แหล่งอ้างอิงสำหรับชีวิตและงานรับใช้—คู่มือประชุม
วันที่ 1-7 ตุลาคม
ความรู้ที่มีค่าจากพระคัมภีร์ | ยอห์น 9-10
“พระเยซูสนใจแกะของท่าน”
(ยอห์น 10:1-3) “ผมจะบอกให้รู้ว่า คนที่ไม่เข้าไปในคอกแกะทางประตู แต่ปีนเข้าไปทางอื่นก็เป็นโจรและขโมย 2 แต่คนเลี้ยงแกะจะเข้าทางประตู 3 และคนเฝ้าประตูจะเปิดให้เขา แกะก็ฟังเสียงเขา เขาเรียกชื่อแกะของเขาแต่ละตัวและพาพวกมันออกไป”
(ยอห์น 10:11) “ผมเป็นคนเลี้ยงแกะที่ดี คนเลี้ยงที่ดียอมสละชีวิตเพื่อแกะของเขา”
(ยอห์น 10:14) “ผมเป็นคนเลี้ยงแกะที่ดี ผมรู้จักแกะของผมและแกะก็รู้จักผม”
nwtsty-E สื่อสำหรับศึกษา
คอกแกะ
คอกแกะเป็นรั้วที่ช่วยปกป้องแกะจากขโมยและสัตว์นักล่า ตอนกลางคืนคนเลี้ยงแกะจะพาแกะของเขามาไว้ในคอกเพื่อความปลอดภัย คอกแกะในสมัยคัมภีร์ไบเบิลมีหลายแบบและหลายขนาดแต่ไม่มีหลังคา ส่วนใหญ่แล้วล้อมด้วยกำแพงหินเตี้ย ๆ และมีประตูทางเข้าทางเดียว (กดว 32:16; 1ซม 24:3; ศฟย 2:6) ยอห์นพูดถึงการเข้าไปในคอกแกะ “ทางประตู” ที่มี “คนเฝ้าประตู” คอยดูแลอยู่ (ยน 10:1, 3) ในคอกแกะสาธารณะ มีแกะมากกว่าหนึ่งฝูงเข้ามานอน และคนเฝ้าประตูจะเฝ้ายามตลอดคืนเพื่อปกป้องฝูงแกะ พอถึงตอนเช้า คนเฝ้าประตูจะเปิดให้พวกคนเลี้ยงแกะเข้ามา เพื่อพาฝูงแกะของตัวเองออกไป พวกเขาจะส่งเสียงเรียก แล้วแกะจะจำเสียงคนเลี้ยงได้และตามเขาไป (ยน 10:3-5) พระเยซูยกตัวอย่างเรื่องนี้เพื่ออธิบายว่าท่านดูแลสาวกของท่านอย่างไร—ยน 10:7-14
(ยน 10:16) “ผมยังมีแกะอื่นที่ไม่ได้อยู่ในคอกนี้ ผมต้องพาแกะพวกนั้นเข้ามาด้วย แกะพวกนั้นจะฟังเสียงของผม ทั้งหมดจะรวมเป็นฝูงเดียว และมีคนเลี้ยงคนเดียว”
nwtsty-E ข้อมูลสำหรับศึกษา ยน 10:16
พา . . . เข้ามา หรือ “นำทาง” คำกริยาภาษากรีก aʹgo (อาโก) ที่ใช้ในข้อนี้อาจแปลได้ว่า “พาเข้ามา” หรือ “นำทาง” ขึ้นอยู่กับท้องเรื่อง สำเนาพระคัมภีร์ภาษากรีกฉบับหนึ่งที่ทำขึ้นประมาณปี ค.ศ. 200 ใช้คำภาษากรีก (sy·naʹgo ซินอาโก) ซึ่งเกี่ยวข้องกับคำว่า อาโก โดยมักจะแปลว่า “รวบรวม” พระเยซูเป็นคนเลี้ยงแกะที่ดี ท่านรวบรวม นำทาง ปกป้อง และเลี้ยงดูแกะที่อยู่ในคอกนี้ (ซึ่งก็คือ “แกะฝูงเล็ก” ใน ลก 12:32) รวมทั้งพวกแกะอื่นด้วย ดังนั้น แกะทั้งสองฝูงจะรวมเป็นฝูงเดียวและมีคนเลี้ยงคนเดียว ตัวอย่างเปรียบเทียบของพระเยซูทำให้เห็นภาพว่าสาวกของท่านจะเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างมีความสุข
ขุดค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
(ยอห์น 9:38) เขาพูดออกมาว่า “นายครับ ผมมีความเชื่อในตัวท่าน” แล้วเขาก็คำนับท่าน
nwtsty-E ข้อมูลสำหรับศึกษา ยน 9:38
คำนับท่าน หรือ “แสดงความเคารพท่าน, หมอบลงกับพื้นแสดงความเคารพ, คารวะ” เมื่อมีการใช้คำกริยาภาษากรีกคำนี้ (pro·sky·neʹo โพรสกีเนโอ) เพื่อหมายถึงการนมัสการพระหรือเทพเจ้า จะมีการแปลว่า “นมัสการ” (มธ 4:10; ลก 4:8) แต่ในท้องเรื่องนี้ ผู้ชายตาบอดตั้งแต่เกิดที่พระเยซูรักษาให้หายได้ทำความเคารพท่านเพราะเขายอมรับว่าพระเยซูเป็นตัวแทนของพระเจ้า เขาไม่ได้คิดว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าหรือเทพเจ้า แต่เป็น “ลูกมนุษย์” หรือเมสสิยาห์ที่ได้รับอำนาจจากพระเจ้าตามที่พยากรณ์ไว้ (ยน 9:35) เมื่อเขาก้มลงคำนับพระเยซู เขาก็ทำคล้าย ๆ กับผู้คนในสมัยพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูที่จะหมอบหรือซบหน้าลงกับพื้นเมื่อพบผู้พยากรณ์ กษัตริย์ หรือคนอื่น ๆ ที่เป็นตัวแทนของพระเจ้า (1ซม 25:23, 24; 2ซม 14:4-7; 1พก 1:16; 2พก 4:36, 37) หลายครั้งผู้คนจะแสดงความเคารพหรือคำนับพระเยซู เพราะรู้สึกขอบคุณที่ท่านประกาศคำของพระเจ้าให้พวกเขาเข้าใจ หรือเพราะซาบซึ้งในความกรุณาของพระเจ้า
(ยน 10:22) ช่วงนั้น มีเทศกาลฉลองการอุทิศวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม ตอนนั้นเป็นฤดูหนาว
nwtsty-E ข้อมูลสำหรับศึกษา ยน 10:22
เทศกาลฉลองการอุทิศวิหาร เทศกาลนี้มีชื่อในภาษาฮีบรูว่า ฮานุกกาห์ (chanuk·kahʹคานุกกาห์) แปลว่า “การอุทิศ หรือ การถวาย” การฉลองนี้ใช้เวลานาน 8 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 25 เดือนคิสเลฟ ซึ่งเป็นช่วงหลังจากกลางเดือนธันวาคม การฉลองนี้จัดขึ้นเพื่อระลึกถึงการอุทิศวิหารที่กรุงเยรูซาเล็มอีกครั้งซึ่งเกิดขึ้นในปี 165 ก่อน ค.ศ. เพราะก่อนหน้านั้น กษัตริย์ซีเรียชื่ออันทิโอกุสที่ 4 เอพิฟาเนสได้ดูหมิ่นพระยะโฮวาพระเจ้าของชาวยิว โดยทำให้วิหารของพระองค์แปดเปื้อน เช่น สร้างแท่นบูชาบนแท่นบูชาใหญ่ที่เคยใช้เผาเครื่องบูชาถวายพระยะโฮวาทุกวัน และในวันที่ 25 เดือนคิสเลฟ ปี 168 ก่อน ค.ศ. เขาได้ดูหมิ่นวิหารของพระยะโฮวาอย่างร้ายแรงที่สุด โดยเอาหมูมาเผาบนแท่นนั้น และเอาน้ำต้มเนื้อหมูประพรมทั่ววิหาร เขาเผาประตูของวิหาร รื้อทำลายห้องของปุโรหิต เอาแท่นบูชาทองคำกับโต๊ะวางขนมปังถวายและเชิงตะเกียงทองคำออกไป แล้วเขาก็อุทิศวิหารที่เป็นของพระยะโฮวาให้กับเทพเจ้าซูสแห่งโอลิมปัส สองปีต่อมา ยูดาส แมคคาบีอุส ยึดกรุงเยรูซาเล็มกับวิหารคืนมาได้ หลังจากชำระวิหารให้สะอาดแล้ว เขาก็อุทิศวิหารนี้อีกครั้งในวันที่ 25 เดือนคิสเลฟ ปี 165 ก่อน ค.ศ. ครบสามปีพอดีหลังจากอันทิโอกุสถวายเครื่องบูชาที่น่ารังเกียจบนแท่นให้เทพเจ้าซูส หลังจากการอุทิศครั้งนี้ก็เริ่มมีการถวายเครื่องบูชาเผาให้พระยะโฮวาเป็นประจำทุกวันอีกครั้ง ไม่มีที่ไหนในพระคัมภีร์ที่บอกตรง ๆ ว่าพระยะโฮวาช่วยให้ยูดาส แมคคาบีอุสได้ชัยชนะและให้เขาฟื้นฟูวิหารขึ้นใหม่ อย่างไรก็ตาม พระยะโฮวาเคยใช้คนต่างชาติ อย่างเช่น ไซรัสชาวเปอร์เซียให้ทำตามความประสงค์ของพระองค์เกี่ยวกับการนมัสการแท้ (อสย 45:1) ดังนั้น จึงมีเหตุผลที่จะสรุปว่า พระยะโฮวาอาจใช้ชายคนนี้ซึ่งอยู่ในชาติที่ได้อุทิศตัวให้พระเจ้าแล้ว เพื่อทำให้ความประสงค์ของพระองค์สำเร็จ พระคัมภีร์ทำให้เรารู้ว่าวิหารจะต้องมีอยู่และถูกใช้งานเพื่อคำพยากรณ์เกี่ยวกับเมสสิยาห์ งานรับใช้ และการถวายเครื่องบูชาของท่านจะสำเร็จเป็นจริง นอกจากนั้น การถวายเครื่องบูชาของคนตระกูลเลวีจะต้องไม่หยุดจนกว่าเมสสิยาห์จะถวายเครื่องบูชาที่ยิ่งใหญ่กว่า ซึ่งก็คือชีวิตของท่านที่สละเพื่อมนุษย์ทุกคน (ดนล 9:27; ยน 2:17; ฮบ 9:11-14) สาวกของพระคริสต์ไม่ได้รับคำสั่งให้จัดเทศกาลฉลองการอุทิศวิหาร (คส 2:16, 17) แต่ไม่มีบันทึกที่บอกว่าพระเยซูและสาวกของท่านตำหนิการฉลองนี้
วันที่ 8-14 ตุลาคม
ความรู้ที่มีค่าจากพระคัมภีร์ | ยอห์น 11-12
“เลียนแบบความเมตตาสงสารของพระเยซู”
(ยอห์น 11:23-26) พระเยซูบอกเธอว่า “เขาจะฟื้นขึ้นจากตาย” 24 มาร์ธาบอกท่านว่า “ดิฉันเชื่อค่ะว่า เขาจะถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตายในวันสุดท้าย” 25 พระเยซูบอกเธอว่า “ผมคือคนที่ปลุกคนตายให้ฟื้นและให้เขามีชีวิต คนที่แสดงความเชื่อในตัวผม ถึงแม้เขาตาย เขาก็จะมีชีวิตอีก 26 และทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่และแสดงความเชื่อในตัวผมจะไม่ตายเลย คุณเชื่อไหม?”
nwtsty-E ข้อมูลสำหรับศึกษา ยน 11:24, 25
ดิฉันเชื่อค่ะว่า เขาจะถูกปลุกให้ฟื้น มาร์ธาคิดว่าพระเยซูพูดถึงการปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตหรือในวันสุดท้าย ความเชื่อที่เธอมีต่อคำสอนนี้น่าประทับใจจริง ๆ ผู้นำศาสนาบางคนในสมัยของเธอที่เรียกว่าพวกสะดูสี ไม่เชื่อเรื่องการฟื้นขึ้นจากตายแม้พระคัมภีร์พูดถึงคำสอนนี้ไว้ชัดเจน (ดนล 12:13; มก 12:18) ในอีกด้านหนึ่ง พวกฟาริสีเชื่อเรื่องวิญญาณอมตะ แต่มาร์ธารู้ว่าพระเยซูสอนเรื่องความหวังเกี่ยวกับการฟื้นขึ้นจากตาย และท่านถึงกับปลุกคนตายให้ฟื้นแม้ว่าไม่มีใครที่ตายไปนานเท่าลาซารัส
ผมคือคนที่ปลุกคนตายให้ฟื้นและให้เขามีชีวิต ความตายของพระเยซูและการที่ท่านถูกปลุกให้ฟื้นเปิดทางให้คนตายกลับมามีชีวิตอีก หลังจากที่พระยะโฮวาปลุกพระเยซูให้ฟื้น พระองค์ก็ให้ท่านมีอำนาจในการปลุกคนตายและให้ชีวิตตลอดไปได้ ใน วว 1:18 พระเยซูเรียกตัวเองว่า “ผู้มีชีวิตอยู่” ซึ่งมี “ลูกกุญแจที่ปลดปล่อยคนจากความตายและหลุมศพ” ดังนั้น พระเยซูจึงเป็นความหวังสำหรับคนที่มีชีวิตอยู่และคนตาย ท่านสัญญาว่าจะเปิดหลุมฝังศพและให้ชีวิตกับคนที่ตายไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นชีวิตในสวรรค์เพื่อจะปกครองร่วมกับท่าน หรือชีวิตในโลกใหม่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลสวรรค์—ยน 5:28, 29; 2ปต 3:13
(ยอห์น 11:33-35) เมื่อพระเยซูเห็นเธอร้องไห้ และพวกยิวที่มากับเธอก็ร้องไห้ด้วย ท่านก็เศร้าและสะเทือนใจ 34 ท่านถามว่า “พวกคุณฝังศพเขาไว้ที่ไหน?” พวกเขาตอบว่า “ตามมาดูสิ นายท่าน” 35 แล้วพระเยซูก็ร้องไห้น้ำตาไหล
nwtsty-E ข้อมูลสำหรับศึกษา ยน 11:33-35
ร้องไห้ คำภาษากรีกคำนี้ บ่อยครั้งหมายถึง การร้องไห้ที่คนอื่นได้ยินเสียง และมีการใช้คำกริยาเดียวกันนี้ตอนที่พระเยซูบอกล่วงหน้าเกี่ยวกับการทำลายกรุงเยรูซาเล็ม—ลก 19:41
เศร้าและสะเทือนใจ สองคำนี้ในภาษาเดิมใช้เพื่ออธิบายความรู้สึกที่ท่วมท้นของพระเยซูต่อเหตุการณ์นี้ คำกริยาภาษากรีกที่แปลว่า “เศร้า” (em·bri·maʹo·mai เอมบริมาโอเม) ปกติทำให้คิดถึงความรู้สึกที่แรงกล้า ในท้องเรื่องนี้พระเยซูสะเทือนใจมากจนเศร้า คำภาษากรีกที่แปลว่า “สะเทือนใจ” (ta·rasʹso ตาราสโซ) มีความหมายตรงตัวว่า กระวนกระวายใจ นักวิชาการคนหนึ่งบอกไว้ว่าคำนี้เมื่อใช้ในท้องเรื่องนี้มีความหมายว่า “ความรู้สึกวุ่นวายภายใน หรือ ถูกทำให้เจ็บปวดหรือเศร้าใจมาก” คำกริยาเดียวกันนี้มีอยู่ใน ยน 13: 21 ด้วยซึ่งอธิบายความรู้สึกของพระเยซูตอนที่ท่านจะถูกยูดาสทรยศ—ดูข้อมูลสำหรับศึกษา ยน 11:35
ร้องไห้น้ำตาไหล คำที่ใช้ในที่นี้ (da·kryʹo ดาครีโอ) เป็นคำกริยาที่มาจากคำว่า “น้ำตา” ซึ่งเป็นคำนามในภาษากรีก คำนี้มีอยู่ใน ลก 7:38; กจ 20:19, 31; ฮบ 5:7; วว 7:17; 21:4 ดูเหมือนคำนี้เน้นที่น้ำตามากกว่าการร้องไห้แบบมีเสียง ในพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก คำกริยานี้ใช้เฉพาะในข้อนี้เท่านั้น ซึ่งเป็นคำที่ต่างจากที่ใช้ใน ยน 11:33 (ดูข้อมูลสำหรับศึกษา) ใน ยน 11:33 ใช้เพื่ออธิบายว่ามารีย์และคนยิวร้องไห้ พระเยซูรู้ว่าท่านกำลังจะปลุกลาซารัสให้ฟื้น แต่เมื่อท่านเห็นเพื่อนรักของท่านโศกเศร้ามาก ก็ทำให้ท่านเศร้าใจด้วย พระเยซูรักและเมตตาสงสารเพื่อนของท่านจนน้ำตาไหลออกมา เรื่องนี้ทำให้เห็นชัดว่าพระเยซูเห็นอกเห็นใจคนที่สูญเสียคนที่เขารักเพราะความตายที่ตกทอดมาจากอาดัม
ขุดค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
(ยอห์น 11:49) มีคนหนึ่งชื่อเคยาฟาสซึ่งเป็นมหาปุโรหิตในปีนั้น เขาพูดขึ้นมาว่า “พวกคุณไม่รู้อะไร
nwtsty-E ข้อมูลสำหรับศึกษา ยน 11:49
มหาปุโรหิต ตอนที่อิสราเอลเป็นชาติอิสระ มหาปุโรหิตจะอยู่ในตำแหน่งนี้ตลอดชีวิต (กดว 35:25) แต่ตอนที่อิสราเอลอยู่ใต้การปกครองของโรม ผู้ปกครองที่ได้รับการแต่งตั้งจากโรมมีอำนาจที่จะแต่งตั้งหรือถอดถอนมหาปุโรหิต (ดูส่วนอธิบายศัพท์ “มหาปุโรหิต”) เคยาฟาสได้รับการแต่งตั้งโดยโรม เขาเป็นทูตที่เก่งและอยู่ในตำแหน่งนี้นานกว่ามหาปุโรหิตคนก่อน ๆ ในช่วงนั้น เขาถูกแต่งตั้งประมาณปี ค.ศ. 18 และอยู่ในตำแหน่งนี้จนถึงประมาณปี 36 การที่ยอห์นพูดถึงเคยาฟาสว่าเป็นมหาปุโรหิตในปีนั้นซึ่งก็คือปี 33 เขาคงเน้นถึงปีที่น่าจดจำเพราะเป็นปีที่พระเยซูถูกฆ่า—ดูภาคผนวก ข12 สำหรับบริเวณที่น่าจะเป็นบ้านของเคยาฟาส
(ยอห์น 12:42) ถึงอย่างนั้น ก็มีพวกผู้นำหลายคนเชื่อในตัวท่าน แต่ไม่กล้ายอมรับท่านอย่างเปิดเผย เพราะกลัวจะถูกพวกฟาริสีไล่ออกจากที่ประชุมของชาวยิว
nwtsty-E ข้อมูลสำหรับศึกษา ยน 12:42
พวกผู้นำ คำภาษากรีก “พวกผู้นำ” ในข้อนี้น่าจะหมายถึงสมาชิกของศาลแซนเฮดรินซึ่งเป็นศาลสูงของชาวยิว คำนี้ใช้ใน ยน 3:1 ตอนที่อ้างถึงนิโคเดมัสสมาชิกของศาลนั้น
ไล่ออกจากที่ประชุมของชาวยิว หรือ “ตัดขาดการติดต่อสื่อสาร หรือถูกตัดความสัมพันธ์จากที่ประชุมของชาวยิว” คำคุณศัพท์ภาษากรีก a·po·sy·naʹgo·gos (อะโพซีนาโกโกส) มีแค่ในข้อนี้และใน ยน 12:42 และ 16:2 เท่านั้น คนที่ถูกไล่ออกไปจะถูกตัดขาดและถูกสังคมรังเกียจ การถูกตัดความสัมพันธ์กับชาวยิวคนอื่น ๆ แบบนั้นจะส่งผลกระทบต่อครอบครัวอย่างมากทางด้านการเงิน ที่ประชุมของชาวยิวใช้เพื่อการศึกษาเป็นหลัก แต่ก็ใช้เป็นศาลที่มีอำนาจสั่งให้เฆี่ยนและตัดความสัมพันธ์ได้ด้วย
วันที่ 15-21 ตุลาคม
ความรู้ที่มีค่าจากพระคัมภีร์ | ยอห์น 13-14
“ผมทำเป็นตัวอย่างให้ดูแล้ว”
(ยอห์น 13:5) จากนั้น พระเยซูก็เอาน้ำใส่อ่าง แล้วเริ่มล้างเท้าให้พวกสาวก และใช้ผ้าที่คาดเอวอยู่มาเช็ดให้แห้ง
nwtsty-E ข้อมูลสำหรับศึกษา ยน 13:5
ล้างเท้าให้พวกสาวก ในสมัยอิสราเอลโบราณ รองเท้าแตะเป็นสิ่งที่ใช้กันทั่วไป รองเท้าแตะจะมีแค่พื้นรองเท้ากับสายสำหรับรัดเท้าและข้อเท้า เท้าของคนเดินทางจึงเปื้อนฝุ่นและโคลนตามทาง ดังนั้น จึงเป็นธรรมเนียมที่จะต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าบ้าน และเจ้าของบ้านที่มีน้ำใจต้อนรับก็จะให้แขกได้ล้างเท้า คัมภีร์ไบเบิลพูดถึงธรรมเนียมนี้หลายครั้ง (ปฐก 18:4, 5; 24:32; 1ซม 25:41; ลก 7:37, 38, 44) ตอนที่พระเยซูล้างเท้าให้สาวก ท่านใช้ธรรมเนียมนี้เพื่อสอนบทเรียนที่สำคัญเรื่องความถ่อมและการรับใช้กัน
(ยอห์น 13:12-14) เมื่อพระเยซูล้างเท้าพวกสาวกแล้ว ท่านก็ใส่เสื้อคลุม และกลับไปนั่งเอนตัวที่โต๊ะอาหาร ท่านถามพวกเขาว่า “เข้าใจไหมว่า ทำไมผมทำอย่างนี้ให้พวกคุณ? 13 พวกคุณเรียกผมว่า ‘อาจารย์’ และ ‘นาย’ และที่พวกคุณเรียกแบบนั้นก็ถูกแล้ว เพราะผมเป็นอย่างนั้นจริง ๆ 14 ดังนั้น ถ้าผมที่เป็นนายและอาจารย์ยังล้างเท้าให้พวกคุณ พวกคุณก็ควรจะล้างเท้าให้กันและกันด้วย
nwtsty-E ข้อมูลสำหรับศึกษา ยน 13:12-14
ควรจะ หรือ “มีพันธะที่จะ” คำกริยาภาษากรีกที่ใช้ในข้อนี้มักใช้ในความหมายเกี่ยวกับการเงิน ซึ่งแปลว่า “เป็นหนี้ใครบางคน หรือ ติดค้างบางอย่าง” (มธ 18:28, 30, 34; ลก 16:5, 7) ในข้อนี้และในท้องเรื่องอื่น ๆ คำนี้มักใช้ในความหมายที่กว้างกว่า ซึ่งหมายถึงการมีพันธะที่จะทำอะไรบางอย่าง—1ยน 3:16; 4:11; 3ยน 8
ขุดค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
(ยอห์น 14:6) พระเยซูตอบเขาว่า “ผมเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครจะมาถึงพระเจ้าผู้เป็นพ่อได้นอกจากมาทางผม
nwtsty-E ข้อมูลสำหรับศึกษา ยน 14:6
ผมเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต พระเยซูเป็นทางนั้น เพราะท่านเป็นทางเดียวที่ทำให้เราอธิษฐานถึงพระยะโฮวาได้ นอกจากนั้น พระเยซูเป็นทางที่จะทำให้เราคืนดีกับพระเจ้า (ยน 16:23; รม 5:8) ท่านเป็นทางเดียวที่จะทำให้เรามีสายสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้า พระเยซูเป็นความจริง ท่านพูดความจริงและใช้ชีวิตสอดคล้องกับความจริง พระเยซูทำให้คำพยากรณ์หลายข้อ “เกิดขึ้นจริง” (2คร 1:20) คำพยากรณ์เหล่านั้นทำให้เราเห็นว่าพระเยซูมีส่วนสำคัญในการทำให้ความประสงค์ของพระเจ้าเป็นจริง (ยน 1:14; วว 19:10) พระเยซูเป็นชีวิต เพราะท่านสละชีวิตเป็นค่าไถ่ ท่านจึงทำให้พวกเรามีโอกาสได้รับ “ชีวิตแท้” ซึ่งก็คือ “ชีวิตตลอดไป” (1ทธ 6:12, 19; อฟ 1:7; 1ยน 1:7) พระเยซูจะพิสูจน์ว่าเป็น “ชีวิต” ด้วย เมื่อหลายล้านคนจะถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตายเพื่อมีโอกาสอยู่ตลอดไปในโลกที่เป็นอุทยาน—ยน 5:28, 29
(ยอห์น 14:12) ผมจะบอกให้รู้ว่า คนที่แสดงความเชื่อในตัวผมจะทำงานที่ผมทำด้วย และเขาจะทำงานใหญ่กว่าที่ผมทำอีก เพราะผมกำลังจะไปหาพระเจ้าผู้เป็นพ่อ
nwtsty-E ข้อมูลสำหรับศึกษา ยน 14:12
ทำงานใหญ่กว่าที่ผมทำอีก พระเยซูไม่ได้บอกว่าสาวกของท่านจะทำการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่กว่าท่าน แต่ท่านยอมรับด้วยความถ่อมว่าสาวกจะทำงานประกาศและสอนในขอบเขตที่ใหญ่กว่าท่าน สาวกจะทำงานนี้กว้างไกลกว่า ไปถึงผู้คนมากกว่า และประกาศนานกว่าท่าน คำพูดของพระเยซูบอกชัดว่า ท่านคาดหมายให้สาวกสานต่องานที่ท่านทำ
วันที่ 22-28 ตุลาคม
ความรู้ที่มีค่าจากพระคัมภีร์ | ยอห์น 15-17
“พวกคุณไม่ได้เป็นคนของโลกนี้แล้ว”
(ยอห์น 15:19) ถ้าพวกคุณเป็นคนของโลกนี้ โลกก็จะรักคุณ แต่ตอนนี้พวกคุณไม่ได้เป็นคนของโลกนี้แล้ว เพราะผมเลือกพวกคุณให้อยู่ต่างหากจากโลก โลกนี้จึงเกลียดคุณ
nwtsty-E ข้อมูลสำหรับศึกษา ยน 15:19
โลก คำภาษากรีก koʹsmos (คอสมอส) ในท้องเรื่องนี้หมายถึง มนุษย์ที่ไม่ใช่ผู้รับใช้ของพระเจ้าซึ่งก็คือสังคมมนุษย์ที่ห่างเหินจากพระเจ้า ยอห์นเป็นผู้เขียนหนังสือข่าวดีคนเดียวที่ยกคำพูดของพระเยซูที่ว่า สาวกของท่านไม่เป็นคนของโลกหรือเป็นส่วนของโลก แนวคิดเดียวกันนี้มีอยู่สองครั้งในคำอธิษฐานครั้งสุดท้ายของพระเยซูตอนที่ท่านอธิษฐานกับพวกอัครสาวกที่ซื่อสัตย์—ยน 17:14, 16
(ยอห์น 15:21) พวกเขาจะทำไม่ดีกับพวกคุณต่าง ๆ นานาเพราะพวกคุณเป็นสาวกของผม และเพราะพวกเขาไม่รู้จักผู้นั้นที่ใช้ผมมา
nwtsty-E ข้อมูลสำหรับศึกษา ยน 15:21
เพราะพวกคุณเป็นสาวกของผม แปลตรงตัวว่า “เพราะชื่อของผม” หลายครั้งคัมภีร์ไบเบิลใช้คำว่า “ชื่อ” เพื่อหมายถึงบุคคลที่มีชื่อนั้น ชื่อเสียง และตัวตนของเขา ในกรณีของพระเยซู ชื่อของท่านสื่อถึงอำนาจและตำแหน่งที่พระเจ้าพ่อในสวรรค์มอบให้ท่าน (มธ 28:18; ฟป 2:9, 10; ฮบ 1:3, 4) พระเยซูอธิบายว่าที่ผู้คนในโลกทำไม่ดีกับสาวกของท่าน เพราะพวกเขาไม่รู้จักผู้นั้นที่ใช้ท่านมา การรู้จักพระเจ้าจะช่วยพวกเขาให้เข้าใจและยอมรับอำนาจและตำแหน่งของพระเยซู (กจ 4:12) นี่รวมถึงตำแหน่งผู้ปกครองที่พระเจ้าแต่งตั้งท่านให้เป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย ที่ทุกคนต้องยอมอยู่ใต้อำนาจเพื่อจะได้ชีวิต—ยน 17:3; วว 19:11-16; เทียบกับ สด 2:7-12
(ยอห์น 16:33) ผมบอกเรื่องทั้งหมดนี้เพื่อพวกคุณจะมีความสงบสุขเพราะผม ในโลกนี้พวกคุณจะมีความยากลำบาก แต่ขอให้กล้าหาญไว้ ผมชนะโลกแล้ว”
it-1-E น. 516
กล้าหาญ
คริสเตียนต้องกล้าหาญเพื่อจะปฏิเสธความคิดและการกระทำแบบโลกที่เป็นศัตรูกับพระยะโฮวาพระเจ้า และต้องกล้าหาญเพื่อจะรักษาความซื่อสัตย์ภักดีต่อพระองค์แม้ต้องเจอความเกลียดชังจากโลก พระเยซูคริสต์บอกสาวกของท่านว่า “ในโลกนี้พวกคุณจะมีความยากลำบาก แต่ขอให้กล้าหาญไว้ ผมชนะโลกแล้ว” (ยน 16:33) ลูกของพระเจ้าไม่เคยยอมให้โลกนี้มีอิทธิพลต่อท่าน แต่ท่านชนะโลกโดยไม่ทำเหมือนคนในโลก ตัวอย่างที่ดีของพระเยซูคริสต์ผู้มีชัยชนะและผลดีที่เกิดจากการใช้ชีวิตแบบที่พระเจ้าพอใจ ทำให้เรากล้าเลียนแบบท่านเพื่อจะอยู่ต่างหากจากโลก และไม่แปดเปื้อนมลทินของโลก—ยน 17:16
ขุดค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
(ยอห์น 17:21-23) พวกเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนที่พระองค์เป็นหนึ่งเดียวกับผม และผมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ พวกเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกับพวกเราด้วย เพื่อโลกจะเชื่อว่าพระองค์ใช้ผมมา 22 ผมทำให้พวกเขามีเกียรติ เหมือนที่พระองค์ทำให้ผมมีเกียรติ เพื่อพวกเขาจะเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนที่พวกเราเป็นหนึ่งเดียวกัน 23 ผมเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเขา และพระองค์ก็เป็นหนึ่งเดียวกับผม เพื่อพวกเขาเองจะเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแท้จริง โลกจะได้รู้ว่าพระองค์ใช้ผมมา และรู้ว่าพระองค์รักพวกเขาเหมือนที่รักผม
nwtsty-E ข้อมูลสำหรับศึกษา ยน 17:21-23
เป็นหนึ่งเดียวกัน หรือ “มีเอกภาพ” พระเยซูอธิษฐานขอให้สาวกแท้ของท่าน “เป็นหนึ่งเดียวกัน” โดยให้พวกเขาทำงานด้วยกันตามเป้าหมายเดียวกัน เหมือนที่ท่านและพระเจ้าพ่อของท่าน “เป็นหนึ่งเดียวกัน” ทั้งทางความคิดและการทำงาน (ยน 17:22) ที่ 1คร 3:6-9 เปาโลอธิบายว่าเอกภาพแบบนี้มีอยู่ท่ามกลางผู้รับใช้ของพระเจ้า เพราะพวกเขาทำงานด้วยกัน และทำงานกับพระเจ้า—ดู 1คร 3:8
เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแท้จริง หรือ “เป็นเอกภาพในทุกด้าน” ในข้อนี้พระเยซูเชื่อมโยงเอกภาพที่แท้จริงกับการเป็นที่รักของพระเจ้าผู้เป็นพ่อ นี่สอดคล้องกับ คส 3:14 ที่บอกว่า “ความรักผูกพันผู้คนให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอย่างแท้จริง” เอกภาพที่แท้จริงนี้ไม่ได้หมายความว่า เราไม่แตกต่างกันเรื่องบุคลิกภาพ เช่น ความสามารถของแต่ละคน นิสัยใจคอ และความรู้สึกผิดชอบชั่วดี แต่หมายความว่าสาวกของพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งการกระทำ ความเชื่อ และการสอน—รม 15:5, 6; 1คร 1:10; อฟ 4:3; ฟป 1:27
(ยอห์น 17:24) พ่อครับ ผมขอให้คนที่พระองค์ยกให้ผมได้อยู่ที่เดียวกับผม เพื่อพวกเขาจะได้เห็นเกียรติที่ผมได้รับจากพระองค์ เพราะพระองค์รักผมตั้งแต่ก่อนมีโลกนี้
nwtsty-E ข้อมูลสำหรับศึกษา ยน 17:24
ก่อนมีโลกนี้ คำภาษากรีกที่แปลว่า “ก่อนมี” แปลตรงตัวว่า “การวางรากฐาน” ซึ่งใน ฮบ 11:11 แปลว่า “ตั้งท้อง” การที่ ยน 17:24 ใช้คำว่า “ก่อนมีโลกนี้” คงหมายถึงการที่อาดัมกับเอวามีลูก พระเยซูเชื่อมโยงคำว่า “เริ่มมีโลกนี้” หรือ “ก่อนมีโลกนี้” กับอาเบล เขาน่าจะเป็นมนุษย์คนแรกที่ได้รับการช่วยให้รอด และเป็นคนแรกที่ “มีชื่ออยู่ในม้วนหนังสือรายชื่อคนที่จะได้ชีวิตตั้งแต่เริ่มมีโลก” (ลก 11:50, 51; วว 17:8) คำอธิษฐานของพระเยซูใน ยน 17:24 ยืนยันให้เห็นว่าพระเจ้ารักพระเยซูลูกคนเดียวของพระองค์นานมาแล้วก่อนที่อาดัมและเอวาจะมีลูก
วันที่ 29 ตุลาคม-4 พฤศจิกายน
ความรู้ที่มีค่าจากพระคัมภีร์ | ยอห์น 18-19
“พระเยซูเป็นพยานยืนยันความจริง”
(ยอห์น 18:37) ปีลาตจึงถามพระเยซูว่า “ถ้าอย่างนั้น คุณเป็นกษัตริย์หรือเปล่า?” พระเยซูตอบว่า “ผมเป็นกษัตริย์อย่างที่คุณว่า และเหตุผลที่ผมเกิดมาและเข้ามาในโลกก็เพื่อเป็นพยานยืนยันความจริง ทุกคนที่รักความจริงจะฟังผม”
nwtsty-E ข้อมูลสำหรับศึกษา ยน 18:37
เป็นพยานยืนยัน คำภาษากรีกที่แปลว่า “เป็นพยานยืนยัน” (mar·ty·reʹo มาร์ตีเรโอ) และ “พยาน” (mar·ty·riʹa; marʹtys มาร์ตีเรีย; มาร์ตีส) ที่ใช้ในพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกมีความหมายกว้าง ทั้งสองคำมีความหมายพื้นฐานว่า การบอกเกี่ยวกับความจริงที่เห็นหรือที่รู้มา และยังหมายถึง “การประกาศ การยืนยัน การพูดเกี่ยวกับบางอย่าง” พระเยซูไม่ได้บอกหรือประกาศความจริงที่ท่านเชื่อมั่นเท่านั้น แต่ยังใช้ชีวิตในแบบที่สนับสนุนความจริงเรื่องคำสัญญาที่พระเจ้าผู้เป็นพ่อบอกไว้ล่วงหน้า (2คร 1:20) ซึ่งความประสงค์ของพระเจ้าเรื่องรัฐบาลเมสสิยาห์มีบอกไว้ล่วงหน้าอย่างละเอียด การใช้ชีวิตของพระเยซูตอนอยู่บนโลกทำให้การสละชีวิตเป็นเครื่องบูชาสมบูรณ์แบบ ทำให้คำพยากรณ์ทั้งหมดเกี่ยวกับท่าน และเงาของสิ่งที่จะมีมาเกิดขึ้นจริง ซึ่งทั้งหมดนี้มีบอกไว้ในสัญญาเกี่ยวกับกฎหมาย (คส 2:16, 17; ฮบ 10:1) ดังนั้น เราอาจพูดได้ว่าพระเยซู “เป็นพยานยืนยันความจริง” โดยทางคำพูดและการกระทำ
ความจริง พระเยซูไม่ได้พูดถึงความจริงทั่ว ๆ ไป แต่พูดถึงความจริงเกี่ยวกับความประสงค์ของพระเจ้า สิ่งสำคัญเกี่ยวกับความประสงค์ของพระเจ้าก็คือ พระเยซูผู้เป็น “ลูกหลานของดาวิด” รับใช้ในฐานะมหาปุโรหิตและเป็นผู้ปกครองในรัฐบาลของพระเจ้า (มธ 1:1) พระเยซูอธิบายว่าเหตุผลหลักที่ท่านมาในโลก ใช้ชีวิตบนโลก และทำงานรับใช้ ก็เพื่อประกาศความจริงเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า ทูตสวรรค์ประกาศข่าวคล้ายกันนี้ ทั้งก่อนและในช่วงเวลาที่พระเยซูเกิดในเบธเลเฮมแคว้นยูเดีย ซึ่งเป็นเมืองที่ดาวิดเกิด—ลก 1:32, 33; 2:10-14
(ยอห์น 18:38ก) ปีลาตถามพระเยซูว่า “แล้วความจริงคืออะไรล่ะ?”
nwtsty-E ข้อมูลสำหรับศึกษา ยน 18:38ก
แล้วความจริงคืออะไรล่ะ? คำถามของปีลาตน่าจะหมายถึงความจริงทั่ว ๆ ไป ไม่ใช่ความจริงที่พระเยซูเพิ่งพูดถึง (ยน 18:37) ถ้าเขาถามด้วยความจริงใจ พระเยซูคงตอบเขาแน่ ๆ แต่ปีลาตคงจะถามแบบเยาะเย้ยถากถางเพราะไม่เชื่อ เหมือนเขากำลังพูดว่า “ความจริงเหรอ? คืออะไรล่ะ? มันไม่มีหรอก!” ที่จริง ปีลาตไม่ได้รอคำตอบด้วยซ้ำ เขาถามแล้วก็ออกไปหาชาวยิวเลย
ขุดค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
(ยอห์น 19:31) วันนั้นเป็นวันเตรียม พวกยิวจึงขอปีลาตสั่งให้ทุบขาของคนที่ถูกตรึงให้หักแล้วเอาศพลงมา เพื่อไม่ให้ศพค้างอยู่บนเสาทรมานในวันสะบาโต (เพราะวันสะบาโตนั้นเป็นวันสะบาโตพิเศษ)
nwtsty-E ข้อมูลสำหรับศึกษา ยน 19:31
วันสะบาโตนั้นเป็นวันสะบาโตพิเศษ วันสะบาโตปกติ คือวันที่ 7 ของสัปดาห์ของชาวยิว (ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ตกของวันศุกร์ถึงดวงอาทิตย์ตกของวันเสาร์) และหนึ่งวันหลังเทศกาลปัสกาซึ่งก็คือวันที่ 15 เดือนนิสาน จะเป็นวันสะบาโตด้วยไม่ว่าจะตรงกับวันไหนของสัปดาห์ (ลนต 23:5-7) ถ้าวันสะบาโตสองแบบนี้ตรงกันก็จะเป็นวันสะบาโต “พิเศษ” วันสะบาโตหลังจากวันที่พระเยซูตายซึ่งตรงกับวันศุกร์เป็นวันสะบาโต “พิเศษ” และตั้งแต่ปี ค.ศ. 29 ถึง ค.ศ. 35 มีแค่ปีเดียวที่วันที่ 14 เดือนนิสานตรงกับวันศุกร์ ซึ่งก็คือปี ค.ศ. 33 ดังนั้น หลักฐานในเรื่องนี้สนับสนุนว่า วันที่พระเยซูตายต้องเป็นวันที่ 14 เดือนนิสานปี ค.ศ. 33