ไบเบิล. เมื่อเข้าไปใกล้ เขาจึงรู้ว่าคนเหล่านั้นกำลังพิจารณาเรื่องเดียวกันกับที่เขาเคยฟังจากนายร้อยคนนั้น เขาจึงร่วมการสนทนาด้วย.
พวกพี่น้องถามเลมบิตว่า “ทำไมคุณมาอยู่ในคุก?”
เขาตอบว่า “ผมต่อสู้เพื่อความยุติธรรม.”
พยานฯ คนหนึ่งถามว่า “คุณทำสำเร็จไหม?”
คำตอบก็เห็นชัดอยู่แล้ว ถึงกระนั้นเลมบิตก็ตอบไปว่า “เปล่า ผมทำไม่สำเร็จ.”
พี่น้องคนหนึ่งบอกเลมบิตว่า “ก็คุณอยู่ฝ่ายผิดนี่น่ะ. คุณอยากจะอยู่ฝ่ายถูกไหม?” แล้วเขาเริ่มอธิบายสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวเกี่ยวกับการต่อสู้ฝ่ายวิญญาณ. ยิ่งได้ฟังมากเท่าไร เลมบิตก็ยิ่งเข้าใจมากขึ้นเท่านั้นว่าเขาได้พบความจริงแล้ว และเขาต้องมาอยู่ฝ่ายพระยะโฮวาในการสู้รบ.
หลังจากถูกปล่อยตัว เลมบิตกลับไปเอสโตเนียแล้วเริ่มการสู้รบฝ่ายวิญญาณ. ตอนนี้เขาเป็นไพโอเนียร์ประจำ. ไมมูภรรยาของเขาได้รู้ความจริงในวิธีคล้ายกัน ในคุกมีคนหนึ่งที่ไม่ได้เป็นพยานฯ ได้จุดประกายความสนใจของเธอ.
งานประกาศนับว่ายากสำหรับพี่น้องที่พูดภาษารัสเซียไม่ค่อยได้. แม้จะรู้คำศัพท์น้อย แต่ก็ง่ายเสมอที่จะเริ่มการสนทนาโดยพูดถึงเหตุผลที่พวกเขาถูกเนรเทศมาอยู่ที่ไซบีเรีย. วิธีเริ่มสนทนาเช่นนี้ได้ช่วยพี่น้องให้ชำนาญในการประกาศอย่างไม่เป็นทางการ. นอกจากนี้ พวกเขามีโอกาสมากที่จะประกาศกับเชลยชาวเอสโตเนียหลายคนเนื่องจากพูดภาษาบ้านเกิดของตน. ผู้รอดชีวิตคนหนึ่งกะประมาณว่ามีชาวเอสโตเนีย 15 ถึง 20 คนได้เรียนรู้ความจริงในค่าย นอกจากนั้นมีชาวรัสเซียและชาวลิทัวเนียหลายคนด้วย.