อนาคตของศาสนาจากการพิจารณาศาสนาในอดีต
ตอนที่ 22: จาก ส.ศ. 1900 เป็นต้นมา ศาสนาเท็จถูกคว่ำโดยอดีตของตัวเอง!
“สิ่งที่สำคัญต่ออนาคตของชาติใดก็อยู่ในอดีตของชาตินั้น.” อาร์เทอร์ ไบรอันท์ นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษในศตวรรษที่ยี่สิบ
บาบุโลนใหญ่เป็นชื่อที่คัมภีร์ไบเบิลเรียกจักรภพโลกแห่งศาสนาเท็จ โดยเทียบเคียงกับชาติบาบุโลนโบราณ. (วิวรณ์ 18:2) สิ่งที่เกิดขึ้นกับจักรภพโบราณนั้นเป็นลางบอกถึงสิ่งเลวร้ายที่จะเกิดกับจักรภพชื่อเดียวกันในสมัยปัจจุบัน. ภายในคืนเดียวเมื่อปี 539 ก่อนสากลศักราชบาบุโลนก็ตกเป็นของชาวเมโดและชาวเปอร์เซียร์ภายใต้การนำของไซรัสมหาราช. หลังจากได้เปลี่ยนทิศทางของน้ำในแม่น้ำยูเฟรติส ซึ่งไหลผ่านตัวเมือง กองทหารจู่โจมก็สามารถเคลื่อนเข้าไปตามท้องแม่น้ำโดยฝ่ายตรงข้ามไม่ทันรู้ตัว.
พระยะโฮวาเจ้าและพระบุตรเยซูคริสต์ กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่กว่าไซรัส จะทรงมีชัยชนะในทำนองเดียวกันเหนือบาบุโลนใหญ่ที่อสัตย์อธรรม. คัมภีร์ไบเบิลพรรณนาถึง เมืองนี้ว่าเป็นหญิงแพศยาอันฉาวโฉ่นั่งอยู่บนน้ำมากหลาย ซึ่งบ่งถึงการสนับสนุนจาก “ประชาชน และประเทศ และภาษาต่าง ๆ.” แต่ก่อนจะถึงความพินาศ การสนับสนุนนี้ซึ่งเป็นเหมือน “แม่น้ำใหญ่คือแม่น้ำฟะราธ” จะต้อง “แห้งไป เพื่อจะได้เตรียมมรรคาไว้สำหรับกษัตริย์องค์เหล่านั้นที่มาจากทิศตะวันออก.”—วิวรณ์ 16:12; 17:1, 15.
หลักฐานที่แสดงว่าขั้นตอนของการแห้งไปเช่นนั้นกำลัง เกิดขึ้นในปัจจุบัน คงจะมีค่ายิ่งในการระบุศาสนาเท็จ. มีพยานหลักฐานเช่นนั้นบ้างไหม?
อนาคตที่ดูสดใสกลับสลัวลง
ขณะศตวรรษที่ยี่สิบเริ่มต้นขึ้น ผู้คนบนโลกหนึ่งในสามนับถือศาสนาคริสเตียน. อนาคตของคริสต์ศาสนจักรดูแจ่มใส. ในปี 1900 จอห์น อาร์ ม็อท ผู้นับถือนิกายอีแวนเจลิสต์ และเป็นผู้ชนะรางวัลโนเบลได้สะท้อนให้เห็นการมองในแง่ดีโดยจัดพิมพ์หนังสือขึ้นเล่มหนึ่งชื่อดิ อีแวนเจไลเซชั่น ออฟ เดอะ เวิลด์ อิน ดิส เจเนเรชัน (การเผยแพร่ศาสนาคริสเตียนของโลกในชั่วอายุนี้).
แต่หนังสือเวิลด์ คริสเตียน เอ็นไซโคลพีเดียยอมรับดังนี้ “ศตวรรษที่ยี่สิบได้แสดงให้เห็นว่าแตกต่างไปอย่างน่าตกใจจากที่มีการคาดหมายเอาไว้.” มีการอธิบายว่า “ไม่มีใครเลยในปี 1900 ที่ได้คาดคิดถึงการออกหากครั้งใหญ่จากศาสนาคริสเตียนซึ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ในยุโรปตะวันตกเนื่องจากลัทธิทางโลก ในรัสเซียและยุโรปตะวันออกอันเนื่องมาจากลัทธิคอมมิวนิสต์ และในอเมริกาเนื่องจากลัทธิวัตถุนิยม” หนังสือนี้กล่าวต่อไปว่าลัทธิเหล่านี้และ “ศาสนาเทียม” อื่น ๆ ได้เจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว “จากการปรากฏเพียงเล็กน้อยในปี 1900 คือเพียงร้อยละ 0.2 . . . จนถึงร้อยละ 20.8 ของโลกในปี 1980.”
“การออกหากครั้งใหญ่” เหล่านี้ได้ทำให้คริสต์จักรต่าง ๆ ในยุโรปตะวันตกร้างผู้คนไปจริง ๆ. นับแต่ปี 1970 คริสต์จักรลูเทอรันในสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีได้สูญเสียสมาชิกไปมากกว่าร้อยละ 12. โบสถ์ในเนเธอร์แลนด์มากกว่าหนึ่งในสามถูกปิด บางแห่งถูกเปลี่ยนเป็นคลังสินค้า ภัตตาคาร อพาร์ตเม้นท์ แม้กระทั่งสถานดิสโก. และเกือบหนึ่งในแปดของโบสถ์แองกลิกันในอังกฤษซึ่งมีอยู่เมื่อสามสิบปีมาแล้วก็ได้เลิกใช้อีกต่อไป. จึงไม่มีข้อสงสัยในคำพูดของนักเทศน์คนหนึ่ง ณ การประชุมของเหล่านักเทววิทยาและนักเทศน์ของโปรเตสแตนต์ในยุโรปซึ่งโอดครวญว่า “ผู้ที่เคยเป็น ‘คริสเตียนทางตะวันตก’ ไม่อาจเรียกตัวเองว่าเป็นคริสเตียนได้อีกต่อไป. . . . ยุโรปได้กลายเป็นดินแดนสำหรับงานเผยแพร่ศาสนาไปแล้ว.”
อย่างไรก็ตาม ปัญหานั้นกินเลยออกไปจากคริสต์ศาสนจักรและยุโรป. ตัวอย่างเช่น มีการกะประมาณว่าตลอดทั่วโลก ศาสนาพุทธกำลังสูญเสียคนให้แก่ลัทธิแอกนอสติก (ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า) ถึงปีละ 900,000 คน.
การขาดไปซึ่งบุคลากร
ภาษิตญี่ปุ่นข้อหนึ่งแนะว่า “การจะปลุกเร้าคนในหมู่บ้านนั้นต้องปลุกเร้าพวกนักบวชก่อน.” แต่นักบวชอยู่ไหนล่ะ? ในทศวรรษก่อนปี 1983 จำนวนบาทหลวงคาทอลิกตลอดทั่วโลกลดลงถึงร้อยละเจ็ด. และภายในสิบห้าปี จำนวนแม่ชีลดลงร้อยละ 33. ขณะเดียวกัน การจะหาคนเข้ามาแทนในอนาคตก็ดูเลือนลาง. ภายในไม่ถึงยี่สิบปี จำนวนผู้สมัครเข้าเรียนที่วิทยาลัยคาทอลิกในสหรัฐตกฮวบจาก 48,992 เหลือ 11,262 คน.
ระบบต่าง ๆ ของคาทอลิก ก็กำลังสั่นคลอนเช่นกัน. ครั้งหนึ่ง สมาคมแห่งพระเยซูซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1534 โดยอิกนาทิอุส แห่งโลโยลา เกือบพูดได้ว่าควบคุมการศึกษาในหลายประเทศ. สมาชิกของสมาคมนี้ซึ่งเรียกว่าพวกเยซูอิทเป็นผู้ที่นำหน้าในกิจกรรมเผยแพร่ศาสนา. แต่ว่านับจากปี 1965 เป็นต้นมา จำนวนสมาชิกได้ลดลงมากกว่าหนึ่งในสี่.
การลดน้อยลงของบุคลากรก็นับว่าแย่พอแล้ว ที่ยิ่งแย่ไปกว่านั้นอีกก็คือพวกเขาหลายคนไม่เป็นที่น่าเชื่อถืออีกต่อไป. จำนวนบาทหลวงและแม่ชีซึ่งต่อต้านนโยบายดำเนินงานของคริสต์จักร ในเรื่องการถือพรหมจรรย์การคุมกำเนิด และบทบาททางศาสนาของสตรี ก็กำลังเพิ่มขึ้น. สิ่งนี้ปรากฏให้เห็นในเดือนมกราคม 1989 เมื่อนักเทววิทยาคาทอลิกชาวยุโรป 163 คน ได้ยื่นคำแถลงการณ์อย่างเปิดเผย—จนถึงวันที่ 1 พฤษภาคมมากกว่า 500 คนลงลายเซ็นไว้—กล่าวหาวาติกันเกี่ยวกับการเผด็จการและการใช้อำนาจอย่างผิด ๆ.
หลายล้านคนในคริสต์ศาสนจักรได้กลายเป็นคนตายฝ่ายวิญญาณ ตกเป็นเหยื่อของการขาดแคลนอาหารฝ่ายวิญญาณ. บาทหลวงคนหนึ่งในสหรัฐได้ยอมรับเช่นนั้นด้วยเมื่อเขาคร่ำครวญว่า “คริสต์จักร [ได้กลายเป็น] ซูเปอร์มาร์เก็ตที่จำหน่ายแต่อาหารฝ่ายวิญญาณที่ไร้คุณค่าแก่ผู้คนที่ผ่านไปมา. คำเทศน์ของบาทหลวงก็เป็นแค่ ‘รายการพิเศษประจำสัปดาห์’ ที่เสนอแก่ลูกค้าโดยลดข้อผูกมัดในการเอาใจใส่.”
ตั้งแต่ปี 1965 จำนวนสมาชิกในห้านิกายใหญ่ของโปรเตสแตนต์ในสหรัฐลดลงถึงประมาณร้อยละ 20 และจำนวนผู้เข้าเรียนในโรงเรียนศาสนาวันอาทิตย์ ก็ลดลงถึงกว่าร้อยละ 50. นิตยสารไทม์ เขียนว่า “นิกายต่าง ๆ ซึ่งสืบทอดกันมาไม่เพียงแต่ล้มเหลวในการสื่อสารข่าวของตน.” แต่ “พวกเขาทวีความไม่แน่ใจยิ่งขึ้นว่าข่าวสารนั้นคืออะไร.” เมื่อคำนึงถึงการขาดแคลนทางฝ่ายวิญญาณเช่นนั้น ไม่แปลกเลยที่นิตยสารศาสนาหลายฉบับได้ชะงักการพิมพ์. ในช่วงกลางทศวรรษปี 1970 มีคนหนึ่งในพวกเขาโอดครวญว่า “ศักราชแห่งนิตยสารของคริสต์จักร . . . ได้ผ่านไปแล้ว.”
ศาสนิกชนซึ่งเมินเฉยและไม่ตอบรับ
ในศตวรรษที่ 18 เอ็ดมันด์ เบอร์ก นักการเมืองชาวอังกฤษยอมรับว่า “ไม่มีอะไรที่เป็นอันตรายใหญ่หลวงต่อศาสนาเท่ากับการเมินเฉย.” ถ้าเขามีชีวิตอยู่ในทุกวันนี้ เขาคงจะพบว่ามีนักศาสนาที่เมินเฉยอยู่มากมายเหลือเกิน.
ตัวอย่างเช่น ในคราวที่มีการสัมภาษณ์เมื่อไม่กี่ปีมานี้ ร้อยละ 44 ของชาวลูเธอรันในสหรัฐกล่าวว่าพวกเขาจะไม่พูดคุยเรื่องความเชื่อของเขากับครอบครัวที่ไม่ใช่คริสต์ศาสนิกชน ถ้านักเทศน์ของพวกเขาขอให้ทำเช่นนั้น. การสำรวจประชามติเมื่อเร็ว ๆ นี้แสดงให้เห็นว่ามีชาวคาทอลิกในสหรัฐถึงสามในสี่ที่รู้สึกว่าการไม่เห็นด้วยกับสันตะปาปาแม้ในประเด็นเกี่ยวกับศีลธรรม ไม่ได้ทำให้เขาขาดคุณสมบัติในการเป็นชาวคาทอลิกที่ดี.
ในญี่ปุ่น ร้อยละ 79 ของประชากรกล่าวว่าการเลื่อมใสในศาสนาเป็นเรื่องสำคัญ. แต่เนื่องจากหนังสือรีลิจัน ออฟ โมเดอร์น แมน บอกว่ามีประชากรเพียงหนึ่งในสามเท่านั้นที่นับถือศาสนาจริง ๆ จึงปรากฏชัดว่าคนส่วนมากเฉยเมยเกินไปที่จะปฏิบัติตาม.
ผู้ใหญ่ซึ่งเมินเฉยทางศาสนานั้นโดยทั่วไปแล้วบุตรของเขาย่อมไม่กระตือรือร้นและตอบรับต่อศาสนาด้วย. การสำรวจในกลุ่มเด็ก ๆ วัย 11–16 ปีซึ่งทำโดยผู้อำนวยการสถาบันจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยบอนน์ ประเทศเยอรมนีเผยให้เห็นว่าเหล่าเยาวชนมากกว่าที่เคยเป็นมากำลังมองหาคนที่พวกเขาจะเลียนแบบความประพฤติ. แต่เมื่อถามพวกเขาว่าใครล่ะที่เป็นแบบอย่างของพวกเขา เยาวชนเหล่านั้นไม่กล่าวถึงพวกผู้นำคริสต์จักรแม้แต่ครั้งเดียว.
อิทธิพลทางการเมืองเสื่อมถอยลง
องค์การศาสนาไม่มีอิทธิพลทางการเมืองอย่างที่เคยมีอีกต่อไปแล้ว. ตัวอย่างเช่น แม้แต่ในประเทศที่คนส่วนใหญ่เป็นคาทอลิก วาติกันก็ไม่สามารถยับยั้งการประกาศใช้กฎหมายเกี่ยวกับการทำแท้ง การหย่าร้าง และเสรีภาพในการนมัสการซึ่งเห็นชัดว่าไม่ถูกต้อง. ในทำนองเดียวกัน สถานการณ์ต่าง ๆ บีบบังคับให้วาติกันต้องยอมเห็นด้วยกับสนธิสัญญาในปี 1984 ซึ่งทำให้นิกายคาทอลิกสูญเสียฐานะของการเป็นศาสนาประจำชาติอิตาลีไป!
สิ่งที่ศาสนาเท็จเคยบรรลุความสำเร็จ โดยใช้เล่ห์อุบายทางการเมืองนั้นบัดนี้มีการพยายามทำให้สัมฤทธิ์ผลโดยการเคลื่อนไหวต่อต้านอย่างเปิดเผยซึ่งนำโดยนักเทศน์นักบวชที่มีชื่อเสียงเด่นของพวกเขา เช่นอาร์คบิชอพ เดสมอนด์ ตูตู แห่งนิกายแองกลิกันในแอฟริกาใต้.
รวมกันเราอยู่ แยกกันเราพินาศ
การประชุมครั้งหนึ่งแห่งสมาคมผู้เผยแพร่ศาสนาของโปรเตสแตนต์ที่เอดินเบรอะ สก็อตแลนด์ ในปี 1910 ได้ก่อกำเนิดขบวนการเพื่อเอกภาพคริสต์จักรสากลสมัยใหม่ขึ้น. เมื่อไม่นานมานี้ ขบวนการนี้ได้มุ่งมั่นในความพยายามที่จะส่งเสริมการร่วมมือกันทางศาสนา และความเข้าใจซึ่งกันและกัน ปูทางให้ “ศาสนาคริสเตียน” พูดด้วยเสียงเดียวกัน.
ขบวนการเพื่อเอกภาพคริสต์จักรสากลใช้วิธีการหลายรูปแบบ. ขั้นตอนสำคัญอย่างหนึ่งได้ดำเนินการเมื่อปี 1948 ในอัมสเตอร์ดัม คราวที่มีการจัดตั้งสภาคริสต์จักรโลกขึ้นมา. ในตอนเริ่มแรกประกอบด้วยเกือบ 150 นิกายของคริสต์จักรโปรเตสแตนต์, แองกลิกัน, และออร์โธด็อกซ์ ปัจจุบันสภานี้มีจำนวนเพิ่มเป็นสองเท่าแล้ว.
แม้จะไม่ใช่สมาชิกของสภาคริสต์จักรโลก คริสต์จักรโรมันคาทอลิกก็ดูเหมือนกำลังค่อย ๆ เคลื่อนไปในทิศทางนั้น. ในปี 1984 ณ สำนักงานใหญ่ของสภา สันตะปาปาจอห์น ปอลเข้าร่วมกับเลขาธิการสภาที่กำลังจะพ้นตำแหน่งในการนำอธิษฐานเพื่อคริสต์ศาสนิกชนทั่วโลก. และในเดือนพฤษภาคมปี 1989 ชาวคาทอลิกได้อยู่ท่ามกลางสมาชิกคริสต์จักรชาวยุโรปกว่า 700 คน ซึ่ง ประชุมกันที่บาเซล สวิตเซอร์แลนด์ ที่ซึ่งหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเรียกว่า “การร่วมชุมนุมเพื่อความสามัคคีครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่การปฏิรูปเป็นต้นมา.”
ตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษปี 1930 เป็นต้นมา ความเต็มใจที่จะมีการประนีประนอมกันก็ชัดแจ้งยิ่งขึ้นเพราะมีการยอมรับมากขึ้นเกี่ยวกับแนวความคิดที่ว่า ศาสนา “คริสเตียน” ทั้งหมดล้วนมีเอกภาพที่พระเจ้าทรงประทานให้แต่เดิมมา. เพื่อเป็น “ข้อพิสูจน์” ถึงเอกภาพที่มีอยู่แต่เดิมนี้ สภาคริสต์จักรโลกเน้นว่าสมาชิกทั้งปวงของตนต่างยอมรับหลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพ โดยมองว่า “พระคริสต์เป็นพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอด.”
คริสต์ศาสนจักรยังได้หาทางเจรจากับศาสนาต่าง ๆ ที่ไม่ใช่คริสเตียนด้วย. ดังที่ ดิ เอ็นไซโคลพีเดีย ออฟ รีลิจัน บอกไว้ว่า การนี้ก็เพื่อจะหาข้อประนีประนอม “ระหว่างเจตคติของพวกจักรวรรดินิยมทางเทววิทยา ซึ่งมีความคิดว่าหากความเชื่อหนึ่งเป็นความจริง ความเชื่ออื่น ๆ ก็ไม่มีสิทธิจะดำรงอยู่ กับการเชื่อมประสานกันในศาสนาต่าง ๆ ซึ่งมีความคิดว่าไม่มีความต่างกันในบรรดาความเชื่อทั้งหลายมากพอที่จะทำให้เกิดประเด็นขึ้นมาและว่าการรวมความเชื่อทั้งหลายเข้าด้วยกันอาจก่อให้เกิดความเชื่อชนิดใหม่ขึ้นสำหรับอนาคตได้.”
ในความเป็นจริง ศาสนาเท็จเป็นเหมือนเชือกที่ประกอบขึ้นด้วยเส้นด้ายหลายเส้น ซึ่งทุกเส้นต่างก็ดึงไปคนละทาง. สิ่งนี้เป็นสิ่งบ่งบอกถึงความหายนะ เนื่องจากคำตรัสของพระเยซูยังไม่มีใครหักล้างได้ ที่ว่า “แผ่นดินใด ๆ ซึ่งแตกแยกกันแล้วก็คงพินาศ เมืองใด ๆ เรือนใด ๆ ซึ่งแตกแยกกันแล้วจะยั่งยืนอยู่ไม่ได้.”—มัดธาย 12:25.
จงยอมรับความจริงและปฏิเสธความเท็จ!
บางคนอาจเลือกที่จะมองข้ามพยานหลักฐาน. แต่การมองในแง่ดีโดยไม่มีมูลฐานนับเป็นอันตราย. นิตยสาร เดอะ ไทมส์ แห่งลอนดอนฉบับเดือนตุลาคมปี 1988 ให้ข้อสังเกตไว้ดังนี้ “กว่าหนึ่งชั่วอายุแล้วที่คริสต์จักรทั้งหลายอยู่ด้วยความหวังว่าสิ่งต่าง ๆ คงจะดีขึ้นเองไม่มากก็น้อย.” และเสริมอีกว่า “แม้ว่ามีการลดลงของจำนวนสมาชิกคริสต์จักรในอังกฤษอยู่เรื่อย ๆ เป็นเวลานานก็ตาม แต่คริสต์จักรนั้น ๆ ก็แทบไม่มีการพยายามที่จะอธิบาย หรือเปลี่ยน หรือวางนโยบายต่าง ๆ เพื่อปรับปรุง.” และแล้วก็ได้สรุปอย่างมีเหตุผลดังนี้ “องค์การค้าใด ๆ ที่พบว่าการขายของตนลดลงเรื่อย ๆ ก็น่าจะเตรียมตัวไว้พร้อมสำหรับความล่มจมหรือไม่ก็ดำเนินการปรับปรุงในด้านผลผลิตและการตลาดของตน.”
ไม่มีอะไรที่บ่งชี้ว่าศาสนาเท็จจะ “ดำเนินการปรับปรุงด้านผลผลิตและการตลาดของตน.” พื้นฐานเพียงอย่างเดียวสำหรับการมองในแง่ดีของบรรดาผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้านั้นตั้งอยู่บนการหันเข้าหาศาสนาแท้ที่มีเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งการไหลของกระแสน้ำฝ่ายวิญญาณไม่มีวันเหือดแห้งไป. ในส่วนของศาสนาเท็จนั้น “บัดนี้เป็นเวลาแห่งการคิดบัญชี!” เราจะได้รู้เรื่องนี้ในฉบับหน้า.
[รูปภาพหน้า28]
พยานพระยะโฮวา: น้ำของเขาไม่มีการเหือดแห้ง
“ขณะที่ศาสนาต่าง ๆ ซึ่งสืบทอดกันมานั้นกำลังเสื่อมลงอย่างช้า ๆ โบสถ์และวิหารต่าง ๆ กำลังว่างเปล่ามากขึ้น ๆ แต่พวกพยานพระยะโฮวากำลังมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และกระทั่งกำลังใช้อาคารที่เคยเป็นโบสถ์มาก่อนและอาคารใหม่อื่น ๆ อีกเพื่อเป็นที่ชุมนุมสมาชิกใหม่ของเขา.”—เลอ เปอติท เจอร์นัล, หนังสือพิมพ์ของแคนาดา.
“พวกนี้มีอยู่ในอิตาลีประมาณ 45,000 คน . . . ปัจจุบันนิกายนี้มีวารสารออกเป็นประจำซึ่งทั้งน่าดูและน่าสนใจ (เป็นวารสารที่อุดมไปด้วยข่าวสารและบทความต่าง ๆ จากทุกมุมโลก) จัดพิมพ์หนังสือเล่มเล็กที่ทันสมัยและตอบคำถามของพวกผู้เชี่ยวชาญที่สุดของคาทอลิกด้านคัมภีร์ไบเบิล จัดจำหน่ายคัมภีร์ไบเบิลที่แปลโดยตรงจากภาษาฮีบรู . . . ด้วยวิธีการต่าง ๆ เหล่านี้ พวกพยานได้บรรลุผลสำเร็จอย่างใหญ่หลวงที่เดียว.”—แฟมิเกลีย เมเส, วารสารคาทอลิกของอิตาลี (เขียนในปี 1975; เมื่อเดือนเมษายน 1989 จำนวนพยานพระยะโฮวาในอิตาลีเพิ่มขึ้นเป็น 169,646 คน.)
“[พยานพระยะโฮวา] กำลังให้คนรับบัพติสมาเป็นร้อย ๆ ขณะที่เราให้คนเพียงสองสามคนรับบัพติสมา.” ดิ อีแวนเจลิสต์—องค์กรทางการของผู้จัดจำหน่ายจุลสารแห่งคณะอีแวนเจลิคัล. (ขณะที่ออกถ้อยแถลงนี้ในปี 1962 พยานพระยะโฮวาได้ให้บัพติสมาแก่ 69,649 คน และในปี 1989 จำนวนผู้รับบัพติสมาคือ 263,855 คน.)
“ผมขอสรุปการศึกษาเกี่ยวกับพวกพยานพระยะโฮวาในปี 1962 ด้วยข้อสังเกตนี้: ‘ที่ว่าสมาคมโลกใหม่จะหมดพลังไปโดยกะทันหันนั้นไม่น่าจะเป็นไปได้.’ . . . ปัจจุบัน [1979] พวกพยานมีการเพิ่มทวีมากขึ้นกว่าสองเท่าของคราวนั้น. สัญลักษณ์ต่าง ๆ ทุกอย่างบ่งชี้ว่าสมาคมว็อชเทาเวอร์คงจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเป็นสองเท่าอีกครั้งในทศวรรษหน้า.”—วิลเลียม เจ เวเลน ใน ยู. เอส. คาทอลิก. (จำนวนพยาน 989,192 คนในปี 1962 เพิ่มเป็น 3,787,188 คนในปี 1989.)
ตั้งแต่ปี 1970 จำนวนพยานพระยะโฮวาในสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (และเบอร์ลินตะวันตก) ได้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 38. ในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมา จำนวนประชาคมแห่งพยานพระยะโฮวาในเนเธอร์แลนด์เพิ่มขึ้นจาก 161 เป็น 317 ประชาคม และในอังกฤษ จาก 825 เป็น 1,257 ประชาคม มีความจำเป็นที่จะทำการสร้างหอประชุมอีกมากมายหลายแห่งในสองประเทศนี้.—เทียบกับย่อหน้า 3 ภายใต้หัวเรื่องย่อย “อนาคตที่ดูสดใสกลับสลัวลง.”
[รูปภาพหน้า29]
ศาสนาถูกละเลยอย่างมากในโลกทุกวันนี้ที่มีแต่ความเร่งรีบวุ่นวาย