แหล่งอ้างอิงสำหรับชีวิตและงานรับใช้—คู่มือประชุม
© 2025 Watch Tower Bible and Tract Society of Pennsylvania
วันที่ 3-9 พฤศจิกายน
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล เพลงโซโลมอน 1-2
เรื่องราวของรักแท้
รักแท้ที่มั่นคงตลอดไปมีอยู่จริงไหม?
9 ทุกวันนี้ สามีภรรยาที่รับใช้พระยะโฮวาถือว่าการสมรสเป็นมากกว่าข้อตกลงอย่างเป็นทางการ พวกเขารักกันและแสดงความรักแท้ต่อกัน แต่รักแท้ที่เขาแสดงออกควรเป็นแบบไหน? เป็นความรักแบบไม่เห็นแก่ตัวตามที่คัมภีร์ไบเบิลสอนให้เรารักทุกคนอย่างนั้นไหม? (1 โย. 4:8) เป็นความรักตามธรรมชาติที่เรารู้สึกกับคนในครอบครัวไหม? เป็นความรักระหว่างเพื่อนแท้ไหม? (โย. 11:3) หรือว่าเป็นรักแบบโรแมนติก? (สุภา. 5:15-20) อย่างไรก็ตาม ในฐานะคู่สมรสคุณต้องแสดงความรักแท้ต่อกันในทุก ๆ ทาง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่คุณพูดหรือทำ คุณต้องทำให้คู่ของคุณมั่นใจว่าคุณรักเขาและมีความสุขที่ได้ใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน ดังนั้น ไม่ว่าชีวิตคุณจะยุ่งมากขนาดไหน ขออย่าลืมแสดงความรักต่อกัน เพราะนั่นเป็นเรื่องสำคัญมาก ในบางวัฒนธรรม ผู้ใหญ่ของแต่ละฝ่ายจะเป็นคนจับคู่ให้ ทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวต่างก็ไม่รู้จักนิสัยใจคอกันมาก่อนเลยจนกระทั่งถึงวันแต่งงาน แม้ต่อมาพวกเขาอยู่ด้วยกัน รู้จัก และรักกันแล้วก็ตาม ทั้งคู่ก็ยังต้องบอกให้อีกฝ่ายหนึ่งรับรู้ถึงความรักที่มีต่อกัน การทำอย่างนั้นจะทำให้ทั้งสองใกล้ชิดกันมากขึ้นและความสัมพันธ์ของพวกเขาก็จะมั่นคงมากขึ้น
10 การที่สามีภรรยาแสดงความรักต่อกันเป็นการเสริมความมั่นคงในชีวิตคู่อีกทางหนึ่งด้วย ในบทเพลงนั้น โซโลมอนบอกว่าจะทำ “พวงทองคำห้อยให้ข้างแก้ม” แก่หญิงสาว และยังชมเธอด้วยว่าเธอ “แจ่มจรัสดังดวงจันทร์ กระจ่างจ้าดังดวงสุริยัน” (ไพเราะ. 1:9-11; 6:10) แต่หญิงสาวได้พบรักแท้ของเธอแล้ว อะไรที่ช่วยเธอให้ภักดีต่อชายหนุ่มเลี้ยงแกะ? และอะไรที่ช่วยปลอบใจเธอตอนที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน? (อ่านเพลงไพเราะ 1:2, 3) เธอจดจำความสุขตอนที่ได้ยินคำบอกรักของชายหนุ่ม สำหรับเธอแล้วคำบอกรักของชายหนุ่ม “ดีกว่าเหล้าองุ่น” ตอนที่เธออยู่ในวังของกษัตริย์คำบอกรักเหล่านั้นปลอบโยนเธอเหมือน “น้ำมันหอม” บนศีรษะ (เพลง. 23:5; 104:15) เป็นเรื่องสำคัญที่สามีภรรยาจะแสดงความรักต่อกันบ่อย ๆ เพราะนี่จะช่วยให้ทั้งคู่รักกันมากขึ้น และการจดจำช่วงเวลาดี ๆ ที่รักกันจะช่วยให้ความรักของทั้งคู่มั่นคงอยู่เสมอ
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
รักแท้ที่มั่นคงตลอดไปมีอยู่จริงไหม?
11 ถ้าคุณอยากแต่งงาน คุณเรียนอะไรได้จากตัวอย่างของสาวชาวชูเลม? เธอไม่ได้รักกษัตริย์โซโลมอนเลยและเธอบอกผู้หญิงคนอื่น ๆ ในวังอย่างชัดเจนว่า “อย่าปลุกเร้าความรัก แต่ปล่อยให้เป็นไปตามครรลองของมัน” (เพลงไพเราะ 2:7; 3:5, ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) ดังนั้นถูกต้องไหมที่เราจะสานสัมพันธ์เรื่องความรักแบบโรแมนติกกับใครก็ได้? ไม่ แทนที่จะทำอย่างนั้น คุณควรอดใจรอแต่งงานกับคนที่คุณรักจริง ๆ เท่านั้น
วันที่ 10-16 พฤศจิกายน
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล เพลงโซโลมอน 3-5
ความงามภายในสำคัญมาก
รักแท้ที่มั่นคงตลอดไปมีอยู่จริงไหม?
8 ทั้งชายหนุ่มเลี้ยงแกะและหญิงสาวไม่เพียงแต่พูดถึงความสวยความหล่อของกันและกันเท่านั้น แต่ยังพูดถึงสิ่งดีในด้านอื่นด้วย เช่น ชายหนุ่มชอบที่หญิงสาวพูดจาอ่อนหวานกับคนอื่น (อ่านเพลงไพเราะ 4:7, 11) เขาบอกกับเธอว่า “แม่เจ้าสาวของฉันจ๋า ริมฝีปากของเธอเสมือนน้ำผึ้งกำลังจะย้อยหยด น้ำผึ้งและน้ำนมอยู่ใต้ลิ้นของน้อง” สำหรับชายหนุ่ม คำพูดของเธอดีเยี่ยมราวกับน้ำนมและอ่อนหวานราวกับน้ำผึ้งที่หอมหวานที่สุด เมื่อชายหนุ่มเลี้ยงแกะบอกหญิงสาวว่า “เธอช่างงามพร้อมสะพรั่งไปทั้งนั้น” และ “ในตัวเธอจะหาตำหนิสักนิดหนึ่งก็ไม่มีเลย” เขาไม่ได้พูดถึงแค่ความสวยงามของเธอ แต่รวมถึงคุณลักษณะที่น่ารักอื่น ๆ ของเธอด้วย
ทัศนะของพระเจ้าในเรื่องความสะอาดด้านศีลธรรม
17 ผู้รักษาความซื่อสัตย์มั่นคงคนที่สามคือหญิงสาวชาวเมืองซุเนม. เธอสาวและสวย ทำให้ไม่เพียงแต่หนุ่มเลี้ยงแกะเท่านั้นที่หลงรักเธอ แต่ซะโลโมกษัตริย์ผู้มั่งคั่งแห่งยิศราเอลด้วย. ในเรื่องราวอันงดงามที่เล่าไว้ในเพลงไพเราะของกษัตริย์ซะโลโมตลอดทั้งเล่ม ชูลามิทรักษาตัวบริสุทธิ์ ซึ่งทำให้เธอได้รับความนับถือจากคนรอบข้าง. แม้ว่าซะโลโมถูกเธอปฏิเสธ แต่ท่านได้รับการดลใจให้บันทึกเรื่องราวของเธอ. คนเลี้ยงแกะที่เธอรักก็นับถือความประพฤติที่บริสุทธิ์สะอาดของเธอด้วยเช่นกัน. ในตอนหนึ่ง เขารำพึงถึงชูลามิทว่าเธอเป็นดุจ “อุทยานน้ำพุที่ถูกหวงห้ามไว้.” (เพลงไพเราะ 4:12) ในยิศราเอลโบราณ อุทยานที่สวยงามมีพืชผักหลากหลายซึ่งน่าชื่นชม, ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม, และต้นไม้ใหญ่. อุทยานเช่นนั้นมักล้อมรั้วหรือกำแพง และเข้าออกได้เฉพาะทางประตูที่ใส่กุญแจ. (ยะซายา 5:5) สำหรับคนเลี้ยงแกะ ความบริสุทธิ์และความน่ารักด้านศีลธรรมของชูลามิทเป็นดุจอุทยานที่สวยงามเป็นเลิศเช่นนั้นแหละ. เธอบริสุทธิ์สะอาดอย่างแท้จริง. ความรักใคร่อันอ่อนละมุนของเธอมีให้แก่ผู้ที่จะมาเป็นสามีของเธอเท่านั้น.
ต05 8/1 น. 9 ว. 1-4
ความงามที่สำคัญที่สุด
ความงามที่อยู่ภายในจะดึงดูดใจผู้อื่นได้ไหม? จีออร์จีนาซึ่งแต่งงานมาแล้วเกือบสิบปีกล่าวว่า “ตลอดหลายปีมานี้ ดิฉันรักสามีเพราะเขาซื่อสัตย์และจริงใจต่อดิฉัน. สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาคือการทำให้พระเจ้าพอพระทัย. นั่นทำให้เขาแสดงความรักและคำนึงถึงผู้อื่น. เขาคำนึงถึงดิฉันเสมอเมื่อต้องตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ และทำให้ดิฉันรู้สึกมีค่า. ดิฉันรู้ว่าเขารักดิฉันจริง ๆ.”
ดาเนียลซึ่งแต่งงานตั้งแต่ปี 1987 กล่าวว่า “ผมคิดว่าภรรยาของผมสวย. ผมไม่เพียงแต่ชอบรูปร่างหน้าตาของเธอเท่านั้น แต่เธอมีบุคลิกน่ารักซึ่งทำให้ผมรักเธอมากขึ้น. เธอคิดถึงคนอื่นเสมอและมักทำให้คนอื่นมีความสุข. เธอมีคุณลักษณะแบบคริสเตียนที่มีค่า. นั่นทำให้ผมมีความสุขที่ได้อยู่กับเธอ.”
ในโลกที่ผู้คนสนใจแต่เพียงรูปลักษณ์ภายนอก เราต้องมองลึกเข้าไปในจิตใจ. เราต้องมองว่าการจะมีรูปร่างหน้าตาที่ “สมบูรณ์แบบ” เป็นเรื่องยากจนแทบเป็นไปไม่ได้เลย—และมีคุณค่าจำกัดอย่างยิ่ง. กระนั้น การพัฒนาคุณลักษณะต่าง ๆ ที่น่าปรารถนาซึ่งจะทำให้เรามีความงามแท้อยู่ภายในเป็นเรื่องที่ทำได้. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “ท่าทางนวยนาดเป็นของลวง, และความสวยงามเป็นของไม่เที่ยง; แต่สตรีที่ยำเกรงพระยะโฮวานั้นจะรับคำชมเชย.” ในทางตรงกันข้าม พระคัมภีร์เตือนว่า “สตรีรูปงามแต่ปราศจากสติรอบคอบก็เหมือนกับแหวนทองอันประดับไว้ที่จมูกหมู.”—สุภาษิต 11:22; 31:30.
พระคำของพระเจ้าช่วยเราให้เห็นความสำคัญของความงาม “ที่ซ่อนไว้ในใจ, เป็นเครื่องประดับซึ่งไม่รู้เปื่อยไป, คือจิตต์ใจอ่อนสุภาพและสงบเสงี่ยม, ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่ามากจำเพาะพระเนตรพระเจ้า.” (1 เปโตร 3:4) จริงทีเดียว ความงามที่อยู่ภายในสำคัญกว่าความงามภายนอกมากนัก. และทุกคนสามารถบรรลุได้.
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
จุดเด่นจากพระธรรมเพลงไพเราะของกษัตริย์ซะโลโม
2:7; 3:5—เหตุใดสาวชาวชูเลมจึงให้เหล่านางสนมสาบาน “ต่อเลียงผาหรือนางกวางในทุ่ง”? กวางและเลียงผาโดดเด่นในเรื่องความสง่างาม. แท้จริงแล้ว สาวชาวชูเลมกำลังผูกมัดเหล่านางสนมกับทุกสิ่งที่สวยและสง่างามเพื่อพวกนางจะได้ไม่พยายามปลุกเร้าความรักในตัวเธอให้ตื่นขึ้น.
วันที่ 17-23 พฤศจิกายน
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล เพลงโซโลมอน 6-8
เป็นกำแพง อย่าเป็นประตู
รักแท้ที่มั่นคงตลอดไปมีอยู่จริงไหม?
15 อ่านเพลงไพเราะ 4:12 ทำไมชายหนุ่มเลี้ยงแกะบอกว่าหญิงสาวชาวชูเลมเป็นเหมือน “สวนสงวน”? สวนที่ปิดประตูไว้จะไม่เปิดให้ใคร ๆ เข้าไปก็ได้ หญิงสาวเป็นเหมือนสวนสงวนเพราะเธอรักชายหนุ่มเลี้ยงแกะเพียงคนเดียวเท่านั้น เธอวางแผนจะแต่งงานกับเขา ดังนั้น เธอจึงปฏิเสธสิ่งที่กษัตริย์เสนอให้ทุกอย่าง ที่เธอไม่ยอมเปลี่ยนใจเพราะเธอเป็นเหมือน “กำแพง” สูงและเธอก็ไม่ใช่ “ประตู” ที่เปิดได้ง่าย ๆ (ไพเราะ. 8:8-10) เช่นเดียวกัน คริสเตียนที่วางแผนจะแต่งงานกันจะซื่อสัตย์ภักดีต่อกัน และไม่แสดงความรักแบบหวานชื่นกับคนอื่นอีก
16 เมื่อชายหนุ่มเลี้ยงแกะชวนเธอไปเดินเล่นกับเขา พวกพี่ชายของเธอไม่ยอมให้เธอไป แต่พวกเขากลับส่งเธอให้ไปเฝ้าไร่องุ่นแทน พวกพี่ชายไม่ไว้ใจเธอไหม? หรือคิดว่าน้องสาวอยากไปทำอะไรไม่เหมาะไม่ควรกับชายหนุ่มไหม? ไม่ พวกพี่ชายแค่อยากจะปกป้องเธอไว้จากสถานการณ์ที่อาจล่อใจให้น้องสาวทำผิด (ไพเราะ. 1:6; 2:10-15) ถ้าคุณกำลังคบหาดูใจกันอยู่ คุณจะหลีกเลี่ยงสภาพการณ์ที่อาจทำให้คุณทำผิดศีลธรรมทางเพศได้อย่างไร? คุณต้องคิดล่วงหน้าว่ามีอะไรบ้างที่คุณต้องหลีกเลี่ยงเพื่อจะรักษาความสัมพันธ์ของคุณให้สะอาด เช่น อย่าอยู่กันสองต่อสองในที่ลับตาคน แต่ให้แสดงความรักต่อกันอย่างเหมาะสมเท่านั้น
yp น. 188 ว. 2
จะว่าอย่างไรกับเพศสัมพันธ์ก่อนการสมรส?
อย่างไรก็ดี การรักษาความบริสุทธิ์ไว้ไม่เพียงแต่ช่วยหนุ่มสาวหลีกเลี่ยงผลเสียที่ร้ายแรงเท่านั้น. คัมภีร์ไบเบิลพูดถึงหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งรักษาความบริสุทธิ์ไว้ทั้ง ๆ ที่มีความรักอันแรงกล้าต่อเพื่อนชายของเธอ. ผลที่ได้รับ เธอสามารถพูดด้วยความภูมิใจว่า “ดิฉันเป็นกำแพงและถันของดิฉันเป็นดังหอคอย.” เธอไม่เป็น ‘บานประตู’ ซึ่ง ‘เปิด’ ง่ายภายใต้ความกดดันให้ทำผิดศีลธรรม. ทางด้านศีลธรรม เธอยืนหยัดเยี่ยงกำแพงป้อมที่ไม่อาจปีนได้พร้อมกับหอสูงที่เข้าไม่ถึง! เธอสมควรจะได้ชื่อว่า “ผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง” และสามารถกล่าวถึงผู้ที่จะมาเป็นสามีว่า “ในสายตาของเขาดิฉันได้เป็นเช่นเดียวกับผู้ที่พบสันติสุข.” ความสงบในใจของเธอเองมีส่วนส่งเสริมความอิ่มใจพอใจระหว่างคนทั้งสอง.—เพลงไพเราะของกษัตริย์ซะโลโม 6:9, 10; 8:9, 10, ล.ม.
ตัวอย่างที่น่าเลียนแบบ—ชูลามิท
หญิงสาวชูลามิทรู้ว่า เธอต้องระวังไม่ปล่อยตามอารมณ์ในเรื่องความรัก. เธอพูดกับเพื่อน ๆ ว่า “ข้าขอให้พวกท่านสาบานแล้วว่าจะไม่หาทางยุหรือเร้าใจข้าให้มีความรักจนกว่ามันจะเกิดขึ้นเอง.” ชูลามิทรู้ว่า ถ้าไม่ระวังอารมณ์จะอยู่เหนือเหตุผล เช่น เธอรู้ว่าคนอื่นอาจกดดันเธอให้ยอมรับคนที่ไม่เหมาะกับเธอ. หรือแม้แต่อารมณ์ความรู้สึกของเธอเองก็อาจทำให้เธอตัดสินใจผิด ๆ ได้. ด้วยเหตุนี้ เธอจึงต้องมั่นคงเหมือน “กำแพง.”—เพลงไพเราะ 8:4, 10, ล.ม.
ชูลามิทไม่ได้หลับหูหลับตารักเหมือนเด็ก ๆ. แล้วคุณล่ะ? คุณใช้หัวใจโดยไม่ใช้หัวคิดไหม? (สุภาษิต 2:10, 11) บางครั้งคนอื่นอาจกดดันคุณให้มีแฟนทั้ง ๆ ที่คุณยังไม่พร้อมหรือคุณอาจกดดันตัวคุณเอง เช่น เมื่อเห็นหนุ่มสาวเดินจูงมือกัน คุณอยากเป็นเหมือนพวกเขาจนทนไม่ไหวแล้วยอมเป็นแฟนกับใครก็ได้แม้ว่าคนนั้นจะไม่เชื่อพระเจ้าไหม? ชูลามิทไม่เหมือนเด็ก ๆ ที่หลับหูหลับตารัก. คุณก็น่าจะเป็นอย่างนั้น.
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
รักแท้ที่มั่นคงตลอดไปมีอยู่จริงไหม?
3 อ่านเพลงไพเราะ 8:6, ล.ม. มีการพูดถึงความรักว่าเป็นเหมือน “เปลวไฟของยาห์” เพราะอะไร? เพราะคุณลักษณะที่ยอดเยี่ยมที่สุดของพระยะโฮวาคือความรัก และพระองค์สร้างเราให้มีความสามารถที่จะเลียนแบบวิธีแสดงความรักของพระองค์ได้ (เย. 1:26, 27) หลังจากพระยะโฮวาสร้างอาดามมนุษย์คนแรก พระองค์มอบภรรยาแสนสวยให้เป็นคู่ชีวิตของเขา เมื่ออาดามเห็นฮาวาครั้งแรก เขามีความสุขเหลือล้นจนพรั่งพรูความรู้สึกที่มีต่อเธอออกมาเป็นคำพูดเชิงกวี ฮาวาก็รู้สึกว่าใกล้ชิดกับสามีของเธอมากเพราะพระยะโฮวาสร้างเธอจากอาดาม (เย. 2:21-23) ตั้งแต่ตอนแรก พระยะโฮวาตั้งใจให้ชายและหญิงมีรักแท้ที่มั่นคงต่อกันตลอดไป
วันที่ 24-30 พฤศจิกายน
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล อิสยาห์ 1-2
ความหวังสำหรับคนที่ “ทำผิดใหญ่หลวง”
ip-1 น. 14 ว. 8
พ่อกับลูก ๆ ของเขาที่กบฏ
8 อิสยาห์ประกาศข่าวสารที่รุนแรงให้ชาวยูดาห์ฟังต่อไปว่า “ความพินาศจะต้องเกิดกับชาติที่ทำบาป กับประชาชน ที่ทำผิดใหญ่หลวง ที่เป็น พวกลูกหลาน ชั่ว และเป็น เชื้อสาย ที่เสื่อมทราม คน พวกนี้ทิ้งพระยะโฮวา ดูหมิ่น พระเจ้าองค์บริสุทธิ์ของอิสราเอล และหัน หลังให้พระองค์” (อิสยาห์ 1:4) การทำผิดสามารถสะสมจนกลายเป็นเหมือนบาปที่หนักและร้ายแรงมาก พระยะโฮวาเคยบอกไว้ในสมัยอับราฮัมว่าชาวเมืองโสโดมและโกโมราห์ทำบาป “ร้ายแรงมาก” (ปฐมกาล 18:20) และตอนนี้ชาวยูดาห์ก็ทำเหมือนกันเพราะอิสยาห์บอกว่าพวกเขา “ทำผิดใหญ่หลวง” นอกจากนั้น อิสยาห์ยังเรียกพวกเขาว่า “พวกลูกหลานชั่ว และเป็นเชื้อสายที่เสื่อมทราม” ชาวยูดาห์พวกนี้เป็นเหมือนเด็กที่ไม่เชื่อฟังและ “หันหลังให้” พ่อของพวกเขา
ip-1 น. 28-29 ว. 15-17
“ให้เรามาคุยกัน เราจะได้ช่วยพวกเจ้าให้กลับมาคืนดีกับเรา”
15 วิธีที่พระยะโฮวาพูดทำให้เห็นถึงความอบอุ่นและความเห็นอกเห็นใจ พระองค์บอกว่า “‘ให้เรามาคุย กัน เราจะได้ช่วย พวกเจ้าให้กลับมาคืน ดีกับเรา ถึงบาปของพวกเจ้าจะแดงก่ำ เราจะทำให้ขาวเหมือน หิมะ ถึงบาปของพวกเจ้าจะเป็น เหมือน ผ้าสีแดงเข้ม เราก็จะทำให้ขาวเหมือน ขน แกะ’” (อิสยาห์ 1:18) มักจะมีการเข้าใจผิดเกี่ยวกับคำเชิญนี้ เช่น เดอะ นิว อิงลิช ไบเบิล ใช้คำว่า “ให้เรามาเถียงกัน” ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าทั้งสองฝ่ายต้องเถียงกันจนกว่าจะตกลงกันได้ แต่ไม่ใช่อย่างนั้นเลย พระยะโฮวาไม่ได้ทำผิดอะไรต่อประชาชนเหล่านั้นที่กบฏและเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก (เฉลยธรรมบัญญัติ 32:4, 5) ดังนั้น ข้อนี้ไม่ได้หมายถึงการคุยกันเพื่อหาข้อตกลงของสองฝ่ายที่เท่าเทียมกัน แต่เป็นการคุยกันเพื่อให้เกิดความยุติธรรม เหมือนกับว่าพระยะโฮวาให้ชาวอิสราเอลไปคุยกันในศาล
16 เรื่องนี้อาจจะฟังดูน่ากลัว แต่พระยะโฮวาเป็นผู้พิพากษาที่เห็นอกเห็นใจ และเป็นพระเจ้าที่พร้อมจะให้อภัยเสมอ (สดุดี 86:5) มีแค่พระยะโฮวาเท่านั้นที่สามารถทำให้บาปของชาวอิสราเอลที่ “แดงก่ำ” กลับมา “ขาวเหมือนหิมะ” ไม่ว่ามนุษย์จะพยายามมากแค่ไหนหรือทำอะไร ก็ไม่สามารถลบล้างบาปได้ แม้แต่เครื่องบูชาหรือคำอธิษฐานก็ทำไม่ได้ พระยะโฮวาเท่านั้นที่สามารถให้อภัยบาปได้ และคนที่จะได้รับการอภัยจากพระองค์ก็ต้องกลับใจจริง ๆ
17 ความจริงเรื่องนี้สำคัญมากจนพระยะโฮวาย้ำอีกครั้งในข้อเดียวกันว่าบาปที่เป็นเหมือนผ้าสี “แดงเข้ม” จะกลายเป็นเหมือนขนแกะใหม่สีขาวที่ไม่เคยผ่านการย้อมสีมาก่อน พระยะโฮวาอยากให้เรารู้ว่าพระองค์ให้อภัยบาปจริง ๆ ถึงเราจะเคยทำบาปร้ายแรงมาก่อนแต่ถ้าเรากลับใจจริง ๆ พระองค์ก็ให้อภัยบาปเราได้ คนที่รู้สึกว่าทำใจเชื่อเรื่องนี้ได้ยากน่าจะคิดถึงตัวอย่างในคัมภีร์ไบเบิล เช่น มนัสเสห์ที่ทำบาปร้ายแรงมาหลายปีแต่พระยะโฮวาก็ให้อภัยเพราะเขากลับใจ (2 พงศาวดาร 33:9-16) พระยะโฮวาอยากให้พวกเราทุกคนรวมถึงคนที่ทำบาปร้ายแรงรู้ว่ายังไม่สายเกินไปที่จะ “กลับมาคืนดี” กับพระองค์
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
ip-1 น. 39 ว. 9
วิหารของพระยะโฮวาถูกยกขึ้น
9 ในทุกวันนี้ ประชาชนของพระเจ้าไม่ได้ไปรวมตัวบนภูเขาจริง ๆ ซึ่งมีวิหารที่สร้างด้วยหิน วิหารของพระยะโฮวาในกรุงเยรูซาเล็มถูกทำลายไปแล้วโดยกองทัพโรมันในปี ค.ศ. 70 นอกจากนั้น อัครสาวกเปาโลอธิบายชัดเจนว่าวิหารในกรุงเยรูซาเล็มและเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ที่พูดไปก่อนหน้านั้นเป็นแค่ภาพเปรียบเทียบ สิ่งเหล่านั้นเป็นภาพแสดงถึงการนมัสการแท้ที่ดีกว่าคือ การนมัสการ “ในเต็นท์เข้าเฝ้าที่แท้จริงซึ่งพระยะโฮวาตั้งไว้ ไม่ใช่มนุษย์” (ฮีบรู 8:2) เต็นท์โดยนัยที่ว่านี้ คือสิ่งที่พระยะโฮวาจัดเตรียมเพื่อให้เราเข้าใกล้พระองค์ได้โดยผ่านทางค่าไถ่ของพระเยซูคริสต์ (ฮีบรู 9:2-10, 23) สอดคล้องกันกับเรื่องนี้ “ภูเขาที่มีวิหารของพระยะโฮวาตั้งอยู่” ที่บอกไว้ในอิสยาห์ 2:2 เป็นภาพแสดงถึงการนมัสการแท้ของพระยะโฮวาในสมัยของเรา ผู้คนที่ร่วมกันนมัสการแท้ไม่ได้รวมตัวกันในสถานที่ใดที่หนึ่ง แต่พวกเขานมัสการอย่างเป็นหนึ่งเดียวกัน
วันที่ 1-7 ธันวาคม
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล อิสยาห์ 3-5
พระยะโฮวามีสิทธิ์คาดหมายให้ประชาชนเชื่อฟังพระองค์
“ขอทรงสนพระทัยในเถาองุ่นนี้”!
เพื่อจะผลิตเหล้าองุ่นให้ได้ปริมาณมาก ๆ ชาวสวนอิสราเอลต้องเอาใจใส่เถาองุ่นของตนอย่างดี. พระธรรมยะซายาพรรณนางานของคนเพาะปลูกต้นองุ่นชาวอิสราเอลโดยทั่วไปซึ่งจะขุดดินบริเวณเชิงเขาและขนหินก้อนใหญ่ ๆ ออกไปก่อนที่จะปลูก “เถาองุ่นอย่างดีที่สุด.” จากนั้น เขาอาจสร้างกำแพงหินโดยใช้หินที่ขนออกจากพื้นที่ปลูกองุ่น. กำแพงนี้ช่วยป้องกันฝูงปศุสัตว์ไม่ให้เข้ามาเหยียบย่ำในสวนองุ่น อีกทั้งป้องกันหมาป่า, หมูป่า, และขโมยได้บ้าง. นอกจากนั้น เขาอาจถากไม้เพื่อทำเครื่องหีบน้ำองุ่นและสร้างหอคอยเล็ก ๆ ไว้เป็นที่พักอาศัยที่เย็นสบายในช่วงการเก็บเกี่ยวที่ต้องดูแลเถาองุ่นเป็นพิเศษ. หลังจากทำงานขั้นแรก ๆ เหล่านี้ทั้งหมดแล้ว เขาก็คาดหวังได้ว่าเถาองุ่นจะเกิดดอกออกผลที่ดี.—ยะซายา 5:1, 2.
ip-1 น. 76 ว. 8-9
ความพินาศจะเกิดกับสวนองุ่นที่ไม่ซื่อสัตย์!
8 อิสยาห์เรียกพระยะโฮวาที่เป็นเจ้าของสวนองุ่นว่า “คนที่ผมรัก” (อิสยาห์ 5:1) ที่เขาเรียกพระเจ้าอย่างสนิทแบบนี้ได้ก็เพราะเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระองค์ (เทียบกับโยบ 29:4; สดุดี 25:14) แต่ความรักที่อิสยาห์มีให้พระเจ้าเทียบไม่ได้เลยกับความรักที่พระองค์มีต่อ “สวนองุ่น” ที่พระองค์ปลูกเอง—เทียบกับอพยพ 15:17; สดุดี 80:8, 9
9 พระยะโฮวา “ปลูก” ชาติที่พระองค์เลือกไว้ที่แผ่นดินคานาอัน และให้กฎหมายกับข้อบังคับต่าง ๆ ซึ่งเป็นเหมือนกำแพงช่วยปกป้องพวกเขาจากชาติรอบข้างที่ชั่วร้าย (อพยพ 19:5, 6; สดุดี 147:19, 20; เอเฟซัส 2:14) นอกจากนั้น พระองค์ให้มีผู้วินิจฉัย ปุโรหิต และผู้พยากรณ์เพื่อสอนพวกเขา (2 พงศ์กษัตริย์ 17:13; มาลาคี 2:7; กิจการ 13:20) ตอนที่ชาวอิสราเอลถูกโจมตี พระยะโฮวาก็ให้มีคนมาช่วยพวกเขาให้รอด (ฮีบรู 11:32, 33) เนื่องจากพระองค์ทำหลายสิ่งหลายอย่างให้พวกเขาพระองค์ก็เลยบอกว่า “ที่เราทำเพื่อสวนองุ่นของเรามันยังไม่พออีกหรือ?”
“ขอทรงสนพระทัยในเถาองุ่นนี้”!
ยะซายาเปรียบ “วงศ์วานของยิศราเอล” เป็นเหมือนสวนองุ่นที่ค่อย ๆ ออกผลเป็น “องุ่นป่า” หรือผลองุ่นที่เน่าเสีย. (ยะซายา 5:2, 7) ผลองุ่นป่ามีขนาดเล็กกว่าองุ่นที่ปลูกในสวนมาก แถมยังมีเนื้อน้อยมาก เมล็ดของมันแทบจะเต็มแน่นผลองุ่น. องุ่นป่านำมาทำเหล้าองุ่นและรับประทานไม่ได้—เป็นสัญลักษณ์ที่เหมาะกับชาติออกหากซึ่งทำสิ่งที่ฝ่าฝืนกฎหมายแทนที่จะรักษาความชอบธรรม. ผลที่ไร้ค่านี้ไม่ใช่ความผิดของผู้ปลูกต้นองุ่น. พระยะโฮวาทรงทำทุกสิ่งที่สามารถทำได้เพื่อให้ชาตินั้นเกิดผล. พระองค์ตรัสถามว่า “เราควรจะได้กระทำอะไรอีกแก่สวนองุ่นของเราที่เราละเลยมิได้กระทำ?”—ยะซายา 5:4.
“ขอทรงสนพระทัยในเถาองุ่นนี้”!
เนื่องจากเถาองุ่นแห่งอิสราเอลไม่เกิดผล พระยะโฮวาจึงเตือนว่าพระองค์จะทำลายกำแพงป้องกันที่สร้างขึ้นล้อมรอบประชาชนของพระองค์. พระองค์จะไม่ทรงตัดแต่งกิ่งหรือพรวนดินให้องุ่นโดยนัยอีกต่อไป. ฝนในฤดูใบไม้ผลิซึ่งจำเป็นสำหรับพืชผลก็จะไม่ตก และต้นหนามและวัชพืชก็จะขึ้นปกคลุมสวนองุ่น.—ยะซายา 5:5, 6.
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
ip-1 น. 80 ว. 18-19
ความพินาศจะเกิดกับสวนองุ่นที่ไม่ซื่อสัตย์!
18 พระยะโฮวาให้ที่ดินเป็นมรดกกับชาวอิสราเอล แต่ผู้ที่เป็นเจ้าของจริง ๆ แล้วคือพระยะโฮวา พวกเขาสามารถเช่าที่ดินหรือเอาไปจำนองก็ได้ แต่ “ที่ดินจะขายขาดไม่ได้เลย” (เลวีนิติ 25:23) กฎหมายนี้ช่วยปกป้องไม่ให้มีการผูกขาดที่ดิน และยังช่วยไม่ให้แต่ละครอบครัวต้องสิ้นเนื้อประดาตัว ถึงอย่างนั้นก็ยังมีชาวยูดาห์บางคนที่โลภและไม่เชื่อฟังกฎหมายของพระเจ้าเรื่องที่ดิน มีคาห์บอกว่า “พวกเขาอยากได้ที่นาใครก็ไปยึดเอา และอยากได้บ้านใครก็ไปริบเอา พวกเขาโกงเอาบ้านและมรดกของคนอื่น” (มีคาห์ 2:2) แต่สุภาษิต 20:21 เตือนว่า “มรดกที่ได้มาด้วยความโลภ จะไม่เป็นผลดีในบั้นปลาย”
19 พระยะโฮวาสัญญาว่าจะจัดการกับคนโลภเหล่านี้ บ้านที่พวกเขายึดมาจะ “ไม่มีใครอาศัยอยู่” ที่ดินที่พวกเขายึดมาก็จะไม่ค่อยเกิดผล เราไม่รู้ว่าพระยะโฮวาทำให้เรื่องนี้เป็นจริงเมื่อไหร่และยังไง แต่ดูเหมือนว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงตอนที่พวกเขาถูกจับไปเป็นเชลยในบาบิโลน—อิสยาห์ 27:10
วันที่ 8-14 ธันวาคม
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล อิสยาห์ 6-8
“ผมเองครับ ส่งผมไปเถอะ”
มีใจอาสาสมัครและทำให้พระยะโฮวาได้รับคำสรรเสริญ
5 ในสมัยโบราณ พระยะโฮวาเชิญผู้พยากรณ์อิสยาห์ให้มาเป็นตัวแทนของพระองค์และรับใช้พระองค์ในแบบพิเศษ (อสย. 6:8-10) อิสยาห์ตอบรับคำเชิญนั้นด้วยความเต็มใจ เขาพูดว่า “ผมเองครับ ส่งผมไปเถอะ” ในทุกวันนี้ก็เหมือนกัน พระยะโฮวาให้โอกาสมนุษย์ที่ซื่อสัตย์ทุกคนมาทำงานกับพระองค์ ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาจำนวนมากกำลังแสดงให้เห็นว่าพวกเขามีน้ำใจเหมือนอิสยาห์ พวกเขาเต็มใจรับใช้พระองค์ไม่ว่าจะทำงานอะไรหรือทำที่ไหน และยินดีทำไม่ว่าจะต้องเจอปัญหาและความยากลำบากอะไร แต่จะว่าอย่างไรถ้าบางคนคิดว่า ‘ฉันก็เห็นค่าที่พระยะโฮวาให้โอกาสฉันรับใช้พระองค์ด้วยความสมัครใจ แต่สิ่งที่ฉันทำมันมีความหมายอะไรจริง ๆ ไหม? ยังไงพระยะโฮวาก็ต้องทำทุกสิ่งให้สำเร็จอย่างที่พระองค์ต้องการอยู่แล้ว ฉันจะทำหรือไม่ก็ไม่มีความหมายไม่ใช่เหรอ?’ คุณเคยรู้สึกแบบเดียวกันนี้ไหม? ให้เรามาดูเรื่องราวของผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระยะโฮวาในอดีต 2 คนคือ เดโบราห์กับบาราค การใคร่ครวญเรื่องนี้จะช่วยเราตอบคำถามเหล่านี้ได้
คุณสามารถอดทนในงานรับใช้ได้อย่างไร?
ผู้พยากรณ์อีกคนหนึ่งซึ่งแบบอย่างของท่านได้ช่วยหลายคนให้อดทนในงานรับใช้ได้แก่ยะซายา. พระเจ้าบอกกับท่านว่าเพื่อนร่วมชาติจะไม่ฟังท่าน. พระยะโฮวาตรัสดังนี้ “จงไปทำให้ใจของพลเมืองนั้นให้มึนชาไป, และจงกระทำให้หูของเขาตึงไป.” ยะซายาประสบความล้มเหลวไหม? ไม่เลยจากทัศนะของพระเจ้า! เมื่อท่านได้รับมอบหมายเป็นผู้พยากรณ์ ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่; ทรงใช้ข้าพเจ้าเถิด.” (ยซา. 6:8-10) ยะซายาเอาใจใส่หน้าที่ของท่านโดยไม่เลิกรา. นั่นเป็นวิธีที่คุณตอบรับต่อพระบัญชาให้ทำการประกาศไหม?
‘จงฟังเราและเข้าใจ’
2 ทำไมหลายคนไม่เข้าใจสิ่งที่พระเยซูพูด? เพราะบางคนมีความคิดเป็นของตัวเองและมีแรงจูงใจผิด ๆ พระเยซูพูดถึงคนพวกนี้ว่า “พวกคุณนี่เหลี่ยมจัดนะ เข้าใจหลีกเลี่ยงคำสั่งของพระเจ้า เพื่อจะได้ไปทำตามประเพณีที่สืบทอดกันมา” (มโก. 7:9, ฉบับอ่านเข้าใจง่าย) พวกเขาไม่พยายามเข้าใจสิ่งที่พระเยซูพูด พวกเขาไม่ต้องการเปลี่ยนความคิดและธรรมเนียมประเพณีที่ทำมาตลอด พวกเขาเปิดหูแต่ปิดใจ! (อ่านมัดธาย 13:13-15) แล้วเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเราเปิดใจและเต็มใจเรียนรู้คำสอนของพระเยซูเสมอ?
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
จุดเด่นจากพระธรรมยะซายา—ตอนแรก
7:3, 4—เหตุใดพระยะโฮวาจึงช่วยกษัตริย์อาฮาศผู้ชั่วร้ายให้รอด? กษัตริย์ซีเรียและอิสราเอลวางแผนโค่นราชบัลลังก์ของกษัตริย์อาฮาศแห่งยูดาห์และแต่งตั้งผู้ปกครองที่เป็นหุ่นเชิดขึ้นแทนท่าน ซึ่งก็คือบุตรของตาบะเอลชายที่ไม่ได้เป็นเชื้อสายของดาวิด. แผนการของซาตานนี้คงจะมีผลทำให้การดำเนินการเกี่ยวกับสัญญาแห่งราชอาณาจักรที่ทำกับดาวิดหยุดชะงัก. พระยะโฮวาทรงช่วยอาฮาศก็เพื่อจะปกป้องเชื้อสายซึ่ง “องค์สันติราช” ที่สัญญาไว้จะมา.—ยะซายา 9:6.
วันที่ 15-21 ธันวาคม
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล อิสยาห์ 9-10
คำพยากรณ์เรื่อง “แสงสว่างเจิดจ้า”
ip-1 น. 125-126 ว. 16-17
คำสัญญาเรื่องเจ้าชายแห่งสันติสุข
16 “ในวันข้างหน้า” ที่อิสยาห์พูดถึงก็คือช่วงเวลาที่พระคริสต์ทำงานประกาศตอนอยู่บนโลก พระเยซูใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในแคว้นกาลิลี ที่นั่นท่านเริ่มทำงานรับใช้และเริ่มประกาศว่า “รัฐบาลสวรรค์มาใกล้แล้ว” (มัทธิว 4:17) ที่แคว้นกาลิลี พระเยซูให้คำบรรยายบนภูเขา เลือกอัครสาวก ทำการอัศจรรย์ครั้งแรก และปรากฏตัวต่อสาวกประมาณ 500 คนหลังจากที่ท่านได้รับการปลุกให้ฟื้นจากตาย (มัทธิว 5:1-7:27; 28:16-20; มาระโก 3:13, 14; ยอห์น 2:8-11; 1 โครินธ์ 15:6) โดยวิธีนี้เองที่พระเยซูทำให้ “แผ่นดินเศบูลุนและแผ่นดินนัฟทาลี” ได้รับเกียรติตามที่ผู้พยากรณ์อิสยาห์บอกไว้ จริง ๆ แล้วพระเยซูไม่ได้ประกาศเฉพาะกับผู้คนในแคว้นกาลิลี พระเยซูทำให้อิสราเอลทั้งชาติรวมทั้งอาณาจักรยูดาห์ ‘ได้รับเกียรติ’ โดยการประกาศข่าวดีไปทั่วแผ่นดิน
17 แล้วที่มัทธิวพูดถึง “แสงสว่างเจิดจ้า” ในแคว้นกาลิลีหมายความว่าอย่างไร? คำนี้ก็เช่นกันถูกยกมาจากคำพยากรณ์ของอิสยาห์ที่ว่า “ประชาชน ที่เคย เดิน อยู่ใน ความมืด ได้เห็น แสงสว่างเจิดจ้า และคน ที่อยู่ใน แผ่นดิน ที่มีแต่เงามืดทึบ แสงสว่างได้ส่องลงบน พวกเขาแล้ว” (อิสยาห์ 9:2) ก่อนจะถึงศตวรรษแรก แสงของความจริงถูกปิดคลุมด้วยศาสนานอกรีต และผู้นำศาสนาชาวยิวยังทำให้แย่ลงไปอีกโดยการยึดเอาธรรมเนียมศาสนาของพวกเขาเองซึ่ง “ทำให้คำสอนของพระเจ้าไม่มีความหมาย” (มัทธิว 15:6) คนที่มีความถ่อมจึงรู้สึกถูกกดขี่และสับสนเพราะ “พวกคนนำทางที่ตาบอด” (มัทธิว 23:2-4, 16) เมื่อพระเยซูซึ่งเป็นเมสสิยาห์มาปรากฏ ตาของผู้คนที่มีความถ่อมจึงเปิดกว้างด้วยความประหลาดใจ (ยอห์น 1:9, 12) ดังนั้น “แสงสว่างเจิดจ้า” ในคำพยากรณ์ของอิสยาห์จึงหมายถึง งานรับใช้ที่พระเยซูทำตอนอยู่บนโลกและพรต่าง ๆ ที่เราได้รับจากเครื่องบูชาซึ่งหมายถึงชีวิตของท่าน—ยอห์น 8:12
จงเป็นคนงานเกี่ยวที่ชื่นชมยินดี!
19 มีเหตุผลที่ดีหลายประการที่จะยินดีในการเกี่ยวในช่วงที่พระเยซูทรงรับใช้และช่วงสั้น ๆ หลังจากนั้น. ในตอนนั้น หลายคนตอบรับข่าวดี. มีความยินดีมากมายเป็นพิเศษในวันเพนเตคอสเตปี ส.ศ. 33 เพราะในวันนั้นมีประมาณ 3,000 คนตอบรับการชี้นำของเปโตร, รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระยะโฮวา, และได้มาเป็นส่วนหนึ่งแห่งชาติยิศราเอลฝ่ายวิญญาณของพระเจ้า. จริงทีเดียว จำนวนของพวกเขาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และมีความยินดีท่วมท้นเมื่อ “พระยะโฮวาทรงทำให้คนทั้งหลายที่ได้รับการช่วยให้รอดมาสมทบกับพวกเขาทุกวัน.”—กิจการ 2:37-41, 46, 47, ล.ม.; ฆะลาเตีย 6:16; 1 เปโตร 2:9.
20 ในเวลานั้น คำพยากรณ์ของยะซายาปรากฏว่าเป็นจริง ที่ว่า “พระองค์ [พระยะโฮวา] ได้ทรงโปรดให้พลเมืองทวีมากขึ้น, พระองค์ได้ทรงกระทำให้เขามีความชื่นชมยินดียิ่งขึ้น: เขามีความยินดีต่อพระพักตร์พระองค์เหมือนกับความยินดีในฤดูเกี่ยว, เหมือนกับคนทั้งหลายที่ยินดีเมื่อเขาแบ่งปันทรัพย์สินแก่กัน.” (ยะซายา 9:3) แม้ว่าในเวลานี้เราเห็นว่าชนผู้ถูกเจิมซึ่งเป็น ‘พลเมืองที่ทวีมากขึ้น’ เกือบครบจำนวนแล้ว ความยินดีของเรามีมากล้นเมื่อเราสังเกตเห็นจำนวนคนงานเกี่ยวอีกกลุ่มหนึ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละปี.—บทเพลงสรรเสริญ 4:7; ซะคาระยา 8:23; โยฮัน 10:16.
ip-1 น. 128-129 ว. 20-21
คำสัญญาเรื่องเจ้าชายแห่งสันติสุข
20 ผลที่เกิดจากสิ่งที่เมสสิยาห์ทำจะอยู่ตลอดไป อิสยาห์บอกต่อไปว่า “พระองค์ได้ทำลาย แอกที่เป็น ภาระของพวกเขา และทำลาย ไม้พลองของผู้กดขี่กับกระบองของผู้ข่มเหง เหมือน กับใน สมัย ที่พระองค์ทำให้พวกมีเดียน พ่าย แพ้” (อิสยาห์ 9:4) หลายร้อยปีก่อนหน้านี้ ชาวมีเดียนและชาวโมอับทำให้ชาวอิสราเอลทำบาป (กันดารวิถี 25:1-9, 14-18; 31:15, 16) ต่อมา ชาวมีเดียนได้โจมตีและปล้นหมู่บ้านต่าง ๆ ของชาวอิสราเอลเป็นเวลา 7 ปี (ผู้วินิจฉัย 6:1-6) แล้วพระยะโฮวาก็ได้ใช้กิเดโอนผู้รับใช้ของพระองค์ไปโจมตีกองทัพของชาวมีเดียน ตั้งแต่ตอนนั้น “พระองค์ทำให้พวกมีเดียนพ่ายแพ้” และไม่มีหลักฐานอีกเลยว่าคนของพระยะโฮวาต้องทนทุกข์จากเงื้อมมือของชาวมีเดียน (ผู้วินิจฉัย 6:7-16; 8:28) อีกไม่นานพระเยซูคริสต์ผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่ากิเดโอนก็จะทำลายทุกคนที่เป็นศัตรูของคนของพระยะโฮวา (วิวรณ์ 17:14; 19:11-21) ในที่สุด พระยะโฮวาจะได้รับชัยชนะอย่างสมบูรณ์แบบ และเหมือนกับใน “สมัยที่พระองค์ทำให้พวกมีเดียนพ่ายแพ้” ชัยชนะทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้โดยพลังของพระยะโฮวา ไม่ใช่ของมนุษย์ (ผู้วินิจฉัย 7:2-22) คนของพระเจ้าจะไม่ต้องทนทุกข์จากการกดขี่อีกต่อไป!
21 สิ่งที่พระเจ้าทำไม่ได้หมายความว่าพระองค์ส่งเสริมการทำสงคราม พระเยซูเป็นเจ้าชายแห่งสันติสุข และโดยการทำลายศัตรูทั้งหมดของพระเจ้า ท่านจะทำให้เกิดสันติสุขตลอดไป อิสยาห์พูดถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ใช้ทำสงครามว่าจะถูกทำลายด้วยไฟ เขาบอกว่า “รองเท้าทหารทุกคู่ที่ทำให้แผ่นดิน สั่น สะเทือน จากการเดิน แถว และเสื้อทุกตัวที่เปรอะเปื้อน เลือด จะกลาย เป็น เชื้อเพลิงให้ไฟเผา” (อิสยาห์ 9:5) จะไม่มีใครได้ยินเสียงสะเทือนที่เกิดจากรองเท้าของทหารอีกเลย และจะไม่มีใครเห็นเครื่องแบบทหารที่เปื้อนเลือดด้วย สงครามจะไม่มีอีกต่อไป!—สดุดี 46:9
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
ห25.07 น. 10, กรอบ
วิธีให้คำแนะนำ
เลียนแบบพระเยซูเมื่อให้คำแนะนำ
ลองดูสิ่งที่ทำให้เห็นว่าพระเยซูเป็น “ที่ปรึกษามหัศจรรย์” และเราจะเลียนแบบท่านได้ยังไง
• พระเยซูรู้ว่าควรจะพูดอะไร ท่านทำแบบนั้นได้เสมอเพราะท่านแนะนำโดยอาศัยสติปัญญาของพระยะโฮวา ไม่ใช่ของท่านเอง ท่านบอกสาวกว่า “สิ่งที่ผมบอกพวกคุณ ผมไม่ได้คิดขึ้นมาเอง”—ยน. 14:10
บทเรียน แม้เราอาจมีความรู้และประสบการณ์มากมายในชีวิต แต่เราต้องทำให้แน่ใจว่าเราให้คำแนะนำโดยอาศัยคัมภีร์ไบเบิล ไม่ใช่ความคิดของเราเอง
• พระเยซูรู้ว่าควรจะให้คำแนะนำเมื่อไหร่ ท่านไม่ได้สอนทุกเรื่องที่พวกสาวกต้องรู้ในคราวเดียว แต่ท่านรอจนถึงเวลาที่เหมาะสมเพื่อจะให้คำแนะนำกับพวกเขา และท่านบอกให้พวกเขารู้เท่าที่พวกเขาจะรับไหว—ยน. 16:12
บทเรียน ตอนที่จะให้คำแนะนำใคร เราต้องรอ “เวลาพูด” ที่เหมาะสม (ปญจ. 3:7) ถ้าเราแนะนำเขาเยอะเกินไป เขาก็อาจงงและท้อใจ ดังนั้น ให้บอกแค่สิ่งที่เขาจำเป็นต้องรู้เพื่อจะรับมือกับปัญหาที่เขากำลังเจออยู่ได้
• พระเยซูรู้ว่าควรพูดด้วยท่าทีแบบไหน พระเยซูต้องแนะนำอัครสาวกหลายครั้งเกี่ยวกับความถ่อม แต่ทุกครั้ง ท่านก็แนะนำอย่างอ่อนโยนและให้ความนับถือ—มธ. 18:1-5
บทเรียน แม้ต้องให้คำแนะนำกับบางคนในเรื่องเดิมซ้ำหลายครั้ง แต่เราก็ควรพูดอย่างอ่อนโยนและให้ความนับถือเสมอเพื่อที่คำแนะนำของเราจะได้ผลดีที่สุด
วันที่ 22-28 ธันวาคม
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล อิสยาห์ 11-13
คัมภีร์ไบเบิลบอกอะไรเกี่ยวกับเมสสิยาห์?
ip-1 น. 159 ว. 4-5
การช่วยให้รอดและมีความสุขภายใต้การปกครองของเมสสิยาห์
4 หลายร้อยปีก่อนสมัยของอิสยาห์ ผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลภาคภาษาฮีบรูหลายคนได้พูดถึงการมาของเมสสิยาห์ ซึ่งเป็นผู้นำที่แท้จริงที่พระยะโฮวาส่งมาหาชาวอิสราเอล (ปฐมกาล 49:10; เฉลยธรรมบัญญัติ 18:18; สดุดี 118:22, 26) ตอนนี้พระยะโฮวาได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมผ่านทางอิสยาห์ เขาบอกว่า “กิ่งหนึ่งจะงอกออกมาจากตอของเจสซี และหน่อหนึ่งที่งอกออกมาจากรากของเขาจะเกิดผล” (อิสยาห์ 11:1; เทียบกับ สดุดี 132:11) “กิ่ง” และ “หน่อ” ทำให้รู้ว่าเมสสิยาห์จะเป็นลูกหลานของดาวิดซึ่งเป็นลูกชายของเจสซี ดาวิดเป็นคนที่ได้รับการเจิมด้วยน้ำมันให้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล (1 ซามูเอล 16:13; เยเรมีย์ 23:5; วิวรณ์ 22:16) เมื่อเมสสิยาห์มา ท่านจะเป็น “หน่อ” ที่เป็นลูกหลานของดาวิดและจะเกิดผลดี
5 พระเยซูเป็นเมสสิยาห์ตามที่สัญญาไว้ ตอนที่มัทธิวผู้เขียนหนังสือข่าวดียกคำพูดในอิสยาห์ 11:1 และเรียกพระเยซูว่า “ชาวนาซาเร็ธ” คำพยากรณ์ต่าง ๆ ก็สำเร็จเป็นจริง พระเยซูถูกเรียกว่าชาวนาซาเร็ธเพราะท่านโตมาในเมืองนาซาเร็ธ และชื่อนี้เกี่ยวข้องกับคำภาษาฮีบรูที่แปลว่า “หน่อ” ในอิสยาห์ 11:1—มัทธิว 2:23, เชิงอรรถ; ลูกา 2:39, 40
ip-1 น. 159 ว. 6
การช่วยให้รอดและมีความสุขภายใต้การปกครองของเมสสิยาห์
6 เมสสิยาห์จะเป็นผู้ปกครองแบบไหน? ท่านจะเป็นเหมือนผู้ปกครองชาวอัสซีเรียที่ทำลายอิสราเอล 10 ตระกูลทางเหนือไหม? ไม่มีทาง ท่านจะไม่เป็นเหมือนผู้ปกครองชาวอัสซีเรียที่ทั้งโหดร้ายและเห็นแก่ตัว อิสยาห์พูดถึงเมสสิยาห์ว่า “และท่าน ผู้นั้น จะได้รับพลังจากพระยะโฮวาและพลังนี้จะอยู่กับท่าน ท่าน จึงมีสติปัญญาและความเข้าใจ ให้คำปรึกษาได้ดี และมีอำนาจ มีความรู้ และเกรงกลัวพระยะโฮวา ท่าน ผู้นั้น จะมีความยินดีที่ได้เกรงกลัวพระยะโฮวา” (อิสยาห์ 11:2, 3ก) เมสสิยาห์ถูกเจิมด้วยพลังบริสุทธิ์ของพระเจ้าไม่ใช่ด้วยน้ำมัน เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงตอนที่พระเยซูรับบัพติศมา ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเห็นพลังของพระเจ้าที่เป็นเหมือนนกเขาลงมาบนพระเยซู (ลูกา 3:22) พระเยซูทำให้เห็นว่าท่านได้รับพลังจากพระยะโฮวา เพราะท่านมีสติปัญญา ความเข้าใจ ให้คำปรึกษาได้ดี มีอำนาจ และมีความรู้ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นคุณลักษณะที่ยอดเยี่ยมของคนที่เป็นผู้ปกครอง
ip-1 น. 160 ว. 8
การช่วยให้รอดและมีความสุขภายใต้การปกครองของเมสสิยาห์
8 เมสสิยาห์เกรงกลัวพระยะโฮวายังไง? พระเยซูเกรงกลัวแบบที่รักและเคารพนับถือพระยะโฮวา ไม่ได้กลัวจนตัวสั่นหรือกลัวว่าจะถูกลงโทษ คนที่เกรงกลัวพระเจ้าจะ “ทำสิ่งที่พระองค์ชอบเสมอ” เหมือนที่พระเยซูทำ (ยอห์น 8:29) พระเยซูทั้งสอนและทำให้เห็นว่าความเกรงกลัวพระยะโฮวาทำให้มีความสุขจริง ๆ
ip-1 น. 160 ว. 9
การช่วยให้รอดและมีความสุขภายใต้การปกครองของเมสสิยาห์
9 อิสยาห์บอกล่วงหน้ามากขึ้นเกี่ยวกับลักษณะของเมสสิยาห์ว่า “ท่าน จะไม่พิพากษาตามที่ตาเห็น หรือตัดสิน แค่ตามที่หูได้ยิน” (อิสยาห์ 11:3ข) ถ้าคุณต้องขึ้นศาล คุณจะรู้สึกสบายใจไม่ใช่หรือที่เจอผู้พิพากษาแบบนี้? พระเยซูมีความสามารถที่จะพิพากษามนุษยชาติ เพราะเมสสิยาห์ไม่ถูกชักจูงได้ง่ายด้วยคำให้การเท็จ เล่ห์เหลี่ยมในศาล ข่าวลือ หรือปัจจัยอื่น ๆ เช่น เงิน ท่านมองทะลุการหลอกลวงและไม่ได้ตัดสินตามที่ตาเห็น ท่านมองเห็น ‘ความงามที่อยู่ภายใน’ (1 เปโตร 3:4) พระเยซูเป็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมให้กับทุกคนที่ได้รับมอบหมายให้ตัดสินความในประชาคมคริสเตียน—1 โครินธ์ 6:1-4
ip-1 น. 161 ว. 11
การช่วยให้รอดและมีความสุขภายใต้การปกครองของเมสสิยาห์
11 เมื่อสาวกของท่านจำเป็นต้องได้รับการแก้ไข พระเยซูทำด้วยวิธีที่จะเกิดประโยชน์กับพวกเขามากที่สุด สิ่งนั้นเป็นแบบอย่างที่ยอดเยี่ยมให้กับคริสเตียนผู้ดูแล ในทางกลับกัน พระเยซูจะพิพากษาคนที่ทำชั่วอย่างเด็ดขาด เมื่อพระเจ้ามาพิพากษาโลกชั่ว เมสสิยาห์ก็จะ “ลงโทษผู้คนบนโลก” ด้วยเสียงที่ทรงอำนาจของท่านซึ่งจะพิพากษาทำลายล้างความชั่วให้หมดสิ้นไป (สดุดี 2:9; เทียบกับวิวรณ์ 19:15) ในที่สุด จะไม่มีคนชั่วมาทำลายความสงบสุขของมนุษยชาติอีกต่อไป (สดุดี 37:10, 11) พระเยซูซึ่งมีความยุติธรรมและมีความซื่อสัตย์คาดเอวไว้เป็นผู้มีพลังที่จะทำสิ่งนี้ได้สำเร็จ—สดุดี 45:3-7
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
ip-1 น. 165-166 ว. 16-18
การช่วยให้รอดและมีความสุขภายใต้การปกครองของเมสสิยาห์
16 การนมัสการแท้ถูกโจมตีเป็นครั้งแรกตอนที่ซาตานทำให้อาดัมกับเอวาไม่เชื่อฟังพระยะโฮวาในสวนเอเดน ทุกวันนี้ซาตานก็ยังพยายามทำให้ผู้คนมากมายเลิกนมัสการพระเจ้า แต่พระยะโฮวาจะไม่ยอมให้การนมัสการแท้หายไปจากโลก เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชื่อของพระองค์และพระองค์ห่วงใยคนที่สนับสนุนการนมัสการแท้ ดังนั้น พระองค์เลยสัญญาผ่านทางอิสยาห์ว่า “ใน วัน นั้น ผู้ที่เป็น รากของเจสซีจะถูกตั้งขึ้น เป็น สัญญาณให้ชน ชาติต่าง ๆ เห็น ชาติต่าง ๆ จะหัน ไปขอการชี้นำจากท่าน ผู้นี้ ที่อยู่ของท่าน ก็จะงดงาม” (อิสยาห์ 11:10) ในปี 537 ก่อน ค.ศ. กรุงเยรูซาเล็มซึ่งดาวิดได้ตั้งให้เป็นเมืองหลวงก็เป็นเหมือนสัญญาณเรียกชาวยิวที่ซื่อสัตย์ให้กลับจากการเป็นเชลยและมาสร้างวิหารขึ้นใหม่
17 แต่คำพยากรณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีกคือ การปกครองของเมสสิยาห์ซึ่งเป็นผู้นำที่แท้จริงของคนทุกชาติ เปาโลยกข้อความในอิสยาห์ 11:10 เพื่อแสดงให้เห็นว่า ในสมัยของเขาคนทุกชาติจะได้อยู่ในประชาคมคริสเตียน เปาโลเขียนว่า “อิสยาห์ยังบอกด้วยว่า ‘จะมีรากของเจสซี ท่านผู้นั้นจะขึ้นมาปกครองชนชาติทั้งหลาย และชาติต่าง ๆ จะฝากความหวังไว้กับท่าน’” (โรม 15:12) นอกจากนั้น คำพยากรณ์นี้ยังเกิดขึ้นจริงในสมัยของเราด้วย มีคนจากทุกชาติแสดงความรักต่อพระยะโฮวาโดยสนับสนุนผู้ถูกเจิมซึ่งเป็นพี่น้องของเมสสิยาห์—อิสยาห์ 61:5-9; มัทธิว 25:31-40
18 ในสมัยของเรา “วันนั้น” ที่อิสยาห์พูดถึงคือตอนที่เมสสิยาห์เริ่มปกครองในรัฐบาลของพระเจ้าในปี 1914 (ลูกา 21:10; 2 ทิโมธี 3:1-5; วิวรณ์ 12:10) ตั้งแต่นั้นมาพระเยซูก็เป็นเหมือนสัญญาณที่เห็นได้ชัดเจน สำหรับคนที่จะได้ปกครองในสวรรค์และสำหรับคนทุกชาติที่อยากได้รัฐบาลที่ยุติธรรม มีการประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้าไปถึงคนทั่วโลกภายใต้การชี้นำของเมสสิยาห์ (มัทธิว 24:14; มาระโก 13:10) ข่าวดีนี้มีพลังมากจนทำให้ “ชนฝูงใหญ่ที่ไม่มีใครนับจำนวนได้ จากทุกประเทศ” เข้ามาร่วมกันในการนมัสการแท้ภายใต้การปกครองของเมสสิยาห์และสนับสนุนผู้ถูกเจิมที่เหลืออยู่ (วิวรณ์ 7:9) ยังมีคนใหม่ ๆ อีกหลายคนเข้ามาร่วมกับผู้ถูกเจิมใน “วิหารสำหรับการอธิษฐาน” ของพระยะโฮวา พวกเขาทำให้ “ที่อยู่” ของเมสสิยาห์ซึ่งก็คือวิหารโดยนัยของพระเจ้างดงามขึ้นไปอีก—อิสยาห์ 56:7; ฮักกัย 2:7
วันที่ 29 ธันวาคม–4 มกราคม
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล อิสยาห์ 14-16
คนที่เป็นศัตรูกับคนของพระเจ้าจะต้องถูกลงโทษ
ip-1 น. 180 ว. 16
พระยะโฮวาทำให้เมืองที่หยิ่งยโสต้องถ่อมตัวลง
16 เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นทันทีในปี 539 ก่อน ค.ศ. แต่ในทุกวันนี้เราเห็นว่าสิ่งที่อิสยาห์พยากรณ์เกี่ยวกับบาบิโลนได้เกิดขึ้นจริง นักวิจารณ์คัมภีร์ไบเบิลคนหนึ่งบอกว่า บาบิโลน “ได้กลายเป็นเมืองร้างและเหลือแต่ซากปรักหักพังมาหลายร้อยปีแล้ว ทุกวันนี้ก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่” เขายังบอกอีกว่า “เมื่อเห็นแบบนี้แล้วเราก็อดคิดไม่ได้เลยว่าคำพยากรณ์ของอิสยาห์กับเยเรมีย์แม่นยำขนาดไหน” เห็นได้ชัดเลยว่า ไม่มีใครในสมัยของอิสยาห์จะนึกออกว่าบาบิโลนจะล่มจมและกลายเป็นเมืองร้าง แต่ในที่สุด ตอนที่พวกมีเดียกับเปอร์เซียจัดการกับบาบิโลนก็ทำให้คำพยากรณ์ที่อิสยาห์บอกไว้ 200 ปีก่อนหน้านั้นเกิดขึ้นจริง เรื่องนี้ทำให้เราเชื่อสิ่งที่พระเจ้าดลใจให้เขียนในคัมภีร์ไบเบิลมากขึ้นใช่ไหม? (2 ทิโมธี 3:16) นอกจากนั้น เพราะพระยะโฮวาทำให้คำพยากรณ์ในอดีตเกิดขึ้นจริง เราเลยมั่นใจด้วยว่าคำพยากรณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงในคัมภีร์ไบเบิลจะสำเร็จตามเวลาที่พระเจ้ากำหนดไว้แน่ ๆ
ip-1 น. 184 ว. 24
พระยะโฮวาทำให้เมืองที่หยิ่งยโสต้องถ่อมตัวลง
24 ในสมัยคัมภีร์ไบเบิล กษัตริย์ที่มาจากตระกูลดาวิดถูกเปรียบเหมือนกับดวงดาว (กันดารวิถี 24:17) ตั้งแต่ดาวิดเป็นต้นมา “ดาว” เหล่านั้นปกครองจากภูเขาศิโยน และหลังจากที่โซโลมอนสร้างวิหาร ชื่อศิโยนก็ถูกใช้เพื่อเรียกเยรูซาเล็มทั้งเมือง ตามกฎหมายของพระเจ้า ผู้ชายชาวอิสราเอลทุกคนต้องไปที่ศิโยนปีละ 3 ครั้ง ดังนั้น ศิโยนเลยกลายเป็น “ภูเขาที่ประชาชนของพระเจ้ามาประชุมกัน” เมื่อคิดถึงตอนที่เนบูคัดเนสซาร์จัดการกับกษัตริย์ชาวยิวและปลดพวกเขาออกจากภูเขาศิโยน ก็เหมือนกับเนบูคัดเนสซาร์กำลังประกาศว่าตัวเขาตั้งใจจะอยู่เหนือ “ดาว” เหล่านั้น เขาแสดงความหยิ่งและยกย่องตัวเองแทนที่จะยกย่องพระยะโฮวาที่ช่วยให้ได้ชัยชนะ
ip-1 น. 189 ว. 1
พระยะโฮวาสั่งสอนชาติต่าง ๆ
พระยะโฮวาสามารถใช้ชาติต่าง ๆ เพื่อสั่งสอนประชาชนของพระองค์ที่ทำชั่ว ถึงอย่างนั้น พระองค์ก็ไม่ได้ละเลยที่ชาติเหล่านั้นทั้งโหดเหี้ยม หยิ่งยโส และตั้งตัวเป็นศัตรูกับการนมัสการแท้ ดังนั้น พระองค์เลยดลใจอิสยาห์ให้เขียนเกี่ยวกับ “คำพิพากษาต่อบาบิโลน” (อิสยาห์ 13:1) ในสมัยของอิสยาห์ ชาติที่กำลังกดขี่พวกเขาไม่ใช่บาบิโลนแต่เป็นชาวอัสซีเรีย อัสซีเรียกวาดล้างอิสราเอล 10 ตระกูลทางเหนือและทำลายพื้นที่ส่วนใหญ่ของยูดาห์ ถึงอย่างนั้น อัสซีเรียก็ไม่สามารถเอาชนะได้อย่างเด็ดขาด อิสยาห์บอกว่า “พระยะโฮวาผู้เป็น จอมทัพได้สาบาน ไว้ว่า ‘เรื่องที่เราตั้งใจไว้ต้องเกิดขึ้น . . . เราจะทำลาย อัสซีเรีย ที่มาเหยียบแผ่นดิน ของเรา และเราจะกระทืบพวกเขาบน ภูเขาต่าง ๆ ของเรา แอกที่พวกเขาวางไว้จะต้องเอาออกจากคอประชาชน ของเรา และภาระที่พวกเขาวางไว้ก็จะต้องยกออกจากบ่าประชาชน ของเราด้วย’” (อิสยาห์ 14:24, 25) ไม่นานหลังจากที่อิสยาห์พยากรณ์เรื่องนี้ ชาวอัสซีเรียที่มารุกรานยูดาห์ก็ถูกกำจัด
ip-1 น. 194 ว. 12
พระยะโฮวาสั่งสอนชาติต่าง ๆ
12 คำพยากรณ์นี้จะเกิดขึ้นจริงเมื่อไหร่? อีกไม่นาน “พระยะโฮวาเคย บอกไว้อย่างนั้น เกี่ยวกับโมอับ แต่ตอน นี้ พระยะโฮวาบอกว่า “ภาย ใน 3 ปีไม่ขาดไม่เกิน (อย่างที่คน งาน นับเวลาเมื่อถูกจ้างงาน) โมอับซึ่งมีเกียรติยศมากมาย จะถูกเหยียดลง เพราะจะเกิดความโกลาหลวุ่นวาย และคน ที่เหลือรอดจะน้อย มากและไม่มีความสำคัญอะไร” (อิสยาห์ 16:13, 14) เรื่องนี้สอดคล้องกับหลักฐานทางโบราณคดีที่แสดงว่าในช่วงศตวรรษที่ 8 ก่อน ค.ศ. โมอับต้องสูญเสียหลายอย่างและพื้นที่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีคนอาศัยอยู่ ทิกลัท-ปิเลเสอร์ที่ 3 พูดถึงซาลามานุแห่งโมอับว่าเป็นหนึ่งในผู้ปกครองที่จ่ายเครื่องบรรณาการให้กับเขา เซนนาเคอริบได้รับของบรรณาการจากกษัตริย์ของโมอับที่ชื่อคัมมุซุนัดบี กษัตริย์อัสซีเรียอีกสององค์คือเอสาร์ฮัดโดนและอัชเชอร์บานิปาลพูดถึงกษัตริย์โมอับที่อยู่ภายใต้อำนาจของพวกเขาคือ กษัตริย์มูซูริและคามาชัลตู ไม่มีชาวโมอับหลงเหลืออยู่มาเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว ถึงจะมีการค้นพบซากปรักหักพังที่น่าจะเป็นเมืองของชาวโมอับ แต่ก็ไม่ค่อยมีหลักฐานเกี่ยวกับชาตินี้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นศัตรูที่มีอำนาจมากของชาวอิสราเอล
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
จุดเด่นจากพระธรรมยะซายา—ตอนแรก
14:1, 2—ประชาชนของพระยะโฮวากลายเป็น “นาย” และได้ “บังคับบัญชาผู้ที่เคยเป็นนายข่มขี่เขา” อย่างไร? ข้อนี้สำเร็จเป็นจริงเป็นรายบุคคล เช่น ในกรณีดานิเอลซึ่งดำรงตำแหน่งสูงในบาบิโลนภายใต้การปกครองของมีเดียและเปอร์เซีย; เอศเธระซึ่งกลายเป็นราชินีแห่งเปอร์เซีย; และมาระดะคายที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งจักรวรรดิเปอร์เซีย.