ประกาศด้วยใจกล้า (กิจการ 4:29)
(จากหนังสือประจำปี 2013 หน้า 49 ว. 1-6)
“ทำไมคุณไม่ใช้พระคัมภีร์พิสูจน์ว่าเธอผิดล่ะ?”
ขณะที่แจเนต พี่น้องหญิงซึ่งเป็นไพโอเนียร์ประจำในกานา กำลังอ่านหนังสือไบเบิลสอน ระหว่างเดินทางไกลโดยรถโดยสารประจำทาง ก็มีนักเทศน์คนหนึ่งขึ้นมาบนรถ เทศน์ให้ผู้โดยสารฟัง แล้วเชิญพวกเขาบริจาคเงินสำหรับการเทศน์ของตน. แจเนตพูดกับเขาว่า “คุณบอกว่าพระเยซูเป็นองค์เดียวกับพระเจ้า. ถ้าอย่างนั้น ใครพูดกับพระเยซูตอนที่พระองค์รับบัพติสมาล่ะ?”
นักเทศน์บอกว่า “นั่นเป็นเรื่องลึกลับ.”
แจเนตเปิดไปที่บท 4 ของหนังสือไบเบิลสอน เลือกข้อคัมภีร์บางข้อแล้วเชิญให้ผู้โดยสารบางคนอ่าน. เธออธิบายความแตกต่างระหว่างพระเยซูกับพระยะโฮวา พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ใหญ่ยิ่ง.
นักเทศน์พูดว่า “เธอเป็นแม่มด.”
พอผู้โดยสารได้ยินอย่างนั้นก็พูดปกป้องเธอว่า “แทนที่จะกล่าวหาเธอว่าเป็นแม่มด ทำไมคุณไม่ใช้พระคัมภีร์พิสูจน์ว่าเธอผิดล่ะ.” นักเทศน์ลงรถที่ป้ายถัดไปด้วยความโกรธ. หญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างแจเนตบอกเธอว่า “ดิฉันเข้าใจว่ายะโฮวาเป็นชื่อโบสถ์ของพวกพยานฯ. ดิฉันไม่รู้ว่าเป็นพระนามของพระเจ้าจนกระทั่งได้ฟังคุณคุยกับนักเทศน์คนนั้น.”
การสนทนาดำเนินต่อไป แจเนตขอเบอร์โทรศัพท์ของผู้หญิงคนนี้และสัญญาว่าจะติดต่อกับเธอ. เมื่อผู้หญิงคนนี้กลับบ้าน เธอได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ยายของเธอฟัง. ยายก็รู้สึกแปลกใจด้วยที่ได้ทราบว่าพระนามของพระเจ้าคือยะโฮวา. ต่อมา แจเนตได้ขอให้พยานฯ คนอื่นมาเยี่ยมเพื่อสอนผู้หญิงคนนี้และยายของเธอต่อไป. ตอนนี้ทั้งสองคนได้เข้าร่วมการประชุม.
(จากหนังสือประจำปี 2013 หน้า 69 ว. 1-6)
“ขอให้ดำเนินชีวิตแบบนี้ต่อไปนะ”
วัลยา พี่น้องหญิงวัย 15 ปีในยูเครน สังเกตว่าครูของเธอใส่ชุดดำมาโรงเรียนและเธอเห็นครูร้องไห้. เมื่อรู้ว่าแม่ของครูเสียชีวิต วัลยาตัดสินใจว่าจะปลอบโยนครูด้วยข้อคัมภีร์เกี่ยวกับการกลับเป็นขึ้นจากตาย. วัลยานำพระคัมภีร์พร้อมกับจุลสารสองเล่มมาโรงเรียนด้วย คือ เกิดอะไรขึ้นกับเราเมื่อเราตาย? และเมื่อคนที่คุณรักเสียชีวิต และตัดสินใจว่าหลังจากเลิกเรียนแล้ว เธอจะเข้าไปหาครู. เธอบอกว่า “ขณะคอยอยู่ที่หน้าห้องครู หนูรู้สึกตื่นเต้นมาก จึงอธิษฐานขอพระยะโฮวาให้ช่วยหนู.”
เมื่อวัลยาเข้าไปในห้องครู ครูก็ถามว่า “เธอต้องการอะไรหรือ?”
“หนูอยากมาปลอบโยนครูค่ะ เพราะหนูเข้าใจว่าครูรู้สึกอย่างไร. เมื่อหลายปีก่อนหนูก็เคยสูญเสียคุณตา.”
ครูรู้สึกซาบซึ้งที่วัลยาแสดงความสนใจเธอ. เธอพูดทั้งน้ำตาว่าญาติหรือเพื่อนร่วมงานไม่ได้แสดงความเห็นอกเห็นใจอย่างจริงใจแบบนี้กับเธอเลย. แล้ววัลยาก็อ่านวิวรณ์ 21:3, 4 และอธิบายข้อนี้. หลังจากครูรับจุลสารแล้วก็บอกว่า “เธอไม่เหมือนเด็กนักเรียนคนอื่น ๆ.”
วัลยาชี้แจงว่า “หนูพยายามอ่านคัมภีร์ไบเบิลและดำเนินชีวิตตามหลักพระคัมภีร์ และหนูก็เชื่อฟังพ่อแม่ด้วย.”
ภายหลังวัลยาได้นำพระคัมภีร์พร้อมทั้งหนังสือไบเบิลสอน มาให้ครูตามที่ครูขอ. ครูขอบคุณอีกครั้งและบอกวัลยาว่า “ศาสนาของเธอเป็นศาสนาแท้ และเธอมีพ่อแม่ที่ดีมากที่สอนเธอให้ทำสิ่งถูกต้อง. ขอให้ดำเนินชีวิตแบบนี้ต่อไปนะ.”