การเปลี่ยนค่านิยมขณะที่ประวัติศาสตร์ผ่านไป
“ระบบแห่งกฎเกณฑ์ที่มนุษย์เราปฏิบัติ (หรือพึงปฏิบัติ) ในชีวิตส่วนตัวและชีวิตทางสังคม.” นี่คือนิยามของคำว่า “ศีลธรรม” ตามเอ็นไซโคลพีเดียยูนิเวอร์ซาลิสของฝรั่งเศส.
คำนิยามนี้ใช้กับทุกคนอย่างแท้จริง. รวมทั้งผู้เชื่อถือซึ่งปฏิบัติตามหลักการแห่งศาสนาของตน และทั้งผู้ที่มิได้ยึดอยู่กับระบบทางศีลธรรมหรือศาสนาใด แต่มีหลักการบางอย่างซึ่งนำทางชีวิตของเขา. แม้กระทั่งพวกถือหลักอนาธิปไตย ซึ่งอ้างว่าตน “ไม่มีทั้งพระเจ้าและนาย” ได้เลือกค่านิยมของตน ซึ่งอย่างน้อยที่สุดก็มีสิทธิที่จะตัดสินใจเองได้.
แต่อะไรคือพื้นฐานของค่านิยมเหล่านี้? การเลือกทางศีลธรรมเช่นนี้ตั้งอยู่บนรากฐานอะไร? สิ่งเหล่านั้นเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาไหม?
ค่านิยมต่าง ๆ ในอดีต
“สปาร์ตัน” เป็นคำที่ใช้กันในหลายภาษาเพื่อพรรณนาถึงการขาดความสบาย. คำนี้หมายถึงสภาพอันยากลำบากซึ่งคนรุ่นหนุ่มจากนครสปาร์ตาแห่งกรีกโบราณได้รับขณะศึกษาเล่าเรียน. ถูกแยกจากบิดามารดาตั้งแต่เยาว์วัย พวกเขาต้องเรียนรู้การเชื่อฟังโดยไม่มีข้อทักท้วง. จุดมุ่งหมายของการศึกษาอย่างนี้คือเพื่อทำให้พวกเขาเป็นทหารตัวอย่าง.
คนอื่นติดตามค่านิยมแตกต่างออกไป. ตัวอย่างเช่น ชาวยิศราเอลโบราณมีประมวลกฎหมายซึ่งพระเจ้าประทานแก่โมเซ. กฎหมายเหล่านี้รวมถึงข้อจำกัดทางอาหาร ร่างกาย ศีลธรรมและฝ่ายวิญญาณ. ชาวยิศราเอลต้องนมัสการพระยะโฮวาพระเจ้าแต่เพียงองค์เดียว.
ในเรื่องศีลธรรมทางเพศ พระบัญญัติซึ่งมาทางโมเซตำหนิอย่างรุนแรง เรื่องการผิดประเวณี การเล่นชู้ รักร่วมเพศ และการสังวาสกับสัตว์. จุดหมายของพระบัญญัตินี้เพื่อแยกชาติยิศราเอลจากเพื่อนบ้าน ไม่เพียงแต่ทางศาสนาแต่ทางศีลธรรมด้วย. ทั้งนี้เนื่องจากหลายคนในชาติรอบ ๆ ยิศราเอลปฏิบัติการนมัสการทางเพศซึ่งก่อความเสื่อมทรามและความเสียหาย รวมทั้งโสเภณีชายและหญิงประจำวิหาร. บางคนถึงกับถวายบุตรของตนเป็นเครื่องบูชายัญแก่พระเท็จ.
ในศตวรรษแรกแห่งศักราชสากล กฤษฎีกาจากสภาอัครสาวกและผู้ปกครองคริสเตียนในกรุงยะรูซาเลมมีคำสั่งให้คริสเตียนปฏิบัติตามหลักศีลธรรมทางเพศขั้นพื้นฐานอย่างเดียวกับพวกยิว โดยบอกพวกเขาให้ ‘ละเว้นจากการล่วงประเวณี.’ ตามพจนานุกรม ดิกส์ซีโอแน เดอ ลา บิบล์ ของวิโกโรซ์ คำสั่งนี้มีค่ามาก เนื่องจากการผิดประเวณีเป็นกิจปฏิบัติที่แพร่หลายท่ามกลางชนนอกรีตในเวลานั้น.—กิจการ 15:29.
มาตรฐานทางศีลธรรมอันหลากหลายมีอยู่ตลอดประวัติศาสตร์ ทั้งช่วงที่มีการยินยอม และช่วงที่มีกฎเกณฑ์ทางศีลธรรมอันเข้มงวดแทรกอยู่สลับกันไป. การรักร่วมเพศ ซึ่งมีการห้ามโดยเด็ดขาดในยุคกลาง ก็ยอมผ่อนปรนให้บ้างระหว่างยุคฟื้นฟูในยุโรป. ในสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อคาลวินตั้งรกรากในกรุงเจนีวาระหว่างยุคปฏิรูป เขาได้เริ่มสมัยแห่งความเคร่งครัดอย่างที่ไม่ยอมผ่อนปรนทางศีลธรรม. อนึ่ง ประมาณ 200 ปีต่อมา การปฏิวัติในฝรั่งเศสทำให้ค่านิยมซึ่งเคยถูกปฏิเสธก่อนหน้านี้เป็นสิ่งถูกต้องตามกฎหมาย. เป็นการสนับสนุน “เสรีภาพทางศีลธรรม” แบบใหม่ และทำให้การหย่าร้างง่ายขึ้น.
ค่านิยมทางศีลธรรมที่แตกต่างกันในปัจจุบัน
ปัจจุบันนี้ กระทั่งภายในสังคมเดียวกัน ผู้คนมีมาตรฐานต่างกันทางด้านศีลธรรม. มีผู้สนับสนุนกฎศีลธรรมอันเคร่งครัด ขณะที่คนอื่น ๆ สนับสนุน “เสรีภาพ” ทางศีลธรรม.
กฎเกณฑ์ทางศีลธรรมเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว. หนังสือฝรั่งเศสชื่อ ฟรังโก-สโกบี บอกว่า “สำหรับชาวฝรั่งเศสส่วนใหญ่ การเล่นชู้มีความหมายแน่ชัดลงไป. เป็นในทางลบและตรงข้ามกับศีลธรรมอันดีงาม.” อย่างไรก็ดี หนังสือเล่มเดียวกันให้ข้อสังเกตว่า สำหรับคนอื่นอีกหลายคน “ความไม่ซื่อสัตย์ในสายสมรสมิได้ถือว่าเป็นทางออกแต่เป็นสิทธิ สิทธิที่ไม่ควรตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความรักใคร่ที่คู่สมรสมีต่อกันและกัน แต่ในทางตรงข้าม ควรจะทำให้ความรักใคร่เข้มข้นและแข็งแกร่งขึ้น.”
การทำแท้งเป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งค่านิยมทางศีลธรรมเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว. ขณะที่การทำแท้งยังคงเป็นอาชญากรรมในบางประเทศ แต่ก็ยอมให้ทำ—กระทั่งเรียกร้องด้วยซ้ำ—ในประเทศอื่น ๆ. น่าสนใจที่จะสังเกตว่าสมาคมการแพทย์ของฝรั่งเศสถือว่าการทำแท้งเป็นอาชญากรรมจนกระทั่งกฎหมายให้การรับรองในปี 1974. ปัจจุบันนี้ชาวฝรั่งเศสหลายคนถือว่าการทำแท้งเป็นที่ยอมรับทางศีลธรรม.
กระนั้น ศีลธรรมเช่นนั้นอาศัยอะไรเป็นหลัก? ค่านิยมทางศีลธรรมของเราควรเป็นเพียงบทเฉพาะกาลและเปลี่ยนแปลงตามแต่สภาพการณ์ไหม?
มนุษย์ได้จัดตั้งค่านิยมทางศีลธรรมของตนเอง
ตลอดหลายศตวรรษ นักปรัชญาได้เสนอแนวความคิดหลายอย่างเพื่อพยายามจะตอบคำถามดังกล่าว. บางคนได้เสนอ ‘หลักศีลธรรมสากล’ แต่ก็ไม่สามารถตกลงกันได้ว่าการนิยามหลักศีลธรรมของใครควรจะถือเป็นมาตรฐาน.
คนอื่น ๆ รู้สึกว่าความห่วงใยต่อเพื่อนมนุษย์ควรนำทางความประพฤติของตน. แต่สิ่งที่ผู้หนึ่งถือว่าเป็นความห่วงใยอันถูกต้องนั้น คนอื่นอาจไม่ถืออย่างนั้นก็ได้. ยกตัวอย่าง หลายศตวรรษมาแล้ว เจ้าของทาสหลายคนถือว่าเป็นความห่วงใยที่ถูกต้องในการเลี้ยงดูและให้ที่พักพิงแก่ทาสของตน แต่ทาสรู้สึกว่าความห่วงใยที่ถูกต้องนั้นคือควรปลดปล่อยพวกเขาจากการเป็นทาส.
ไม่ต้องสงสัยว่าความหลากหลายแห่งทัศนะที่มักจะขัดแย้งกันเรื่องค่านิยมทางศีลธรรมของนักปรัชญานั้นทำให้หลายคนสับสน. ความคิดของพวกเขามิได้ทำให้เกิดมาตรฐานร่วมกันทางศีลธรรม ทั้งการตั้งปรัชญาของพวกเขาก็มิได้นำครอบครัวมนุษย์ไปสู่สันติภาพและเอกภาพอีกด้วย. มีแต่เพียงว่า แนวความคิดมากมายและขัดแย้งกันทำให้ผู้คนซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นสรุปว่ามาตรฐานทางศีลธรรมของตัวเขาเอง ดีไม่แพ้ของ “ผู้เชี่ยวชาญ.”
เพราะฉะนั้น หลายคนในทุกวันนี้ยอมรับทัศนะของฌอง-ปอล ซาร์แตร์ นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส ซึ่งรู้สึกว่ามนุษย์ควรจะตัดสินประเด็นทางศีลธรรมเอาเอง. แนวความคิดเช่นนี้ถึงกับเป็นที่ยอมรับของสมาชิกโบสถ์หลายคน. ยกตัวอย่าง ผู้มีอำนาจของคาทอลิกรู้สึกวิตกเพราะว่าชาวคาทอลิกหลายคนไม่ปฏิบัติตามคำสอนของคริสต์จักรในเรื่องเพศและใช้อุปกรณ์คุมกำเนิดที่ทางคริสต์จักรห้าม.
บทเรียนแห่งประวัติศาสตร์คือมนุษย์ได้ตั้งกฎเกณฑ์ทางศีลธรรมขึ้นมาหลายอย่างต่าง ๆ กัน แต่ต่อมาก็มีการทักท้วง เปลี่ยนแปลง หรือลืมกฎเกณฑ์เหล่านั้น. อย่างไรก็ดี หลักการของพระคัมภีร์ที่กล่าวไว้ตอนต้น ๆ ของบทความนี้มิได้ขึ้นอยู่กับความคิดที่เปลี่ยนฉับพลันของนักปรัชญาหรือสังคมที่รวนเร. หลักการของคัมภีร์ไบเบิลเช่นนั้นมีประโยชน์อย่างไรในปัจจุบันนี้? เป็นไปได้ที่จะปฏิบัติตามหลักการเหล่านั้นไหม?
[จุดเด่นหน้า 7]
“ความไม่ซื่อสัตย์ในสายสมรสมิได้ถือว่าเป็นทางออกแต่เป็นสิทธิ”