เพราะเหตุนี้แหละ คนทั้งหลายจะรู้ว่าพวกเจ้าเป็นสาวกของเรา (โย. 13:35)
(จากหนังสือประจำปี 2012 หน้า 217 วรรค 3 ถึงหน้า 221 วรรค 1)
ซ่อนตัวอยู่ 75 วัน! ทาซิส เซมิเนการับบัพติสมาในคองโกปี 1983. ช่วงที่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เขาอยู่ในบูทาเร รวันดา ห่างจากคิกาลีราว 120 กิโลเมตร. เขาบอกว่า “หลังจากเครื่องบินที่ประธานาธิบดีนั่งตกในคิกาลี เราได้ยินว่ามีคำสั่งให้ฆ่าคนทุตซีทั้งหมด. พี่น้องสองคนพยายามวางแผนเพื่อให้เราหนีไปที่บุรุนดี แต่กองทหารอาสาสมัครอินทะราฮามเวรักษาการณ์อยู่บนถนนและทางเดินทุกสาย.
“เราต้องอยู่แต่ในบ้านของตัวเองเหมือนนักโทษ และไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน. ทหารสี่นายเฝ้าดูบ้านของเรา และคนหนึ่งได้ตั้งปืนกลห่างออกไปราว 180 เมตร. ผมอธิษฐานเสียงดังด้วยใจแรงกล้าถึงพระยะโฮวาว่า ‘ข้าแต่พระยะโฮวา พวกข้าพเจ้าทำอะไรไม่ได้เพื่อช่วยชีวิตตัวเองให้รอด. พระองค์ผู้เดียวเท่านั้นที่ทำได้!’ ตอนใกล้ค่ำ พี่น้องคนหนึ่งวิ่งมาที่บ้านของเราเพราะคิดว่าเราตายแล้ว. ทหารอนุญาตให้เขาเข้าไปในบ้านและให้อยู่ไม่กี่นาที. เขาโล่งอกเมื่อพบว่าเรายังมีชีวิตอยู่ และเขาพาลูกของเราออกไปได้สองคน. แล้วเขาก็บอกพี่น้องชายอีกสองคน คือจุสติน รวากาทอเรกับโจเซฟ นดัวเยซูว่า ครอบครัวของผมซ่อนตัวอยู่และเราจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ. ทั้งสองรีบมาทันทีในตอนกลางคืน และทั้ง ๆ ที่ยากลำบากและมีอันตราย พวกเขาพาครอบครัวเราไปที่บ้านของจุสติน.
“เราอยู่ที่บ้านของจุสตินแค่ช่วงสั้น ๆ เพราะวันรุ่งขึ้นก็มีคนรู้ว่าเราซ่อนตัวอยู่ที่นั่น. วันเดียวกันนั้น ชายคนหนึ่งชื่อวินเซนต์มาเตือนเราว่าพวกอินทะราฮามเวกำลังจะจู่โจมและฆ่าพวกเรา. ชายคนนี้เป็นอดีตนักศึกษาของจุสติน ซึ่งไม่ได้เข้ามาในความจริง. วินเซนต์แนะให้เราซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้เตี้ย ๆ ใกล้บ้านของจุสตินก่อน. จากนั้น หลังจากมืดแล้ว วินเซนต์พาเราไปบ้านเขา. เขาซ่อนเราไว้ในกระท่อมทรงกลมสำหรับให้แพะอยู่. กระท่อมนี้มีผนังและพื้นเป็นดิน หลังคามุงฟาง และไม่มีหน้าต่าง.
“เราอยู่ในกระท่อมนั้นทั้งวันทั้งคืนหลายวัน. กระท่อมนี้อยู่ใกล้สี่แยกซึ่งห่างจากตลาดที่มีคนพลุกพล่านแค่ไม่กี่เมตร. เราสามารถได้ยินคนที่เดินผ่านไปมาคุยกันว่าพวกเขาทำอะไรกันระหว่างวันนั้น รวมทั้งได้ยินเรื่องการฆ่าคนอย่างสยดสยองและแผนการของพวกเขาด้วย. บรรยากาศเช่นนี้ทำให้เรายิ่งกลัวมากขึ้น และเราอธิษฐานเรื่อย ๆ เพื่อจะรอดพ้น.
“วินเซนต์ทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อเอาใจใส่ดูแลความจำเป็นของเรา. เราพักอยู่ที่นั่นเป็นเดือน และตอนใกล้สิ้นเดือนพฤษภาคม บริเวณนั้นก็อันตรายเกินไปเนื่องจากพวกอินทะราฮามเวซึ่งหนีจากคิกาลีได้มาถึง. พี่น้องตัดสินใจย้ายพวกเราไปที่บ้านของพี่น้องคนหนึ่งซึ่งมีห้องใต้ดิน. มีพี่น้องสามคนซ่อนตัวในห้องใต้ดินนี้อยู่แล้ว. เพื่อจะไปถึงบ้านของเขา เราต้องเดินทางฝ่าอันตรายยามค่ำคืนโดยเดินนานถึงสี่ชั่วโมงครึ่ง. ดีจริง ๆ ที่คืนนั้นฝนตกหนัก ทำให้ผู้สังหารมองไม่เห็นพวกเรา.
“ที่ซ่อนตัวแห่งใหม่นี้เป็นโพรงลึกราว 1.5 เมตร ใช้ไม้กระดานเป็นประตู. เพื่อจะเข้าไปในโพรงนี้ เราต้องลงบันไดไป แล้วหมอบคลานผ่านอุโมงค์จนกว่าจะไปถึงห้องซึ่งมีพื้นที่ประมาณสองคูณสองเมตร. เราได้กลิ่นโคลน และมีแค่แสงนิดเดียวส่องทะลุรอยแตกข้างฝามาถึงตัวเรา. ผมกับจังทัลภรรยา ลูกของเราห้าคน พร้อมกับพี่น้องอีกสามคนอยู่ด้วยกันในห้องนี้. เราทั้งสิบคนอยู่ในโพรงนี้หกสัปดาห์จนทำให้รู้สึกกลัวที่คับแคบและปิดทึบ. เราไม่กล้าจุดเทียนเพราะกลัวว่าคนอื่นจะเห็นเราอยู่ที่นั่น. แต่ตลอดช่วงที่ยากลำบากและทุกข์ทรมานนี้ พระยะโฮวาทรงเกื้อหนุนเรา. พี่น้องได้เสี่ยงชีวิตเพื่อนำอาหาร ยา และคำหนุนใจมาให้พวกเรา. บางครั้งเราสามารถจุดเทียนในช่วงกลางวันเพื่อจะอ่านคัมภีร์ไบเบิลและหอสังเกตการณ์ หรือข้อคัมภีร์ประจำวันได้.
ทาซิสเล่าต่อไปว่า “ทุกเรื่องมีจุดจบ. เรื่องนี้จบลงในวันที่ 5 กรกฎาคม 1994. วินเซนต์บอกพวกเราว่ากองกำลังที่บุกรุกยึดบูทาเรได้. เมื่อเราออกมาจากห้องใต้ดิน บางคนจำไม่ได้ว่าเราเป็นชาวรวันดา เพราะผิวเราซีดเนื่องจากไม่โดนแดด. ยิ่งกว่านั้น เราไม่สามารถพูดแบบปกติได้ชั่วระยะหนึ่ง เราได้แต่กระซิบกันเท่านั้น. ต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าเราจะกลับมาพูดเหมือนเดิม.
“เหตุการณ์ทั้งหมดนี้มีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อภรรยาของผมซึ่งไม่ยอมศึกษาพระคัมภีร์กับพยานพระยะโฮวาเมื่อสิบปีก่อน. แต่ตอนนี้เธอเริ่มศึกษาพระคัมภีร์. เมื่อมีคนถามว่าเพราะเหตุใด เธอตอบว่า ‘ฉันรู้สึกซาบซึ้งในความรักที่พวกพี่น้องแสดงต่อเราและที่พวกเขาเสียสละเพื่อช่วยชีวิตเรา. ฉันยังรู้สึกได้ถึงพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระยะโฮวาที่ช่วยเราให้รอดจากอาวุธของผู้สังหาร.’ เธอได้อุทิศชีวิตแด่พระยะโฮวาและรับบัพติสมาที่การประชุมหมวดครั้งแรกภายหลังสงคราม.
“เรารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณพี่น้องทุกคนที่ได้มีส่วนช่วยเราให้รอดชีวิตโดยการกระทำและการอธิษฐานด้วยน้ำใสใจจริงของพวกเขา. เราได้ประสบความรักที่ลึกซึ้งและจริงใจของพวกเขาซึ่งอยู่เหนือเครื่องกีดขวางทางด้านชาติพันธุ์.”
(จากหนังสือประจำปี 2012 หน้า 221 วรรค 3)
ตัวอย่างของพี่น้องระหว่างช่วงที่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้กระตุ้นคนอื่นให้ตอบรับความจริง. ซูซาน ลิซีนเด ชาวคาทอลิกวัย 65 ปีได้เห็นว่าคริสตจักรของเธอมีส่วนสนับสนุนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์. ความประพฤติของพยานพระยะโฮวาในเขตที่เธออยู่ระหว่างช่วงที่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ รวมทั้งความรักที่มีอยู่ท่ามกลางพวกเขาได้กระตุ้นเธอให้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว. ซูซานได้รับบัพติสมาในเดือนมกราคม 1998 และเธอไม่เคยขาดการประชุมของประชาคม ถึงแม้ต้องเดินข้ามเนินเขา 5 กิโลเมตร. เธอได้ช่วยครอบครัวให้เรียนความจริงด้วย. ปัจจุบัน ลูกชายของเธอคนหนึ่งเป็นผู้ปกครอง และหลานชายคนหนึ่งเป็นผู้ช่วยงานรับใช้.