การปกครองของมนุษย์นำขึ้นชั่งแล้ว
การสืบหาสังคมในจินตนาการ
สังคมนิยม: ระบบสังคมที่สนับสนุนกรรมสิทธิ์ของรัฐในทรัพย์สินและควบคุมวิธีการผลิตซึ่งพวกคอมมิวนิสต์มองดูว่าเป็นสถานะที่อยู่กึ่งกลางระหว่างระบอบทุนนิยมกับระบอบคอมมิวนิสต์; คอมมิวนิสต์: ระบบสังคมที่สนับสนุนการไม่มีชนชั้น การมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันในเครื่องมือการผลิตและปัจจัยในการยังชีพ และการแบ่งสันปันส่วนสินค้าทางเศรษฐกิจอย่างยุติธรรม.
เทพนิยายกรีกมีเรื่องเล่าว่าพระเจ้าแผ่นดินกรีกองค์หนึ่งชื่อโครนุส ซึ่งในรัชกาลของเขานั้นประเทศกรีซได้ประสบยุคอันรุ่งโรจน์. หนังสือ ดิกชันนารี ออฟ เดอะ ฮิสตอรี ออฟ ไอเดียส์ อธิบายถึงยุคนั้นว่า “ทุกคนได้มีส่วนในทรัพย์สินร่วมกันอย่างยุติธรรม ทรัพย์สินส่วนตัวไม่มี และสันติภาพและความสงบปกคลุมไปทั่วไม่มีอะไรรบกวน.” ปรากฏชัดว่า จากการคร่ำครวญถึงยุคอันรุ่งโรจน์ที่สูญไปแล้วนี้ หนังสือเล่มเดียวกันเสริมว่า “ร่องรอยแรกของระบอบสังคมนิยมก็ปรากฏขึ้น.”
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันถึงตอนต้นทศวรรษปี 1850 ระบอบสังคมนิยมก็ปรากฏขึ้นในฐานะเป็นขบวนการทางการเมืองสมัยใหม่. ระบอบนี้มีผู้พร้อมจะรับเอาอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งการปฏิวัติฝรั่งเศสได้สั่นสะเทือนแนวความคิดแบบประเพณีนิยมอย่างรุนแรงทีเดียว. เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ในยุโรป การปฏิวัติอุตสาหกรรมได้ก่อให้เกิดปัญหาอันขมขื่นทางสังคม. ประชาชนพร้อมอยู่แล้วสำหรับแนวความคิดเรื่องกรรมสิทธิ์ส่วนรวมในทรัพยากร แทนที่จะเป็นโดยส่วนตัว นั้นย่อมดีกว่าที่จะทำให้มวลชนสามารถมีส่วนในผลของแรงงานร่วมกันอย่างยุติธรรม.
ระบอบสังคมนิยมไม่ใช่แนวความคิดใหม่. นักปราชญ์ชาวกรีกเช่นอาริสโตเติลและพลาโตเคยเขียนไว้แล้วเกี่ยวด้วยเรื่องนี้. ต่อมาในช่วงของการปฏิรูปลัทธิโปรเตสแตนต์เมื่อศตวรรษที่ 16 โทมัส มุนต์เซอร์ บาทหลวงคาทอลิกหัวรุนแรงชาวเยอรมัน ได้เรียกร้องให้มีสังคมที่ไม่มีการแบ่งชนชั้น. แต่ความคิดเห็นของเขาได้รับการโต้แย้ง โดยเฉพาะที่เขาเรียกร้องให้ปฏิวัติหากมีความจำเป็นเพื่อจะบรรลุเป้าหมายนี้. ในศตวรรษที่ 19 ชาวอังกฤษชื่อ โรเบิร์ต โอเวน ชาวฝรั่งเศส ชื่อเอติแอนน์ คาเบต์ กับ ปิแอร์ โจเซฟ พรูดอง และนักปฏิรูปสังคมอีกจำนวนหนึ่ง มีนักเทศน์นักบวชที่ทรงอิทธิพลรวมอยู่ด้วย ได้สอนว่าระบอบสังคมนิยมก็คือศาสนาคริสเตียนในอีกชื่อหนึ่งนั่นเอง.
สังคมในจินตนาการของมาร์กซ์และมอร์
หนังสืออ้างอิงที่เอ่ยไว้ข้างต้นกล่าวว่า “ไม่มีสักคนในพวกผู้ซึ่งพูดแทนลัทธิสังคมนิยมเหล่านี้จะก่อผลกระทบเทียบเท่ากับอิทธิพลของคาร์ล มาร์กซ์ ผู้ซึ่งข้อเขียนของเขาได้กลายมาเป็นมาตรฐานการคิดและการกระทำของนักสังคมนิยม.”a มาร์กซ์สอนว่าโดยอาศัยการต่อสู้เรื่องชนชั้น ประวัติศาสตร์ได้ก้าวไปที่ละขั้น ๆ ครั้นมีการค้นพบระบอบทางการเมืองในอุดมการณ์ ประวัติศาสตร์ในแง่คิดนี้ก็จะยุติลง. ระบอบในอุดมการณ์นั้นจะแก้ไขปัญหาทั้งหลายของสังคมต่าง ๆ ที่อยู่ก่อนหน้านี้. ทุกคนจะมีชีวิตอยู่ด้วยสันติสุข เสรีภาพและเจริญรุ่งเรือง โดยไม่จำเป็นต้องมีรัฐบาลหรือกำลังทหาร.
แนวความคิดนี้ฟังดูคล้ายกับสิ่งที่ เซอร์ โทมัส มอร์ นักการเมืองชาวอังกฤษได้อธิบายไว้ในปี 1516 ในหนังสือของเขาชื่อยูโตเปีย. คำนี้ ซึ่งเป็นชื่อภาษากรีกบัญญัติศัพท์ขึ้นโดยมอร์ หมายความว่า “สถานที่ซึ่งไม่มีตัวตน” (โอว–โทโปส) และเป็นไปได้ที่อาจมีความหมายอีกนัยหนึ่งว่า “สถานที่ดี” ตามการออกเสียงที่คล้ายกันคืออูว–โทโปส. ยูโตเปียที่มอร์เขียนถึงนั้นเป็นประเทศในจินตนาการ (สถานที่ซึ่งไม่มีตัวตน) แต่กระนั้นก็เป็นประเทศในอุดมคติ (สถานที่ดี). ดังนั้น “ยูโตเปีย” จึงมีความหมายว่า “สถานที่แห่งความสมบูรณ์พร้อมในอุดมคติโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านกฎหมาย รัฐบาล และสภาพสังคม.” หนังสือของมอร์เป็นหนังสือที่ฟ้องให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสภาพเศรษฐกิจและสังคมซึ่งมีอยู่แพร่หลายในยุโรปสมัยของเขาด้อยกว่าสภาพเศรษฐกิจและสังคมในอุดมคติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศอังกฤษ และต่อมาสภาพเช่นนั้นก็ได้ส่งเสริมการพัฒนาระบอบสังคมนิยมขึ้น.
ทฤษฎีของมาร์กซ์ก็ได้สะท้อนเช่นเดียวกันถึงความคิดเห็นของนักปรัชญาชาวเยอรมันชื่อ เกออร์ก วิลเฮล์ม ฟรีดริค เฮเกิล. ตาม ดิกชันนารี ออฟ เดอะ ฮิสตอรี ออฟ ไอเดียส์ บอกว่า “รูปแบบคล้ายศาสนาที่มีการเผยให้เห็นของลัทธิสังคมนิยมแบบมาร์กซ์นั้นถูกนวดปั้นขึ้นโดยยึดตามหลักปรัชญาในรูปแบบใหม่ของเฮเกิลซึ่งเกี่ยวกับหลักเทววิทยาพื้นฐานของคริสเตียน.” นักประพันธ์ เกออร์ก ซาบิเน อธิบายว่า โดยอาศัย “หลักเทววิทยาพื้นฐาน” นี้ เป็นหลังฉากมาร์กซ์ได้พัฒนาความดึงดูดใจทางศีลธรรมอันทรงอิทธิพลขึ้นมา และหนุนหลังโดยความเชื่อมั่นคล้ายรูปแบบศาสนา. สิ่งนั้นไม่น้อยกว่าการจูงใจให้เข้าร่วมในความก้าวหน้าของอารยธรรมและความถูกต้อง.” ระบอบสังคมนิยมเป็นคลื่นแห่งอนาคต บางคนอาจคิดว่า ระบอบนี้เป็นศาสนาคริสเตียนที่กำลังก้าวไปสู่ชัยชนะภายใต้ชื่อใหม่จริง ๆ!
เส้นทางจากระบอบทุนนิยมสู่ระบอบสังคมในจินตนาการ
มาร์กซ์มีชีวิตถึงแค่การจัดพิมพ์งานเขียนเล่มแรกของเขาเท่านั้นซึ่งมีชื่อดาส คาปิตัล อีกสองเล่มต่อมามีการเรียบเรียงและจัดพิมพ์ขึ้นในปี 1885 และ 1894 โดยผู้ร่วมงานที่ใกล้ชิดเขาที่สุดคือ ฟรีดริค เองเกิล นักปรัชญาและนักสังคมนิยมชาวเยอรมัน. หนังสือดาส คาปิตัลมุ่งอธิบายถึงภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ของระบอบทุนนิยม ซึ่งเป็นลักษณะจำเพาะของระบบเศรษฐกิจแบบประชาธิปไตยตะวันตกที่มีผู้แทน. ต่างกับการค้าที่ไม่มีกฎเกณฑ์และการแข่งขันโดยไม่มีการควบคุมของรัฐ แต่ระบอบทุนนิยมอย่างที่มาร์กซ์อธิบายไว้นั้นรวมกรรมสิทธิ์สำหรับสิ่งที่ใช้ในการผลิตและจำหน่ายเข้าเป็นส่วนของบุคคลและกลุ่มบุคคล. ตามหลักของมาร์กซ์ ระบอบทุนนิยมทำให้เกิดมีชนชั้นกลางและชนชั้นแรงงานขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดการเป็นปฏิปักษ์ระหว่างสองชนชั้นนั้นและนำไปสู่การกดขี่ชนชั้นหลัง. โดยอาศัยงานเขียนของนักเศรษฐศาสตร์ขนานแท้เพื่อสนับสนุนความคิดเห็นของเขา มาร์กซ์โต้แย้งว่าระบอบทุนนิยมนั้นที่จริงแล้วไม่ใช่ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และว่าระบอบสังคมนิยมเป็นแบบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ที่สุด ให้ประโยชน์แก่ประชาชนโดยการส่งเสริมความเสมอภาคและเสรีภาพของมนุษย์.
ยูโตเปีย (สังคมในจินตนาการ) คงจะมีการบรรลุถึงครั้นเมื่อชนชั้นกรรมาชีพได้ลุกฮือขึ้นทำการปฏิวัติและขจัดออกไปซึ่งความกดขี่แห่งชนชั้นนายทุน โดยจัดตั้งสิ่งที่มาร์กซ์เรียกว่า “ระบอบเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพ.” (ดูกรอบหน้า 21) อย่างไรก็ตาม ทัศนะของเขาอ่อนลงตามเวลา. เขาเริ่มยอมให้กับแนวความคิดแห่งการปฏิวัติสองอย่างที่แตกต่างกัน อย่างหนึ่งเป็นแบบรุนแรงและอีกอย่างเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปและถาวร. การนี้ก่อให้มีคำถามที่น่าสนใจขึ้นมา.
ยูโตเปียโดยการปฏิวัติหรือการวิวัฒน์?
คำว่า “คอมมิวนิสต์” มาจากคำลาติน คอมมิวนิส ซึ่งหมายความว่า “ร่วมกัน เป็นของทุกคน.” เช่นเดียวกับลัทธิสังคมนิยม ลัทธิคอมมิวนิสต์อ้างว่าธุรกิจที่ดำเนินการโดยเสรีนำไปสู่การว่างงาน ความยากจน วัฏจักรเศรษฐกิจ และความขัดแย้งระหว่างลูกจ้างกับนายทุน. การแก้ไขปัญหานี้ก็คือการแจกจ่ายโภคทรัพย์ของประเทศอย่างเสมอภาคและยุติธรรมมากขึ้น.
แต่ในตอนปลายศตวรรษที่แล้ว ผู้นิยมลัทธิมาร์กซ์ทั้งหลายไม่ลงรอยกันเสียแล้วเกี่ยวกับวิธีที่จะบรรลุขั้นสุดท้ายตามเป้าหมายที่ตกลงกันไว้. ในตอนต้นทศวรรษปี 1900 ความเคลื่อนไหวของนักสังคมนิยมในส่วนซึ่งต่อต้านการปฏิวัติแบบรุนแรงและสนับสนุนการดำเนินงานตามระบบรัฐสภาของประชาธิปไตยนั้นก็มีพลังมากขึ้น วิวัฒน์ไปสู่สิ่งที่ปัจจุบันเรียกกันว่าระบอบสังคมนิยมประชาธิปไตย. นี้คือระบอบสังคมนิยมที่พบเห็นกันทุกวันนี้ในระบอบประชาธิปไตยของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ฝรั่งเศส และอังกฤษ เป็นต้น. สำหรับเจตจำนงและความมุ่งหมายทุกอย่างแล้ว กลุ่มประเทศเหล่านี้ได้ปฏิเสธแนวความคิดของผู้นิยมลัทธิมาร์กซ์ขนานแท้และเพียงมุ่งความสนใจอยู่ที่การก่อตั้งรัฐสวัสดิการขึ้นเพื่อประชากร.
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่อุทิศตัวให้กับลัทธิมาร์กซ์คนหนึ่งซึ่งเชื่อว่ายูโตเปียแบบคอมมิวนิสต์จะบรรลุได้ก็โดยการปฏิวัติแบบรุนแรงเท่านั้นคือเลนิน. คำสอนของเขา ควบคู่ไปกับลัทธิมาร์กซ์ และเป็นพื้นฐานสำหรับระบอบคอมมิวนิสต์ขนานแท้ในปัจจุบัน. เลนินซึ่งเป็นนามแฝงของ วลาดิเมีย อิลิค อุลยานอฟ เกิดเมื่อปี 1870 ในที่ซึ่งปัจจุบันนี้คือสหภาพโซเวียต. เขาได้เปลี่ยนมาถือลัทธิมาร์กซ์ในปี 1889. ตั้งแต่ปี 1900 ภายหลังที่ถูกเนรเทศไปอยู่ไซบีเรียชั่วระยะหนึ่ง เขาอาศัยอยู่ในยุโรปตะวันตกเป็นส่วนใหญ่. พอการปกครองในระบอบซาร์ถูกโค่นล้ม เขากลับสู่รัสเซีย จัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์รัสเซียขึ้น และได้เป็นผู้นำการปฏิวัติบอลเชวิกในปี 1917. หลังจากนั้นเขาได้ดำรงตำแหน่งประมุขสูงสุดแห่งสหภาพโซเวียตจนกระทั่งสิ้นชีวิตในปี 1924. เขามองพรรคคอมมิวนิสต์ว่ามีวินัยอย่างสูงเป็นแกนกลางของเหล่าผู้ปฏิวัติ ทำหน้าที่เป็นกองหน้าของชนชั้นกรรมาชีพ. พวกเมนเชวิกส์ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนั้น.—ดูกรอบหน้า21.
เส้นแบ่งระหว่างการปฏิวัติกับการวิวัฒน์ไม่ได้มีการกำหนดอย่างชัดเจนอีกต่อไปแล้ว. ในปี 1978 หนังสือ คอมแพริง โพลิทิคัล ซีสเตมส์: พาวเวอร์ แอนด์ โพลิซี อิน ทรี เวิลด์ส ให้ข้อสังเกตว่า: “ระบอบคอมมิวนิสต์เกิดมีความขัดแย้งกันมากขึ้นเกี่ยวกับวิธีบรรลุเป้าหมายตามหลักสังคมนิยม. . . . ความแตกต่างระหว่างระบอบคอมมิวนิสต์กับระบอบสังคมนิยมประชาธิปไตยได้ลดลงมากทีเดียว.” ปัจจุบัน ในปี 1990 ถ้อยคำเหล่านี้ยิ่งมีความหมายเพิ่มขึ้นในขณะที่ระบอบคอมมิวนิสต์ประสบการเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ในยุโรปตะวันออก.
ระบอบคอมมิวนิสต์นำศาสนาไปใช้อีกครั้ง
“เราต้องการค่านิยมฝ่ายวิญญาณ . . . ค่านิยมทางศีลธรรมที่ศาสนาก่อขึ้นและครอบงำมาเป็นเวลาหลายร้อยปีนั้นสามารถช่วยในงานฟื้นฟูประเทศของเราได้เช่นกัน.” น้อยคนนักที่คิดว่าเขาจะได้ยินถ้อยคำเหล่านี้จากปากของเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต. แต่เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 1989 นายมิคาอิล กอร์บาชอพได้แถลงถึงการเปลี่ยนแปลงท่าทีที่มีต่อศาสนาอย่างชัดเจนนี้ในระหว่างการเยี่ยมสันตะปาปา ณ กรุงโรม.
อาจเป็นได้ไหมว่าสิ่งนี้สนับสนุนข้อคิดเห็นที่ว่าพวกคริสเตียนสมัยแรกเองนั้นเป็นคอมมิวนิสต์ในรูปแบบสังคมนิยมคริสเตียน? บางคนอ้างเช่นนี้โดยชี้ไปที่พระธรรมกิจการ 4:32 ซึ่งกล่าวถึงชนคริสเตียนในยะรูซาเลมว่า: “ของทั้งหมดเป็นของกลาง.” แต่การค้นคว้าเผยให้เห็นว่านั้นเป็นเพียงเรื่องชั่วคราวที่เกิดขึ้นเนื่องจากสถานการณ์ซึ่งไม่ทราบล่วงหน้า ไม่ใช่เป็นระบอบสังคมนิยมคริสเตียนที่ใช้อย่างถาวร. เพราะพวกเขาแบ่งปันวัตถุสิ่งของต่าง ๆ แก่กันด้วยแนวทางแห่งความรัก จึง “ไม่มีผู้ใดขัดสน.” ถูกแล้ว มีการ “แจกจ่ายให้ทุกคนตามที่ต้องการ.”—กิจการ 4:34, 35.
“กลาสนอสต์” และ “เปเรสตรอยกา”
นับตั้งแต่ช่วงท้ายแห่งทศวรรษปี 1980 สหภาพโซเวียตกับรัฐบาลต่าง ๆ ในระบอบคอมมิวนิสต์ของยุโรปตะวันออกได้ประสบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทางการเมืองซึ่งทำให้ตลึงงัน. เนื่องด้วยนโยบายกลาสนอสต์ หรือนโยบายแบบเปิด การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จึงเป็นที่เห็นได้โดยทั่วไป. ประเทศในยุโรปตะวันออกได้เรียกร้องการปฏิรูปต่าง ๆ อย่างกว้างขวางซึ่งได้มีการเห็นชอบด้วยถึงระดับหนึ่ง. ผู้นำระบอบคอมมิวนิสต์ได้ยอมรับความต้องการในระบอบที่มีมนุษยธรรมและมีความเห็นอกเห็นใจมากขึ้นและได้เรียกร้องให้มีการ “ฟื้นฟูระบอบสังคมนิยมขึ้นมาในแบบที่ต่างออกไป ในรูปแบบที่ก้าวหน้าขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น” ดังที่นักเศรษฐศาสตร์ชาวโปแลนด์คนหนึ่งได้กล่าวไว้.
ผู้ที่สำคัญที่สุดในกลุ่มผู้นำเหล่านี้คือกอร์บาชอพ ผู้ซึ่งหลังจากได้ขึ้นมามีอำนาจไม่นาน ก็ได้เสนอแนวความคิด เปเรสตรอยกา (การปรับปรุงใหม่) ขึ้นมา. ในการเยือนประเทศอิตาลี เขาได้กล่าวสนับสนุนนโยบาย เปเรสตรอยกา ว่า เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเผชิญกับข้อท้าทายต่าง ๆ แห่งทศวรรษปี 1990. เขากล่าวว่า: “การที่ได้เริ่มดำเนินบนเส้นทางแห่งการปฏิรูปอย่างถอนรากถอนโคนนั้น ประเทศสังคมนิยมทั้งหลายกำลังข้ามเส้นแบ่งซึ่งไม่มีวันจะหวนกลับสู่อดีตอีก. แต่ถึงกระนั้น เป็นการไม่ถูกต้องที่จะยืนกรานดังที่ประเทศทางตะวันตกทำกัน ว่านี้เป็นการพังทลายของระบอบสังคมนิยม. ตรงกันข้าม หมายความว่าขบวนการทางสังคมนิยมในโลกนี้จะแสวงหาพัฒนาการต่อไปในรูปแบบอันหลากหลาย.”
ดังนั้นกลุ่มผู้นำในระบอบคอมมิวนิสต์ทั้งหลายจึงไม่พร้อมจะเห็นด้วยกับการประเมินที่ได้ทำเมื่อปีที่แล้วโดยนักเขียนบทความชื่อชาลส์ ครอทแฮมเมอร์ ซึ่งเขียนไว้ว่า: “ปัญหาซึ่งมีสืบเนื่องมาตลอดเวลาที่ทำให้นักปรัชญาทางการเมืองทุกคนต้องยุ่งยากใจ นับแต่พลาโตเป็นต้นมา ที่ว่า—อะไรคือรูปแบบการปกครองที่ดีที่สุด?—ได้รับคำตอบแล้ว. หลังจากหลายพันปีที่ได้พยายามทดลองดูระบอบการปกครองทุกรูปแบบ เราก็ปิดฉากรอบพันปีนี้ด้วยความรู้อันแน่นอนที่ว่าในระบอบประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม แบบแบ่งอำนาจและแบบทุนนิยมนี่เอง ที่เราได้พบสิ่งซึ่งใฝ่หามาเป็นเวลานาน.”
กระนั้นก็ตาม หนังสือพิมพ์เยอรมันชื่อ ดี ไซต์ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาถึงภาพอันน่าเศร้าที่ประชาธิปไตยแบบตะวันตกเผยให้เห็น โดยชี้ไปยังสภาพ “การว่างงาน การติดสุราและยาเสพย์ติด การเป็นโสเภณี การตัดทอนลงซึ่งสวัสดิการทางสังคม การลดอัตราภาษี และการขาดงบประมาณ” ครั้นแล้วก็ถามว่า “นี่คือสังคมที่สมบูรณ์จริง ๆ หรือซึ่งได้มีชัยชนะเหนือระบอบสังคมนิยมมาตลอด?”
สุภาษิตบทหนึ่งซึ่งเป็นที่คุ้นเคยกันดีกล่าวว่าผู้คนที่อาศัยอยู่ในเรือนกระจกไม่ควรจะขว้างก้อนหิน. การปกครองที่ไม่สมบูรณ์ของมนุษย์ในรูปแบบใดล่ะที่สามารถจะวิพากษ์วิจารณ์ข้ออ่อนแอของรูปแบบการปกครองอื่นได้? ข้อเท็จจริงแสดงให้เห็นว่าระบอบการปกครองอันสมบูรณ์พร้อมของมนุษย์—ยูโตเปีย—ไม่มีอยู่เลย. พวกนักการเมืองยังคงค้นหาเพื่อจะพบ “สถานที่ดี” นั้นอยู่. แต่ก็ยังเป็น “สถานที่ซึ่งไม่มีตัวตน” ให้พบเลย.
[เชิงอรรถ]
a มาร์กซ์ ซึ่งมีบิดามารดาเป็นชาวยิว เกิดเมื่อปี 1818 ในที่ซึ่งปัจจุบันนี้คือสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ได้รับการศึกษาและทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์ที่นั่น หลังจากปี 1849 เขาใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในลอนดอน ซึ่งเป็นที่ที่เขาเสียชีวิตในปี 1883.
[กรอบหน้า21]
คำศัพท์เฉพาะของลัทธิสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์
บอลเชวิกส์/เมนเชวิกส์: พรรคกรรมกรในระบอบสังคมนิยมประชาธิปไตยของรัสเซีย ก่อตั้งขึ้นในปี 1898 และได้แยกเป็นสองกลุ่มในปี 1903; บอลเชวิกส์ ตามตัวอักษรหมายความว่า “สมาชิกแห่งคนส่วนใหญ่” ภายใต้การนำของเลนิน นิยมการให้พรรคมีขนาดเล็ก พร้อมกับมีนักปฏิวัติจำนวนจำกัดซึ่งมีวินัย; เมนเชวิกส์ หมายความว่า “สมาชิกแห่งคนส่วนน้อย” นิยมพรรคซึ่งมีสมาชิกจำนวนมากกว่าโดยใช้หลักการทางประชาธิปไตย.
ชนชั้นนายทุน/ชนชั้นกรรมาชีพ: มาร์กซ์สอนว่าชนชั้นกรรมกร (ผู้ใช้แรงงาน) จะล้มล้างพวกนายทุน (ชนชั้นกลาง รวมทั้งพวกเจ้าของโรงงาน) ก่อตั้ง “ระบอบเผด็จการแห่งชนชั้นกรรมาชีพ” ขึ้นมา แล้วตั้งสังคมที่ไม่มีชนชั้นขึ้น.
โคมินเทิร์น: เป็นชื่อย่อขององค์การคอมมิวนิสต์สากล (หรือขบวนการสากลที่ 3) เป็นองค์การซึ่งตั้งขึ้นโดยเลนินในปี 1919 เพื่อส่งเสริมลัทธิคอมมิวนิสต์ ยุบเลิกไปในปี 1943 องค์การนี้มีขึ้นภายหลังขบวนการสากลที่หนึ่ง (1864–1876) ซึ่งให้กำเนิดแก่กลุ่มคอมมิวนิสต์ยุโรปหลายกลุ่ม และขบวนการสากลที่สอง (1889–1919) ซึ่งเป็นสภาสากลแห่งบรรดาพรรคสังคมนิยม.
คอมมิวนิสต์ แมนิเฟสโต: เป็นคำแถลงการณ์ของมาร์กซ์และเองเกิลส์ในปี 1848 เกี่ยวกับหลักการสำคัญต่าง ๆ ของระบอบสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ซึ่งได้ใช้เป็นพื้นฐานสำหรับพรรคสังคมนิยมและพรรคคอมมิวนิสต์ในยุโรปมาเป็นเวลานาน.
ยูโรคอมมิวนิสซึม: คือระบอบคอมมิวนิสต์ของพรรคคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันตกไม่ขึ้นกับสหภาพโซเวียตและยินดีเข้าร่วมในรัฐบาลผสม พวกเขาให้เหตุผลว่า “ระบอบเผด็จการแห่งชนชั้นกรรมาชีพ” นั้นไม่จำเป็นอีกแล้ว.
วิทยาศาสตร์/ระบอบสังคมนิยมแบบยูโตเปียน: เป็นคำที่มาร์กซ์ใช้เพื่อแยกแยะความแตกต่างระหว่างคำสอนของเขา ซึ่งคาดกันว่ามีรากฐานจากการตรวจสอบประวัติศาสตร์ทางวิทยาศาสตร์และการดำเนินงานของระบอบทุนนิยม กับคำสอนทางสังคมนิยมแบบยูโตเปียแท้ ๆ แห่งบรรพบุรุษของเขา.