อนาคตของศาสนาจากการพิจารณาศาสนาในอดีต
ตอนที่ 21: ปี 1900 เป็นต้นมา ชายเสื้อยาวที่เปรอะด้วยโลหิต
“ไม่มีรากฐานอันมั่นคงใด ๆ ที่ตั้งขึ้นบนโลหิต”—เชคสเปียร์ กวีและนักเขียนบทละครชาวอังกฤษ (1564-1616)
คุณจำได้ไหมถึงโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในเมืองโจนส์ทาว์น ประเทศกิอานา เมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 1978? สมาชิกของกลุ่มศาสนาซึ่งรู้จักกันว่า พีเพิลส์ เทมเปิล เก้าร้อยกว่าคนได้กระทำอัตวินิบาตกรรมหมู่ ซึ่งส่วนใหญ่ทำด้วยความสมัครใจ โดยการดื่มน้ำผลไม้ที่ผสมไซยาไนด์.
ประชาชนที่ตื่นตระหนกถามว่า ‘ศาสนาชนิดไหนกันที่เอาชีวิตสมาชิกของตนมาบูชายัญ?’ กระนั้น โลหิตของผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องไหลหลั่งในนามของศาสนาเป็นเวลาเกือบ ๆ 6,000 ปีแล้ว. แต่ในศตวรรษที่ยี่สิบนี้ โลหิตถูกหลั่งออกมากครั้งและมากวิธียิ่งกว่าคราวใด ๆ ในประวัติศาสตร์. ให้เรามาพิจารณาพยานหลักฐานสักส่วนหนึ่ง.
การถวายมนุษย์เป็นเครื่องบูชายัญแก่พระเท็จ
ตั้งแต่สากลศักราช 1914 สงครามโลกทั้งสองครั้งและการสู้รบอื่น ๆ มากกว่าหนึ่งร้อยรายได้ทำให้โลหิตจำนวนมหาศาลต้องไหลริน. ร้อยปีมาแล้ว นักเขียนฝรั่งเศสชื่อ กีย์ เดอ โมบัสซังต์ กล่าวว่า “ไข่ซึ่งฟักสงครามออกมา ก็คือน้ำใจแห่งการรักชาติ” และเขาเรียกมันว่า “ศาสนาชนิดหนึ่ง.” ที่จริงสารานุกรม ดิ เอ็นไซโคลพีเดีย ออฟ รีลิจัน กล่าวว่า ลัทธิชาตินิยม ลูกพี่ลูกน้องของน้ำใจรักชาติ “ได้กลายเป็นรูปแบบเด่นอย่างหนึ่งของศาสนาในโลกปัจจุบัน โดยแทรกตัวเข้ามาแทนความว่างเปล่าซึ่งการเสื่อมลงของค่านิยมทางศาสนาแบบจารีตประเพณีได้ทิ้งเอาไว้. (ข้อความตัวเอนเป็นของเรา) เนื่องจากศาสนาเท็จล้มเหลวที่จะส่งเสริมการนมัสการแท้ จึงได้สร้างช่องว่างฝ่ายวิญญาณขึ้นไว้ซึ่งลัทธิชาตินิยมสามารถแทรกตัวเข้าไปแทนที่ได้.
ไม่มีที่ใดซึ่งแสดงให้เห็นเรื่องนี้ได้ดีกว่าในประเทศเยอรมนีสมัยนาซี ซึ่งพลเมืองถึงร้อยละ 94.4 อ้างว่าเป็นคริสเตียนในช่วงที่สงครามโลกครั้งที่สองเริ่มขึ้น. และในบรรดาประเทศทั้งหมด เยอรมนีซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดลัทธิโปรเตสแตนต์ และได้รับการยกย่องจากสันตะปาปาไพอัสที่ 10 ในปี 1914 ว่าเป็นประเทศของ “ชาวคาทอลิกที่ดีที่สุดในโลก” ควรได้เป็นตัวแทนสิ่งที่ดีเยี่ยมที่สุดซึ่งคริสต์ศาสนจักรจะยกมาอวดได้.
น่าสังเกต อะดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ซึ่งเป็นชาวคาทอลิกแต่กลับมีผู้ที่พร้อมจะสนับสนุนเขาในพวกโปรเตสแตนต์ยิ่งเสียกว่าในพวกคาทอลิก. ในเขตต่าง ๆ ที่พวกโปรเตสแตนต์มีอำนาจได้ให้คะแนนเสียงแก่เขาถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ในคราวการเลือกตั้งเมื่อปี 1930 แต่เขตของคาทอลิกให้เพียงสิบสี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้น. และครั้งแรกที่พรรคนาซีได้รับคะแนนเสียงข้างมากเด็ดขาดในการเลือกตั้งของรัฐ คือเมื่อปี 1932 ที่โอลเด็นเบอร์กซึ่งเป็นเขตหนึ่งที่มีชาวโปรเตสแตนต์ถึงเจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์.
ปรากฏว่า “ช่องว่างที่การเสื่อมลงของค่านิยมทางศาสนาแบบจารีตประเพณีได้ทิ้งเอาไว้” ในลัทธิโปรเตสแตนต์มีมากกว่าในลัทธิคาทอลิก. ทั้งนี้ก็มีเหตุผล. หลักการเทววิทยาแบบเสรีและการวิพากษ์วิจารณ์ระดับสูงเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลต่างก็เป็นผลิตผลหลักของพวกนักเทววิทยาโปรเตสแตนต์ที่พูดภาษาเยอรมัน.
ที่สำคัญพอ ๆ กันก็คือ ในที่สุดอะไรทำให้การสนับสนุนฮิตเลอร์โดยพวกคาทอลิกซึ่งล้าหลังอยู่นั้นเป็นปึกแผ่นขึ้นมา. เคล้าส์ โชลเดอร์ นักประวัติศาสตร์ชาวเยอรมันอธิบายว่า “โดยจารีตประเพณีลัทธิคาทอลิกในเยอรมันได้ผูกพันแน่นแฟ้นกับโรมเป็นพิเศษ.” เนื่องจากวาติกันมองดูลัทธินาซีว่าเป็นป้อมปราการในการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ จึงไม่ตะขิดตะขวงใจที่จะใช้อิทธิพลของตนในการเสริมกำลังอำนาจฮิตเลอร์. โชลเดอร์กล่าวว่า “การตัดสินตกลงใจในเรื่องสำคัญ ๆ เปลี่ยนไปทำที่ราชสำนักสันตะปาปามากขึ้นเรื่อย ๆ และที่จริง ในที่สุดสถานะและอนาคตของลัทธิคาทอลิกในจักรวรรดิไรค์ที่ 3 [ประเทศเยอรมนีสมัยนาซี] นั้นได้ถูกกำหนดที่กรุงโรมเกือบทั้งหมด.”
บทบาทของคริสต์ศาสนจักรในสงครามโลกทั้งสองครั้งนำไปสู่การสูญเสียชื่อเสียงเกียรติคุณอย่างหนัก. ดังที่ เดอะ คอนไซส์ ดิกชันนารี ออฟ เดอะ คริสเตียน เวิล์ด มิชชัน อธิบายว่า “บรรดาผู้ที่ไม่ใช่คริสเตียนได้เห็นกับตาถึง . . . หลักฐานที่แน่ชัดว่าชนชาติต่าง ๆ ซึ่งมีคำสอนแบบคริสเตียนมานานนับพันปีได้ล้มเหลวในการควบคุมตัณหาของตน และได้ทำให้ทั้งโลกลุกเป็นไฟเพื่อสนองความมักใหญ่ใฝ่สูงอันน่าทุเรศนั้น.”
จริงอยู่ สงครามที่ปะทุโดยศาสนาไม่ใช่เรื่องใหม่. แต่สิ่งที่ต่างออกไปก็คือ ในอดีตชาติที่ถือศาสนาต่างกันทำการสู้รบกัน แต่ในศตวรรษที่ยี่สิบได้พบเห็นหลายชาติซึ่งนับถือศาสนาเดียวกันได้ตกอยู่ในความขัดแย้งอันรุนแรง. เห็นชัดว่า พระแห่งลัทธิชาตินิยมสามารถควบคุมพระแห่งศาสนาไว้ได้. ด้วยเหตุนั้น ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มีชาวคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ในอังกฤษและสหรัฐสังหารชาวคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ในอิตาลีและเยอรมนี ขณะที่ชาวพุทธในญี่ปุ่นก็ทำเช่นเดียวกันกับพี่น้องของพวกเขาในเอเชียอาคเนย์.
อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนึงถึงเสื้อผ้าที่เปรอะไปด้วยโลหิตของพวกเขาเองแล้ว คริสต์ศาสนจักรไม่อาจโยนความผิดให้ผู้อื่นได้ประหนึ่งว่าตัวเองยังเป็นคนชอบธรรม. โดยการส่งเสริม สนับสนุน และบางครั้งก็โดยการเลือกตั้งรัฐบาลมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์ ทั้งเหล่าผู้ที่อ้างว่าเป็นคริสเตียนและผู้ที่ไม่เป็นด้วย ต้องรับผิดชอบร่วมกันต่อโลหิตที่รัฐบาลเหล่านั้นได้ทำให้ไหลออก.
แต่ว่าศาสนาชนิดไหนกัน ที่เชิดชูรัฐบาลอยู่เหนือพระเจ้า และเสนอสมาชิกในศาสนาเป็นเครื่องบูชาทางการเมืองบนแท่นบูชาของเทพเจ้าแห่งสงคราม?
พวกเขา “ได้กระทำโลหิตของผู้ซึ่งไม่มีผิด ให้ไหลออก”
ถ้อยคำเหล่านั้นซึ่งกล่าวถึงพวกยิศราเอลที่ออกหากหลายร้อยปีมาแล้ว ยังใช้ได้กับบรรดาศาสนาเท็จทั้งปวง และโดยเฉพาะกับเหล่าสมาชิกแห่งคริสต์ศาสนจักร. (บทเพลงสรรเสริญ 106:38) โปรดอย่าลืมว่าหลายล้านชีวิตถูกทำลายในคราวการสังหารหมู่สมัยนาซี อันเป็นโศกนาฏกรรมครั้งหนึ่งซึ่งคริสต์จักรทั้งหลายจะพ้นผิดไปไม่ได้.—โปรดดูอเวค! ฉบับ 8 เมษายน 1989 (ภาษาอังกฤษ).
เช่นเดียวกัน พวกนักเทศน์นักบวชในเยอรมนียังคงไม่ปริปากในอีกประเด็นหนึ่งซึ่งน้อยคนจะรู้ แต่ก็เป็นเรื่องน่าสลดใจเรื่องหนึ่ง. ในปี 1927 หลังจากฮิตเลอร์ได้สรุปแนวความคิดของเขาในเรื่องเผ่าพันธุ์ไว้ในหนังสือชื่อ ไมน์ คัมฟ์ แล้ว โจเซฟ เมเยอร์ นักเขียนและนักเทววิทยาคาทอลิกได้จัดพิมพ์หนังสือขึ้นเล่มหนึ่งซึ่งได้รับอนุญาตให้จัดพิมพ์ จากคริสต์จักรเอพิสโคพัล ในหนังสือนั้น กล่าวว่า “ผู้ป่วยทางจิต, ผู้วิปริตทางศีลธรรม, และบุคคลชั้นต่ำอื่น ๆ ไม่มีสิทธิในการแพร่พันธุ์เช่นเดียวกับที่พวกเขาไม่มีสิทธิในการจุดไฟ.” ฟรีดริค วอน โบเดลชวิง นักเทศน์นิกายลูเทอรันเห็นว่าการทำหมันแก่ผู้ที่พิการนั้นสอดคล้องกับพระทัยประสงค์ของพระเยซู.
เจตคติเช่นนี้ที่ได้รับการสนับสนุนทางศาสนาได้ช่วยแผ้วหนทางไว้สำหรับ “คำสั่งฆ่าให้ตายอย่างสงบ” ของฮิตเลอร์ในปี 1939 ซึ่งทำให้พลเมืองผู้วิกลจริตต้องเสียชีวิตมากกว่า 100,000 คนและมีการบังคับให้กว่า 400,000 คนทำหมัน.a
เมื่อสงครามยุติลงแล้ว เวลาผ่านไปถึง 40 ปีฝ่ายเจ้าหน้าที่ของคริสต์จักรลูเทอรันในแคว้นไรน์แลนด์ [เยอรมนี] จึงยอมรับอย่างเปิดเผยในปี 1985 ว่า “คริสต์จักรของเราไม่ได้ต่อต้านอย่างเข้มแข็งเพียงพอต่อการบังคับให้ทำหมัน การสังหารบุคคลที่ป่วยและพิการ และการทำการทดลองทางการแพทย์กับมนุษย์อย่างโหดร้าย. เราขอขมาเหล่าผู้เคราะห์ร้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ และญาติ ๆ ของผู้เสียชีวิตด้วย.”
เป็นความจริงที่ว่า ปฏิบัติการฆ่าให้ตายอย่างสงบของรัฐบาลได้ผ่อนลงค่อนข้างมากหลังจากที่บิชอพในคริสต์จักรคาทอลิกแห่งเมืองมุนสเตอร์ได้ยื่นข้อกล่าวหาอย่าง รุนแรงเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 1941 โดยเรียกนโยบายนั้นว่าเป็นการฆาตกรรม. แต่เหตุใดจึงกินเวลาถึงสิบเก้าเดือน และมีผู้เสียชีวิตถึง 60,000 คนกว่าจะมีคำประณามอย่างเปิดเผยนั้นออกมา?
ความผิดฐานทำให้โลหิตตกของศาสนา
ศาสนาต่าง ๆ ส่วนใหญ่อ้างว่าให้ความนับถือต่อชีวิต และใส่ใจในการปกป้องผู้คนจากภยันตราย. แต่พวกนักเทศน์นักบวชให้คำตักเตือนอย่างเสมอต้นเสมอปลายแก่เหล่าสมาชิกไหม เกี่ยวกับอันตรายต่อร่างกายอันเนื่องมาจากการใช้ยาสูบ ยาเสพย์ติด รวมทั้งแอลกอฮอล์ การรับเลือดเข้าสู่ร่างกาย และการสำส่อนทางเพศ? ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นอีกคือ พวกเขาประณามการของเนื้อหนังดังกล่าวนั้นอย่างที่คัมภีร์ไบเบิลประณามไหม โดยที่ให้คำชี้แจงว่าการเหล่านั้นจะทำให้เราสูญเสียความโปรดปรานจากพระเจ้าได้?—กิจการ 15:28, 29; ฆะลาเตีย 5:19-21.
จริงอยู่ บางคนทำเช่นนั้น. คริสต์จักรคาทอลิก และคริสต์จักรฟันดะเมนตัลหลายแห่งแสดงความนับถือต่อชีวิตถึงขั้นที่มีการประณามการทำแท้งว่าเป็นการทำให้โลหิตผู้ไร้ความผิดไหลออก. แต่กระนั้น กฎหมายเรื่องการทำแท้งของประเทศอิตาลีซึ่งเป็นคาทอลิกกลับเป็นกฎหมายหนึ่งที่ให้เสรีภาพมากที่สุดในยุโรป.
ศาสนาพุทธก็ประณามการทำแท้งเช่นกัน. แต่ที่ประเทศญี่ปุ่นมีรายงานว่า ภายในปีเดียวมีการทำแท้งถึง 618,000 ราย แม้ว่าร้อยละเจ็ดสิบของประชากรญี่ปุ่นเป็นผู้ยึดมั่นในศาสนาพุทธ. จึงก่อให้มีปัญหาว่า เราจะทำการตัดสินศาสนาโดยอาศัยอะไร โดยสิ่งที่องค์การหรือนักเทศน์นักบวชบางคนของศาสนานั้นพูด หรือโดยสิ่งที่สมาชิกส่วนใหญ่ซึ่งมีชื่อเสียงดีของศาสนานั้นกระทำ?
อีกตัวอย่างหนึ่งของความล้มเหลวในการตักเตือนคนชั่วนั้นเกี่ยวข้องกับการลำดับวันเวลา และการสำเร็จของคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิล. ทั้งสองประการนั้นบ่งชี้ว่า ราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์ของพระเจ้าถูกสถาปนาขึ้นไว้ในพระหัตถ์แห่งพระเยซูคริสต์ในปี 1914.b ถึงแม้คริสต์ศาสนจักรฉลองวันที่พวกเขาคิดเอาเองว่าเป็นวันประสูติของพระคริสต์ในเดือนธันวาคมของทุกปีก็ตาม พวกนักเทศน์นักบวชก็ไม่ได้ประกาศถึงพระองค์ว่าเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงราชย์อยู่ มากไปกว่าที่พวกผู้นำศาสนายิวได้ยอมรับพระองค์ว่าเป็นผู้ได้รับการกำหนดให้เป็นกษัตริย์เมื่อสิบเก้าศตวรรษมาแล้ว.
พวกนักเทศน์นักบวชไม่ว่าในนิกายใดก็ตาม หากเขาไม่เตือนเกี่ยวกับผลลัพธ์ของการไม่เชื่อฟังกฎหมายของพระเจ้าในเรื่องศีลธรรม และผลของการปฏิเสธไม่ยอมอยู่ใต้การปกครองแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้า พวกเขาก็กำลังสุมความผิดฐานทำให้โลหิตตกไว้บนตัวเอง ดังที่พระธรรมยะเอศเคลบท 33 ข้อ 8 กล่าวไว้. การที่พวกเขาไม่ปริปากก็เท่ากับอยู่นิ่งเฉยไม่ทำอะไรเลยขณะที่ผู้ติดตามของเขานับล้านคนทำผิดฐานทำให้โลหิตตก.
ดังนั้น โดยการทำให้ชายเสื้อยาวของตนเปรอะด้วยโลหิตผู้ไร้ความผิด ศาสนาเท็จจึงปฏิเสธพระโลหิตของพระเยซูที่หลั่งออกเพื่อประทานชีวิต. (มัดธาย 20:28 และเอเฟโซ 1:7) เนื่องด้วยเหตุนี้ อีกไม่นาน—ไม่นานจริง ๆ—โลหิตที่เปรอะชายเสื้อยาวของศาสนาเท็จจะเป็นโลหิตของเขาเอง!—วิวรณ์ 18:8..
“ศาสนาเท็จ—ถูกคว่ำลงด้วยอดีตของตนเอง!” จะหนีให้พ้นไม่ได้. ในฉบับหน้าจะอธิบายเรื่องนี้.
[เชิงอรรถ]
a เรื่องนี้ทำให้นึกถึงพวกผู้หญิงที่ถูกสงสัยว่าเป็น “แม่มด” ประมาณ 300,000 ถึง 3,000,000 คนที่ถูกสังหาร โดยความเห็นชอบของสันตะปาปาซึ่งเริ่มขึ้นในศตวรรษที่สิบห้า.
b โปรดดูหนังสือ ท่านจะมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไปในอุทยานบนแผ่นดินโลก บท 16-18 พิมพ์ในปี 1982 โดยสมาคม ว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทรกท์ ออฟ นิวยอร์ก.
[กรอบหน้า 30]
“ในหลายส่วนของโลกทุกวันนี้ ศาสนากลายเป็นเครื่องมือในการปฏิวัติ . . . ศาสนายังคงเป็นเหตุให้มีการฆ่าฟันกันอยู่ต่อไปในไอร์แลนด์เหนือ เช่นเดียวกับในอินเดีย และในฟิลิปปินส์.”—เอ็นไซโคลพีเดีย ออฟ รีลิจัน
[รูปภาพหน้า 28]
ความผิดฐานทำให้โลหิตตกของศาสนาเท็จในครั้งอดีต ดังแสดงให้เห็นใน ภาพไม้แกะสลักจากศตวรรษที่สิบห้า เกี่ยวกับการเผาหมู่คนนอกรีตทั้งเป็นนี้ เป็นเรื่องเล็กน้อย เมื่อเทียบกับสิ่งที่พวกเขาทำในช่วงศตวรรษที่ยี่สิบ
[รูปภาพหน้า 29]
ระฆังโบสถ์ในเยอรมนีถูกหลอมไปทำอาวุธในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1
[ที่มาของภาพ]
Bundesarchiv Koblenz