ประพฤติอย่างดีงามท่ามกลางชนต่างชาติต่อ ๆ ไป (1 เป. 2:12)
(จากหนังสือประจำปี 2011 หน้า 124 วรรค 1-2)
เอเดรียนกับแอนเดรีย ไรลีซึ่งเป็นมิชชันนารีบอกว่า “เป็นประโยชน์ที่คนอื่นรู้ว่าเราเป็นพยานฯ. เอเดรียนบอกว่า “ไม่ว่าไปซื้อของหรือไปประกาศ นับว่าสุขุมที่จะเอาหนังสือติดตัวไปด้วย. จริงอยู่ การทำเช่นนี้อาจไม่ได้รับประกันความปลอดภัยของเรา แต่อาจช่วยได้เพราะนั่นบอกให้รู้ว่าเราเป็นผู้รับใช้ของพระยะโฮวา. ครั้งหนึ่ง รถผมเสียในเขตอันตรายของเมืองเล. ผมอยู่คนเดียว และไม่ช้าแก๊งวัยรุ่นที่ดูน่ากลัวก็พากันมามุงดู. ดีที่ไม่นานมานี้ผมเคยพูดเรื่องพระคัมภีร์กับพวกเขา และสองคนในกลุ่มนี้จำผมได้ จึงพูดปกป้องผม. ดังนั้น แทนที่จะแย่งชิงเอาอะไรไปหรือทำร้ายผม วัยรุ่นทั้งกลุ่มได้ช่วยกันเข็นรถผมกลับไปถึงบ้านพักมิชชันนารีระยะทางเกือบครึ่งกิโลเมตร ผมแปลกใจมากและโล่งอกทีเดียว.”
อีกกรณีหนึ่ง พวกแรสคอลถือมีดเข้าไปหาพี่น้องหญิงคนหนึ่งขณะอยู่ในตลาด และพูดกับเธอเบา ๆ ว่า “ส่งกระเป๋ามาเดี๋ยวนี้.” เธอยื่นกระเป๋าให้ทันที แล้วพวกนั้นก็วิ่งหนีไป. ไม่กี่นาทีต่อมา พวกเขากลับมาขอโทษแล้วคืนกระเป๋าพร้อมกับทุกสิ่งในนั้นให้เธอ. ทำไมล่ะ? เมื่อพวกเขาเปิดกระเป๋าดูก็เห็นว่ามีพระคัมภีร์และหนังสือการหาเหตุผล จึงรู้สึกผิดในสิ่งที่ได้ทำไปนั้น.
สงครามกลางเมืองในบูแกงวิล
(จากหนังสือประจำปี 2011 หน้า 150 วรรค 1-6)
ในปี 1989 บนเกาะบูแกงวิล ขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่มีมานานเหมือนถ่านที่คุกรุ่นได้จุดไฟของสงครามกลางเมืองเต็มรูปแบบขึ้นในที่สุด. ระหว่างการต่อสู้ 12 ปี ประมาณ 60,000 คนต้องทิ้งบ้านไป และ 15,000 คนเสียชีวิต. มีผู้ประกาศหลายคนที่ต้องทิ้งบ้านไปด้วย ส่วนใหญ่ไปตั้งรกรากใหม่อยู่ในภูมิภาคอื่นของปาปัวนิวกินี.
ก่อนออกจากเกาะนั้นไม่นาน แดน เออร์เนสท์ ไพโอเนียร์คนหนึ่งได้ถูกทหารกองทัพปฏิวัติบูแกงวิล (BRA) จับตัวไปที่โกดังใหญ่แห่งหนึ่ง. แดนเล่าว่า “ในโกดัง ผมเห็นนายพลของ BRA คนหนึ่งสวมเครื่องแบบติดเหรียญตราและมีดาบอยู่ที่สีข้าง.
“‘คุณคือแดน เออร์เนสท์ใช่ไหม?’ เขาถาม.
ผมตอบว่า “‘ใช่ครับ.’
เขาพูดอย่างหนักแน่นว่า “‘ผมได้ยินว่าคุณเป็นสายลับให้กองกำลังป้องกันปาปัวนิวกินี.’
“ผมจึงอธิบายว่าพยานพระยะโฮวาไม่ยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ของประเทศใด ๆ แต่เขาพูดขัดจังหวะว่า ‘เรารู้แล้วล่ะ! เราเฝ้าดูอยู่. ศาสนาอื่นสนับสนุนฝ่ายที่ดูเหมือนจะชนะ. ศาสนาของพวกคุณเท่านั้นที่เป็นกลางจริง ๆ.’ แล้วเขาก็พูดเสริมว่า ‘ผู้คนของเราอยู่ในสภาพสับสนวุ่นวายระหว่างช่วงสงครามนี้ และต้องได้ยินข่าวสารที่ให้การปลอบใจจากพวกคุณ. เราอยากให้พวกคุณอยู่ในบูแกงวิลและประกาศต่อไป. แต่ถ้าต้องไป ผมก็จะจัดการส่งของทุกอย่างไปให้โดยเรียบร้อย.’ สองอาทิตย์ต่อมา เมื่อผมกับภรรยาย้ายไปเขตมอบหมายใหม่ของไพโอเนียร์บนเกาะมานุส นายพลคนนั้นได้ทำตามที่พูดไว้.”