อนาคตของศาสนาจากการพิจารณาศาสนาในอดีต
ตอนที่ 19: ศตวรรษที่ 17 ถึง 19 คริสต์ศาสนจักรดิ้นรนเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลก
“ปรัชญากับศาสนา ยากนักจะเข้ากันได้.”—เกออร์ก เฮรเวก กวีชาวเยอรมันแห่งศตวรรษที่ 19
“ฟิลอโซฟี” (ปรัชญา) เป็นคำที่มาจากรากศัพท์ภาษากรีกหมายความว่า “ความรักต่อสติปัญญา” เป็นสิ่งที่ยากจะให้คำนิยาม. ขณะที่ไม่แน่ใจว่า “การให้คำนิยามแบบครอบจักรวาล หรือครอบคลุมทั้งหมด” สามารถทำได้ เดอะ นิว เอ็นไซโคลพีเดีย บริแทนนิกา เสนอแนะว่า “ความพยายามแรกในแนวนี้อาจนิยามคำปรัชญาว่า ถ้าไม่เป็น ‘การครุ่นคิดไตร่ตรองในเรื่องประสบการณ์อันหลายหลากของมนุษย์’ ก็เป็น ‘การเอาใจใส่พิจารณาอย่างมีเหตุมีผล เป็นลำดับขั้นตอน และมีระบบเกี่ยวกับเรื่องสำคัญต่าง ๆ ที่มนุษย์ห่วงใยที่สุด.’”
คำนิยามเหล่านี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงเหตุผลที่ศาสนาแท้กับปรัชญาเข้ากันไม่ได้. ศาสนาแท้อาศัยการเปิดเผยของพระเจ้าเป็นหลักไม่ใช่อาศัย “ประสบการณ์หลายหลากของมนุษย์.” สิ่งแรกและสำคัญที่สุดของศาสนาแท้นั้นหมกมุ่นในผลประโยชน์ของพระผู้สร้าง ไม่ใช่ใน “เรื่องสำคัญที่มนุษย์ห่วงใยที่สุด.” ในทางตรงข้าม ศาสนาเท็จก็เป็นเช่นเดียวกับปรัชญา คืออาศัยประสบการณ์ของมนุษย์เป็นหลักและถือเอาผลประโยชน์ของมนุษย์สำคัญที่สุด. ข้อเท็จจริงนี้ได้กระจ่างชัดขึ้น โดยเฉพาะตั้งแต่ศตวรรษที่สิบเจ็ดเป็นต้นมา ขณะที่คริสต์ศาสนจักรดิ้นรนเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลก.
การคุกคามสามประการ
ทันทีที่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่กำเนิดขึ้นในศตวรรษที่สิบเจ็ด การปะทะกันระหว่างวิทยาศาสตร์สมัยใหม่กับศาสนาดูเหมือนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้. การค้นพบที่น่าพิศวงในทางวิทยาศาสตร์ได้เสริมบารมีให้วิทยาศาสตร์กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีวันผิดพลาด และมีอิทธิพลซึ่งทำให้วิทยาศาสตร์มีอำนาจดุจดังศาสนา เป็นประหนึ่งโคศักดิ์สิทธิ์. เมื่อพิจารณาถึง “ข้อเท็จจริง” ทางวิทยาศาสตร์แล้ว ข้ออ้างต่าง ๆ ทางศาสนาดูเหมือนไม่น่าเชื่อถือ พิสูจน์ไม่ได้. วิทยาศาสตร์เป็นสิ่งใหม่และน่าตื่นเต้น ศาสนาดูเป็นสิ่งล้าสมัยและไม่น่าสนใจ.
เอ็นไลท์เตนเมนท์ ขบวนการปัญญาชนซึ่งแผ่คลุมไปทั่วยุโรปในช่วงศตวรรษที่สิบเจ็ดและสิบแปด ปลุกเร้าทัศนะดังกล่าวที่มีต่อศาสนาให้แรงขึ้น. โดยการเน้นหนักในเรื่องความก้าวหน้าทางปัญญาและทางวัตถุ ขบวนการนี้ปฏิเสธอำนาจทางการเมือง ศาสนาและจารีตประเพณี โดยรับเอาการหาเหตุผลในเชิงวิพากษ์วิจารณ์เข้ามาแทน. คาดคิดว่าสิ่งนี้เป็นแหล่งแห่งความรู้และความผาสุก. เดอะ เอ็นไซโคลพีเดีย บริแทนนิกา บอกว่า “รากเง่าของแนวคิดเช่นนั้น” พบได้ “ในปรัชญากรีก.”
ขบวนการเอ็นไลท์เตนเมนท์ส่วนใหญ่เป็นปรากฏการณ์ในฝรั่งเศส. ผู้นำที่เด่น ๆ ในฝรั่งเศสรวมถึงวอลแตร์ และเดนิส ดิเดอร็อทด้วย. ในประเทศอังกฤษมีจอห์น ล็อค กับเดวิด ฮิวม์เป็นโฆษก. ยังพบว่ามีผู้สนับสนุนอยู่ในหมู่ผู้ริเริ่มก่อตั้งประเทศสหรัฐด้วย ซึ่งรวมเอาโทมัส เพน เบนจามิน แฟรงกลิน และโทมัส เจ็ฟเฟอร์สัน. อันที่จริง การแบ่งแยกของคริสต์จักรกับรัฐตามรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐก็เป็นผลสืบเนื่องจากแนวความคิดของพวกเอ็นไลท์เตนเมนท์. สมาชิกที่มีชื่อโด่งดังในประเทศเยอรมนีก็คือ คริสเตียน โวลฟ์, อิมมานูเอล คานท์ และโมเสส เมนเดลโซน ปู่ของนักประพันธ์เพลง เฟลิกซ์ เมนเดลโซน.
กล่าวกันว่าคานท์ ผู้ซึ่งมีความเคลือบแคลงในศาสนา ได้นิยามคำ “เอ็นไลท์เตนเมนท์” ว่า “เป็นการปลดปล่อยมนุษย์จากการตกอยู่ภายใต้การชี้นำสั่งสอนของมนุษย์ด้วยกัน.” เกี่ยวด้วยเรื่องนี้ อัลเลน ดับบึลยู. วูด แห่งมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ อธิบายว่าคานท์หมายถึง “ขบวนการที่ทำให้มนุษย์แต่ละคนได้ความกล้าที่จะคิดนึกในเรื่องศีลธรรม ศาสนา และการเมือง โดยตนเอง แทนการมีความคิดเห็นซึ่งถูกยัดเยียดโดยนักการเมือง นักศาสนาหรือพวกผู้เชี่ยวชาญพระคัมภีร์.”
ในช่วงห้าสิบปีหลังของศตวรรษที่สิบแปด การปฏิวัติอุตสาหกรรมได้เริ่มต้นขึ้น แห่งแรกคือในอังกฤษ. เป็นการเปลี่ยนครั้งสำคัญจากเกษตรกรรมไปเป็นการผลิตสินค้าด้วยการใช้เครื่องจักรและขบวนการทางเคมีเข้าช่วย. สิ่งนี้ทำให้สังคมซึ่งส่วนใหญ่เป็นกสิกรและเกษตรกรเกิดความสับสนวุ่นวาย ทำให้ผู้คนหลายพันเข้าไปแออัดในเมืองเพื่อหางานทำ. ผลที่เกิดขึ้นก็คือ กลุ่มคนว่างงาน การขาดแคลนที่อยู่อาศัย ความอัตคัดขัดสน และความเสียหายหลายหลากอันเป็นผลพวงจากการทำงาน.
คริสต์ศาสนจักรจะรับมือกับการคุกคามสามประการ คือวิทยาศาสตร์ ขบวนการปัญญาชนและอุตสาหกรรมนี้ได้ไหม?
ปัดพระเจ้าออกไปอย่างนุ่มนวลที่สุด
เหล่าคนที่ถูกชักจูงโดยแนวคิดของขบวนการเอ็นไลท์เตนเม้นท์ตำหนิศาสนาในเรื่องความเลวร้ายหลายอย่างของสังคม. ดิ เอ็นไซโคลพีเดีย ออฟ รีลิจัน บอกว่าแนวความคิดที่ว่า “สังคมควรจะถูกสร้างขึ้นตามแบบพิมพ์เขียวที่กำหนดไว้ล่วงหน้าแห่งกฎของพระเจ้าและกฎธรรมชาติ ถูกแทนที่โดยความคิดที่ว่าสังคมได้ถูกสร้างขึ้น หรืออาจถูกสร้างขึ้น โดย ‘เล่ห์เหลี่ยม’ หรือ ‘การวางแผน’ ของมนุษย์เอง. ด้วยเหตุนั้น ลัทธิมนุษยศาสตร์สังคมฝ่ายฆราวาสจึงเกิดขึ้น ซึ่งจะให้กำเนิดทฤษฎีทางปรัชญา และสังคมวิทยาส่วนใหญ่แห่งโลกสมัยปัจจุบัน.”
ทฤษฎีเหล่านี้ได้รวมเอา “ศาสนาของพลเรือน” ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยจอง จักค์ รุสโซ ปราชญ์ชาวฝรั่งเศสผู้มีอิทธิพลแห่งขบวนการเอ็นไลท์เตนเม้นท์. ศาสนานี้มุ่งความสนใจอยู่ที่ความเกี่ยวพันของสังคมกับมนุษย์ มากกว่าจะสนใจเรื่องการดำรงอยู่ของพระเจ้าและการนมัสการพระองค์. คลอวด์-อังรี เดอ รูฟรัว นักเขียนจดหมายเหตุชาวฝรั่งเศสได้ให้การสนับสนุน “ศาสนาคริสเตียนใหม่” ในขณะที่ออกุสต์ คอมต์ สานุศิษย์ของเขากล่าวว่าเป็น “ศาสนาแห่งมนุษยชาติ.”
ในตอนปลายศตวรรษที่สิบเก้า ขบวนการของชาวอเมริกาซึ่งรู้จักกันในฐานะเป็นกิตติคุณทางสังคมได้เกิดขึ้นในหมู่พวกโปรเตสแตนต์ ซึ่งนับว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับทฤษฎีทางยุโรป. แนวความคิดซึ่งอาศัยพื้นฐานทางเทววิทยานี้ยืนยันว่าหน้าที่หลักของคริสเตียนคือความเกี่ยวพันกับสังคม. มีผู้สนับสนุนแนวความคิดนี้จำนวนมากท่ามกลางพวกโปรเตสแตนต์จนถึงปัจจุบัน. ฝ่ายคาทอลิกก็พบได้ในพวกบาทหลวงซึ่งทำงานอาชีพแห่งฝรั่งเศสและในพวกนักเทศน์นักบวชแห่งลาตินอเมริกาซึ่งสอนหลักเทววิทยาว่าด้วยเรื่องการปลดปล่อย.
พวกมิชชันนารีฝ่ายคริสต์ศาสนจักรก็สะท้อนให้เห็นแนวความคิดเช่นนี้ด้วย ดังรายงานข่าวในนิตยสารไทม์ปี 1982 ฉบับหนึ่งระบุว่า “ในพวกโปรเตสแตนต์ มีการเปลี่ยนไปสู่ความเกี่ยวพันมากยิ่งขึ้นกับปัญหามูลฐานทางเศรษฐกิจและสังคมของผู้คน . . . สำหรับมิชชันนารีคาทอลิกจำนวนมากขึ้น การแสดงตัวอยู่ฝ่ายอันเป็นต้นเหตุของความยากจนหมายถึงการสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงในระบบการเมืองและเศรษฐกิจ—ถึงแม้ว่าขบวนการปฏิวัติมาร์กซิสต์จะเป็นหัวหอกของการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น . . . ที่จริง มีมิชชันนารีหลายคนที่เชื่อว่าการทำให้คนเปลี่ยนศาสนาโดยมูลฐานแล้วไม่เกี่ยวข้องกับภาระหน้าที่ที่แท้จริงของพวกเขา.” พวกมิชชันนารีเหล่านั้นคงจะเห็นด้วยกับเอมิล เดอร์กไฮม์ นักสังคมวิทยาชาวฝรั่งเศส ผู้ซึ่งเคยให้ข้อคิดว่า ‘เป้าหมายที่แท้จริงแห่งการนมัสการทางศาสนาคือสังคม ไม่ใช่พระเจ้า.’
จึงเห็นได้ชัดว่า คริสต์ศาสนจักรกำลังปัดพระเจ้าออกเสียจากศาสนาอย่างนุ่มนวลที่สุด. ขณะเดียวกันอิทธิพลอื่น ๆ ก็กำลังดำเนินงานอยู่.
ศาสนาเทียมเข้ามาแทนที่พระเจ้า
คริสต์จักรไม่มีวิธีแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่การปฏิวัติอุตสาหกรรมได้ก่อขึ้น. แต่ศาสนาเทียม ผลิตผลที่ได้จากหลักปรัชญาของมนุษย์ก็อ้างว่าตนมีวิธีแก้ และพวกเขาเคลื่อนตัวเข้ามาอยู่แทนที่ว่างนั้นอย่างรวดเร็ว.
ตัวอย่างเช่น ผู้คนบางพวกพบจุดหมายในชีวิตของเขาด้วยการแสวงความมั่งคั่งและทรัพย์สิ่งของ เป็นแนวโน้มที่มุ่งแต่ตัวเองซึ่งถูกชักนำให้มีขึ้นโดยการปฏิวัติอุตสาหกรรม. ลัทธิวัตถุนิยมกลายเป็นศาสนา. ‘ดอลล่าร์ซึ่งมีอำนาจทุกอย่าง’ เข้ามาแทนที่พระเจ้าองค์ทรงฤทธานุภาพ. มีการพูดพาดพิงถึงเรื่องนี้ในบทละครของจอร์ชเบอร์นาร์ด ชอร์ ซึ่งตัวละครตะโกนว่า “ฉันเป็นมหาเศรษฐี. นั่นคือศาสนาของฉัน.”
คนอื่น ๆ หันเข้าหาขบวนการทางการเมือง. ฟรีดริค เอ็งเกิลส์ นักปรัชญาสังคมนิยม ผู้ร่วมงานกับคาร์ล มาร์ก ได้ทำนายว่า ในที่สุดระบบสังคมนิยมจะเข้าแทนที่ศาสนา และระบบนี้จะมีลักษณะคล้ายกับศาสนา. ด้วยเหตุนี้ ขณะที่ระบบสังคมนิยมแผ่คลุมหลายประเทศในยุโรป ศาสตราจารย์โรเบิร์ต นิสเบ็ท ซึ่งปลดเกษียณแล้วกล่าวว่า “ส่วนสำคัญอันเด่นชัดก็คือ การออกหากของเหล่านักสังคมนิยมจากลัทธิยูดาหรือศาสนาคริสเตียนและหันไปหาสิ่งที่เข้ามาแทน.”
ความล้มเหลวของคริสต์ศาสนจักรในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกได้เปิดโอกาสให้มีกลุ่มอิทธิพลต่าง ๆ พัฒนาขึ้นมาซึ่งเวิลด์ คริสเตียน เอ็นไซโคลพีเดีย กล่าวว่าเป็น “ลัทธิทางโลก ลัทธิวัตถุนิยมทางวิทยาศาสตร์ ลัทธิอเทวนิยม ลัทธิคอมมิวนิสต์ ลัทธิชาตินิยม ลัทธินาซี ลัทธิฟาสซิสต์ ลัทธิเมาเซตุง ลัทธิเสรีมนุษยชน และศาสนาเทียมมากมายที่ก่อตัวขึ้นมาหรือปลอมแปลงขึ้น.”
เมื่อพิจารณาดูผลที่ศาสนาเทียมแบบปรัชญาเหล่านี้ได้ก่อขึ้น ดูเหมือนว่าถ้อยคำของจอห์น มิลตัน กวีชาวอังกฤษจะเหมาะสมที่สุด ที่ว่าเป็น “สติปัญญาที่ไร้สาระทั้งนั้น และเป็นปรัชญาจอมปลอม.”
หาข้ออะลุ้มอล่วย
การที่ต้องตกอยู่ระหว่างระบบบาทหลวงที่ไร้ประสิทธิภาพและศาสนาเทียมที่โกหกหลอกลวงเช่นนั้นผู้คนหลายล้านจึงมองหาสิ่งที่ดีกว่า. บางคนคิดว่าเขาได้พบสิ่งนั้นในลัทธิดีอิสซึม ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่า “ศาสนาธรรมชาติ.” จากการเป็นที่รู้จักกว้างขวางโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศอังกฤษในช่วงศตวรรษที่สิบเจ็ด ลัทธิดีอิสซึมจึงถูกกล่าวถึงว่าเป็นแผนการประนีประนอมที่ยอมรับวิทยาศาสตร์แต่ไม่ได้ละทิ้งพระเจ้า. ดังนั้น เหล่าผู้เชื่อในลัทธิดีอิสซึมจึงเป็นผู้มีความคิดอิสระเดินสายกลาง.
นักประพันธ์วูดทำให้ชัดเจนขึ้นโดยกล่าวว่า “ในความหมายอันดับแรก ลัทธิดีอิสซึมหมายถึงความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว และข้อปฏิบัติทางศาสนาซึ่งมีรากฐานอยู่บนเหตุผลตามธรรมชาติ แทนการเปิดเผยที่เหนือธรรมชาติ.” แต่เนื่องจากการไม่ยอมรับ “การเปิดเผยที่เหนือธรรมชาติ” นี่เอง บางคนในลัทธินี้ถึงขนาดปฏิเสธคัมภีร์ไบเบิลเกือบทั้งสิ้น. ทุกวันนี้แทบจะไม่ปรากฏชื่อลัทธินี้เลย แม้ว่าผู้ที่อ้างตนเป็นคริสเตียนซึ่งปฏิเสธอำนาจทางศาสนาและพระคัมภีร์ และรับเอาความคิดเห็นส่วนบุคคล หรือหลักปรัชญาต่าง ๆ เกี่ยวกับชีวิตจะยึดถือในหลักการของลัทธินี้อย่างแท้จริงก็ตาม.
ทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นเหมือนเส้นขนาน
การเผชิญหน้าครั้งที่ตื่นเต้นที่สุดระหว่างศาสนากับวิทยาศาสตร์ได้เกิดขึ้นหลังจากการออกหนังสือออริจิน ออฟ สปีซีส์ ของดาร์วินในปี 1859 ซึ่งเขาได้เสนอทฤษฎีวิวัฒนาการในหนังสือนี้. พวกผู้นำศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอังกฤษและสหรัฐอเมริกาในตอนแรกได้ประณามทฤษฎีนี้ด้วยถ้อยคำรุนแรง. แต่แล้วการต่อต้านนั้นก็ค่อย ๆ ซาไป. ดิ เอ็นไซโคลพีเดีย ออฟ รีลิจัน กล่าวว่าพอดาร์วินสิ้นชีวิตไปไม่นาน “พวกนักเทศน์นักบวชที่ใช้ความคิดและแสดงความเห็นอย่างชัดเจนได้บรรลุข้อสรุปว่า ทฤษฎีวิวัฒนาการนั้นสอดคล้องลงรอยกันทั้งสิ้นกับความเข้าใจที่กระจ่างชัดเกี่ยวกับพระคัมภีร์.”
สิ่งนี้อาจชี้แจงถึงเหตุผลที่หนังสือของดาร์วินไม่ถูกนับรวมอยู่ในอินเด็กซ์ ออฟ ฟอร์บิดเด็น บุ๊คส์ (สารบัญหนังสือต้องห้าม) ของวาติกัน. และเช่นกันยังอาจอธิบายถึงปฏิกิริยาของผู้ฟัง ณ การประชุมสภาศาสนาแห่งโลกที่ชิคาโกในปี 1893. ขณะที่ชาวพุทธ และชาวฮินดูฟังอยู่ ผู้บรรยาย “คริสเตียน” กล่าวว่า “ทฤษฎีวิวัฒนาการทำให้ช่องว่างที่มีในตอนเริ่มต้นของศาสนาของเราหมดไป และถ้าหากวิทยาศาสตร์พึงพอใจกับทฤษฎีวิวัฒนาการโดยทั่วไปว่าเป็นวิธีที่พระเจ้าสร้างโลก คำว่าเห็นด้วยแม้จะไม่อบอุ่นก็เป็นคำที่คนเหล่านั้นซึ่งมีหน้าที่ที่จะรู้จักและรักวิถีทางของพระเจ้าควรใช้เพื่อต้อนรับทฤษฎีนี้.” ตามรายงานข่าว ถ้อยแถลงนี้ได้รับการรับรองด้วยเสียงปรบมือดังสนั่น.
เจตคติเช่นนั้นไม่เป็นที่น่าแปลกใจ เมื่อคำนึงถึงความนิยมที่มีอยู่ในศตวรรษที่ 19 ต่อสิ่งที่ได้มารู้จักกันว่า ศาสนาเปรียบเทียบ. สิ่งนี้คือการศึกษาทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับศาสนาต่าง ๆ ของโลกโดยมีจุดประสงค์เพื่อพิสูจน์ว่าศาสนาต่าง ๆ มีความสัมพันธ์กันอย่างไร และเป็นมาอย่างไร. ยกตัวอย่างเช่น จอห์น ลับบ็อค นักมนุษยวิทยาชาวอังกฤษ ได้กล่าวถึงทฤษฎีที่ว่า มนุษย์เราในตอนเริ่มต้นนั้นเป็นอเทวนิยม แล้วจึงค่อย ๆ พัฒนาผ่านขั้นตอนของการเชื่อถือเครื่องราง การนมัสการธรรมชาติ และลัทธิชามาน (ความเชื่อว่าพระมีอำนาจรักษาโรคได้) ก่อนจะมาถึงลัทธิบูชาพระเจ้าองค์เดียว.
แต่ดังที่ดิ เอ็นไซโคลพีเดีย ออฟ รีลิจัน อธิบาย “ในความคิดเห็นเช่นนั้น ศาสนาไม่ใช่ความจริงที่เด็ดขาดซึ่งเปิดเผยโดยพระเจ้า แต่เป็นประวัติบันทึกของพัฒนาการทางความนึกคิดของมนุษย์เกี่ยวกับเรื่องพระเจ้าและศีลธรรมจรรยา.” ฉะนั้น ผู้คนที่ยอมรับทฤษฎีนั้นจึงเห็นว่าไม่ยากในการรับเอาลัทธิดีอิสซึม “ศาสนาแห่งพลเรือน” หรือ “ศาสนาแห่งมนุษยชาติ” ว่าเป็นการก้าวขึ้นบันไดแห่งวิวัฒนาการทางศาสนา.
ความคิดเห็นเช่นนั้นนำไปถึงทีไหนในการวิเคราะห์ขั้นสุดท้าย? ตั้งแต่ศตวรรษที่สิบเก้าแล้วที่ เฮอร์เบิร์ต สเปนเซอร์ นักปรัชญาชาวอังกฤษกล่าวไว้ว่าสังคมกำลังเคลื่อนเข้าสู่ช่วงแห่งความเจริญก้าวหน้า ซึ่งจะเข้ากันไม่ได้อีกเลยกับศาสนา. และในศตวรรษที่ยี่สิบ ศาสตราจารย์นิสเบ็ทให้ข้อสังเกตว่าสังคมวิทยาทั่วไปเชื่อว่าศาสนา “ตอบสนองต่อความต้องการบางอย่างของมนุษย์ทางจิตและสังคม และจนกว่าความต้องการในสิ่งเหล่านี้จะหมดไปเนื่องจากวิวัฒนาการทางชีววิทยาของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใดก็จะยังคงมีอยู่เรื่อยไปในวัฒนธรรมของมนุษย์.” (ตัวเอนเป็นของเรา.) ในทำนองเดียวกัน นักสังคมวิทยาก็ไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่ว่า สักวันหนึ่ง “ความก้าวหน้าทางวิวัฒนาการ” อาจนำไปสู่การไม่มีศาสนาอีกเลย!
การแสวงหาการนมัสการแท้ทวียิ่งขึ้น
ในตอนกลางศตวรรษที่สิบเก้าเป็นที่ชัดแจ้งว่ากว่าสองร้อยปีที่ผ่านไปคริสต์ศาสนจักรมีแต่พ่ายแพ้ในการสู้รบต่อต้านการเปลี่ยนแปลงของโลก. ศาสนาของเขาเสื่อมถอยจนแทบจะกลายเป็นเพียงปรัชญาฝ่ายโลกเท่านั้น. สุจริตชนหลายล้านคนห่วงใยเรื่องนี้. ผู้คนแสวงหาการนมัสการอย่างคร่ำเคร่งมากขึ้น. อาจกล่าวได้อย่างจริงจังว่าไม่มีทางจะปฏิรูปคริสต์ศาสนจักร. สิ่งที่จำเป็นก็คือการฟื้นฟูศาสนาแท้. เชิญอ่านเรื่องนี้ต่อไปในฉบับหน้า.
[กรอบหน้า 27]
ถูกกดดันโดยการเปลี่ยนแปลงของโลก คริสต์ศาสนจักรจึงอะลุ้มอล่วย
การปรากฏโฉมของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ทำให้ผู้คนไม่อยากเชื่อสิ่งที่มองไม่เห็น และก่อความสงสัยเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจ “พิสูจน์” ได้. คริสต์ศาสนจักรยอมอะลุ้มอล่วยในเรื่องความจริงของคัมภีร์ไบเบิลโดยรับรองทฤษฎีซึ่งยังไม่ได้พิสูจน์แต่คาดคิดว่าเป็นวิทยาศาสตร์เช่นวิวัฒนาการ และโดยการมองเห็นความเชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์ แทนการรับเอาราชอาณาจักรของพระเจ้า ฐานะเป็นทางแก้ปัญหาของโลก.
การกำเนิดของแนวความคิดต่าง ๆ ทางการเมือง (ระบบทุนนิยม ประชาธิปไตย สังคมนิยม คอมมิวนิสต์ และอื่น ๆ) ได้ก่อความเป็นปฏิปักษ์ทางด้านเชื้อชาติและการขัดแย้งทางด้านแนวความคิด ด้วยเหตุนั้นความจริงของคัมภีร์ไบเบิลที่ว่าพระเจ้าคือผู้ครอบครองโลกที่ทรงสิทธิอันชอบธรรม ไม่ใช่มนุษย์ จึงคลุมเครือไป. คริสต์ศาสนจักรทำการอะลุ้มอล่วยในหลักการของคัมภีร์ไบเบิลโดยการละเมิดความเป็นกลางแบบคริสเตียนและเข้าไปเกี่ยวข้องในสงครามที่ทำให้สมาชิกศาสนาเดียวกันต้องต่อสู้กันเอง. คริสต์ศาสนจักรให้การสนับสนุนการเมืองซึ่งเป็นศาสนาเทียมทั้งทางตรงและทางอ้อม.
มาตรฐานการดำเนินชีวิตที่สูงขึ้น มีการเปิดทางให้โดยการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมซึ่งส่งเสริมความทะนงตัว ความเห็นแก่ตัว และทำให้ความอยุติธรรมและความไม่เสมอภาคในสังคมปรากฏเด่น. คริสต์ศาสนจักรอะลุ้มอล่วยโดยการละเลยต่อผลประโยชน์ของพระเจ้า แล้วนำตัวเข้าไปพัวพันกับผลประโยชน์ต่าง ๆ ของมนุษย์ในด้านสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และการเมือง.
[กรอบหน้า 29]
เจริญขึ้นหรือเสื่อมลง?
คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า: มนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาเป็นคนสมบูรณ์พร้อมและได้เรียนรู้วิธีนมัสการพระเจ้าผู้สร้างตัวเขาอย่างถูกต้อง แต่พวกเขากบฏต่อพระเจ้า และตลอดเวลาประมาณ 6,000 ปี พวกเขาเสื่อมลงทั้งทางร่างกายและศีลธรรม และถอยห่างออกไปเรื่อย ๆ จากศาสนาแท้ที่พวกเขายึดถือไว้แต่แรกเริ่ม.
วิวัฒนาการทางชีววิทยาและศาสนากล่าวว่า: มนุษย์พัฒนามาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ และเป็นอเทวนิยมไม่มีศาสนา ตลอดเวลาหลายล้านปีที่ไม่มีบอกไว้ พวกเขาได้ปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นทั้งทางร่างกายและศีลธรรมและใกล้จะถึงขั้นสมบูรณ์แบบตามอุดมการณ์ในการพัฒนาทางศาสนา สังคม และศีลธรรม.
โดยอาศัยความรู้ของคุณเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ สภาพการณ์ปัจจุบันของมนุษยชาติ และสถานภาพของศาสนาในโลกทุกวันนี้ ความคิดเห็นแบบไหนที่น่าจะลงรอยกับข้อเท็จจริงมากกว่า?
[รูปภาพหน้า 28]
การอนุมานต่าง ๆ ที่ไม่มีการพิสูจน์ของดาร์วินในหนังสือออริจิน ออฟ สปีซีส์ ได้กลายเป็นข้อแก้ตัวสำหรับหลายคนที่เลิกเชื่อพระเจ้าแห่งการเปิดเผย.
[ที่มาของภาพ]
Harper’s