สตรีที่ประกาศข่าวดีเป็นพวกใหญ่
ประเทศนอร์เวย์
(จากหนังสือประจำปี 2012 หน้า 117 ถึงหน้า 118 วรรค 2)
ไพโอเนียร์หญิงที่กระตือรือร้น
ระหว่างทศวรรษ 1930 จำนวนไพโอเนียร์ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว. ถึงแม้มีเครื่องอำนวยความสะดวกไม่มากนัก แต่พวกเขาได้ทำงานทั่วเขตอย่างกว้างขวาง ประกาศข่าวดีและแจกจ่ายหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล. ความกระตือรือร้นอย่างไม่ย่อท้อของพวกเขาได้ช่วยวางรากฐานที่มั่นคงไว้สำหรับการเติบโตในวันข้างหน้า.
ตัวอย่างเช่น ซุลไว เลอวอส (ต่อมาเปลี่ยนเป็นสตอร์เมอร์) จากออสโลได้แสวงหาความจริงและเข้าร่วมการประชุมทางศาสนาหลายแห่ง. วันหนึ่งเธอได้เข้าร่วมการประชุมของพยานพระยะโฮวาและเห็นว่าได้พบความจริงในคัมภีร์ไบเบิลแล้ว. เธอรับบัพติสมาในปี 1933 และสองปีต่อมาเธอเดินทางไปเป็นไพโอเนียร์ที่ภาคเหนือของนอร์เวย์. ในช่วงหกปี แม้เธอจะเดินกะเผลกเนื่องจากโรคโปลิโอ ซุลไวก็สามารถประกาศในเมืองต่าง ๆ หมู่บ้านชาวประมง และชุมชนเล็ก ๆ ส่วนใหญ่ ตั้งแต่ทางใต้ของเมืองโบเดอไปจนถึงเมืองเคอร์คะเนส. ผู้คนนับพันรับเอาหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล. แค่ปีเดียว ซุลไวได้ผู้บอกรับวารสารมากกว่า 1,100 ราย!
คนหนึ่งที่สนใจมากจริง ๆ ในข่าวที่ซุลไวประกาศคือช่างไม้ชื่อดัก เจนเซนในหมู่บ้านเฮนเนสที่เมืองเวสเทอราเลน. เป็นเวลาหลายปี เขาได้รับหนังสือของเราจากผู้สนใจคนอื่น. เมื่อซุลไวมาหาดัก เธอให้เขาบอกรับวารสาร แล้วเธอก็ย้ายไปเขตอื่น. ดักเริ่มประกาศด้วยตัวเอง โดยให้คนที่สนใจยืมหนังสือจำนวนเล็กน้อยที่เขามีอยู่.
บนเกาะอันเดอยา ซุลไวเข้าไปหาชาวประมงที่กำยำล่ำสันกลุ่มหนึ่งในเพิงที่พักของพวกเขา. เธอประกาศอย่างกล้าหาญ เปิดคำบรรยายจากหีบเสียงให้พวกเขาฟัง แล้วเสนอการบอกรับวารสาร. ชาวประมงหนุ่มคนหนึ่งชื่อฟรีตส์ มัดสันสนใจและบอกรับวารสารของเรา. เมื่อทำงานทั่วทั้งเขตแล้ว ซุลไวก็เดินทางต่อไป. เป็นเช่นนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ไพโอเนียร์ประกาศและพบคนสนใจ ให้พวกเขาบอกรับ แล้วก็เดินทางต่อไปยังเขตใหม่. จะช่วยทุกคนที่แสดงความสนใจให้ก้าวหน้าต่อไปได้อย่างไร?
(จากหนังสือประจำปี 2012 หน้า 130 วรรค 1 ถึงหน้า 131 วรรค 2)
สนับสนุนให้เป็นไพโอเนียร์
หลังจากสงคราม ผู้ประกาศได้รับการสนับสนุนให้สมัครเป็นไพโอเนียร์เพื่อช่วยคนที่แสดงความสนใจในข่าวเรื่องราชอาณาจักรซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ. ดังนั้น ผู้ประกาศหลายคนที่เคยหยุดเป็นไพโอเนียร์ตอนที่งานของเราถูกสั่งห้ามในปี 1941 จึงกลับมารับใช้เต็มเวลาอีกครั้ง. แม้จะมีความยากลำบากทางเศรษฐกิจ แต่พอถึงสิ้นปี 1946 มีพี่น้องชายหญิง 47 คนได้เริ่มเป็นไพโอเนียร์.
หนึ่งในไพโอเนียร์เหล่านั้นคือพี่น้องหญิงชื่อสวันฮิล เนอร์รอลซึ่งเดินทางขึ้นเหนือไปยังเขตฟินมาร์กในปี 1946. สวันฮิลเคยเป็นไพโอเนียร์อยู่ที่นั่นในปี 1941 กับซุลไว เลอวอส และได้เห็นการทิ้งระเบิดทั้งที่เมืองเคอร์คะเนสและเมืองวาดือ. สวันฮิลไม่เคยลืมคนสนใจที่เธอกับซุลไวได้พบ เธอจึงกลับไปที่เมืองเคอร์คะเนส ซึ่งตอนนี้ถูกสงครามทำลายจนย่อยยับ. คนในเมืองนั้นคิดว่าสวันฮิลเสียสติไปแล้ว เพราะเธอไปที่นั่นทั้ง ๆ ที่ไม่มีที่พักให้เธอ.
ถึงกระนั้น สวันฮิลก็ไว้วางใจพระยะโฮวา และระหว่างฤดูหนาวแรก เธอนอนบนพื้นห้องครัวในบ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่งที่มีอีกห้าคนอาศัยอยู่. สภาพหลังสงครามลำบากมาก และเธออดทนกับความทุกข์ยากหลายอย่าง. บ่อยครั้งเธอต้องคอยเรือโดยสารอยู่ท่ามกลางหิมะและสายฝนที่เย็นเยือก และเรือก็มักจะไม่มาตามเวลาหรือบางครั้งก็ไม่มาเลย.
สวันฮิลมีประสบการณ์ที่น่าสนใจมากมายในการประกาศแก่ชาวซามี. เธอไปเยี่ยมชุมชนของพวกเขาที่อยู่ห่างไกลโดยรถประจำทาง หรือไม่ก็เรือโดยสารที่แล่นในแม่น้ำ หรือไม่ก็จักรยาน. ชาวซามีที่มีน้ำใจต้อนรับแขกมักเชิญเธอเข้าไปในเต็นท์ซึ่งทำจากหนังกวางเรนเดียร์ และตั้งใจฟังขณะที่เธอประกาศโดยมีล่ามช่วย. พอถึงเวลาอาหาร พวกเขาชวนเธอร่วมรับประทานอาหารที่ทำจากเนื้อกวางเรนเดียร์. ภายหลังมีบางคนที่ฟังข่าวดีจากสวันฮิลได้ตอบรับความจริง.
เชล ฮุสบีซึ่งรับใช้ที่เบเธลตอนนั้นกล่าวว่า สาขารู้เสมอว่าสวันฮิลอยู่ที่ไหนโดยดูจากที่อยู่ของรายบอกรับที่เธอส่งมา. ช่วงสามปีที่อยู่ในฟินมาร์ก เธอได้ผู้บอกรับหอสังเกตการณ์ 2,000 ราย และจำหน่ายหนังสือปกแข็ง 2,500 เล่ม!