เราสามารถ กลับเยี่ยมอย่างบังเกิดผล!
1. เราต้องทำอะไรเพื่อจะเกิดผลในงานรับใช้? การกลับเยี่ยมคืออะไร? (ดูกรอบ “การกลับเยี่ยมคืออะไร?”)
1 เพื่อต้นไม้จะมีผลดก ชาวสวนต้องทำงานหนัก. (อ่านลูกา 13:6-9 ) งานรับใช้ของเราก็ไม่ต่างกัน. เพื่อจะบังเกิดผล เราต้องกระตุ้นความสนใจของผู้คนโดยกลับไปเยี่ยมเขา. แต่การกลับเยี่ยมก็ไม่ใช่เรื่องง่าย. มีอุปสรรคอะไรบ้างที่เราพบบ่อย ๆ?
2. ทำไมการกลับเยี่ยมจึงทำให้มีความสุขมากที่สุด?
2 บางคนอาจคิดว่า “ฉันชอบประกาศตามบ้านมากกว่า.” เป็นความจริงที่ว่าการประกาศตามบ้านทำให้มีความสุขเมื่อเราพบคนที่รับฟังเรา. แต่ชาวสวนจะชื่นชมยินดีกับงานหนักที่ได้ทำไปก็ต่อเมื่อเขากลับไปเก็บผลในเรือกสวนไร่นาของเขาเท่านั้น. ในทำนองเดียวกัน การกลับเยี่ยมทำให้เราได้ชื่นชมกับผลงานของเราและมีความสุขที่เห็นผู้คนตอบรับข่าวสารเรื่องราชอาณาจักร. (เพลง. 34:8) เราไม่ควรพลาดโอกาสที่จะได้รับความชื่นชมยินดีอย่างแท้จริงจากการกลับเยี่ยม!
3-5. เราควรทำอย่างไรถ้ารู้สึกไม่มั่นใจเมื่อกลับเยี่ยม?
3 คุณอาจรู้สึกว่า “ฉันรู้สึกไม่มั่นใจเมื่อกลับเยี่ยม. ฉันไม่รู้จะพูดอะไร และกลัวว่าเขาจะไม่ฟังฉัน.” ถ้าเราเตรียมตัวล่วงหน้าเราจะมีความมั่นใจมากขึ้น. เราสามารถฝึกซ้อมการกลับเยี่ยมระหว่างการนมัสการประจำครอบครัวในตอนเย็น. ถ้าเรากลัวว่าคนที่เรากลับไปเยี่ยมจะไม่รับฟัง ก็อาจลองใช้วิธีสนทนาตามที่แนะไว้ในใบแทรก “คุณจะช่วยคนอื่นให้พบเส้นทางสู่ความสงบและความสุขได้” ในพระราชกิจของเรา เดือนมีนาคม 2012.
4 การนึกถึงตัวอย่างในคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระเจ้าซึ่งเคยเอาชนะความกังวลแบบเดียวกับเราอาจช่วยได้มาก. ตัวอย่างเช่น โมเซกลัวว่ากษัตริย์ฟาโรห์จะไม่ฟังท่าน และท่านไม่มั่นใจในความสามารถของตนเอง. (เอ็ก. 4:1, 10-12) แต่ท่านก็ไม่ปล่อยให้ความกลัวยับยั้งท่านไว้จากการเชื่อฟังพระยะโฮวา.
5 พระยะโฮวาไม่ได้เลือกคนที่ผ่านการฝึกมาแล้ว แต่พระองค์ทรงฝึกคนที่พระองค์เลือก. ตัวอย่างเช่น อาโมศเป็น ‘คนเก็บมะเดื่อ’ และไม่มีคุณสมบัติพิเศษที่จะเป็นผู้พยากรณ์. (อาโมศ 7:14, 15) ดาวิดเป็นเพียงคนเลี้ยงแกะก่อนจะมาเป็นกษัตริย์. (กิจ. 13:22) แม้แต่สาวกของพระเยซูก็เป็นสามัญชนที่เรียนมาน้อย. แต่เมื่อเห็นวิธีที่พวกเขาสอน ผู้คนก็รู้ว่าพวกเขาเคยอยู่กับพระเยซูมาก่อน. (กิจ. 4:13) พระเยซูทรงฝึกสอนพวกเขาและพระองค์ทรงดูแลการฝึกสอนที่เราได้รับในเวลานี้. ถ้าเรานึกถึงตัวอย่างเหล่านี้เราจะมีความมั่นใจมากขึ้น.
6. ประสบการณ์อะไรที่แสดงว่าการกลับเยี่ยมเป็นงานที่ให้ผลคุ้มค่ากับความพยายาม? (ดูกรอบ “การนำการศึกษาพระคัมภีร์คืออะไร?”)
6 คุ้มค่าไหมที่จะกลับเยี่ยม? ผู้ดูแลหมวดคนหนึ่งที่รับใช้มานานในประเทศไทยเล่าว่า “ระหว่างการเยี่ยมประชาคมหนึ่ง ผมพบผู้ชายคนหนึ่งที่สนใจ. ในสัปดาห์นั้น ผมศึกษากับเขาหลายครั้ง แล้วหลังจากนั้นผมก็มอบให้พี่น้องชายในประชาคมนำการศึกษาต่อ. ผมมีความสุขมากที่รู้ว่าตอนนี้เขารับบัพติสมาแล้วและเป็นผู้ช่วยงานรับใช้. ผมดีใจจริง ๆ ที่ได้พยายามกลับไปเยี่ยมชายคนนั้น!”
7. เราจะทำอย่างไรถ้ารายเยี่ยมอยู่ไกล?
7 บางครั้งระยะทางอาจเป็นอุปสรรคที่ทำให้การกลับเยี่ยมเป็นเรื่องยาก. มีพี่น้องคนอื่นที่ต้องการกลับเยี่ยมในเขตเดียวกับคุณไหม? ถ้ามี คุณอาจวางแผนกลับเยี่ยมด้วยกัน. รายเยี่ยมของคุณอยู่ในเส้นทางที่คุณผ่านเป็นประจำไหม เช่น ทางไปที่ทำงาน หรือร้านค้า? คุณอาจเตรียมเรื่องที่จะพูดสั้น ๆ และแวะเยี่ยมเขาเมื่อคุณผ่านไปทางนั้น. ถ้าคุณมีปัญหาในการกลับเยี่ยม ผู้ดูแลการรับใช้อาจให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ได้.
8. เราจะทำอย่างไรถ้ารายเยี่ยมไม่อยู่บ้าน? ไพโอเนียร์คนหนึ่งมีประสบการณ์ที่ดีอะไร?
8 “แต่รายเยี่ยมของฉันไม่เคยอยู่บ้านเลย.” เมื่อคุณกลับเยี่ยมและพบคนอื่นที่ไม่ใช่รายเยี่ยมของคุณ ขอให้ใช้โอกาสนั้นพูดคุยกับเขา. นอกจากนั้น คุณอาจลองกลับไปเวลาอื่น เช่น ตอนเย็น หรือช่วงสุดสัปดาห์. พี่น้องบางคนขอแลกเบอร์โทรศัพท์กับผู้สนใจเมื่อเห็นว่าเหมาะสม. เราอาจเขียนข้อความสั้น ๆ ฝากให้เขาก็ได้. (ดูกรอบ “ไม่อยู่บ้านหรือ?—ลองเขียนจดหมายดูสิ.”)
9. เราจะใช้วารสารตื่นเถิด! เมื่อกลับเยี่ยมได้อย่างไร? การจดบันทึกอย่างละเอียดช่วยเราเตรียมตัวก่อนกลับเยี่ยมได้อย่างไร? (ดูกรอบ “บันทึกช่วยจำ.”)
9 ใช้วารสารตื่นเถิด! หลายคนชอบอ่านวารสารตื่นเถิด! และเราสามารถใช้ฉบับล่าสุดเมื่อกลับเยี่ยม. เมื่อเรานำวารสารไปให้เขาเป็นประจำและแสดงความสนใจต่อเขาเป็นส่วนตัว เราจะรู้สึกว่าการกลับเยี่ยมเป็นเรื่องง่ายขึ้น และเป็นการสร้างมิตรภาพกับเจ้าของบ้านเพื่อปูทางสู่การศึกษาคัมภีร์ไบเบิลต่อไป. ถ้าคุณกลัวที่จะกลับเยี่ยม คุณอาจใช้วารสารตื่นเถิด! คุยกับเจ้าของบ้านโดยเลือกบทความที่คิดว่าเขาน่าจะสนใจเป็นพิเศษ.
10. การอธิษฐานช่วยเราอย่างไรในการกลับเยี่ยม?
10 พระยะโฮวาประสงค์ให้เราประสบความสำเร็จในงานรับใช้. เราสามารถขอให้พระองค์ช่วยเราเอาชนะอุปสรรคใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้น. (1 โย. 5:14) เราต้องอธิษฐานอย่างเจาะจงโดยทูลพระยะโฮวาตรง ๆ เกี่ยวกับปัญหาของเรา และพูดถึงชื่อของผู้ที่เราอยากกลับไปเยี่ยม. เรามั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาจะฟังเรา เพราะการช่วยเหลือผู้คนที่เปรียบเหมือนแกะในเขตงานของเราเป็นสิ่งที่พระองค์พอพระทัยยิ่งนัก. (1 ติโม. 2:3, 4) เมื่อเราอธิษฐานอย่างจริงจัง พระองค์จะประทานความกล้าให้เราเพื่อจะกลับเยี่ยมได้.
11. เหตุใดการกลับเยี่ยมจึงทำให้เรามีความสุข?
11 เรามีความสุขเมื่อได้รับประทานผลไม้รสอร่อยหลายชนิด. แต่เราจะมีความสุขมากกว่านั้นอีกถ้าได้รับประทานผลไม้จากต้นที่เราลงแรงปลูกด้วยตัวเอง. งานรับใช้ของเราก็เช่นกัน. เราจะมีความสุขอย่างแท้จริงถ้าเราได้ช่วยผู้สนใจให้ก้าวหน้า. (ผู้ป. 2:24) ในเขตงานของเรามีผู้คนมากมายที่ต้องการความช่วยเหลือ แม้ว่าคนเหล่านั้นอาจยังไม่รู้ตัวก็ตาม. เราจำเป็นต้องกลับไปเยี่ยมเขาเพื่องานรับใช้ของเราจะเกิดผล. ด้วยการช่วยเหลือจากพระยะโฮวาและการทุ่มเทความพยายามอย่างเต็มที่ เราสามารถ กลับเยี่ยมอย่างบังเกิดผลได้!
[ภาพหน้า 7]
การกลับเยี่ยมคืออะไร?
การกลับเยี่ยมคือการสนทนากับคนที่เราเคยพูดเรื่องคัมภีร์ไบเบิลกับเขามาแล้วครั้งหนึ่ง ไม่ว่าจะกลับไปเยี่ยมเขาที่บ้าน พูดคุยทางโทรศัพท์ หรือเขียนจดหมาย. นอกจากนี้ การกลับเยี่ยมยังรวมถึงการพาผู้สนใจมาร่วมการประชุม การพูดเรื่องคัมภีร์ไบเบิลอย่างไม่เป็นทางการกับเพื่อนร่วมงาน เพื่อนนักเรียน หรือคนที่เราพบเมื่อไปซื้อของ. ทุกครั้งที่เรานำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลถือเป็นการกลับเยี่ยมหนึ่งครั้ง.
[ภาพหน้า 8]
การนำการศึกษาพระคัมภีร์คืออะไร?
ถ้าคุณพิจารณาบางเรื่องจากคัมภีร์ไบเบิลกับใครคนหนึ่งเป็นประจำโดยใช้หนังสือขององค์การ เช่น คัมภีร์ไบเบิลสอนอะไรจริงๆ? คุณก็กำลังนำการศึกษาพระคัมภีร์. ตอนแรกคุณอาจใช้จุลสารเส้นทางสู่ความสงบและความสุข เพื่อปูทางสำหรับการศึกษาหนังสือไบเบิลสอน. เนื่องจากบางคนอาจไม่ชอบศึกษาอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ดังนั้น ในตอนแรก ๆ เราอาจพูดคุยกับเขาอย่างเป็นกันเองที่หน้าประตูบ้าน. คุณอาจใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีหรือนานกว่านั้นก็ได้.
[ภาพหน้า 8]
ไม่อยู่บ้านหรือ?—ลองเขียนจดหมายดูสิ.
เราอาจกลับเยี่ยมได้โดยการเขียนจดหมาย. (ดูหนังสือโรงเรียนการรับใช้ หน้า 71-73.) การทำเช่นนั้นแสดงว่าเราสนใจเขาเป็นส่วนตัวและอาจทำให้เขาประทับใจ. ตัวอย่างเช่น ไพโอเนียร์ประจำคนหนึ่งที่เชียงใหม่เล่าว่า “ฉันพบชายคนหนึ่งระหว่างการประกาศตามบ้านและเริ่มการศึกษากับเขา. เราศึกษากับเขาอยู่สองสามเดือน. แต่หลังจากที่พ่อของเขาเสียชีวิต เราก็ไม่พบเขาที่บ้านอีกเลย. อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่แวะไปเยี่ยม เราจะฝากวารสารไว้พร้อมกับเขียนข้อความสั้น ๆ ว่า ‘เสียดายที่ไม่ได้พบคุณวันนี้. ฉันหวังว่าคุณคงสบายดี. ฉันแวะเอาวารสารของเดือนนี้มาให้คุณ.’ ในข้อความที่เขียนถึงเขา ฉันมักจะพูดถึงบางจุดที่น่าสนใจจากบทความในวารสารแล้วอ้างถึงข้อคัมภีร์ข้อหนึ่งด้วย.
หลายเดือนผ่านไปเราได้พบเขาอีกครั้ง. เขาขอบคุณเราอย่างมากที่เอาวารสารไปให้และยังเขียนข้อความถึงเขาด้วย. เราแปลกใจที่รู้ว่าเขาเก็บข้อความเหล่านั้นไว้ทั้งหมด. เขายังบอกด้วยว่า เขาอ่านคัมภีร์ไบเบิลและหนังสือไบเบิลสอน ก่อนเข้านอนตอนกลางคืน.”
คุณจะลองเขียนจดหมายถึงรายเยี่ยมที่คุณไม่พบที่บ้านได้ไหม?—ผู้ป. 11:6
[ภาพหน้า 9]
บันทึกช่วยจำ
เมื่อพบผู้สนใจ ให้เราจดข้อมูลอย่างละเอียดเพื่อกลับเยี่ยม. การทำเช่นนี้จะเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการกลับเยี่ยม. แต่เราควรจดอะไรบ้าง? ต่อไปนี้คือข้อแนะบางอย่าง:
เขาชื่ออะไร เขามีชื่อเล่นว่าอะไร?
บ้านเขาอยู่ที่ไหน? ถ้าบ้านเขาหายาก ให้เขียนจุดสังเกตที่อยู่ใกล้ ๆ บริเวณนั้นด้วย.
คุณคุยกันเรื่องอะไร? เจ้าของบ้านเป็นห่วงเรื่องอะไร?
คุณใช้ข้อคัมภีร์อะไร? ให้หนังสืออะไรไว้? คุณถึงจุดไหนโดยเฉพาะ?
เขาพูดถึงความเชื่อทางศาสนาไหม? เขาไปวัดหรือสุเหร่าไหม?
เขาน่าจะอายุเท่าไร? เขามีครอบครัวไหม?
คุณคิดว่าเขาสนใจอะไรเป็นพิเศษไหม? เขามีสัตว์เลี้ยงไหม? เขาชอบปลูกต้นไม้ หรือมีงานอดิเรกอื่น ๆ ไหม?
คุณจะคุยอะไรกับเขาเมื่อกลับเยี่ยมคราวหน้า?
การตอบคำถามเหล่านี้หลังจากที่กลับเยี่ยมครั้งแรกจะทำให้เราเห็นภาพของเขาชัดเจนขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เราปรับวิธีการเยี่ยมให้เหมาะกับรายเยี่ยมแต่ละราย.