หนุ่มสาวถามว่า . . .
ฉันจะเลี่ยงความเจ็บปวดจากการเกี้ยวพาราสีได้อย่างไร?
“คุณเป็นอะไร? ใจคุณทำด้วยหินหรือไง?” ด้วยความปวดร้าวและงุนงงสับสน มิเชลต้องการรู้ว่าเอดดวร์ดแสดงทีท่าเพื่อให้เธอหลงอย่างที่ได้ทำไปนั้นได้อย่างไร. หลังจากที่ได้ทุ่มเทความรักใคร่ต่อเธอ แล้วเดี๋ยวนี้เขาจะพูดได้อย่างไรว่าเขาไม่ต้องการจะจริงจังกับเธอ? เอดดวร์ดอ้างว่าเขาไม่เจตนาจะให้เธอได้รับความเจ็บปวด แต่มิเชลไม่ยอมอภัยเขา. สำหรับเธอแล้วเอดดวร์ดก็แค่นักเกี้ยวพาที่โหดร้ายนั่นเอง.
การเกี้ยวพาราสีหมายถึงการแสดงอาการรักใคร่โดยปราศจากความจริงใจ. การกระทำดังกล่าวสามารถก่อความเสียหายได้ แม้เมื่อกระทำโดยหนุ่มสาวในวัยเรียนผู้ซึ่งเพียงแต่ต้องการดึงดูดความสนใจมาสู่ตัวเองหรือหลงลำพองตัว. และเมื่อผู้ใหญ่ซึ่งอยู่ในวัยจะแต่งงานยั่วอารมณ์ของคนอื่นเล่น ๆ อาจก่อผลเป็นความเจ็บปวดทรมานและความปวดร้าวใจ.
คนที่เกี้ยวพาบางคน ทำร้ายความรู้สึกโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แม้กระทั่งมุ่งร้ายด้วยซ้ำ ก่อให้เกิดอารมณ์สับสนแก่เหยื่อที่ไร้เดียงสาคนแล้วคนเล่า. แต่ น่าสนใจ ผู้กระทำผิดในเรื่องนี้ส่วนใหญ่ทำโดยขาดประสบการณ์มากกว่าประสงค์ร้าย. บ่อยครั้งเด็กหนุ่มสาวเพียงแต่ไม่เข้าใจว่าการกระทำของพวกเขาส่งผลกระทบอย่างไรต่อความรู้สึกของคนอื่น ๆ. หรือพวกเขาอาจถูกชักนำในทางผิดโดย ‘หัวใจทรยศ’ ของพวกเขา และพยายามจะทำให้การเกี้ยวพานั้นชอบด้วยเหตุผล.—ยิระมะยา 17:9 (ล.ม.)
ลองพิจารณากรณีของเอดดวร์ดและมิเชล. ในตอนต้นแห่งความสัมพันธ์ของพวกเขา เอดดวร์ดชี้แจงแก่มิเชลด้วยความระมัดระวังว่าขณะที่เขาชอบเธอเหมือนเพื่อน เขาไม่ตั้งใจจะถือเป็นเรื่องจริงจัง. กระนั้น เขาก็จะไปไหนมาไหนหรือทำอะไร ๆ กับเธอ โทรศัพท์ไปคุย ให้ของขวัญ. เขาทำกระทั่งจับมือถือแขนเธอ. แต่ เอดดวร์ดหาเหตุผลว่าตราบใดที่เขาไม่ให้คำสัญญา เขาก็พ้นจากความรับผิดชอบใด ๆ ทั้งสิ้น. เขาจึงตะลึงงันเมื่อมิเชลเผยความรู้สึกลึก ๆ ที่มีต่อเขา.
อย่างไรก็ตาม เป็นที่แน่ชัดว่าเอดดวร์ดยอมให้หัวใจนำเขาไปผิดทาง. คุณจะเลี่ยงการทำผิดในทำนองเดียวกันได้อย่างไร? และมีแนวทางอะไรไหมที่จะเลี่ยงความปวดร้าวจากการเกี้ยวพา?
การเกี้ยวพาราสีทำให้คนที่กระทำเจ็บไปด้วย
ก่อนอื่น คุณจะต้องสำนึกว่าการปฏิบัติกับบางคนเหมือนสนใจจะแต่งงานด้วย ในเมื่อจริง ๆ แล้วคุณไม่สนใจ นั้นคือ การมุสา เป็นการโกหกอย่างเห็นชัด ๆ. คนที่เกี้ยวพามีมาตรฐานสองชุด. เขาคาดหมายให้คนอื่นจริงใจในการแสดงเจตนารมณ์ต่อเขา แต่เขาใช้อีกกติกาหนึ่ง. เขาเหมือนพ่อค้าในสมัยคัมภีร์ไบเบิลผู้ซึ่งมี ‘ลูกตุ้มสองชุด’ สำหรับตาชูของเขา—อันหนึ่งซื่อสัตย์ อีกอันออกแบบให้ลูกค้าเสียเปรียบ. การตีสองหน้าเช่นนั้นเป็นการกระทำที่ “น่าสะอิดสะเอียน” ต่อพระยะโฮวา. (สุภาษิต 12:22; 20:23) นั่นอาจจะทำลายชื่อเสียงของคุณกับคนอื่น ๆ ด้วย.
นักเขียนแคธี แมคคอย เตือนเสริมในบทความของนิตยสารเซเวนทีน ว่าการเกี้ยวพาราสีสามารถ “ก่อผลลบต่อประสิทธิภาพในการแบ่งปัน และสามารถขวางกั้นความสนิทสนมกับคนอื่นอย่างได้ผล. เมื่อช่วงเวลาหนึ่งผ่านไป การเกี้ยวพาราสีโดยไม่ผูกพันทางอารมณ์อาจกลายเป็นประสบการณ์ที่จืดชืด.”
จะเลี่ยงการเกี้ยวพาได้อย่างไร?
ด้วยเหตุนี้ คุณจะต้องสำรวจเจตนาของคุณ เมื่อคุณอยากจะแสดงความสนใจเพศตรงข้ามคนใดคนหนึ่ง. คุณสนใจจะแต่งงานจริง ๆ ไหม? ถ้าไม่ อะไรเป็นเหตุให้สนใจคนนั้นมากเกินไป? และถ้าคุณมีเจตนาจะแต่งงาน คุณยังคงจำเป็นต้องมีวินัยกับตัวเองเพื่อเป็นคนไม่เอาเปรียบ พูดความจริง และตรงไปตรงมาในการกระทำของคุณ. คัมภีร์ไบเบิลพรรณนาถึงสายสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์ระหว่างชายเลี้ยงแกะและหญิงสาวคนหนึ่ง. ไม่มีการพูดคลุมเครือหรือการทำให้เสื่อมความไว้วางใจ เขาซื่อสัตย์และเผยความรู้สึกแก่กันและกัน.—เพลงไพเราะของซะโลโม 2:16.
การดำเนินชีวิตตามหลักการเช่นนั้นบังเกิดผลดีในทุกวันนี้ด้วย. ฮวนและอแนลีปัจจุบันได้สมรสมานานกว่าสองปี. ฮวนพูดว่า “มีสิ่งหนึ่งที่ได้ช่วยเราให้มีความสุขแท้มากกว่าอย่างอื่น. สรุปแล้วคือความซื่อสัตย์.” ความซื่อสัตย์ต่อกันและกันได้ช่วยเขาวางพื้นฐานให้มั่นคงแข็งแรง เพื่อความรักต่อกันและกันจะเติบโต. ลีโอ บัสกากลิอา กล่าวในหนังสือของเขาชื่อ เลิฟวิง อีช อัธเธอร์—เดอะ ชาลเลนจ์ ออฟ ฮิวแมน รีเลชันชิพส์ ว่า “เราไม่อาจเสี่ยงกับการมีสัมพันธภาพที่สร้างขึ้นบนความมุสา แม้จะเป็นคำมุสาที่หวังดี. . . . เพียงความจริงเท่านั้นสามารถนำมาให้เราซึ่งความวางใจที่จำเป็นเพื่อสัมพันธภาพอันยาวนาน.” นานมาแล้วคัมภีร์ไบเบิลได้เชื่อมโยงความซื่อสัตย์กับความรักโดยกล่าวว่า “โดยพูดความจริง ด้วยความรักจงให้เราเติบโตขึ้นในทุกสิ่ง.”—เอเฟโซ 4:15, ล.ม.; เปรียบเทียบสุภาษิต 3:3.
แน่นอน แม้แต่คนที่พยายามจะเป็นคนซื่อสัตย์และคิดอย่างรอบคอบแล้วก็อาจจะเข้าไปพัวพันในสัมพันธภาพที่ไปไม่ตลอดรอดฝั่ง. สิ่งซื่อตรงก็คือ พูดออกมาอย่างเปิดอกและ ถ้าจำเป็น ก็สิ้นสุดสัมพันธภาพ.a แต่ว่าเอริคติดต่อฉันท์ชู้สาวกับอินกริดมาปีกว่าก่อนที่จะมาตระหนักว่าเขาไม่ควรแต่งงานกัน. แทนที่จะกล้าเผยความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา เขากลับพยายามทำให้สัมพันธภาพของเขาค่อย ๆ สิ้นสุดลง. ในที่สุดเมื่อความจริงเปิดเผย อินกริดรำพันด้วยความอาลัยรักว่า “ตลอดเวลาที่ผ่านไปฉันรอให้เขาตัดสินใจ และแล้วเขาบอกความรู้สึกที่แท้จริงซึ่งทำให้ฉันตกตะลึง!” เป็นความกรุณาอย่างไม่ถูกต้องที่จะยืดความรัก ๆ ใคร่ ๆ ที่ไม่สมหวัง. และเมื่อกำลังกระทำเช่นนั้นอยู่ คุณก็อาจจะถูกตราหน้าว่าเป็นนักเกี้ยวพา.
แต่บ่อยครั้งอารมณ์รัก ๆ ใคร่ ๆ ที่เริ่มด้วยการหลอกลวงและการสำคัญผิดสามารถป้องกันได้ตั้งแต่แรก โดยปฏิบัติตามคำแนะนำของคัมภีร์ไบเบิลดังต่อไปนี้: “อย่าให้ผู้ใดกระทำอะไรเพื่อประโยชน์ของตนเองเท่านั้น แต่ให้คิดถึงประโยชน์ของคนอื่นด้วย.” (1 โกรินโธ 10:24) ดังนักเขียน แคธี แมคคอย กล่าวว่า “จงสำนึกและรับผิดชอบบ้างสำหรับการตอบสนองที่คุณเร้าให้เกิดในคนอื่น.” ใช่แล้ว จงปฏิบัติตามกฎทองในความสัมพันธ์ของคุณและ “ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างที่ท่านปรารถนาให้เขาปฏิบัติต่อท่าน.” (มัดธาย 7:12, ฉบับแปลใหม่) จงเตือนตนเองว่าคนอื่น ๆ ก็มีความรู้สึกเช่นกัน. หลีกเลี่ยงการให้ความประทับใจผิด ๆ แทนที่จะตำหนิคนอื่นที่เขาสำคัญผิดต่อคุณ.
อย่าให้ผู้เกี้ยวพาทำคุณเจ็บปวด!
แต่ว่าคุณจะเลี่ยงการเป็นเหยื่อได้อย่างไร? ประการแรก หลีกเลี่ยงการมีปฏิกิริยามากเกินไปต่อการเอาอกเอาใจจากเพศตรงข้าม. อย่าสรุปว่าทุก ๆ รอยยิ้มที่อบอุ่นส่อความสนใจในทางชู้สาว.
หนุ่มสาวที่โตแล้วบางคนก็เช่นกัน ทำผิดพลาดโดยเข้าไปผูกพันทางอารมณ์รักใคร่มากไปและเร็วเกินไป. โจนาธานแสดงความสนใจในเดโบรา ถึงแม้เธอจะได้ชื่อว่าเป็นคนเจ้าชู้. ในไม่ช้าเขาก็หมั้นกัน. แล้วอย่างฉับพลันโดยไม่มีคำอธิบาย เดโบราได้ตัดขาดความสัมพันธ์กับเขา. ด้วยท่าทีทระนง โจนาธานพยายามปิดบังความเจ็บปวดของเขาโดยพูดว่า “ผมไม่แคร์เธอ. ผมคิดจะสนุกสนานต่อไปเหมือนเมื่อก่อน!” แต่แล้วเขาก็กุมศีรษะและน้ำตานองหน้า. เดโบราล่ะ? เธอได้หมั้นอีกสองครั้ง แต่ละครั้งก็ถอนหมั้นในทำนองเดียวกัน.
ขณะที่เดโบรามีความผิดมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด โจนาธานก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ผิดเลย. อนึ่ง เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า ตัวโจนาธานเองก็เป็นคนเกี้ยวพา. ด้วยเหตุนี้ เขาจึงประสบด้วยตนเองในหลักการที่ว่า ‘คุณต้องเก็บเกี่ยวสิ่งที่คุณหว่านไว้.’ (ฆะลาเตีย 6:7) อย่าทำผิดพลาดเช่นเดียวกันนี้. เนื่องจากคนเกี้ยวพามักดึงดูดคนเกี้ยวพา คุณมีทางเป็นไปได้ที่จะเลี่ยงการตกเป็นเหยื่อ ถ้าคุณปฏิบัติกับเพื่อนต่างเพศด้วยความนับถือเสมอ.
โจนาธานได้ล้มเหลวในการใช้สติปัญญาและการตัดสินอย่างสุขุม. สุภาษิต 14:15 ให้ข้อสังเกตว่า “คนฉลาดย่อมมองดูทางเดินของเขาด้วยความระมัดระวัง.” ในอีกแง่หนึ่งคือ มองดูก่อนคุณจะก้าวพรวดพราดไป. ก่อนที่จะผูกพันทางอารมณ์กับใคร จงสอบถามจากผู้ใหญ่ที่อาวุโสและมีความรับผิดชอบว่าคนนั้นเป็นคนมีประวัติดีหรือไม่. (เปรียบเทียบกิจการ 16:2) ถ้าโจนาธานได้ทำดังนั้น เขาจะเรียนรู้ว่าเดโบราชอบเอาแต่ใจตนเองในการคบค้ากับเพื่อน.
ในที่สุด ควรจะรู้ถึงความแตกต่างระหว่างความรักกับความหลง. เดโบราเป็นประเภทใจโลเล คนหนุ่มอื่น ๆ ทำให้เธอไขว้เขวได้ง่าย. สิ่งนี้ควรจะทำให้โจนาธานรู้สำนึกถึงข้อเท็จจริงว่าเธอสนใจเขาเพียงชั่วคราว. ความรักที่แท้จริงไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาง่าย ๆ.—เปรียบเทียบเพลงไพเราะของกษัตริย์ซะโลโม 8:6.
การรักษาความเจ็บปวดให้หายเป็นปกติ
อาจจะเป็นได้ว่ามีความบอบช้ำหรือแผลถลอกอยู่บ้างบนทางสู่ความรักแท้ที่เกือบจะเป็นเรื่องสุดวิสัย. แต่ถ้าคุณพบว่าคุณได้รับความเจ็บปวดจากการเกี้ยวพาก็อย่าเพิ่งเบื่อชีวิต. มิเชล (ที่กล่าวถึงในตอนต้น) เธอไม่ยอมมีใจขมขื่นหรือคิดจะแก้แค้นอย่างเห็นแก่ตัว. แทนที่จะรักเขาข้างเดียวต่อไปต่อเอดดวร์ด เธอมุ่งดำเนินชีวิตไปข้างหน้า และนับตั้งแต่เวลานั้นก็มีความชื่นชมยินดีกับสิทธิพิเศษหลายอย่าง ในงานรับใช้ฝ่ายคริสเตียน. ไม่นานมานี้ เธอได้มาเป็นคู่หมั้นของเด็กหนุ่มที่น่ารัก.
กระทั่งคุณแต่งงาน จงคงไว้ซึ่งความเคารพนับถือต่อตนเอง. คุณไม่จำเป็นต้องเกี้ยวพาหรือติดต่อฉันท์ชู้สาวกับคนที่เกี้ยวพาเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับเพศตรงข้ามหรือพบรักแท้. หลีกห่างจากเพศตรงข้ามซึ่งเป็นคนไม่จริงจังหรือหลงลำพองตัว. จงเป็นคนตรงไปตรงมา ซื่อตรง และไม่เห็นแก่ตัวทั้งในวาจาและการกระทำ. การทำเช่นนั้น คุณสามารถเลี่ยงความเจ็บปวดจากการเกี้ยวกันเล่น ๆ.
[เชิงอรรถ]
a ดูบทความในวารสาร อเวค! ฉบับที่ 22 กรกฎาคม 1988 หัวเรื่อง “เราควรจะแยกทางกันไหม?”
[รูปภาพหน้า 20]
การเกี้ยวกันเล่น ๆ อาจนำไปสู่การสำคัญผิดและความปวดร้าวใจ