ประกาศในยามยากลำบาก
บากบั่นต่อไปแม้จะยากลำบาก
(จากหนังสือประจำปี 2011 หน้า 121 ถึงหน้า 122 วรรค 4)
ศาสนาต่าง ๆ ที่ดำเนินงานอยู่ในปาปัวนิวกินีมีข้อตกลงกันอย่างไม่เป็นทางการว่าผู้เผยแพร่ของแต่ละศาสนาจะทำงานที่ไหน. ทุกคริสตจักรมีเขตงานของตนเองและคาดหมายว่าศาสนาอื่นจะไม่มายุ่งกับเขตของพวกเขา. แน่นอน พยานพระยะโฮวาบอกข่าวดีกับทุกคนที่อยากฟัง ไม่ว่าเขาอยู่ที่ไหน. การทำเช่นนี้ และการตอบรับของหลายคนที่ได้ฟังความจริง ได้ทำให้นักเทศน์โกรธ.
นอร์ม ชารีนเล่าว่า “หลังจากผมย้ายไปที่เคอร์มาลักซึ่งเป็นเกาะเล็ก ๆ ที่เป็นส่วนของเกาะเวสต์นิวบริเตน หนึ่งในคนแรก ๆ ที่มาเยี่ยมผมคือนักเทศน์แองกลิกัน. เขาบอกว่า ‘คุณไม่มีสิทธิ์มาประกาศในเขตของผม. คนที่นี่เป็นคริสเตียนอยู่แล้ว!’
“ต่อมา ผมเห็นนักศึกษาพระคัมภีร์ของผมคนหนึ่งจ้ำเรือมาถึงชายฝั่งขณะที่ฝนตกหนักและคลื่นลมแรง. ที่จริง เขาเสี่ยงชีวิตฝ่าลมฝนออกมา. เขาลากเรือขึ้นมาบนชายหาด หอบฮัก ๆ บอกผมว่าครูสอนศาสนานำพวกคาทอลิกเต็มลำเรือกำลังมาทุบตีผม. ผมไม่รู้จะวิ่งหนีไปไหน จึงหมายพึ่งพระยะโฮวาขอสติปัญญาและความเข้มแข็ง.
“เมื่อเรือมาถึง มีผู้ชายประมาณ 15 คนขึ้นมาบนฝั่ง พวกเขาทาหน้าสีแดง รู้ได้เลยว่าตั้งใจจะมาทำร้ายผม. แทนที่จะคอยให้พวกเขาเข้ามาหาผม ผมเดินไปหาเขา. ก่อนหน้านั้น ผมรู้สึกกลัว แต่ตอนนี้หายกลัวแล้ว. ขณะที่ผมเดินเข้าไป พวกเขาพูดหยาบคายกับผม หวังว่าผมจะตอบโต้แบบเดียวกัน เพื่อเขาจะมีข้ออ้างที่จะต่อสู้กับผม แต่ผมยังคงสงบอยู่.
“นักศึกษาพระคัมภีร์ของผมอีกคนหนึ่งก็มาด้วย เขาเป็นชายสูงอายุซึ่งเป็นเจ้าของเกาะนั้น. ด้วยเจตนาดีเขาบอกคนกลุ่มนั้นว่า ‘พยานพระยะโฮวาไม่ต่อสู้. เอาเลย ตีเขาเลย! แล้วจะได้รู้กัน!’
“ผมคิดในใจว่า ‘เขาอยู่ฝ่ายไหนกันแน่?’ ถ้าเขาเงียบคงจะดีกว่า.
“หลังจากชี้แจงเหตุผลกับคนเหล่านี้อยู่หลายนาที ผมแนะให้พวกเขากลับไปเสีย ด้วยท่าทีเป็นมิตรผมก็ยื่นมือขวาไปยังผู้นำของพวกเขา. ด้วยความประหลาดใจ เขามองคนอื่นที่อยู่รอบ ๆ และคนเหล่านั้นก็มองดูเขาด้วย. แล้วเขาก็จับมือผม. นี่ทำให้ความตึงเครียดหมดไป และเราทุกคนต่างก็จับมือกัน. หลังจากที่พวกเขาไปแล้ว ผมรู้สึกโล่งอกจริง ๆ! ผมอดไม่ได้ที่จะคิดถึงถ้อยคำที่เปาโลพูดกับติโมเธียวที่ว่า ‘ทาสขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ควรทะเลาะวิวาท แต่ต้องสุภาพอ่อนโยนต่อทุกคน . . . รู้จักอดกลั้นในสภาพการณ์ที่ไม่ดี.’”—2 ติโม. 2:24
เบินต์ อันเดอส์สันเล่าว่าในหมู่บ้านหนึ่งบนภูเขา ศิษยาภิบาลลูเทอรันพร้อมกับฝูงชนที่มีผู้ชายราว 70 คนจากอีกหมู่บ้านหนึ่งได้พยายามไล่พวกพยานฯ ไปและทำลายหอประชุม. ฝูงชนรู้สึกแปลกใจเมื่อเบินต์ออกจากหมู่บ้านมาหาพวกเขา. เขาเข้าไปหาศิษยาภิบาลแล้วถามว่าทำไมโบสถ์ลูเทอรันจึงบอกว่าพระนามของพระเจ้าคืออะนูตู ซึ่งเป็นชื่อในท้องถิ่นที่มิชชันนารีบางคนของคริสต์ศาสนจักรนำมาใช้. ศิษยาภิบาลบอกว่าชื่อนั้นอยู่ในคัมภีร์ไบเบิล เบินต์จึงถามว่าอยู่ที่ไหน. ศิษยาภิบาลเปิดพระคัมภีร์ของเขา และเมื่อเห็นได้ชัดว่าเขาหาข้อคัมภีร์นั้นไม่ได้ เบินต์จึงเชิญเขาให้อ่านบทเพลงสรรเสริญ 83:18. หลังจากได้รับความช่วยเหลือให้เปิดไปที่หนังสือบทเพลงสรรเสริญแล้ว ศิษยาภิบาลเริ่มอ่านออกเสียง. พอมาถึงชื่อพระยะโฮวา เขาปิดพระคัมภีร์แล้วตะโกนว่า “นี่เป็นคำโกหก!” สายเกินไปเสียแล้ว เมื่อตระหนักว่าเขาได้ตำหนิพระคัมภีร์ของตัวเอง. หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ลูกศิษย์หลายคนของเขาได้เปลี่ยนทัศนะที่มีต่อพยานฯ.
บางครั้ง ผู้ต่อต้านทางศาสนาได้เผาหอประชุมที่สร้างจากวัสดุที่หาได้ในป่า เช่น ในหมู่บ้านอะกี ในจังหวัดมิลน์เบย์. แต่ในเหตุการณ์นี้ ผู้ลอบวางเพลิงคนหนึ่งซึ่งเมาเหล้าตอนที่มาเผาหอประชุม รู้สึกเสียใจจริง ๆ ที่ได้ทำเช่นนั้น. ที่จริง ต่อมาเขาไปหาพี่น้อง ศึกษาพระคัมภีร์ แล้วก็มาเป็นไพโอเนียร์. ยิ่งกว่านั้น เขาได้อยู่บ้านไพโอเนียร์ซึ่งอยู่ติดหอประชุมที่สร้างขึ้นใหม่. เขาจึงกลายเป็นคนเฝ้าสถานที่ที่เขาเคยวางเพลิง!
โรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้าแบบใต้ดิน
(จากหนังสือประจำปี 2011 หน้า 226)
เนื่องจากมีการสั่งห้าม พี่น้องไม่อาจแน่ใจได้เลยว่าจะมีสรรพหนังสือหรือแม้แต่พระคัมภีร์อ่านได้นานเท่าไร. ดังนั้น นอกจากมีสถานที่ซ่อนสรรพหนังสือหลายแห่งแล้ว พวกเขาพยายามท่องจำข้อคัมภีร์ให้มากเท่าที่จะจำได้.
มีการใช้โอกาสในการสังสรรค์ส่วนใหญ่เพื่อพิจารณาและท่องจำข้อคัมภีร์ต่าง ๆ. ในการชุมนุมกันเช่นนั้น บางคนได้ทำการ์ดเล็ก ๆ เพื่อช่วยความจำ. บนด้านหนึ่งของการ์ดมีข้อคัมภีร์ที่อ้างถึง เช่น มัดธาย 24:14 หรือไม่ก็คำถามหรือชื่อที่อยู่ในพระคัมภีร์. ส่วนอีกด้านหนึ่ง เขาเขียนข้อความในพระคัมภีร์หรือคำตอบสำหรับคำถามไว้.
พี่น้องใช้หนังสือขององค์การทุกเล่มที่มีอยู่เพื่อนำการประชุม. ตัวอย่างเช่น โรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้ามีชั้นเรียนประจำสัปดาห์, มีการบ้าน, การสอบปากเปล่า, และการสอบข้อเขียนด้วยซ้ำ. มีการทบทวนทุกสามเดือนและการสอบไล่ในฤดูใบไม้ผลิ.
นักเรียนคนหนึ่งเล่าว่า “การมอบหมายการบ้านประจำสัปดาห์คราวหนึ่งคือ ท่องจำข้อคัมภีร์ห้าข้อซึ่งเราต้องท่องในชั้นเรียนคราวต่อไป. ผมจำการสอบไล่ในปี 1988 ได้. มีการ์ดสอบใบหนึ่งที่บอกเพียงแค่ ‘ให้ท่องข้อคัมภีร์ 100 ข้อ.’ อาจดูเหมือนว่าแปลก ทุกคนหวังว่าจะได้การ์ดใบนั้น. การมอบหมายเหล่านั้นได้ช่วยเรามากในงานประกาศ เนื่องจากเราแทบไม่ได้ใช้พระคัมภีร์อย่างเปิดเผย.” ปี 1990 ประชาคมต่าง ๆ ในเอสโตเนียมีความยินดีเมื่อในที่สุดพวกเขาสามารถจัดโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้าแบบเดียวกับที่พี่น้องทั่วโลกได้ทำกัน.