อนาคตของศาสนาจากการพิจารณาศาสนาในอดีต
ตอนที่ 24: บัดนี้และตลอดไปความงดงามชั่วนิรันดร์ของศาสนาแท้
“ศาสนา หากตกแต่งด้วยความจริงจากสวรรค์ แค่เห็นก็เป็นที่ชมชอบอยู่แล้ว.”—วิลเลียม โควเปอร์ กวีชาวอังกฤษในศตวรรษที่ 18
ไม่มีอะไรที่น่าชมเลยเกี่ยวกับศาสนาเท็จ. ศาสนาเท็จได้นำมาแต่ความทุกขเวทนาและความลำบากแก่มวลมนุษยชาติเป็นเวลาหกพันปีแล้ว. ความมดเท็จ หลอกลวง ปลิ้นปล้อน และวิธีการต่าง ๆ อันน่าเกลียดชังได้ทำให้เขาดูน่าขยะแขยงทั้งในสายพระเนตรของพระเจ้าและในสายตาของมนุษย์. ศาสนาเท็จไม่ได้ถูกตกแต่งด้วยความจริงจากสวรรค์เลย แต่ศาสนาเท็จตรงกันข้ามกับความจริงและความงดงาม.
ในอีกไม่ช้า กองกำลังสำเร็จโทษของพระเจ้าจะเหวี่ยงศาสนาเท็จทิ้งในเหวลึกแห่งการดับสูญตลอดกาล. หลังจากนั้นไม่นานส่วนที่เหลือแห่งระบบของซาตานก็จะพินาศตามไป. แต่ศาสนาแท้ และบรรดาผู้ปฏิบัติศาสนานั้น จะดำรงอยู่ต่อไป. น่าชื่นชมจริง ๆ ที่ต่อจากนั้นจะเห็นความงดงามอันเป็นนิรันดร์ของศาสนาแท้แผ่ขยายออกจนถึงระดับที่พวกเราทุกวันนี้สุดจะจินตนาการได้!
ความงดงามอะไร?
ความงดงามของศาสนาแท้มีหลายหลาก. ต่อไปนี้จะเป็นเพียงบางอย่างเท่านั้น. ทำไมไม่ลองเปิดข้อคัมภีร์เหล่านี้ดูซึ่งพิสูจน์ว่าความงดงามนั้นมีรากฐานอยู่ในคัมภีร์ไบเบิล?
ความงดงามของศาสนาแท้มีดังนี้:
▪ ศาสนาแท้ตั้งอยู่บนความจริงแห่งพระเจ้าผู้ซึ่งไม่มีคำว่าผิดพลาด ทรงพระนามว่าพระยะโฮวา ผู้ซึ่งเราสามารถไว้วางใจได้อย่างเต็มที่.—บทเพลงสรรเสริญ 83:18; ยะซายา 55:10, 11.
▪ ศาสนาแท้มีไว้สำหรับทุกคนที่มีหัวใจถ่อม ไม่ใช่สงวนไว้เฉพาะผู้มีเชาวน์ปัญญาสูงเท่านั้น.—มัดธาย 11:25; 1 โกรินโธ 1:26–28.
▪ ศาสนาแท้มองข้ามเรื่องเผ่าพันธุ์ ฐานะทางสังคม และตำแหน่งทางเศรษฐกิจ.—กิจการ 10:34, 35; 17:24-27.
▪ ศาสนาแท้เสนอความหวังที่มีพื้นฐานมั่นคงเกี่ยวกับชีวิตในโลกแห่งสันติสุขและความปลอดภัยที่ปราศจากความโศกเศร้า ความเจ็บป่วย ความทุกข์ และความตาย.—ยะซายา 32:18; วิวรณ์ 21:3, 4.
▪ ศาสนาแท้จัดให้มีโครงสร้างภายในซึ่งบรรดาสมาชิกสามารถดำรงอยู่ในภราดรภาพทั่วโลก มีเอกภาพในด้านหลักคำสอน ความประพฤติ และน้ำใจ.—บทเพลงสรรเสริญ 133:1; โยฮัน 13:35.
▪ ศาสนาแท้เสนอโอกาสแก่ทุกคน—ชาย หญิง และเด็ก ๆ—ที่จะร่วมในพระราชกิจของพระเจ้าอย่างแข็งขัน ซึ่งทำให้ชีวิตเต็มไปด้วยจุดมุ่งหมาย.—1 โกรินโธ 15:58; เฮ็บราย 13:15, 16.
▪ ศาสนาแท้เตือนเราถึงอันตรายที่แฝงเร้น แนะนำเราถึงวิธีปฏิบัติเพื่อเป็นประโยชน์แก่ตัวเราเอง.—สุภาษิต 4:10–13; ยะซายา 48:17, 18.
และเหตุใดจึงกล่าวได้ว่า ความงดงามเหล่านี้เป็นนิรันดร์? กล่าวง่าย ๆ ก็เพราะว่าความงดงามเหล่านี้จะคงอยู่ยืนนานตราบเท่าที่ศาสนาแท้คงอยู่—คือตราบนิรันดร.
เสริมช่องว่างให้เต็ม
กล่าวได้ว่าความตายเป็นศัตรูตัวสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของความจริง เนื่องจากคนเรามักนำเอารายละเอียดซึ่งไม่มีคนอื่นทราบเลยนั้นลงไปยังหลุมฝังศพกับตนด้วย. รายละเอียดที่แน่ชัดเกี่ยวกับเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นไม่นานเกินไปนัก—เช่น การลอบสังหาร จอห์น เอฟ เคนเนดี ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาปี 1963—ก็ยังคงเป็นเรื่องที่มีการโต้แย้งกันอยู่. ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรล่ะ? ใครที่รู้จริง ๆ? คนส่วนใหญ่ที่อาจจะรู้ก็เสียชีวิตกันไปหมดแล้ว. และหากเรื่องนี้เป็นความจริงกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อ 27 ปีที่แล้วมา จะว่าอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายร้อยปีหรือกระทั่งหลายพันปีมาแล้ว?
นอกจากนั้น พวกนักประวัติศาสตร์ก็เป็นเพียงมนุษย์ มีความรู้จำกัดและดำเนินการภายใต้เงื่อนไขที่ไม่เอื้ออำนวยแห่งความไม่สมบูรณ์และอาจเป็นได้ว่ามีอคติ. ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการดีถ้าบุคคลผู้ปราศจากอคติยับยั้งไว้จากการวินิจฉัยเอาเองเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ซึ่งเขาไม่อาจอ้างบันทึกที่เชื่อถือได้ ที่ได้รับการดลบันดาลจากพระเจ้า.
การเขียนเกี่ยวกับประวัติศาสนาทำให้มีปัญหาต่าง ๆ ทำนองเดียวกัน เนื่องจากพวกผู้ทรงอิทธิพลมักจะไม่เห็นพ้องกับข้อเท็จจริงต่าง ๆ. ในบทความชุด “อนาคตของศาสนาจากการพิจารณาศาสนาในอดีต” วารสารตื่นเถิด ได้พยายามจะเสนอข้อเท็จจริงที่มีหลักฐานอย่างดี แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่เราไม่ทราบในขณะนี้. ตัวอย่างเช่น กลุ่มต่าง ๆ ที่อ้างว่าเป็นคริสเตียนในระหว่างและหลังยุคมืดได้ยึดมั่นอย่างจริงจังกับศาสนาคริสเตียนแท้ถึงขนาดไหน?
เกี่ยวกับกลุ่มต่าง ๆ เหล่านี้ เอ. เอ็ม. เร็นวิค ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์คริสต์จักรให้ข้อสังเกตว่า “ยังจะต้องมีการค้นคว้าทางประวัติศาสตร์อีกมากเพื่อจะทำให้เรื่องจริงและฐานะทางศาสนาของกลุ่มต่าง ๆ เหล่านั้นปรากฏออกมา.” ตามคำกล่าวของเร็นวิค “ในอดีต พวกนักประวัติศาสตร์พึ่งพามากเกินไปในคำบอกเล่าจากฝ่ายปรปักษ์ของกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับเขา เพื่อประเมินค่าหลักคำสอนและหลักศีลธรรมของพวกเขา.” แน่นอน การพึ่งพามากเกินไปในคำบอกเล่าของเหล่ามิตรสหายของพวกเขาอาจยังผลให้มีทัศนคติที่เอนเอียงได้เช่นกัน. ดังนั้น แม้หลังจากได้มีการค้นคว้าทางประวัติศาสตร์มากมายแล้วก็ตาม ปัญหาหลายอย่างก็ยังอาจขาดคำตอบ.
จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล? ในฐานะเป็นหนังสือซึ่งได้รับการดลบันดาลจากพระเจ้าที่ครอบคลุมถึงประวัติศาสตร์ทางศาสนาบางส่วน พระคัมภีร์เป็นที่เชื่อถือได้ในทุกสิ่งซึ่งมีกล่าวไว้. แต่พระคัมภีร์กล่าวเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับรูปแบบต่าง ๆ ของศาสนาเท็จที่เคยมีอยู่. จึงพอเข้าใจได้ว่าที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะพระคัมภีร์ได้รับการจัดไว้เพื่อใช้เป็นหนังสือคู่มือของศาสนาแท้ ไม่ใช่ของศาสนาเท็จ.
แม้แต่เกี่ยวกับศาสนาแท้ คัมภีร์ไบเบิลก็ไม่ได้บอกเราในทุก ๆ สิ่ง. พระคัมภีร์จัดรายละเอียดมากพอให้เรา เพื่อจะวินิจฉัยศาสนาแท้ได้เป็นผลสำเร็จ แต่ในบางครั้งพระคัมภีร์ไม่บอกรายละเอียดทุกอย่าง. ขณะที่รายละเอียดเหล่านั้นอาจเป็นที่ชวนให้สนใจใคร่รู้ แต่ในเวลานี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญยิ่งยวด.
แล้วก็มีบางช่วงเวลาที่คัมภีร์ไบเบิลข้ามไป. ตัวอย่างเช่น พระคัมภีร์ไม่ได้กล่าวถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลากว่า 400 ปีซึ่งล่วงไปในระหว่างที่พระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู ซึ่งเรียกกันโดยทั่วไปว่าพระคัมภีร์เดิม ได้จารึกเสร็จสมบูรณ์ กับเวลาแห่งการปรากฏตัวของพระเยซู. และตั้งแต่คัมภีร์ไบเบิลทั้งเล่มเสร็จสมบูรณ์ เวลาก็ได้ผ่านไปเกือบ 1,900 ปีแล้ว.
ดังนั้น สำหรับช่วงเวลาส่วนใหญ่ของ 1,800 ปีนั้น เราจึงไม่มีบทจารึกที่ได้รับการดลบันดาลเกี่ยวกับศาสนาคริสเตียนเลย. สิ่งนี้เป็นเหตุให้เกิดความไม่น่าเชื่อถือเกี่ยวด้วยบางพวกที่อ้างเป็นคริสเตียน ดังที่นักประพันธ์ชื่อเร็นวิคได้กล่าวไว้. แต่อย่างไรก็ตาม ปรากฏชัดว่าตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านไปอย่างน้อยที่สุดก็มีบางคนได้ยึดมั่นอยู่กับศาสนาคริสเตียน. ถึงกระนั้น มีปัญหาที่ยังแก้ไม่ตกซึ่งเกี่ยวข้องกับจุดมุ่งหมายและความสัตย์ซื่อของบางคนในหลายปีที่ผ่านไป. เกี่ยวกับผู้นำปฏิรูปบางคนล่ะเป็นอย่างไร? แล้วจะว่าอย่างไรเกี่ยวกับบุคคลบางคนเช่นขงจื๊อและมุฮัมหมัด? ถึงแม้ว่าระบบศาสนาในปัจจุบันอาจวินิจฉัยได้อย่างถูกต้องโดยอาศัยผลของระบบเหล่านั้น แต่บุคคล—โดยเฉพาะหากเสียชีวิตนานมาแล้ว—ก็มักจะวินิจฉัยไม่ได้.
แต่ถึงกระนั้น หากในโลกใหม่ของพระเจ้า เป็นพระทัยประสงค์ของพระองค์ที่จะให้มีการเขียนหนังสือประวัติศาสตร์ขึ้นใหม่—รวมทั้งประวัติของศาสนาด้วย—ก็ย่อมเป็นไปได้. สิ่งนี้จะเป็นไปได้ก็เพราะความงดงามอีกประการหนึ่งของศาสนาแท้—นั่นคือคำรับรองที่ว่าคนตายจะถูกปลุกให้เป็นขึ้นมา.—โยฮัน 5:28, 29; กิจการ 24:15.
ลองนึกภาพความยินดีเมื่อรับคำตอบที่ถูกต้องต่อคำถามของเราโดยการพูดคุยกับเหล่าคนที่เป็นขึ้นจากตายผู้ซึ่งได้กระทำจริง ๆ ตามสิ่งที่เราได้อ่านถึงในหนังสือประวัติศาสตร์. ลองนึกภาพที่เราสามารถได้รายละเอียดที่ขาดไปนั้นมาอย่างครบถ้วน เช่นชื่อของฟาโรห์ที่ตายในทะเลแดงและเหล่าผู้ที่ได้เห็นภัยพิบัติซึ่งเกิดแก่อียิปต์.
หากบันทึกเหล่านั้นจะได้มีการเขียนขึ้นสักวันหนึ่ง นั่นก็จะเขียนขึ้นเพื่อถวายพระเกียรติและเชิดชูพระองค์ผู้ซึ่งได้ทรงก่อตั้งศาสนาแท้ขึ้น คือพระยะโฮวาเจ้า. ไม่มีข้อสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้. แต่คำถามที่ยังคงมีอยู่ ก็คือคุณจะอยู่ที่นั่นไหม เพื่อจะอ่านหนังสือประวัติศาสตร์นั้น?
ความเลื่อมใสไม่เพียงพอ
ความงดงามอันเป็นนิรันดร์ของศาสนาแท้นั้นไม่ใช่จะเห็นได้ง่ายเสมอไปดังถ้อยคำของโควเปอร์ ซึ่งยกมาอ้างในตอนต้นของบทความนี้ ได้บอกเป็นนัย. ฉะนั้น วารสาร ไซโอนส์ ว็อช เทาเวอร์ แอนด์ เฮรัลด์ ออฟ ไครสท์ เพรสเซนส์ ฉบับแรกได้ให้ข้อคิดดังต่อไปนี้เมื่อ 110 ปีมาแล้ว: “ความจริง เสมือนดอกไม้ดอกเล็ก ๆ เรียบ ๆ ในป่ารกร้างแห่งชีวิต ถูกห้อมล้อมและเกือบ จะถูกคลุมครอบบดบังโดยการเติบโตงอกงามของวัชพืชแห่งความผิดพลาด. หากคุณจะพบความจริง คุณต้องเสาะหา อย่างไม่หยุดยั้ง.หากคุณจะได้เห็นความงดงามของความจริง คุณต้องขจัดเสียซึ่งวัชพืชแห่งความผิดพลาดและต้นหนามแห่งทิฐิมานะ. หากคุณจะเป็นเจ้าของความจริง คุณต้องย่อตัวลงไปหยิบมา.”
หวังว่าบทความ “อนาคตของศาสนาจากการพิจารณาศาสนาในอดีต” นี้คงช่วยผู้อ่านของเราให้ “ขจัดเสียซึ่งวัชพืชแห่งความผิดพลาดและต้นหนามแห่งทิฐิมานะ” เพื่อจะหยั่งรู้ค่าอย่างเต็มเปี่ยมมากขึ้นต่อความงดงามอันเป็นนิรันดร์ของศาสนาแท้.
แต่การหยั่งรู้ค่าเท่านั้นยังไม่พอ. สุภาษิตจีนบทหนึ่งนับว่าเหมาะสมทีเดียว ที่ว่า “คำสั่งสอนที่เข้าหูแต่ไม่เข้าในหัวใจก็เป็นเสมือนอาหารที่ได้รับประทานในความฝัน.” หากเราจะได้ประโยชน์เป็นส่วนตัวจากความงดงามอันเป็นนิรันดร์ของศาสนาแท้—ไม่ใช่เพียงแต่ฝันถึงสิ่งเหล่านั้น—สำคัญทีเดียวที่สิ่งซึ่งเราเรียนรู้นั้นเข้าถึงหัวใจไม่ใช่เพียงแต่เข้าหู.
จงอ่านอย่างถี่ถ้วนที่กรอบซึ่งมีหัวเรื่อง “การวินิจฉัยศาสนาของคุณว่าแท้หรือเท็จ.” แล้วถามตัวคุณเองว่า ‘ฉันเห็นพ้องด้วยไหมว่า ตราบใดที่พูดถึงจักรภพโลกแห่งศาสนาเท็จ วอลแตร์พูดถูกเมื่อเขาเรียกศาสนาว่า “ศัตรูของมนุษยชาติ”? การมองเข้าไปในประวัติศาสตร์ศาสนาเช่นนี้ช่วยฉันให้วินิจฉัยออกซึ่งศาสนาแท้ไหม และฉันทราบไหมว่าจะหาพบศาสนาแท้ได้ที่ไหนในช่วงท้ายของเหตุการณ์ต่าง ๆ ของมนุษย์? หากเป็นเช่นนั้น ฉันอยากเป็นเหมือนคนนั้นหรือเปล่าที่มีพรรณนาถึงโดย โจเซฟ จูเบิร์ต นักประพันธ์ชาวฝรั่งเศส ที่ว่าเป็น ผู้ซึ่ง “ค้นพบความยินดีและหน้าที่ของตนในสิ่งนั้น”?’
ขอให้ทุกคนซึ่งตอบว่าเห็นด้วยต่อคำถามข้างบนดำเนินต่อไปเพื่อได้รับประโยชน์โดยการอ่านวารสารตื่นเถิด และหนังสือต่าง ๆ ซึ่งพิมพ์ออกร่วมกัน. เราขอเชิญคุณให้ติดตามคำแนะนำอันฉลาดสุขุมซึ่งให้ไว้โดยวารสารไซโอนส์ ว็อช เทาเวอร์ ที่กล่าวถึงข้างต้น ที่ว่า “จงอย่าพอใจกับดอกไม้แห่งความจริงดอกเดียว. หากดอกเดียวเพียงพอแล้วก็คงไม่มีมากกว่านั้น. จงรวบรวมไว้ต่อ ๆ ไป จงเสาะหาให้มากขึ้น.”
ถูกแล้ว จงรวบรวมโดยไม่หยุดยั้ง จงเสาะหาต่อ ๆ ไป—เสาะหาความงดงามชั่วนิรันดร์ของศาสนาแท้ให้มากขึ้น!
[รูปภาพหน้า 24]
การวินิจฉัยศาสนาของคุณว่าแท้หรือเท็จ
▪ ศาสนาแท้ก่อให้เกิดสายสัมพันธ์แห่งความรักและเอกภาพขึ้นในผู้นมัสการศาสนาแท้ซึ่งไม่สะทกสะท้านจากการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ. (โยฮัน 13:35) ศาสนาเท็จไม่ได้ก่อให้เกิดความรักเช่นนั้น. ตรงกันข้าม ในการเลียนแบบคายิน เหล่าสมาชิกศาสนาเท็จออกไปและเข่นฆ่ากันและกันในสงครามระหว่างนานาชาติ.—1 โยฮัน 3:10–12.
▪ ศาสนาแท้รักษาตัวพ้นจากการเมืองของมนุษย์และเพ่งอยู่ที่พระผู้สร้างเพื่อการแก้ปัญหาโลกโดยทางการปกครองแห่งราชอาณาจักรของพระองค์. ศาสนาเท็จติดตามแบบอย่างของนิมโรด ณ หอบาเบล. ศาสนาเท็จผสานตัวเองเข้ากับฝ่ายการเมือง วางใจในพระทางการเมืองซึ่งศาสนาเท็จเข้าไปก้าวก่ายในเรื่องต่าง ๆ และด้วยเหตุนั้นจึงเป็นการวางพื้นฐานไว้สำหรับความพินาศของตนเอง.—ดานิเอล 2:44; โยฮัน 18:36; ยาโกโบ 1:27.
▪ ศาสนาแท้ยอมรับพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ ผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยให้รอดพ้นจากการกดขี่. ศาสนาเท็จ ดังที่มีการปฏิบัติในประเทศอียิปต์และประเทศกรีซในสมัยโบราณ เสนอแนะพระมากมายในเทพนิยายที่ช่วยตัวเองไม่ได้ซึ่งล้วนแต่ไร้ประโยชน์.—ยะซายา 42:5; 1 โกรินโธ 8:5, 6.
▪ ศาสนาแท้สัญญาเรื่องชีวิตตลอดไปบนแผ่นดินโลกที่มีความสุข. ศาสนาเท็จมองดูชีวิตบนโลกว่าไม่น่าปรารถนาและจะต้องหลุดพ้นจากสิ่งนั้นโดยเข้าสู่อนาคตที่ไม่รู้แน่นอน.—บทเพลงสรรเสริญ 37:29; วิวรณ์ 21:3, 4.
▪ ศาสนาแท้ปลุกเร้าใจผู้คนด้วยความเชื่อที่มั่นคงโดยอาศัยบทจารึกอันศักดิ์สิทธิ์ คัมภีร์ไบเบิล; ศาสนาแท้ให้ความหวังที่มีหลักประกันแก่พวกเขาและกระตุ้นให้พวกเขาแสดงความรักแท้ต่อพระเจ้าและเพื่อนบ้านของเขา. (2 ติโมเธียว 3:16, 17) ศาสนาเท็จแม้จะมีหนังสือศักดิ์สิทธิ์ของตนก็ตาม ส่วนใหญ่แล้วไม่บังเกิดผลในการกระทำสิ่งเหล่านั้น.—1 โยฮัน 5:3, 4.
▪ สัญลักษณ์ของศาสนาแท้คือผู้ดูแลที่ถ่อมใจ. ศาสนาเท็จเป็นที่รู้จักโดยผู้นำที่ทะเยอทะยาน ไม่ยอมฟังใคร ผู้ซึ่งเต็มใจจะบิดเบือนความจริงและแสวงประโยชน์ทางการเมืองและทางโลก.—กิจการ 20:28, 29; 1 เปโตร 5:2, 3.
▪ ศาสนาแท้ แนวทางแห่งการยินยอมอ่อนน้อมอย่างถูกต้องต่อพระเจ้า ใช้ดาบฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่ดาบตามตัวอักษร. ตรงกันข้าม ศาสนาเท็จทำให้หลักคำสอนแท้เสื่อมเสีย ละเมิดความเป็นกลางของคริสเตียน และติดตามเรื่องที่มนุษย์สนใจมากกว่าผลประโยชน์ของพระเจ้า.—2 โกรินโธ 10:3–5.
▪ ศาสนาแท้ชักนำหัวใจผู้ที่ไม่เชื่อให้มานมัสการพระเจ้าองค์เที่ยงแท้. ศาสนาเท็จทำให้เกิดแนวโน้มของความสงสัย แนวความคิดเสรีนิยม การอำพรางความจริง และการนิยมทางโลก.—ลูกา 1:17; 1 โกรินโธ 14:24, 25.
▪ ศาสนาแท้ ดังที่ปฏิบัติโดยพวกพยานพระยะโฮวา กำลังเจริญรุ่งเรืองทางฝ่ายวิญญาณอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน. ศาสนาเท็จ ซึ่งชายเสื้อคลุมของเขาเปรอะด้วยโลหิต กำลังรับความทุกข์ลำบากจากการขาดแคลนอาหารฝ่ายวิญญาณและขาดการสนับสนุน.—ยะซายา 65:13, 14.
อนาคตของศาสนาจากการพิจารณาศาสนาในอดีตเป็นอย่างไร? ศาสนาเท็จไม่มีอนาคต. จงออกมาเสียจากศาสนาเท็จ! (วิวรณ์ 18:4, 5) หันมาหาศาสนาแท้ ซึ่งจะคงอยู่ตลอดไป.