เรื่องราวชีวิตจริง
จากคนขี้อายกลายเป็นมิชชันนารี
ตอนเป็นเด็ก ฉันทั้งขี้อายและขี้กลัว แต่ในเวลาต่อมาพระยะโฮวาช่วยให้ฉันเป็นมิชชันนารีที่รักและห่วงใยคนอื่น เป็นแบบนั้นได้ยังไง? ตอนแรกพระยะโฮวาช่วยฉันผ่านทางพ่อซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดี ต่อมาพี่น้องหญิงวัยรุ่นคนหนึ่งก็เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับฉันด้วย และอีกคนหนึ่งที่ช่วยฉันก็คือสามี เขาให้คำแนะนำดี ๆ และอ่อนโยนกับฉัน คุณอยากฟังเรื่องราวชีวิตของฉันไหม? เดี๋ยวฉันจะเล่าให้ฟัง
ฉันเกิดในปี 1951 ที่กรุงเวียนนา ออสเตรีย ครอบครัวฉันเป็นคาทอลิก ฉันขี้อาย ไม่ค่อยกล้าเล่าความรู้สึกของตัวเองกับใคร แต่ฉันกลับรู้สึกสบายใจที่จะอธิษฐานถึงพระเจ้าบ่อย ๆ ตอนฉันอายุ 9 ขวบ พ่อเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพยานพระยะโฮวา และต่อมาไม่นานแม่ก็เริ่มศึกษาด้วย
กับเอลีซาเบ็ธ น้องสาวของฉัน (คนซ้าย)
เราอยู่ในประชาคมด็อบลิงที่กรุงเวียนนา เราทำอะไรหลายอย่างด้วยกันเป็นครอบครัว เช่น อ่านและศึกษาคัมภีร์ไบเบิลด้วยกัน ไปประชุมที่หอประชุม และอาสาสมัครช่วยงานในการประชุมใหญ่ ตั้งแต่ตอนที่ฉันยังเด็กพ่อสอนให้ฉันรักพระยะโฮวา รู้ไหมว่าพ่อถึงกับอธิษฐานขอให้ฉันกับน้องสาวโตขึ้นมาเป็นไพโอเนียร์ แต่ตอนนั้นฉันไม่มีเป้าหมายอย่างนั้นเลย
เริ่มทำงานรับใช้เต็มเวลา
ฉันรับบัพติศมาในปี 1965 ตอนที่อายุ 14 แต่ถึงจะรับบัพติศมาแล้ว ฉันก็รู้สึกยากมากที่จะต้องคุยกับคนแปลกหน้าตอนที่ไปประกาศ และยังรู้สึกด้วยว่าตัวเองด้อยกว่าเพื่อน ๆ ในวัยเดียวกัน ฉันก็เลยพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะเป็นที่ยอมรับของพวกเขา ดังนั้น หลังจากรับบัพติศมาไม่นาน ฉันเริ่มไปคบกับเพื่อนที่ไม่ได้เป็นพยานฯ ฉันชอบอยู่กับพวกเขามาก แต่ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีก็รบกวนใจฉันเหลือเกินเพราะฉันใช้เวลากับพวกเขามากเกินไป ทั้งที่รู้สึกแบบนี้ แต่ฉันก็ไม่มีแรงที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่รู้ไหมอะไรที่ช่วยฉัน?
ฉันได้เรียนหลายอย่างจากโดโรธี (คนซ้าย)
ตอนนั้นมีพี่น้องหญิงวัยรุ่นคนหนึ่งอายุ 16 ชื่อโดโรธีมาที่ประชาคมของเรา ฉันประทับใจความกระตือรือร้นของเธอในการประกาศตามบ้านมาก ฉันอายุมากกว่าเธอนิดหน่อยแต่ฉันไม่ค่อยขยันประกาศสักเท่าไหร่ ฉันคิดในใจว่า ‘พ่อแม่ของฉันเป็นพยานฯ ทั้งคู่ แต่โดโรธีไม่มีใครในครอบครัวเป็นพยานฯ เลย เธออยู่กับแม่แค่สองคน แถมแม่ของเธอก็ป่วย แต่เธอก็ยังไปประกาศเป็นประจำ’ ตัวอย่างของเธอกระตุ้นให้ฉันอยากรับใช้พระยะโฮวามากขึ้น ไม่นานหลังจากนั้น ฉันกับโดโรธีก็รับใช้เป็นไพโอเนียร์ด้วยกัน ตอนแรกเราเป็นไพโอเนียร์สมทบซึ่งในสมัยนั้นเรียกว่าไพโอเนียร์พักงาน ต่อมาเราก็รับใช้เป็นไพโอเนียร์ประจำด้วยกัน เมื่อเห็นโดโรธีกระตือรือร้นในงานรับใช้ มันก็ทำให้ฉันรู้สึกแบบนั้นตามไปด้วย เธอช่วยฉันให้เริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับนักศึกษาคนแรก ต่อมา ฉันก็เริ่มรู้สึกง่ายขึ้นที่จะประกาศกับผู้คนตามบ้าน ตามถนน และในที่อื่น ๆ
ช่วงปีแรกที่ฉันรับใช้เป็นไพโอเนียร์ประจำ มีพี่น้องชายชาวออสเตรียคนหนึ่งชื่อไฮนซ์ย้ายมาที่ประชาคมของเรา เขาเรียนความจริงที่แคนาดาตอนที่ไปเยี่ยมพี่ชายซึ่งเป็นพยานฯ ไฮนซ์ถูกมอบหมายให้มารับใช้เป็นไพโอเนียร์พิเศษในประชาคมของเราที่กรุงเวียนนา ครั้งแรกที่ฉันเจอเขา ฉันก็รู้สึกชอบเขาทันที แต่เขามีเป้าหมายที่จะเป็นมิชชันนารี ส่วนฉันไม่มีเป้าหมายแบบนั้น ฉันก็เลยเก็บความรู้สึกของฉันเอาไว้ก่อน แต่ต่อมาฉันกับไฮนซ์ก็เริ่มคบกัน แล้วเราก็แต่งงานกัน หลังจากนั้นเราเริ่มรับใช้เป็นไพโอเนียร์ด้วยกันที่ออสเตรีย
เริ่มตั้งเป้าอยากจะเป็นมิชชันนารี
ไฮนซ์พูดกับฉันบ่อย ๆ ว่าเขาอยากเป็นมิชชันนารี แต่เขาไม่เคยกดดันฉันเลย เขามักจะกระตุ้นให้ฉันคิดโดยพูดว่า “เราสองคนก็ไม่มีลูก งั้นเราจะรับใช้พระยะโฮวามากขึ้นดีไหม?” แต่ฉันเป็นคนขี้อาย ฉันเลยไม่กล้ารับใช้เป็นมิชชันนารี ก็จริงที่ฉันเป็นไพโอเนียร์อยู่ แต่การเป็นมิชชันนารีมันเป็นอะไรที่ไกลเกินเอื้อมสำหรับฉัน ถึงอย่างนั้นไฮนซ์ก็อดทน เขาคอยชวนฉันให้คิดถึงเป้าหมายนี้บ่อย ๆ เขายังกระตุ้นให้ฉันสนใจที่การช่วยเหลือผู้คนแทนที่จะเอาแต่คิดถึงตัวเอง และคำแนะนำของเขาก็ช่วยฉันได้มากจริง ๆ
ไฮนซ์นำการศึกษาหอสังเกตการณ์ในประชาคมเล็ก ๆ ที่ใช้ภาษาเซอร์เบีย-โครเอเชียที่เมืองซาลซ์บูร์ก ประเทศออสเตรีย ปี 1974
แล้วฉันก็ค่อย ๆ อยากรับใช้เป็นมิชชันนารี ในที่สุดเราก็เลยส่งใบสมัครเข้าโรงเรียนกิเลียด แต่พี่น้องที่ทำงานในสาขาแนะนำให้ฉันฝึกพูดภาษาอังกฤษให้เก่งขึ้นกว่านี้ก่อน หลังจากฝึกภาษาอังกฤษอยู่ 3 ปีเราก็ตกใจมากที่ถูกมอบหมายให้ไปในประชาคมที่ใช้ภาษาเซอร์เบีย-โครเอเชียที่เมืองซาลซ์บูร์ก ประเทศออสเตรีย เรารับใช้อยู่ที่นั่น 7 ปี ซึ่งในช่วงนั้นสามีฉันรับใช้เป็นผู้ดูแลหมวดด้วย 1 ปี ภาษาเซอร์เบีย-โครเอเชียยากมาก แต่เราก็มีนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลหลายคน
ในปี 1979 เราได้รับมอบหมายให้ไป “เที่ยวพักผ่อน” ที่บัลแกเรีย งานประกาศที่นั่นถูกสั่งห้าม เราเลยไม่ได้ไปประกาศในตอนนั้น แต่เราแอบเอาหนังสือนิดหน่อยไปให้พี่น้องหญิง 5 คนที่อยู่ในเมืองโซเฟียซึ่งเป็นเมืองหลวงของบัลแกเรีย ตอนแรกฉันกลัวมาก แต่พระยะโฮวาก็ช่วยให้ฉันทำงานมอบหมายที่น่าตื่นเต้นนี้ได้ การได้เห็นพี่น้องหญิงเหล่านี้กล้าหาญและมีความสุขทั้ง ๆ ที่พวกเธอเสี่ยงที่จะต้องติดคุก มันช่วยให้ฉันอยากทำงานรับใช้เต็มที่ไม่ว่าองค์การของพระยะโฮวาจะมอบหมายให้ฉันทำอะไร
หลังจากนั้น เราก็ส่งใบสมัครเข้าโรงเรียนกิเลียดอีกครั้งและเราก็ได้รับเชิญ ตอนแรกเราคิดว่าจะได้เข้าเรียนในภาษาอังกฤษที่สหรัฐอเมริกา แต่เดือนพฤศจิกายนปี 1981 มีการจัดชั้นเรียนที่สำนักงานสาขาในเมืองวีสบาเดิน เยอรมนี เราก็เลยได้เข้าเรียนในภาษาเยอรมันซึ่งง่ายกว่าสำหรับฉัน แต่เมื่อเรียนจบแล้ว เราจะถูกส่งไปที่ไหน?
รับใช้ในประเทศที่มีสงคราม
เราได้รับมอบหมายให้ไปที่เคนยา แต่สำนักงานสาขาที่นั่นกลับถามว่าเราจะไปรับใช้ที่ยูกันดาได้ไหม สิบปีก่อนหน้านี้ รัฐบาลยูกันดาถูกรัฐประหารโดยนายพลอีดี อามิน ในช่วงที่เขาปกครองมีหลายพันคนถูกฆ่าและหลายล้านคนมีชีวิตที่ยากลำบาก แล้วในปี 1979 รัฐบาลยูกันดาก็ถูกรัฐประหารอีกครั้ง คุณคงเข้าใจแล้วว่าทำไมฉันถึงกลัวและไม่กล้าย้ายไปรับใช้ในประเทศนี้ แต่โรงเรียนกิเลียดสอนให้เราไว้วางใจพระยะโฮวา เราก็เลยตอบรับงานมอบหมายนี้
สถานการณ์ที่ยูกันดาน่ากลัวและสับสนวุ่นวายมาก ไฮนซ์เล่าไว้ในหนังสือประจำปีของพยานพระยะโฮวา 2010 (ภาษาอังกฤษ) ว่า “ระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ. . . เช่น น้ำประปาและระบบสื่อสารใช้การไม่ได้เลย การยิงกันและการบุกปล้นเป็นเรื่องปกติโดยเฉพาะในตอนกลางคืน . . . ผู้คนจะอยู่ในบ้านและอธิษฐานขอให้คืนนี้ผ่านพ้นไปโดยไม่มีใครบุกเข้ามาในบ้าน” ถึงแม้จะลำบากมากขนาดนี้ แต่พี่น้องก็ยังคงมีความเชื่อเข้มแข็ง
ทำอาหารที่บ้านของครอบครัวพี่น้องวาอิสวา
ในปี 1982 ฉันกับสามีเดินทางมาถึงเมืองกัมปาลาซึ่งเป็นเมืองหลวงของยูกันดา ในช่วง 5 เดือนแรกเราพักอยู่ที่บ้านของแซมกับคริสติน่า วาอิสวา ซึ่งในบ้านนี้มีลูก 5 คนและญาติ ๆ อีก 4 คน ถึงช่วงนั้นแซมกับคริสติน่าและลูก ๆ จะกินข้าวแค่วันละ 1 มื้อเท่านั้น แต่พวกเขาก็เต็มใจแบ่งปันสิ่งที่มีให้พวกเราเสมอ ในช่วงที่พักอยู่กับครอบครัวนี้ฉันกับสามีได้เรียนหลายอย่างที่ช่วยให้เราใช้ชีวิตมิชชันนารีได้ เช่น เราได้เรียนรู้วิธีประหยัดน้ำโดยอาบน้ำแบบใช้น้ำน้อย ๆ แล้วก็เก็บน้ำที่ล้างตัวนั้นมาราดโถส้วมด้วย ในปี 1983 ฉันกับไฮนซ์ย้ายไปอยู่ในบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัยในเมืองกัมปาลา
เรามีความสุขกับงานรับใช้ที่นั่นมาก ฉันจำได้ว่ามีเดือนหนึ่งเราให้วารสารไปมากกว่า 4,000 เล่ม และผู้คนที่นั่นก็สุดยอดมาก พวกเขานับถือพระเจ้าและอยากคุยเรื่องคัมภีร์ไบเบิล ปกติแล้วฉันกับไฮนซ์มีนักศึกษาคนละ 10-15 ราย เราได้เรียนหลายอย่างจากนักศึกษาของเราด้วย เช่น เราเห็นค่ามากที่พวกเขาเดินไปหอประชุมโดยที่ไม่เคยบ่นและยิ้มอย่างมีความสุขตลอด
ในปี 1985 และปี 1986 มีสงครามกลางเมืองเกิดขึ้นอีก 2 ครั้งที่ยูกันดา เรามักจะเห็นเด็ก ๆ ที่ถูกบังคับให้เป็นทหารถือปืนไรเฟิลและอยู่ตามด่านต่าง ๆ ในช่วงเวลานั้นตอนที่เราไปหาคนที่สนใจเรียนคัมภีร์ไบเบิล เราจะอธิษฐานขอสติปัญญาจากพระยะโฮวาและขอพระองค์ช่วยให้เราสงบใจ และพระยะโฮวาก็ตอบคำอธิษฐานของเรา พอได้เจอคนที่สนใจข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า เราก็ลืมความกลัวไปเลย
ไฮนซ์กับฉันและตัตยานา (คนกลาง)
เรายังชอบประกาศกับคนต่างชาติที่อยู่ในยูกันดาด้วย เราได้ศึกษากับมูรัตและดิลบาร์ อิเบตุลลิน ที่มาจากสาธารณรัฐตาตาร์สถานซึ่งอยู่ทางตอนกลางของรัสเซีย มูรัตเป็นหมอ เขากับภรรยาเข้ามาในความจริงและรับใช้อย่างกระตือรือร้นจนถึงทุกวันนี้ ต่อมา ฉันก็ได้เจอกับตัตยานา วีเลย์สกา เธอมาจากยูเครน ตัตยานามีอาการซึมเศร้ามากจนเคยคิดจะฆ่าตัวตาย แต่หลังจากที่เธอศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและรับบัพติศมาแล้ว เธอก็ย้ายกลับไปที่ยูเครน และต่อมาเธอก็ช่วยทำงานแปลหนังสือขององค์การด้วยa
งานมอบหมายใหม่
ในปี 1991 ตอนที่ฉันกับไฮนซ์ลาพักอยู่ที่ออสเตรีย เราได้รับการติดต่อจากสำนักงานสาขาที่ออสเตรียว่าเราได้รับงานมอบหมายใหม่ให้ไปรับใช้ที่บัลแกเรีย หลังจากระบบคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออกล่มสลาย งานของพยานพระยะโฮวาในบัลแกเรียก็ได้รับการรับรองอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ก่อนหน้านี้ฉันกับไฮนซ์เคยแอบเอาหนังสือเข้าไปในบัลแกเรียมาแล้วตอนที่งานประกาศถูกสั่งห้าม แต่ตอนนี้เราได้รับมอบหมายให้ไปประกาศที่นั่น
เราได้รับคำแนะนำว่าไม่ต้องกลับไปที่ยูกันดา เราเลยไม่ได้เก็บข้าวเก็บของและบอกลาเพื่อน ๆ ที่นั่น เราเดินทางจากออสเตรียไปที่เบเธลเยอรมนีเพื่อไปเอารถแล้วก็ขับไปที่บัลแกเรีย พอไปถึง เราก็ได้รับมอบหมายให้สมทบกับกลุ่มพี่น้องซึ่งมีผู้ประกาศประมาณ 20 คนในเมืองโซเฟีย
ตอนที่รับใช้ในบัลแกเรีย เราเจอข้อท้าทายใหม่ ๆ หลายอย่าง เช่น เราพูดภาษาบัลแกเรียไม่ได้ นอกจากนั้น มีหนังสือในภาษาบัลแกเรียแค่ 2 เล่มก็คือหนังสือความจริงซึ่งนำไปสู่ชีวิตถาวร และหนังสือของฉันเกี่ยวด้วยเรื่องราวในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล นอกจากนั้น การเริ่มการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลก็ยากมาก แต่ถึงแม้จะเจอกับข้อท้าทายเหล่านี้ พี่น้องในกลุ่มเล็ก ๆ ของเราก็ประกาศอย่างกระตือรือร้น แต่คนในคริสตจักรออร์โทด็อกซ์ไม่ชอบที่เราประกาศ พวกเขาก็เลยเริ่มข่มเหงเรา
ในปี 1994 รัฐบาลบัลแกเรียยกเลิกการจดทะเบียนของพยานพระยะโฮวา หลายคนก็เลยทำเหมือนกับว่าเราเป็นลัทธิอันตราย พี่น้องหลายคนถูกจับ และเนื่องจากพวกเราไม่ยอมเติมเลือด สื่อต่าง ๆ เลยแพร่คำโกหกเกี่ยวกับเราโดยอ้างว่าพยานพระยะโฮวาไม่ใช่แค่ฆ่าลูกของตัวเองเท่านั้น แต่ยังยุยงให้สมาชิกคนอื่น ๆ ฆ่าตัวตายด้วย ฉันกับไฮนซ์ทำงานประกาศยากมาก มีหลายครั้งที่ผู้คนตะโกนใส่หน้าเรา เรียกตำรวจมาจับเรา หรือขว้างปาข้าวของใส่เรา การเอาหนังสือขององค์การเข้ามาในประเทศก็ยากมาก แถมการเช่าสถานที่เพื่อจัดการประชุมก็ไม่ใช่เรื่องง่ายด้วย มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่เราจัดการประชุมใหญ่ ตำรวจได้บุกเข้ามาและสั่งให้เราหยุดการประชุม เราสองคนไม่เคยเจอคนที่เกลียดเรามากขนาดนี้ มันไม่เหมือนกับเขตงานในยูกันดาเลย ที่นั่นเราเจอแต่คนใจดีที่อยากศึกษาคัมภีร์ไบเบิล แล้วอะไรช่วยเราให้รับมือกับเรื่องพวกนี้ได้?
เราใช้เวลากับพี่น้องซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยเราได้มาก พี่น้องมีความสุขที่ได้เจอความจริงและเห็นค่าที่เรามาช่วยพวกเขา พี่น้องทุกคนพยายามสนิทกันและช่วยเหลือกันเสมอ เราได้เรียนจากประสบการณ์นี้ว่า เราสามารถมีความสุขกับงานมอบหมายทุกอย่างที่เราได้รับถ้าเราสนใจผู้คนแทนที่จะสนใจปัญหาของเรา
ที่สำนักสาขาบัลแกเรีย ปี 2007
แต่พอเวลาผ่านไปสิ่งต่าง ๆ ก็เริ่มดีขึ้น ในปี 1998 รัฐบาลบัลแกเรียอนุญาตให้เราจดทะเบียนเป็นศาสนาอีกครั้ง และสิ่งพิมพ์หลายเล่มของเราก็ได้รับการแปลเป็นภาษาบัลแกเรีย ในปี 2004 มีการอุทิศสำนักงานสาขาใหม่ที่นั่น และทุกวันนี้มีผู้ประกาศในบัลแกเรียถึง 2,953 คนและมี 57 ประชาคม ในปีการรับใช้ 2024 มียอดผู้เข้าร่วมการประชุมอนุสรณ์มากถึง 6,475 คน จากตอนแรกที่มีพี่น้องหญิงแค่ 5 คนในเมืองโซเฟีย ตอนนี้เรามีถึง 9 ประชาคมที่นั่น เราได้เห็นคำพยากรณ์นี้เป็นจริงเลยที่ว่า “คนจำนวนน้อยจะเพิ่มเป็นจำนวนพัน”—อสย. 60:22
รับมือกับปัญหาส่วนตัว
ฉันเองก็มีปัญหาสุขภาพหลายอย่าง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฉันมีเนื้องอกขึ้นมาหลายที่และมีเนื้องอกในสมองก้อนหนึ่งด้วย ฉันได้รับการรักษาโดยการฉายรังสี และได้เดินทางไปที่อินเดียเพื่อจะผ่าตัดเอาเนื้องอกออก หมอผ่าตัดนานถึง 12 ชั่วโมงและสามารถเอาเนื้องอกออกไปได้เกือบทั้งหมด หลังจากนั้น ฉันก็พักฟื้นอยู่ที่สำนักงานสาขาอินเดีย และพอรู้สึกดีขึ้นฉันก็เดินทางกลับไปบัลแกเรีย
ช่วงนั้นไฮนซ์เริ่มเป็นโรคทางพันธุกรรมที่หายากที่เรียกว่าโรคประสาทชักกระตุก โรคนี้ทำให้เขามีปัญหาเรื่องการเดิน การพูด และการควบคุมกล้ามเนื้อ ยิ่งเวลาผ่านไปฉันก็ยิ่งต้องช่วยไฮนซ์มากขึ้นเรื่อย ๆ บางครั้งฉันรู้สึกเหนื่อยมากและกังวลว่าฉันจะดูแลเขาต่อไปได้หรือเปล่า แต่ช่วงเวลานั้นเอง มีพี่น้องหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อบ็อบบี้ชอบชวนไฮนซ์ไปประกาศบ่อย ๆ บ็อบบี้ไม่อายตอนที่ไฮนซ์พูดไม่ชัดหรือทำอะไรได้ลำบาก ตอนที่ฉันดูแลไฮนซ์ไม่ไหว บ็อบบี้ก็เป็นที่พึ่งให้ฉันได้เสมอ ถึงแม้ว่าฉันกับไฮนซ์จะไม่มีลูก แต่เราสองคนรู้สึกเลยว่าพระยะโฮวาให้บ็อบบี้มาเป็นเหมือนลูกชายของเรา—มก. 10:29, 30
นอกจากนั้นไฮนซ์ยังเป็นมะเร็งด้วย น่าเศร้าที่เขาจากฉันไปในปี 2015 ฉันคิดถึงเขามากเพราะเขาเป็นคนที่คอยทำให้ฉันหายกังวล ไม่อยากจะเชื่อจริง ๆ เลยว่าไฮนซ์ไม่อยู่แล้ว ถึงอย่างนั้น ในความทรงจำของฉัน ภาพของเขาก็ยังชัดเจนอยู่เสมอ (ลก. 20:38) ฉันยังจำคำพูดและคำแนะนำของเขาได้ดี ขอบคุณจริง ๆ ที่เราได้รับใช้ด้วยกันมานานหลายปี
ขอบคุณพระยะโฮวาที่ช่วยฉัน
พระยะโฮวาช่วยให้ฉันรับมือกับความยากลำบากทุกอย่างได้ และพระองค์ยังช่วยฉันให้เอาชนะความขี้อายและกลายเป็นมิชชันนารีที่รักและห่วงใยคนอื่นด้วย (2 ทธ. 1:7) นอกจากนั้น ฉันยังต้องขอบคุณพระยะโฮวาจริง ๆ ที่พระองค์ช่วยให้ตอนนี้ทั้งฉันและน้องสาวยังคงรับใช้เต็มเวลาอยู่ ทุกวันนี้น้องสาวกับสามีของเธอทำงานเยี่ยมประชาคมต่าง ๆ ในยุโรปที่ใช้ภาษาเซอร์เบีย เห็นได้ชัดเลยว่าคำอธิษฐานของพ่อเมื่อหลายปีก่อนกลายเป็นจริง
การศึกษาส่วนตัวช่วยให้ฉันมีความสงบใจ และตอนที่ฉันรู้สึกแย่ฉันก็จะ “อธิษฐานอ้อนวอนอย่างหนัก” เหมือนที่พระเยซูทำ (ลก. 22:44) วิธีหนึ่งที่พระยะโฮวาตอบฉันก็คือโดยผ่านทางพี่น้องที่น่ารักในประชาคมนาเดชดาในเมืองโซเฟีย พวกเขาชอบชวนฉันไปทำอะไร ๆ ด้วยกันและแสดงความรักกับฉันบ่อย ๆ ซึ่งนี่ทำให้ฉันมีความสุขมาก
ฉันมักจะคิดถึงเรื่องการฟื้นขึ้นจากตายอยู่บ่อย ๆ ฉันชอบนึกภาพในโลกใหม่ ตอนที่พ่อแม่ยืนอยู่หน้าบ้าน พวกเขาดูเป็นหนุ่มเป็นสาวเหมือนเพิ่งแต่งงานกันใหม่ ๆ ฉันเห็นน้องสาวกำลังทำอาหาร และเห็นไฮนซ์กำลังจูงม้าของเขา ภาพแบบนี้แหละที่ทำให้ฉันมีความสุขมาก มันช่วยให้ฉันอดทนได้และใจของฉันรู้สึกขอบคุณพระยะโฮวาเสมอ
เมื่อคิดถึงสิ่งดี ๆ ที่พระยะโฮวาได้ให้กับฉันมาแล้ว และคิดถึงสิ่งที่พระองค์จะทำเพื่อฉันในอนาคต มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกับดาวิดที่พูดไว้ในสดุดี 27:13, 14 ว่า “ถ้าผมไม่เชื่อว่าจะได้เห็นความดีของพระยะโฮวาเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้ผมจะเป็นอย่างไร? รอคอยพระยะโฮวาเถอะ กล้าหาญและเข้มแข็งเข้าไว้ รอคอยพระยะโฮวาเถอะ”
a ดูเรื่องราวชีวิตจริงของพี่น้องตัตยานา วีเลย์สกาในตื่นเถิด! (ภาษาอังกฤษ) 22 ธันวาคม 2000 น. 20-24