การปกครองของมนุษย์นำขึ้นชั่งแล้ว
ตอนที่ 4: “เรา . . . ประชาชน”
ระบอบประชาธิปไตย: การปกครองโดยประชาชน ดำเนินการไม่โดยตรงก็โดยตัวแทนซึ่งได้รับการเลือกตั้งขึ้นมา.
“เราประชาชนแห่งสหรัฐ . . . ทำการกำหนดและก่อตั้งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ขึ้น.” ถ้อยคำเริ่มต้นเหล่านี้ของอารัมภกถาแห่งรัฐธรรมนูญสหรัฐนับว่าเหมาะสม เนื่องจากผู้วางรากฐานได้ตั้งใจไว้ให้สหรัฐเป็นประเทศประชาธิปไตย. คำ “เดโมคระซี” ซึ่งมีรากมาจากภาษากรีกมีความหมายว่า “การปกครองของประชาชน” หรือดังที่ อับราฮัม ลินคอล์น ประธานาธิบดีคนที่สิบหกแห่งสหรัฐให้คำนิยามว่า “การปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน.”
ประเทศกรีซโบราณซึ่งมักถูกเรียกว่าเป็นแหล่งกำเนิดของระบอบประชาธิปไตย โอ้อวดว่าระบอบประชาธิปไตยนั้นได้นำมาใช้กับบรรดานครรัฐต่าง ๆ ของตน โดยเฉพาะในกรุงเอเธนส์ ย้อนหลังไปไกลถึงศตวรรษที่ห้าก่อนสากลศักราช. แต่ระบอบประชาธิปไตยในครั้งนั้นต่างจากในปัจจุบัน. สาเหตุหนึ่งคือ พลเมืองกรีกมีการเกี่ยวข้องโดยตรงในขบวนการปกครองมากกว่า. พลเมืองที่เป็นชายทุกคนได้เข้าร่วมที่การประชุมใหญ่ซึ่งมีตลอดปีเพื่ออภิปรายกันถึงปัญหาที่มีอยู่ในเวลานั้น. โดยการออกเสียงแบบเปิดเผย ที่ประชุมได้กำหนดนโยบายของนครรัฐขึ้น.
อย่างไรก็ตาม ผู้หญิง ทาส และคนต่างชาติที่มาอยู่อาศัยไม่ได้รับสิทธิทางการเมือง. ด้วยเหตุนั้น การปกครองระบอบประชาธิปไตยของชาวเอเธนส์เป็นประชาธิปไตยในรูปแบบของคณาธิปไตย เนื่องจากผู้ที่มีสิทธิพิเศษมีเพียงไม่กี่คน. บางทีครึ่งหนึ่งของประชากรหรืออาจถึงสี่ในห้าไม่มีสิทธิ์มีเสียงเลยในประเด็นทางการเมือง.
กระนั้น การจัดเตรียมเช่นนี้ก็ได้ส่งเสริมเสรีภาพในการพูด เนื่องจากพลเมืองที่ออกเสียงได้รับสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดเห็นก่อนทำการตัดสินใจ. ตำแหน่งในหน้าที่ทางการเมืองเปิดให้พลเมืองชายทุกคน ไม่ได้จำกัดเฉพาะบุคคลชั้นนำเพียงไม่กี่คน. ระบบการควบคุมถูกกำหนดขึ้นเพื่อป้องกันการใช้อำนาจทางการเมืองอย่างผิด ๆ โดยปัจเจกบุคคลและคณะบุคคล.
“ชาวเอเธนส์เองนั้นมีความภาคภูมิใจมากในระบอบประชาธิปไตยของตน” เป็นคำกล่าวของนักประวัติศาสตร์ชื่อ ดี. บี. ฮีเทอร์. “พวกเขาเชื่อว่าการปกครองนี้เป็นขั้นตอนหนึ่งซึ่งเข้าไปใกล้ชีวิตสมบูรณ์แบบมากกว่าที่การปกครองในระบอบราชาธิปไตยหรือคณาธิปไตยได้ทำ.” เป็นที่ประจักษ์ว่าระบอบประชาธิปไตยเริ่มต้นอย่างดีเยี่ยมทีเดียว.
ประชาธิปไตยเจริญเกินกว่าแหล่งกำเนิด
นอกจากที่มีดำเนินการกันในขนาดย่อม ณ การประชุมประจำเมืองของรัฐนิว อิงแลนด์ ประเทศสหรัฐอเมริกาและในขอบเขตจำกัดของบางมลรัฐในประเทศสวิตเซอร์แลนด์แล้ว ประชาธิปไตยโดยตรงหรือแบบแท้ ๆ นั้นไม่มีอีกแล้ว. เมื่อคำนึงแค่ขนาดของรัฐต่าง ๆ ในปัจจุบันและจำนวนประชากรเป็นล้าน ๆ ตามหลักแล้ว การปกครองด้วยวิธีนี้คงเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้. นอกจากนั้น มีประชากรสักกี่คนในโลกที่เต็มไปด้วยธุระยุ่งนี้จะมีเวลาที่ต้องใช้เพื่ออุทิศให้กับการถกกันเกี่ยวกับการปกครองเป็นเวลาหลายชั่วโมง?
ประชาธิปไตย ได้เติบโตสู่ขั้นที่มีการขัดแย้งในตัว—หนึ่งร่างแต่มีหลายโฉมหน้า. ดังที่นิตยสารไทม์ อธิบายว่า “การจะแบ่งโลกออกเป็นกลุ่มประชาธิปไตยกับกลุ่มที่ไม่เป็นประชาธิปไตยให้แจ่มชัดนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้. ภายในระบอบที่เรียกกันว่าประชาธิปไตยนั้น มีการแบ่งระดับชั้นต่าง ๆ เช่น เสรีภาพส่วนบุคคล ทวินิยม และ สิทธิมนุษยชน เช่นเดียวกับที่มีการแบ่งระดับของการควบคุมบังคับในระบอบเผด็จการนั่นเอง.” กระนั้น คนส่วนใหญ่ก็คาดหมายจะได้เห็นสิ่งพื้นฐานบางอย่างภายใต้รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย เช่น เสรีภาพส่วนบุคคล ความเสมอภาค การเคารพสิทธิมนุษยชน และความยุติธรรมโดยกฎหมาย.
ประชาธิปไตยโดยตรงในสมัยก่อนได้กลายเป็นประชาธิปไตยแบบมีตัวแทนในสมัยปัจจุบัน. คณะนิติบัญญัติ ทั้งในระบบสภาเดี่ยวและในระบบสภาคู่ ประกอบด้วยบุคคลต่าง ๆ ที่ถูกเลือกขึ้นมาโดยประชาชน—หรือไม่ก็ถูกแต่งตั้งขึ้นมา—เพื่อเป็นตัวแทนประชาชนและเพื่อบัญญัติกฎหมาย โดยคาดหมายว่าจะเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน.
ความโน้มเอียงไปในทางประชาธิปไตยแบบมีตัวแทนนี้เริ่มขึ้นในยุคกลาง. ในช่วงศตวรรษที่ 17 และ 18 นั้น ข้อบัญญัติต่าง ๆ แห่งศตวรรษที่ 13 เช่น แม็กนา คาร์ตา และรัฐสภาอังกฤษพร้อมกับทฤษฎีต่าง ๆ ทางการเมืองเกี่ยวกับความเสมอภาคของมนุษย์ สิทธิที่มีแต่กำเนิด และอำนาจอธิปไตยของประชาชน ได้มีความสำคัญมากขึ้น.
ในช่วงห้าสิบปีหลังของศตวรรษที่ 18 คำ “ประชาธิปไตย” ได้มีการใช้กันทั่วไป แม้จะถูกมองดูด้วยความสงสัยบ้างก็ตาม. เดอะ นิว เอ็นไซโคลพีเดีย บริแทนนิกา กล่าวว่า “แม้แต่ผู้ริเริ่มก่อตั้งรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐในปี 1787 ก็ยังกังวลเกี่ยวกับการให้สามัญชนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยในขบวนการปกครอง. เอลบริจ เกอร์รี่ ซึ่งเป็นผู้หนึ่งในพวกเขา ได้เรียกประชาธิปไตยว่า ‘สิ่งเลวร้ายที่สุดแห่งความเลวร้ายทางการเมืองทั้งหลาย.’” แต่ถึงอย่างไรก็ตาม คนที่มีความคิดเช่นเดียวกับ จอห์น ล็อค ชาวอังกฤษ ก็ยังโต้แย้งอยู่ว่ารัฐบาลนั้นตั้งอยู่บนความเห็นชอบของประชาชน ผู้มีสิทธิอันมีมาแต่กำเนิดซึ่งมิอาจถูกล่วงละเมิดได้.
สาธารณรัฐ
ประเทศประชาธิปไตยหลายประเทศเป็นแบบสาธารณรัฐ นั่นคือ รัฐบาลที่มีประมุขของรัฐนอกเหนือจากกษัตริย์ ซึ่งปัจจุบันนี้ก็มักจะเป็นประธานาธิบดี. หนึ่งในบรรดาสาธารณรัฐแรก ๆ ของโลกคือโรมโบราณ แม้ว่าการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของโรมจะเป็นที่ยอมรับกันว่าอยู่ในขอบเขตจำกัดก็ตาม. ทว่า สาธารณรัฐผสมประชาธิปไตยก็ดำรงอยู่นานถึงสี่ร้อยกว่าปีก่อนที่จะหลีกทางให้ระบอบราชาธิปไตยและจักรวรรดิโรมัน.
การปกครองส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้เป็นแบบสาธารณรัฐ. ในบรรดา 219 รัฐบาลและองค์การสากลต่าง ๆ ที่ได้ลงไว้ในรายงานการค้นคว้าปี 1989 นั้นมี 127 รัฐบาลที่ถูกจัดไว้ในแบบสาธารณรัฐ แม้ว่าไม่ใช่ทั้งหมดที่เป็น ประชาธิปไตยในระบบผู้แทนก็ตาม. ที่จริง ระดับต่าง ๆ ของระบบรัฐบาลในรูปแบบสาธารณรัฐนั้นมีอยู่มากมาย.
บางสาธารณรัฐเป็นแบบระบบรวมศูนย์ส่วนกลาง นั่นคือมีการควบคุมโดยรัฐบาลส่วนกลางที่เข้มแข็ง. ส่วนที่อื่น ๆ เป็นลักษณะสหพันธรัฐ หมายความว่ามีการแบ่งการควบคุมกันระหว่างการปกครองสองระดับ. ดังชื่อเรียกได้บ่งบอก ประเทศสหรัฐอเมริกามีการใช้ระบบหลังนี้ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะระบบสหพันธรัฐ. รัฐบาลแห่งชาติจะเอาใจใส่ผลประโยชน์ของประเทศทั้งหมด ขณะที่รัฐบาลของรัฐดำเนินการกับความต้องการของท้องถิ่น. แน่ละ ในขอบเขตอย่างกว้าง ๆ เหล่านี้ มีรูปแบบมากมายหลายหลากทีเดียว.
ในบางสาธารณรัฐจัดให้มีการเลือกตั้งอย่างเสรี. อาจมีการจัดให้พลเมืองของเขาตั้งพรรคการเมืองและส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งจำนวนมากซึ่งจะเลือกได้. สาธารณรัฐอื่น ๆ พิจารณาเห็นว่าการเลือกตั้งโดยเสรีไม่จำเป็น โดยโต้แย้งว่าเจตนารมณ์ของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยนั้นสามารถดำเนินการให้สำเร็จได้ โดยวิธีการอื่น เช่นส่งเสริมการจัดตั้งระบบกรรมสิทธิ์รวมของการผลิตขึ้น. ประเทศกรีซโบราณเป็นตัวอย่างในเรื่องนี้มาก่อน เนื่องจากการเลือกตั้งโดยเสรีไม่เป็นที่รู้จักกันในสมัยนั้น. ผู้บริหารถูกเลือกขึ้นมาโดยการจับสลาก และได้รับการยินยอมให้ดำรงตำแหน่งเป็นเวลาหนึ่งปีเพียงหนึ่งหรือสองวาระ. อาริสโตเติลคัดค้านการเลือกตั้ง โดยกล่าวว่าพวกเขาได้นำเอาส่วนสำคัญของระบอบคณาธิปไตยเข้ามาในรูปของการเลือก “คนที่ดีที่สุด.” อย่างไรก็ตาม มีการคาดหมายว่าการปกครองในระบอบประชาธิปไตยจะเป็นการปกครองของประชาชนทั้งหมด ไม่ใช่เพียง “คนที่ดีที่สุด” เท่านั้น.
ดีที่สุดก็เพียงโดยการเปรียบเทียบ?
แม้กระทั่งในกรุงเอเธนส์สมัยโบราณ การปกครองระบอบประชาธิปไตยก็ถูกโต้แย้ง. พลาโตเป็นคนหนึ่งที่สงสัย. การปกครองระบอบประชาธิปไตยถูกมองว่าอ่อนแอเนื่องจากอยู่ในมือของผู้ไม่มีความรู้ซึ่งแต่ละคนก็ง่ายที่จะเอนเอียงไปได้ ตามคำพูดเร้าอารมณ์ของผู้ปลุกระดม. โซคราเตสชี้เป็นนัยว่าการปกครองระบอบประชาธิปไตยก็เป็นเพียงการปกครองโดยฝูงชนที่ก่อจลาจลนั่นเอง. ตามที่กล่าวไว้ในหนังสือ อะ ฮิสตอรี ออฟ โพลิทิคัล ทีออรี อาริสโตเติล หนึ่งในนักปราชญ์ชั้นนำสามคนของกรีกโบราณได้โต้แย้งว่า “ยิ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นประชาธิปไตยมากเท่าใด ก็ยิ่งมีแนวโน้มไปสู่การปกครองโดยฝูงชนที่ก่อจลาจลเท่านั้น . . . ที่เสื่อมถอยลงสู่ระบบทรราชย์.”
คนอื่น ๆ ได้แสดงความไม่สบายใจในทำนองเดียวกัน. ชาวาหะราล เนห์รู อดีตนายกรัฐมนตรีอินเดียกล่าวว่าการปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้นดี แต่ก็ได้กล่าวถ้อยคำขยายเพิ่มเติมว่า “ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้เพราะว่าระบบอื่นนั้นแย่กว่า.” และวิลเลียม ราล์ฟ อิงจ์ ผู้เป็นบาทหลวงและนักเขียนได้เขียนไว้ครั้งหนึ่งว่า “การปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นแบบหนึ่งของการปกครองซึ่งอาจแก้ต่างได้อย่างมีเหตุผล ไม่ใช่ฐานะเป็นแบบที่ดี แต่ฐานะเป็นแบบที่แย่น้อยกว่าแบบอื่น ๆ”.
ระบอบประชาธิปไตยมีจุดอ่อนหลายหลาก. ประการแรก สำหรับระบอบนี้ เพื่อจะบรรลุผลสำเร็จ ปัจเจกบุคคลต้องเต็มใจจัดเอาสวัสดิภาพของคนส่วนใหญ่ไว้ก่อนผลประโยชน์ของตนเอง. ทั้งนี้อาจหมายถึงการสนับสนุนการจัดเก็บภาษีหรือกฎหมายอื่น ๆ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วอาจไม่เห็นด้วย แต่ก็เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อผลดีแก่คนทั้งประเทศ. ความสนใจอย่างไม่เห็นแก่ตัวเช่นนั้นเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ยาก แม้แต่ในชาติประชาธิปไตยที่เป็น “คริสเตียน”.
จุดอ่อนอีกประการหนึ่งมีการสังเกตพบโดยพลาโต. ดังที่มีเขียนไว้ในหนังสือ อะ ฮิสตอรี่ ออฟ โพลิติคัล ทีออรี เขากล่าวโจมตี “ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และการขาดคุณสมบัติของพวกนักการเมืองซึ่งเป็นมูลเหตุสำคัญแห่งความหายนะของระบอบประชาธิปไตย.” นักการเมืองอาชีพหลายคนรู้สึกคับแค้นใจที่ยากจะค้นหาบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและมีความสามารถเฉพาะตัว เพื่อมาปฏิบัติหน้าที่ในรัฐบาล. แม้แต่เจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับการเลือกขึ้นมา ก็อาจเป็นเพียงแค่มือสมัครเล่นทางการเมืองเท่านั้น. และในยุคแห่งโทรทัศน์นี้ การมีรูปร่างหน้าตาดี และมีเสน่ห์ของผู้สมัครรับเลือกตั้งสามารถโน้มน้าวให้เขาได้รับการลงคะแนน ซึ่งถ้าดูจากความสามารถในการบริหาร คงไม่ทำให้เขาถูกเลือกได้เลย.
ข้อเสียเปรียบอีกอย่างหนึ่งของประชาธิปไตยคือว่าระบอบนี้ช้าในการดำเนินงาน. เมื่อผู้เผด็จการพูด สิ่งต่าง ๆ ก็แล้วเสร็จ! ความก้าวหน้าในระบอบประชาธิปไตยอาจช้าลงเนื่องจากการถกเถียงที่ไม่รู้จักจบสิ้น. จริงอยู่ การอภิปรายโต้แย้งประเด็นต่าง ๆ อาจมีผลที่ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด. แต่ดังที่ เคลเมนท์ แอตต์ลี อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษให้ข้อสังเกตไว้ในคราวหนึ่งว่า “ประชาธิปไตยหมายถึงการปกครองโดยการปรึกษาหารือ แต่จะมีประสิทธิภาพถ้าคุณสามารถทำให้ประชาชนหยุดพูด.”
แม้กระทั่งหลังจากที่การพูดคุยยุติลงแล้ว การตัดสินใจที่ได้ทำนั้นจะเป็นไปตามความต้องการของ “ประชาชน” ถึงขีดไหนยังเป็นที่น่าสงสัยอยู่. พวกผู้แทนลงคะแนนเสียงไปตามความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ที่เลือกตั้งเขาขึ้นมา หรือบ่อยครั้งยิ่งขึ้น เป็นไปตามความคิดเห็นของพวกเขาเอง? หรือว่าพวกเขาเพียงแต่ประทับตรายางแสดงความเห็นด้วยกับนโยบายของพรรคเท่านั้น?
หลักประชาธิปไตยในเรื่องการมีระบบตรวจสอบและควบคุมเพื่อป้องกันการทุจริตมีการพิจารณาเห็นว่าเป็นแนวความคิดที่ดีแต่ก็ไม่ค่อยได้ผล. ในปี 1989 นิตยสารไทม์ กล่าวถึงเรื่อง “ความเสื่อมของรัฐบาลในทุก ๆ ระดับ” และเรียกรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยที่มีบทบาทสำคัญว่า “ยักษ์ใหญ่ที่อ้วนฉุ ไร้สมรรถภาพ ช่วยตนเองไม่ได้.” หัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจหน่วยหนึ่งซึ่งตั้งขึ้นเมื่อกลางทศวรรษปี 1980 เพื่อสืบสวนค้นคว้าเรื่องความสูญเสียโดยเปล่าประโยชน์ของอีกรัฐบาลหนึ่ง ได้ถูกกระตุ้นให้กล่าวตำหนิ ว่า “รัฐบาลดำเนินงานเหลวแหลกมาก.”
เนื่องจากเหตุนี้และเหตุผลอื่น ๆ อีกมากมาย จึงยากที่จะเรียกระบอบประชาธิปไตยได้ว่าเป็นรัฐบาลในอุดมคติ. ความจริงอันชัดแจ้งดังที่มีการชี้ให้เห็นโดย จอห์น ดรายเด็น กวีชาวอังกฤษแห่งศตวรรษที่ 17 คือว่า “คนส่วนใหญ่อาจพลาดมากมายพอ ๆ กับคนส่วนน้อย.” เฮ็นรี่ มิลเลอร์ นักเขียนชาวอเมริกัน เป็นคนพูดโผงผาง แต่กระนั้นก็แม่นยำ เมื่อเขากล่าวเสียดสีว่า “คนตาบอดนำทางคนตาบอด. นั่นแหละคือวิถีทางของประชาธิปไตย.”
สู่หลุมฝังศพ?
การปกครองระบอบประชาธิปไตยได้ประสบผลสำเร็จในการเป็นที่ยอมรับในศตวรรษนี้ยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา. การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างขนานใหญ่ในยุโรปตะวันออกที่เพิ่งผ่านมายืนยันถึงเรื่องนี้. กระนั้นก็ตาม “การปกครองแบบเสรีประชาธิปไตยกำลังตกอยู่ในความยุ่งยากอย่างหนักในโลกปัจจุบัน” เป็นข้อเขียนของ เจมส์ เรสตัน นักหนังสือพิมพ์เมื่อไม่กี่ปีมานี้. แดเนียล มอยนิฮัน ได้เตือนว่า “ระบอบเสรีประชาธิปไตยไม่ใช่เป็นแนวความคิดที่เจริญขึ้น” และ “ระบอบประชาธิปไตยดูท่าว่าจะล่วงพ้นไป.” อเล็กซันเดอร์ ไทเลอร์ นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษกล่าวว่ารัฐบาลแบบประชาธิปไตยไม่สามารถคงอยู่ตลอดไปได้เนื่องจากรัฐบาลแบบนี้ “พังทลายทุกครั้งเนื่องด้วยนโยบายด้านการเงินที่ไม่รัดกุม.” แน่นอน ความเห็นของเขาถูกโต้แย้ง.
อย่างไรก็ตาม ระบอบประชาธิปไตยก็เป็นส่วนต่อเนื่องที่เห็นชัดเจนของแนวโน้มเอียงที่ได้เริ่มต้นในสวนเอเดน คราวเมื่อมนุษย์ได้ตัดสินใจจะกระทำสิ่งต่าง ๆ ในแนวทางของตน ไม่ใช่ในแนวของพระเจ้า. มันเป็นที่สุดของการปกครองของมนุษย์ เนื่องจากการปกครองนี้ได้ครอบคลุมเอาทุกคนเข้าไว้ในขบวนการการปกครอง. แต่คำกล่าวตามภาษาลาตินที่ว่า วอกซ์ โปปูลี, วอกซ์ เดอี “เสียงของประชาชนคือเสียงของพระเจ้า” นั้นไม่เป็นความจริง. ด้วยเหตุนี้ คนเหล่านั้นที่หนุนหลังการปกครองของมนุษย์ในระบอบประชาธิปไตยจะต้องยอมร่วมรับผิดชอบสำหรับพฤติการณ์ของระบอบนี้.—เทียบ 1 ติโมเธียว 5:22.
ข้อเท็จจริงนี้มีความหมายยิ่งขึ้นตั้งแต่ปี 1914 เป็นต้นมา. ในปีอันสำคัญยิ่งนั้น การปกครองของพระเจ้าได้เริ่มดำเนินการในแนวทางที่โดดเด่น. บัดนี้ ราชอาณาจักรมาซีฮาของพระเจ้าตั้งมั่นอยู่พร้อมจะเข้าควบคุมสถานการณ์โลกอย่างครบถ้วน. การปกครองทุกรูปแบบของมนุษย์—รวมทั้งแบบประชาธิปไตยด้วย กำลังถูกนำขึ้นชั่ง. พวกเราเองก็กำลังถูกชั่งดูพร้อมกับพวกนั้นด้วยตามขอบเขตที่เราแต่ละคนสนับสนุนระบอบการเหล่านั้น.—ดานิเอล 2:44; วิวรณ์ 19:11–21.
[กรอบหน้า18]
“ไม่ใช่ที่มนุษย์ซึ่งดำเนินนั้นจะได้กำหนดก้าวของตัวได้.”—ยิระมะยา 10:23.
[กรอบหน้า20]
“มีทางหนึ่งซึ่งดูเหมือนบางคนเห็นว่าเป็นทางถูก แต่ปลายทางนั้นเป็นทางแห่งความตาย.”—สุภาษิต 14:12.
[รูปภาพหน้า19]
คนเหล่านั้นที่หนุนหลังการปกครองของมนุษย์ในระบอบประชาธิปไตยจะต้องยอมร่วมรับผิดชอบสำหรับพฤติการณ์ของระบอบนี้.
[ที่มาของภาพหน้า17]
U.S. National Archives photo